collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144258 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  ดังนั้น ผู้มงคล  วาจาดี  มองดี  ทำดี  วันหนึ่งมีสามดี  สามปีฟ้าย่อมส่งบุญวาสนา  ผู้อุบาทว์  วาจาชั่ว  มองชั่ว  ทำชั่ว  วันหนึ่งมีสามชั่ว  สามปีฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติ  ยังจะไม่พยายามปฏิบัติหรือ ! 

อธิบาย   : 
เพราะว่าผู้มงคลที่พากเพียรกระทำความดีทั้งหลาย เพราะว่าคำพูดที่ดี การมองคนในแง่ดี  การกระทำในทางดี  ในวันหนึ่งก็ได้ทำความดีสามอย่างแล้ว ทำไปครบสามปี การทำความดีของเขาก็จะสมบูรณ์ ฟ้าก็ประทานบุญวาสนาให้เขา เพิ่มพูนอายุขัยเขา แต่คนชั่วอุบามทว์ เพราะคำพูดร้าย มองคนในแง่ร้ายและกระทำสิ่งที่ชั่ว ในวันหนึ่งก็ได้ทำความชั่วตั้งสามอย่างแล้ว เมื่อทำครบสามปีเต็ม ความชั่วของเขาเต็มเปี่ยมแล้ว ฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติมาสู่เขา ตัดอายุขัย  ทำไมคนจึงไม่พากเพียรทำความดีเล่าเพื่อเปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนาไงเล่า !  ตอนนี้เป็นตอนสรุปของคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน จึงเป็นตอนที่สอนคนให้ทำดี ละชั่ว  "ดังนั้น" จึงเป็นคำสรุปของทั้งหมด"ผู้มงคล" ก็คือคนดี  คนอุบาทว์ คือ คนชั่วช้า  เพราะการกระทำชั่วจึงได้รับภัยพิบัติ จึงเป็นคนอุบาทว์  คำว่า  ความชั่วทั้งหลาย กับ ความดีทั้งหลาย  จึงหมายถึงการกระทำกาย วาจา และใจนั่นเอง เช่น พูดดี  มองดี  ทำดี  สามอย่าง  เป็นจุดที่เราต้องลงมือกระทำ  พูดดี  เช่นสิ่งที่ไร้มารยาทไม่พูด ขยันบอกคนอื่นให้ทำดี  เตือนคนให้ทำดีเป็นต้น มองดี เช่น สิ่งที่ไร้มารยาทไม่มอง ดีใจที่เห็นคนดี  พอใจดูหนังสือดี  ให้เห็นสิ่งที่ตัวเองทำไม่ดีเป็นนิจ  อย่าไปมองเรื่องไม่ดีของคนอื่น  กระทำดี เช่น ไร้มารยาทไม่ทำ  เรื่องไร้ศีลธรรมไม่ทำ  กล้าหาญไปทำเรื่องดี ให้อภัยให้ความสะดวกผู้อื่น บุญต่าง ๆ ให้บำเพ็ญ ดำริชี้นำในสิ่งที่ตนอยู่ แล้วค่อย ๆ กระจายไปทั่วสารทิศ จนซาบซึ้งกล่อมเกลาชาวโลกให้มาร่วมทำความดีด้วยกัน ซึ่งตรงข้ามกับการทำชั่ว ทำเช่นนี้เรื่อยไป สามปีให้หลังก็นับถึงพันวัน เหตุนี้เอง ความดีความชั่วที่สั่งสมก็ถึงขีดเต็มสมบูรณ์แล้ว ใจคนนั้นมีชีวิตชีวายิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ ในช่วงเวลา 3 ปีที่นาน ถ้าหากใจไม่มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เขาทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะถึงจุดที่ชำนาญคล่องตัว !  เพราะถึงจุดนี้ฟ้าเบื้องบนและเทพเจ้าก็จะให้รางวัลหรือลงโทษเป็นบุญวาสนาหรือภัยพพิบัติ ซึ่งจุดสำคัญของเนื้อแท้แก่นสารของคัมภีร์ทั้งหมดก็อยู่ที่ตรงนี้  และที่นี่แหละที่เขากล่าวถึง "ฟ้า" ก็คือใจของเรา ท่านเมิ่งจื่อว่า "รักษาใจของตนให้ว่องไวสว่าง บ่มเลี้ยงจิตเดิมที่ฟ้าประทานให้นี้คือวิธีการบูชาฟ้าเบื้องบน" คัมภีร์ตอนนี้พูดถึงคำว่า "ย่อม" หมายถึงฟ้าที่ลี้ลับ ซับซ้อนไม่มีสุ้มเสียง  ไม่มีกลิ่น  แต่ย่อมขึ้นอยู่ที่ใจของเราบังเกิด พูด มอง กระทำ ในสามปีว่าดีหรือชั่ว ที่พูดกันว่าไม่ว่าจะเป็นอะไรล้วนตนเองเป็นผู้แสวงหามาเอง หลักธรรมเป็นเช่นนี้เอง  คนสว่างสูงใจปิติมุ่งธรรม  ต้นตอมิใช่แสวงหาบุญวาสนา หรือ อยากได้บุญวาสนาจึงทำความดี  เพรานั้น ใจก้าวล่วงสู่ความเห็นแก่ตัวแล้ว !  เพราะฉะนั้น ตนต้องทำถึงที่สุด  จากนั้นก็สุดแท้แต่ฟ้า โดยใจต้องไม่มุ่งหวัง อย่างไรก็ตาม ภัยพิบัติบุญวาสนา ที่เป็นผลกรรมตอบสนอง ก็อยู่ที่ใจดีชั่วกวักหามาเอง วิถีฟ้าคือ ตอบสนองตามเหตุต้นผลกรรม  ที่จริงก็เต็มเปี่ยมท่ามกลางฟ้าดินนี่เอง และก็ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย  มีคนเอาดีละชั่วเป็นเรื่องภายในของตนเอง คนแบบนี้ถือเป็นคนมีรากธรรมเลอเลิศสูงส่ง อย่างไรก็ตามคนในโลกนี้คนปุถุชนมีมาก เพราะฉะนั้นจึงกลัวภัยพิบัติ และอยากแสวงหาบุญวาสนา จึงยอมละชั่วทำดี ก็เป็นสิ่งที่ท่านไท่ชั่งหวังโปรดปก แต่ก็เกรงว่าชาวโลกยังไม่ยอมแสวงหาบุญวาสนาอีก !  ท่านเมิ่งจื่อว่า  "ผู้แสวงหามีธรรม ผู้ได้มีชะตาคือแสวงได้ประโยชน์อยู่ที่ได้เอย" เป็นหลักธรรมถูกต้องที่สุด ถ้าหากไปแสวงหาตามวิธีของท่านเมิ่งจื่อก็จะไม่เกิดอันตราย !   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  ดังนั้น ผู้มงคล  วาจาดี  มองดี  ทำดี  วันหนึ่งมีสามดี  สามปีฟ้าย่อมส่งบุญวาสนา  ผู้อุบาทว์  วาจาชั่ว  มองชั่ว  ทำชั่ว  วันหนึ่งมีสามชั่ว  สามปีฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติ  ยังจะไม่พยายามปฏิบัติหรือ !  2

        พูดถึงการประทานบุญวาสนา อาทิเช่น ตนเองเสวยบุญวาสนาอยู่ ลูกหลานดีมีมโนธรรม ครอบครัวเจริญ อายุขัยยืนยาว งานการราบรื่น  ตลอดจนเพื่อปราชญ์อริยะ  สำเร็จเซียนพุทธ  ลุแจ้งจิตตน  ประจักษ์ตรงที่ธรรมวิริยะ  ไม่มีการเกิด  โปรดคนโปรดสัตว์  ตั้งสุดหมื่นชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นการทานบุญวาสนาพูดถึงการขับภัยพิบัติ อาทิเช่น ตนเองได้รับมหาภัยพิบัติ  ลูกหลานก็โหดเหี้ยมชั่วร้าย  เสื่อมถอยพ่ายแพ้จนตาย  หรืออายุขัยสั้น  ครอบครัวตกต่ำ  ทุกเรื่องล้วนมีอุปสรรค  เมื่อตายแล้วก็ตกนรกอเวจี หรือเวียนเกิดเป็นอย่างอื่น ทุกชาติได้รับโทษเคราะห์ บาปกรรมตกทอดถึงลูกหลาน ถูกสาปแช่งนับพันปี โอ้คุณพระช่วย !  ถ้าวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ วิถีแห่งภัยพิบัติและบุญวาสนาจึงมากมายมหาศาลบยิ่งแล้ว !  น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก !  คำสุดท้ายที่ท่านศาสดาไท่ชั่งทิ้งท้ายไว้ให้คือ "พากเพียร" หมายถึงความดีทั้งหลายให้พากเพียรกระทำ เป็นบทสรุปสำคัญของคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน  คำพากเพียรก็คือ วิธีการสำคัญแก้ไขความผิดโดยการทำดี  การกระทำก็คือร่างกายขยันไปกระทำ เพราะฉะนั้นพากเพียรกระทำก็คือมุ่งทะยานขยันไปปฏิบัติ แม้แต่ต้องตายก็ไม่ท้อถอย  ในคัมภีร์ชูจิงว่า "ความยากลำบากไม่รู้จัก นอกเสียไปกระทำยากลำบาก" คือพูดว่าลำบาก ๆ ด้วยปากไม่รู้หรอกนอกเสียจากลงมือไปทำ มีคำพูดว่า "พูดว่าได้คืบ สู้ทำได้นิ้วไม่ได้" ถ้ารู้อย่างเดียวแต่ไม่ทำ บอกได้เลยว่าไม่มีประโยชน์ จึงหลีกไม่ได้ต้องได้รับเอง ในมหาสมุทรแห่งการเกิดดับ เพราะฉะนั้น หากชาวโลกแสวงหาทางรอด ก็ต้องลงมือเสี่ยงตาย !  ท่านจูจื่อกล่าวว่า ขณะที่ปราณหยางกำลังขับเคลื่อน แม้แต่แท่นหินก็ทะลุุ  จิตวิญญาณถึงที่ไหน เรื่องอะไรจะไม่สำเร็จ" ถ้าคนเป็นได้เช่นนี้ ก็จะบรรลุถึงความสำเร็จแน่นอน ก็จะประจักษ์ภาวะอริยะฐานะแน่นอน ! 

อธิบาย   :  รู้ว่าไม่กระทำดีก็ไม่มีบุญวาสนา ไม่ได้กระทำชั่วก็ไม่มีภัยพิบัติ  นี่คือหลักธรรมฟ้าที่ไม่เปลียนแปลง ดังนั้น  การตอบสนองของดีชั่ว บางทีก็สนองที่ตัวเอง  บ้างก็สนองที่ลูกหลาน  บางทีมีคนชั่วปัจจุบัน  แต่อดีตชาติได้บำเพ็ญเหตุปัจจัยกุศลจนถึงวาระตอบสนองแล้ว ชาตินี้เขาควรต้องรับภัยพิบัต แต่กลับเสวยบุญวาสนา หรือมีบางคนดีในปัจจุบัน แต่เพราะชาติที่แล้วเขาสร้างเหตุปัจจัยชั่วเอาไว้จนถึงวาระตอบสนองแล้ว ดังนั้นในชาตินี้แทนที่เขาจะเสวยบุญวาสนา แต่กลับรับภัยพิบัติ เขาต้องรอจนกว่าภัยพิบัติและบุญวาสนาจะรับไปหมดแล้ว ชาติปัจจุบันที่ทำดีชั่วจึงจะค่อยตอบสนองให้เห็น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าเร็วหรือช้าเท่านั้น ไม่ใช่การตอบสนองที่ผิดพลาดก็หาไม่ เพราะฉะนั้นจึงพูดว่า "กฏหมายในโลกหลบเลี่ยงได้ กฏยมโลกไม่รั่วไหล ตาข่ายโลกห่างเล็ดลอดง่าย ตาข่ายยมโลกถี่หลบหนียาก" คนปัจจุบัน พอทำดีสักเรื่องก็หวังได้รับผลตอบสนอง คนที่รู้สึกไม่ค่อยพอใจก็พูดว่า"ธรรมแห่งฟ้ารู้ยาก"  จะรู้อะไรเมื่อคนเราไม่หิว  ไม่หนาว  ไม่มีภัย  ไม่อันตราย  คนเรียนหนังสือก็ได้เรียน  ชาวนาก็มีนาจะไถ  คนงานก็มีงานทำ  ผู้ค้าขายก็ขายได้  ยิ้มหัวกันบ่อย ๆ  หน้านิ่วคิ้วขมวดมีน้อย  อย่างนี้จะเรียกว่า ไม่ใช่บุญวาสนาตอบสนองหรอกหรือ ?.เพราะคนไม่รู้จักพอ โลกนี้จึงเต็มไปด้วยทุกข์เข็ญ เป็นไปได้อย่างไรที่จะให้ทุก ๆ คน ร่ำรวย 

        มีแต่ชาวโลกต้องเชื่อถือเคารพหลักธรรมคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน (กรรมสนอง) น้อมปฏิบัติจริงใจก็จะมีบุญวาสนามากมาย ลูกหลานเจริญ  น้อมปฏิบัติไปได้หนึ่งปี โทษบาปก็จะมลายดับไป น้อมปฏิบัติไปถึง 4 ปี  ร้อยวาสนาก็มาถึง น้อมปฏิบัติได้ 7 ปีลูกหลานก็สอบได้ตำแหน่งดี  น้อมปฏิบัติได้ 10 ปี อายุขัยยืนยาว  น้อมปฏิบัติได้ 15 ปี งานทุกอย่างจะราบรื่น  น้อมปฏิบัติได้ 20 - 30ปีนามได้ขึ้นทำเนียบเซียน  น้อมปฏิบัติได้ 50 ปี เทพเจ้าให้ความเคารพ  ได้ขึ้นทำเนียบชั้นบน  เหล่านี้เป็นวาจาของท่านไท่ชั่งจริงแท้  กลัวแต่ชาวโลกไม่สามารถปฏิบัติได้จริงนั่นเอง !  คนที่มีอุดมการณ์ตั้งมั่นที่มุ่งสู่มหาธรรม ให้ถึงที่สุดนั้น ขณะเริ่มต้นตั้งปณิธาน ก็จำเป็นต้องฉุดช่วยตนเองและช่วยผู้อื่น  และการช่วยตนเองกับการช่วยผู้อื่นนั้น ต้องมีความสามารถบำเพ็ญทั้งบุญวาสนาและปัญญา การบำเพ็ญปัญญาต้องเข้าใจถึงเป้าหมายของศานาว่าปฏิบัติบำเพ็ญอย่างไร จึงจะบรรลุถึงสภาวะจิตเดิม  ส่วนการบำเพ็ญบุญวาสนา ก็ต้องเข้าใจถึงหลักการเป็นคน ซึ่งก็มีหลักแห่งคุณสัมพันธ์ห้า  ที่นำมาใช้ปฏิบัติฝึกฝน ใจในชีวิตประจำวัน และการอยู่ร่วมกันต้องคอยช่วยเหลือดูแลให้สอดคล้องกัน จึงจะสามารถเกื้อหนุนกันสำเร็จร่วมกัน เช่นนี้  พระเจ้าก็จะประทานราชโองการรอรับเขา เหล่าพุทธเจ้าย่อมเตรียมแผ่นดินสะอาด (พุทธเกษตร)  รับรองเขา  ไม่เพียงแต่หลุดพ้นการเกิดสู่ภพภูมิเบื้องหน้าเท่านั้น ที่จริงแล้วก็คือการแจ้งประจักษ์บรรลุถึงธรรมวิริยะที่มหดสิ้นการเกิดอีกทันที คือบรรลุถึงภูมิที่ไม่เกิดดับอีกแล้วหลังจากนั้นก็สามารถเข้าสู่โลกเพื่อโปรดปกกล่อมเกลาเวไนยสัตว์อีกก็ได้  จบสิ้นเรื่องราวหนึ่งอนันตปัจจัย ถ้าหากผู้บำเพ็ญมีใจจดจ่ออยู่กับความหวังของการมีชีวิตยืนยาวละก็ จะเป็นการบำเพ็ญเพื่อชีวิตเท่านั้น ถ้าการบำเพ็ญยังไม่ถึงจุดหลุดพ้นการเกิดดับ  และเมื่อเสวยบุญวาสนาจนหมดลงแล้วก็ยังจะต้องร่วงหล่นลงมาอีก !  เพียงแต่ได้ไปเกิดบนภพภูมิสวรรค์สูงที่สุด คือ สวรรค์อเนวสัญญานาสัญญามีอายุขัยนานถึงแปดหมื่นสี่พันมหากัป (หนึ่งมหากัปเท่ากับ หนึ่งพันสามร้อยสี่สิบสี่ล้านปี)  สุดท้ายก็ยังต้องตกลงมาอยู่ในหกวิถี  ซึ่งก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากสามภูมิ  ยังคงเป็นเวไนยสัตว์หมุนเวียนอยู่ในหกวิถี  เหล่านี้ล้วนยังไม่สามารถเข้าถึงใจแท้ที่ประภัสสรของตนได้ เป็นเพราะว่าได้สั่งสมความคิดฟั่นเฟือจินตนาการที่ว่างเปล่า เป็นความรู้สึกที่กวักหาสามภูมิ (กามภูมิ  รูปภูมิ  อรูปภูมิ)  เพราะแรงกรรมที่กระตุ้นกวักหาชักนำไปสู่วิถีที่แตกต่างกัน ตามแต่แรงกรรมของแต่ละคนสร้างขึ้น  มีเพียงจิตตรัสรู้อันเป็นเครื่องมือที่บรรลุถึงเบื้องสุดเท่านั้น  จึงจะสามารถเข้าใจกระจ่างแจ้งเหตุปัจจัยของความคิดฟั่นเฟือแห่งจิตนาการว่างเปล่าได้  เดิมทีไม่มีอะไรเลยสักสิ่งหนึ่ง แต่เพราะหวังให้เกิดประโยชน์กับเหล่าเวไนยสัตว์ให้มีกำลังทำความดี แล้วก็จะสามารถถือปฏิบัติด้วยความปลื้อปิติสมบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้นจึงจะสามารถถึงที่สุด แห่งหนึ่งอนันตเหตุปัจจัย จึงจำเป็นต้องรวมเข้าสู่การบำเพ็ญ ทั้งบุญวาสนาและปัญญา จนกว่าจะลุถึงสภาวะที่สมบูรณ์ !  เป็นการบำเพ็ญควบรวมทั้งสองในเวลาเดียวกัน (วาสนาและปัญญา)    

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  นิทาน

        อริยเจ้าหวังจื้อแห่งซีหวิน
ในบันทึกผันซันกล่าวว่า มีผู้ถามเรื่องดีชั่ว  ทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากเหตุต้นผลกรรมของบาปบุญ  อาจารย์ตอบว่า"เหตุต้นผลกรรมของบาปบุญอยู่ที่เปลือก (ขอบเขต)  ของหยินหยาง  (ความสมดุลของชั้นบรรยากาศ)  ถ้าหากเธอสามารถหลุดออกจากเปลือกของหยินหยางได้ ก็จะไม่ถูกกรรมสนองจากบาปบุญเลย"  ถ้าเช่นนั้น อะไรเล่าคือเปลือกดีชั่วของหยิยหยางเล่า ?.  ถ้าหากใจมีความคิดแม้เพียงบางเบา ๆ ดังเส้นใยอยากของความเห็นแก่ตนเท่านั้น ก็จะอยู่ในเปลือกของหยิน ถ้าหากเกิดความคิดปิติอยากทำความดี ก็จะอยู่ในเปลือกของหยาง หากอยู่ในเขตหยินก็จะได้รับความชั่วตอบสนอง  ในเขตหยางก็มีความคิดดีตอบสนอง  ถ้าหากสามารถฝึกฝนองค์ใจให้ว่างสะอาด ไม่มีดีไม่มีชั่ว  ไม่มีติดขัดแม้แต่น้อย  ตนเป็นนายแห่งตนได้แล้ว บาปบุญก็ผูกพันเขาไม่ได้  เหตุต้นผลกรรมก็ผูกมัดเขาไม่ได้ อย่างนี้แหละที่อริยเจ้าได้พ้นจากเปลือกของหยินหยาง ! 

นิทาน 2  :  ในสมัยซ่ง ท่านจูจื่อเหมยอัน มีความเข้มงวดขยัน ปฏิยัติรักษากฏเกณฑ์เป็นอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สะดวกสบายต่อนักปฏิบัติ พวกเขาจะรู้ได้อย่างไร เมื่อเขาเรียนหลักธรรมวิทยายังไม่เข้าใจทะลุปรุโปร่ง ถ้าหากปล่อยให้หละหลวมต่อกฏเกณฑ์แล้วก็ยากที่จะเข้าสู่แก่นสารของหลักธรรมวิทยาได้ ถ้าหากท่านจูจื่อไม่แน่วแน่เข้มแข็งพากเพียรขยันถือปฏิบัติเคร่งครัดละก็ หลักธรรมวิทยาก็คงสาบสูญขาดการสืบทอดไปนานแล้ว !เพราะว่าในสังคมยุคนั้นกำลังอยู่ในกระแสห้ามเรียนวิชาธรรมกัน สังคมเอาหลักธรรมวิทยาเป็นวิชาปลอม และก็กล่าวหาธรรมวิทยาเป็นทางมาร คนที่ลุกขึ้นต่อต้านในสมัยนั้น ได้แก่ หัน...  หลินเจี้ยจื่อ  หวังหยุย  เฉินเจี่ย  พวกเขากล่าวโทษอย่างหนัก  แม้แต่คัมภีร์ของท่านขงจื่อ  เมิ่งจื่อก็ถูกควบคุมห้ามเรียนด้วย แต่ท่านจูจื่อก็ยังคงจริงใจตั้งมั่นทนต่อการกล่าวหาของบุคคลดังกล่าว สงบสติอารมณ์ไม่โต้ตอบเคร่งครัดปฏิบัติกฏเกณฑ์เข้มงวดต่อไป แต่ก็มีอาจารย์บางคนที่ไม่มั่นคงไร้จุดยืนยอมแก้ไขหลักธรรมดั้งเดิม กลายเป็นอาจารย์นอกรีด มีแต่ท่านจูจื่อเท่านั้นที่สามารถรับชะตากรรมแบกรับพงศาธรรมยืนหยัดอยู่รอด ไม่กังวลไม่หวาดกลัว แต่ละย่างก้าวไม่กล้าทำส่งเดชขอไปที แม้จะได้รับการโจมตี อุปสรรคร้อยแปดก็สบายปกติ ยังคงขยันสั่งสอนผู้เรียนต่อไป  จึงมีนักปราชญ์เกิดขึ้นมากมาย เคร่งครัดบังคับตน  เช่น ท่านหยวนจื่อเรื่องสี่ไร้มารยาทไม่...  โดยไม่ละเมิดแม้แต่น้อย  ด้วยเหตุนี้วิชาบัณฑิตกับธรมวิทยาในขณะนั้น ยังคงเป็นที่นิยมดุจดังตะวันกลางฟ้า เพราะเป็นผลจากท่านจูจื่อขยันปฏิบัตินั่นเอง !

นิทาน 3  :  ในสมัยซ่ง ขุนนางเซิ่นเอี๋ยน เป็นชาวเมืองเหยินเหอ เขาสอบได้ตำแหน่งจิ้นสือตอนหนุ่ม ๆ เป็นข้าราชการอำเภอจวิน  ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่ละวันเขาจะครุ่นคิดอยู่เสมอว่า จะจงรักภักดีต่อพระราชาอย่างไรบ้าง จะตุ้มครองประชาราษฏร์ให้อยู่เย็นเป็นสุขอย่างไร การกระทำของตนแต่ละก้าว  แต่ละคำพูด  เขาไม่กล้าส่งเดช  แม้จะอยู่ในที่ ๆ ลับตาคน เขาก็ยังคงระมัดระวังรักษาคุณลักษณ์เช่นนี้ตลอดเวลา เขารอจนลูกชายเติบโตแล้ว เขาก็ลาออกจากราชการกลับมาอยู่บ้าน  แต่งกายเสื้อผ้าหยาบ  และไม่ยุ่งกับทางโลกอีกเลย เขาจะสงบใจบำเพ็ญธรรม ทุกวันเขาจะสวดมนต์อวตังสกสูตร และปรัชญาวัชรปรามิตาสูตร ของมหายาน  แล้วก็ปฏิบัติคำสอนเวลาว่างก็จะทำฌานสมาธิเพ่งพิจารณา พอมาถึงปีรัชสมัยพระเจ้าต้ากวน อายุก็กว่า 90 ปีแล้ว ฉับพลันเขาก็บรรลุธรรม จึงพูดกับคนดูแลรับใช้เขาว่า "ชีวิตคนในโลกนี้ เหมือนการเล่นละครแต่ละฉาก เมื่อกลองดังขึ้นตัวละครจะเป็นตัวเอกตัวตลกต่างรูปแบบต่างก็แสดงบทของแต่ละคน แต่ว่าเมื่อเทียนเผาจนแสงไฟดับมอดแล้ว ยังจะมีความสุขอะไร ?. ก็เหมือนที่ข้าเข้ามาสู่โลกนี้ แค่พริบตาก็เก้าสิบปีแล้ว เหมือนภาพมายากำลังฝันอยู่ เหมือนน้ำค้างยามเช้า  แวบเดียวก็หายรวดเร็ว !"  โชคดีที่ข้าบรรลุพุทธจิต พุทธจิตนี้ไร้ขอบเขต ไม่มีรูปร่างว่าเหลี่ยมกลม ใหญ่เล็กไม่ใช่ขาว เหลือง เขียว แดง  ไม่มียาวสั้น สูงต่ำ  ไม่มีโกรธ ไม่มีดีใจ ไม่มีผิด ไม่มีดี ไม่มีชั่ว  ไม่มีอะไรสักสิ่งหนึ่งเลย แต่ก็โอบล้อมสรรพสิ่ง !  นี่คือจริงแท้ที่สุด ไม่มีมาไม่มีไป  เป็นหลักธรรมแท้อัศจรรย์ !  แต่ความสำคัญอยู่ที่คนจะสามารถหรือไม่สามารถตั้งใจวิริยะใจต่อใจสืบสันติติดต่อกันไปไม่ขาด บรรดาพุทธเจ้าทั้งสามภพ ล้วนออกจากตรงนี้ หลักธรรมเช่นนี้ ดังในวัชรปรามิตาสูตรว่าเป็นความจริงที่ไม่เป็นมายา พวกเธอทุกคนต้องพากเพียรปฏิบัตินา !  พอกล่าวจบแล้ว เขาก็นั่งสงบพนมมือดับขันธ์ไป ในเวลานั้น ทั้งห้องมีกลิ่นหอม เมฆบนฟ้ามีลักษณะเป็นมงคล มีแสงแวววับต่าง ๆ สาดส่องสู่โลก ลักษณะอันเป็นมงคลเช่นนี้อยู่นานหลายวัน คนใกล้เคียงต่างพากันเฝ้ามองการดับขันธ์ของเขา ที่กล่าวมาแล้ว "พากเพียรปฏิบัติ" อันเป็นเรื่องวร (โกอาน) เป็นหลักธรรมของศาสนาทั้งสามคือ ขงจื่อ  เต๋า  และพุทธ  ที่แยกกันให้ขยันปฏิบัติ จากผู้เรียนเบื้องต่ำสู่เบื้องสูง ก็มีหลักธรรมเหมือนกัน สิ้นสุดที่จิต  จนถึงสภาวะจิตเดิมสูงสุด เอาโกอานเขียนลงในที่นี้ ซึงเป็นตัวอย่างดีที่สุดสำหรับฝึกฝนของศานาทั้งสามผู้มีอุดมการณ์ในการศึกษา ควรถือเป็นตัวอย่างเอามาฝึกฝนเทอญ !       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  สรุป จบคัมภีร์กั่นอิ้งเพียนบริบูรณ์

     สรุป  :  ท่านจางหงจิ้ง กล่าวว่า "การกระทำทั้งหลาย ไม่มีหรอกที่ไม่เริ่มจากเเล็กไปสู่ใหญ่" 
เพราะฉะนั้น เหล่าเวไนยที่มีจิตญาณ มีเลือดเนื้อ ล้วนสามารถประจักษ์ถึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้โดยตรงถึงสภาวะสูงสุด อย่างไรก็ตามสภาวะสูงสุดแห่งอนุตตรสัมมาสัมโพธินี้ ก็คือการบำเพ็ญบารมีที่เราต้องลงมือปฏิบัติด้วยใจระมัดระวังละเอียดอ่อน ให้มันเจริญขยายจนสมบูรณ์เท่านั้น  ท่านเหลียวฝานเคยกล่าวไว้ว่า "ที่สมมุติชนิดต่าง ๆ เมื่อก่อนโน้นตายไปแล้วเมื่อวานนี้ ที่สมมุติชนิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วในวันนี้" เพราะฉะนั้น เราจะหุนหันพลันเล่นโมโหละทิ้งได้อย่างไรกัน โดยเอาภัยพิบัติบุญวาสนาทั้งหลายหลบเลี่ยงจากโองการฟ้า แล้วเหตุนี้เราก็จะใช้ชีวิตส่งเดชไปวัน ๆ ทั้งชีวิตหรือ ?"  ใต้หล้านี้กว้างไกลไพศาลนัก หมื่นชาติก็ยาวนานนัก ถึงแม้จะมีมือนับหมืน มีตานับแสน มาฉุดช่วยโลกนี้ก็ยังไม่เพียงพออยู่เอง  เพราะฉะนั้นเรื่องที่เร่งด่วนคือให้การศึกษา และก็ใช่ว่าต้องสำเร็จเป็นปราชญ์อริยะเสียก่อน จึงจะสอบได้ ถ้าหากคนได้ยินเรื่องความดี ก็เกิดปิติ แล้วก็จะพูดดีไปได้ทุกหนทุกแห่ง คุยเรื่องดี  ประกาศหนังสือดี ๆ การสอนกล่อมเกลาเช่นนี้ก็ได้มากแล้ว !  ตลอดเวลาระหว่างการสั่งสอนถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงของจิตญาณ ความแยบคลายในนั้น  ไม่ใช่ว่าเราเองก็จะเข้าใจได้ !  แต่การสอนบุคคลทั่วไปก็เทียบไม่ได้กับการสั่งสอนผู้มีอัจฉริยะ ถ้าหากได้อัจฉริยะสักคนหนึ่ง แล้วเพิ่มเติมการสั่งสอนให้ เขาก็จะสามารถเกิดผลในการหมุนฟ้าดิน ทั้งยังสามารถพอที่จะช่วยคนรุ่นก่อนให้สำเร็จและฉุดช่วยคนรุ่นหลัง ยังสามารถเกิดประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงการสอน ดังนั้นการสอนเช่นนี้ก็ยังช่วยเปลี่ยนแปลงได้ถ้วนทั่ว และกว้างใหญ่อย่างผิดปกติได้ ปราชย์อริยะสมัยโบราณ กับพระสูตาคัมภีร์ ที่สืบทอดกันในโลก ล้วนเป็นหนึ่งอนันตเหตุปัจจัยทั้งนั้นนา !  และคัมภีร์เล่มนี้ก็เป็นหลักธรรมแท้ที่อัศจรรย์ที่ท่านไท่ชั่งโปรดปกกล่อมเกลาชาวโลก อันสัจธรรมลับที่บรรดาพระพุทธเจ้าฉุดช่วยเหล่าเวไนยสัตว์ก็เป็นมหากรุณาสูงสุดจริง ๆ มีความแยบคายถึงจุดยอด ต้องสืบทอดสู่โลกนี้นิรันดร สว่างไสวส่องระหว่างฟ้าดิน สำหรับผู้ที่ได้อ่านสวดคัมภีร์นี้  หรือพิมพ์แจกจ่ายสืบทอดสู่คน ล้วนก็มีหนึงอนันตเหตุปัจจัยทั้งนั้น ! ด้วยเหตุนี้หากสามารถตรัสรู้โลกกล่อมเกลาสั่งสอนผู้คน บ่มเลี้ยงปราณเดิมของสังคม สรรสร้างบุญบารมีแก่มนุษยชาติให้คนอยู่ร่วมกันด้วยความดี ฟ้าดินสงบใสสะอาด ถ้าปริมาณของใจที่รองรับขยายจนสามารถโอนเก็บอวกาศได้ ก็จักสมบูรณ์ได้นิจนิรันดร์ เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ยิ่งนัก

~~~ จบคัมภีร์กั่นอิ้งเพียนบริบูรณ์ ~~~

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ภาคผนวก :  บันทึกปิยวาท ของ พระมหาธรรมาจารย์อิ้งกวงไต้ซือ

     เมื่อโลกนี้จลาจลถึงขีดสุด
มนุษย์แต่ละคนหวังรักษาไม่เห็นต้นแก่นความหวังก็เหนื่อย ต้นแก่นอยู่ไหน ต้องรู้โดยด่วน อันแม่สอนในเรือน เป็นภูมิปราชญ์พุ่มพฤกษ์ ต้นรากสันติภาพในโลก ไม่อิงสิ่งนี้แสวงพูด การรักษาจะได้มาอย่างไร ?  แม่สอนในเรือนอันดับหนึ่ง สอนครรภ์ หลังผู้หญิงตั้งครรภ์ หน้าที่ต้องอยู่ที่ใจเคลื่อนคิดกระทำงาน ให้ตั้งใจให้ระมัดระวังหนึ่งลุกหนึ่งขยับ ไม่ให้เสียความเที่ยงตรง  โดยเฉพาะให้ตัดเรื่องคาว ๆ สวดมนต์ทุกวัน เพื่อให้ทารกน้อยได้รับปราณตรงจากแม่ เมื่อถึงเวลาคลอด ย่อมปลอดภัยสบายไม่ลำบาก มารกที่เกิดมาย่อมมีลักษณะสง่างาม อารมณ์ก็จะเมตตาดี ลักษณะฉลาด  เมื่อถึงคราวให้ความรู้ครั้งแรก ต้องพูดหลักการเป็นมนุษย์ เช่นกตัญญู  รักสายเลือด  จงรักภักดีเชื่อถือ  จริยธรรมสัตยธรรม  บริสุทธิ์มีละอาย บาปบุญ  เหตุต้นผลกรรมสามชาติ  การเวียนว่ายตายเกิดหกวิถี  ให้ใจเขามีที่เกรงกลัวเป็นนิจ  ที่มีความทะเยอทะยาน ก็สั่งให้สวดมนต์  สวดมนต์กวนอิม เพื่อเพิ่มบุญเพิ่มอายุ  พ้นเคราะห์พ้นทุกข์  ถ้าให้เจริญ ก็สั่งให้ท่องไท่ซั่งกั่นอิ้งเพียนขึ้นใจ  บทดวงชะตาของท่านเหวินเซียง พระสูตรกวนอูตรัสรู้โลก ก็จะรู้จักอาจารย์  รู้จักละเว้นกาม  เพื่อประโยชน์นำไปสู่การเรียนหนังสือ  เริ่มต้นได้ตั้งแต่เด็ก ยิ่งอ่านยิ่งรอบรู้ดี  ไม่ละเมิด แม้ไม่ถึงฐานะปราชญ์อริยะ  ก็เป็นศรีสง่าวงส์ตระกูล   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ท่านธรรมาจารย์อิ้งกวง สังฆบดีองค์ที่ ๑๓ นิกายสุขาวดีมหายาน เตือนให้อ่านคัมภีร์เป็นหลักธรรมรักษาบุญ

     คัมภีร์กั่นอิ้งเพียนเป็นธรรมปิฏกของลัทธิเต๋า (ศาสนาธรรม)
พระเจ้าเจินจงในสมัยราชวงศ์ซ่ง  ได้พระราชทานเงินถึงร้อยหมื่น สั่งให้คนงานแกะสลักคัมภีร์ลงในหิน จึงมีการสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ทั้งปราชญ์เมธีในสมัยนั้นต่างยึดถือน้อมปฏิบัติ พระเจ้าสื้อจงในสมัยหมิง ก็ยังเขียนอรรถาบท เป็นบทนำให้กับคัมภีร์แล้วแจกจ่ายทั่วไป ปีที่ 13 รัชสมัยพระเจ้าซุ่นจื๋อ แห่งราชวงศ์ชิง มีคำสั่งให้แกะตัวพิมพ์แจกจ่ายให้ทั่วประเทศ เพื่อให้ขุนนางและนักศึกษาไว้อ่าน หลายยุคหลายราชวงศ์ต่างก็ให้ความเคารพยึดถือปฏิบัติกันขนาดนี้ จึงถือเป็นหนังสือที่มีคุณค่าของมนุษย์  ฟ้าเบื้องบนก็ยิ่งให้ความนับถือ  อาทิเช่น นายหวังช้วนเจ็บป่วยได้ลงไปท่องยมโลก  เห็นเหนือแท่นบัลลังก์อีกอักษรทองเขียนว่า กั่นอิ้งเพียน  ทั้งมีฉายาว่าเปน "บททอง" นายหยางเต้าจีเจ็บป่วยได้ลงไปที่ยมโลก เจ้ายมบาลได้สั่งกับเขาว่า ให้เตือนชาวโลกท่องคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน  นายโจวหู่ก็ยังถูกยมบาลตักเตือนเขาว่า "หลังจากเธอฟื้นคืนสู่ยมโลกแล้ว จะต้องเผยแผ่คัมภีร์นี้ให้กว้างขวางมากขึ้น คนที่สามารถถือปฏิบัติตามคัมภีร์นี้ได้ จะสามารถรอดพ้นจากความทุกข์ลำบากภัยพิบัติ จากอุทกภัย  อัคคีภัย  โจรขโมย  และการเจ็บป่วย  ขอบุตร  ขอให้อายุยืน  ขอให้มีทรัพย์ขอให้สำเร็จเป็นเซียน  ล้วนขึ้นอยู่กับคัมภีร์นี้นา ! " น่าสงสารกิเลสทะเลทุกข์ เวไนยสัตว์มัวเมากับความฝัน วัยหนุ่มสาวก็ปล่อยตัวปล่อยใจ  ยึดติดหลงใหลไม่เชื่อถือ  พอถึงยามชราก็กลายเป็นนิสัย  แก้ไม่ได้  หวังจะให้เขาสำนึกผิดคิดแก้ไขก็หวังได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็น "เกิดจากมัวเมา ตายไปแล้วเหมือนฝัน" ทิ้งขว้าง  ดูแคลนไปหนึ่งชีวิต ชีวิตเกิดมาสูญเปล่า !  อนิจจา !  เมื่ออ่านคัมภีร์กรรมสนองแล้ว ถ้ารู้สึกตัวตื่นจากฝันหรือรู้ตัวตื่นจากมัวเมาได้แล้ว เขาไม่เพียงแต่สามารถผันเปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนาเท่านั้น เขาเหมือนฟื้นคืนจากความตายเลยทีเดียว ปัจจุบันขอตักเตือนชาวโลกว่า :  ข้อหนึ่งต้องบังเกิดใจเชื่อถือ  ข้อสองต้องบังเกิดใจสว่าง  ใจทั้งสองนี้เตรียมพร้อมได้เมื่อไร จึงค่อยอ่านคัมภีร์กรรมสนอง  ให้จุดธูปอ่านวันละหนึ่งครั้ง เมื่ออ่านจบแล้วก็จะมีความสุข แต่ละประโยคที่อ่านก็ให้ฝึกฝน อ่านประโยคหนึ่งแก้ไขประโยคหนึ่ง อ่านพินิจให้ละเอียดทุกวันจนสามารถท่องได้  จนทุกตัวอักษรเข้าถึงใจ ผลก็ยิ่งอัศจรรย์ทีเดียว  เป็นเช่นนี้ได้ทุก ๆ วัน  ก็จะสามารถรักษาตัวได้ตลอดชีวิต ดังนั้น สิ่งที่ภาวนาขอก็จะสามารถตอบสนอง ผู้อาวุโสกล่าวว่า "ผู้มีรากธรรมต่ำ ควรอ่าน  ผู้มีรากธรรมสูง ก็ควรอ่าน ในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่ควรอ่าน" ตลอดจนรักษาใจให้สะอาดหมดจด นั่นคือด่านที่หนึ่ง !   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ภาคผนวก  :  เตือนให้ปฏิบัติเป็นมณีคุ้มครองบุญวาสนา 

     หลังจากอ่านคัมภีร์กรรมสนอง
  จะต้องทำเรื่องสั่งสมบุญกุศล ผู้มีกำลังทรัพย์ก็สามารถเรียนแบบหยางซุ่น  ที่ผลักดันให้ข้าราชการท่องคัมภีร์กรรมสนอง และก็ทำประโยชน์ให้แก่สังคมสิบประการให้กว้างขวางขึ้น เป็นเพราะว่าท่านหยางซุ่นได้สั่งสมกระทำความดีไว้ไม่น้อย จึงได้ลูกชายคนหนึ่งชื่อหยางชุน พออายุได้ยี่สิบปีก็สอบได้ตำแหน่งจอหงวน ตัวอย่างในสมัยราชวงศ์หมิง เมืองเจียงซู  นายเหมาฉีจง ได้ทำการแปลคัมภีร์กรรมสนอง เพื่อนของเขาก็ฝันว่า มีผู้เฒ่าคนหนึ่งท่องคัมภีร์ด้วยเสียงกังวาน จึงตั้งใจฟัง ได้ยินสองประโยคว่า "เห็นเขารูปงาม  เกิดใจอยาก"  หลังจากเขาได้แปลคัมภีร์จนจบเล่มแล้ว ผู้เฒ่าก็พูดว่า "ต้องได้" การสอบในปีนั้น นายเหมาฉี่จงก็สอบได้ตำแหน่งจิ้นสือ  (เป็นตำแหน่งที่ 2 รองจากตำแหน่งจอหงาน)  นี่คือการใช้ปากกากระทำความดี  ที่เมืองเฉินตู  หวังเหวินจือมีพรสวรรค์ทางการพูด พระธรรมาจารย์ทงหยวนก็สอนให้เขาบำเพ็ญกุศลทางปาก หลังจากนั้น อะไรที่เป็นประโนชน์ต่อคน ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก เขาก็จะใช้วาจาอย่างดี ไม่ยอมพลาดโอกาส เขาทำเช่นนี้อยู่นานถึง 20 ปี เขาเข้าสอบได้ตำแหน่งติดต่อกัน บุตรชาย  2 คนก็สอบได้ตำแหน่งตาม ๆ กัน  นี่คือตัวอย่างการใช้ลิ้นเป็นประโยชน์  อีกตัวอย่าง  ที่เมืองซุ่นเทียน นายเฉาซื่อเหมย ครอบครัวมีฐานะยากจนมาก แต่เขาก็มีความพอใจที่จะกระทำความดี เตือนคน  และช่วยเหลือคนด้วยความจริงใจ  คนอื่นเขาออกทรัพย์แต่เขาจะออกแรง  ทำเช่นนี้เป็นเวลานานหลายปี  จนมีคนเชื่อถือเขา จึงส่งเสริมแนะนำให้เขาไปช่วยค้าขายน้ำมันกับเจ้าของกิจการคนหนึ่ง  เมื่อแบ่งผลประโยชน์แล้วก็ได้รับรายได้ถึงห้าพันตำลึงทอง ดังนั้น ลูกหลานก็พลอยได้เสวยสุขมาก  นี่คือตัวอย่างการใช้แรงกระทำความดี  จากตัวอย่างดังกล่าว กระทำความดีของหยางซุ่น  10 ประการ  คนที่มีฐานะก็เอาอย่างได้   ปากกาของเหมาฉี่จง  ลิ้นของหวังหวินจือ  แรงของเฉาซื่อเหมย คนที่ไม่มีกำลังทรัพย์ล้วนฝึกฝนได้ทั้งนั้น   การท่องสวดคัมภีร์กั่นอิ้งเพียนเป็นการช่วยฟ้า  ดำเนินการสั่งสอนกล่อมเกลาผู้คน ตลอดจนการกระทำทุกอิริยาบถจะต้องมีใจเคารพยำเกรงอยู่เสมอ เป็นการฝึกฝนบำเพ็ญตน ไม่ว่ายากดีมีจนก็เสมอเหมือนกันทั้งนั้น !   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ภาคผนวก : เตือนให้เคี่ยวเข็ญคือการคุ้มครองบุญไพศาล 

     ในตะรางกุศลของพระเจ้าไท้เอว้ยเซียนจวิน 
กล่าวว่า  :  "การให้หนังสือธรรมแก่หนึ่งคน คือ 10 ความดี  ถ้าให้ 10 คน คือ100 ความดี ถ้าให้กับผู้สูงศักดิ์หรืออัจฉริยบุคคล คือ 1000 ความดี ถ้าเผยแผนับจำนวนไม่ได้ คือหมื่นความดี" ยิ่งเป็นคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน ซึ่งเป็นรัตนโอวาท ฉุดช่วยโลกของฟ้าด้วยแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาผู้ที่สลักพิมพ์คัมภีร์เล่มนี้จะต้องได้รับผลสนองอัศจรรย์ อาทิตัวอย่างที่เมืองตวนอัน นายหวงหงษ์ ได้พิมพ์หนังสือนี้หลังจากเขาตายแล้ว ทางยมบาลก็ยังปล่อยให้เขาฟื้นชีพและเพิ่มอายุขัยให้เขาอีกด้วย  ที่เมืองไท่กู่ นายเฉินวั้นอิวได้พิมพ์คัมภีร์นี้ เมื่ออายุขัยของเขาหมดสิ้นแล้ว แต่ท่านโพธิสัตว์กวนอิมกลับให้เขามีอายุต่ออีก  ที่เมืองหลงซัน นายเหยาเหวินหยาง ได้พิมพ์คัมภีร์นี้ การเจ็บป่วยของเขาก็หายทันที  นาย้หลียงภรรยาของนายอูอี่บี้เมิองเฉียนถัง ได้พิมพ์หนังสือเล่มนี้ ซึ่งนางป่วยนานถึง 3 ปี  เช้าวันหนึ่งนางก็หายเป็นปลิดทิ้ง เหล่านี้ก็คือตัวอย่างการเพิ่มอายุขัย และมีประสิทธิภาพต่ออาการเจ็บป่วย !  บางคนในดวงชะตาไม่มีบุตรสืบสกุล พอพิมพ์คัมภีร์นี้แล้ว เขาก็กลับมีบุตรสืบสกุล อาทิเช่น นายเจินต้ากุ่ยได้พิมพ์คัมภีร์ เหตุนี้เขาจึงได้บุตรคนหนึ่ง  ที่เมืองเหว่ยโจว นายอู๋ต้าจ้าพิมพ์คัมภีร์นี้แล้ว ลูกชายที่ตายไปก็กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นายกุยต้าปิงได้พิมพ์หนังสือนี้ เขาก็มีอภิชาตบุตรคนหนึ่ง เหล่านี้ก็คือเรื่องราวของคนที่ไม่มีบุตรสืบสกุล  แล้วได้บุตร เป็นที่ประจักษ์หลักฐาน นอกจากนี้ก็มีคนที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้แล้ว เขาก็มีบุญวาสนาขึ้นมา อาทิเช่น ที่เมืองฮัวถิง  นายเซิ้นเหย้  ได้พิมพ์คัมภีร์ฯี้แล้ว เขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งที่เมืองหวงเอวียน  นายหยางจุ่น พิมพ์คัมภีร์นี้แล้วเขาก็จะได้ตำแหน่งจิ้นสือ  ที่เมืองเจียงซีนายสื่อจงหู  ได้พิมพ์คัมภีร์นี้แล้ว ก็มีความเจริญรุ่งเรือง ที่เมืองชิวหนิง  นายฟงสือได้พิมพ์คัมภีร์นี้แล้ว ก็มีความร่ำรวยขึ้น  นอกจากนี้แล้ว การพิมพ์คัมภีร์ยังช่วยพ้นจากภัยพิบัติ จากอุทกภัย  เช่นนายสี่ชงซิง เมืองเหว่ยโจว  การพ้นจากอัคคีภัยของนายของนายหยางจิ้ง  ที่เมืองอู๋หลิน และนายอวี่เทียนสิง  เมืองเจียงกัน  บางคนก็ฝันว่า ท่านเทพเจ้ากวนอู สั่งให้เขาพิมพ์หนังสือเล่มนี้ เช่นนายหลี่ลี่ตง  บ้างก็ขอบุญขออายุ ให้แก่บิดามารดาจนสมหวัง เช่น บุตรกตัญญู  นายวังหยวน  แห่งเมืองเฉียนถัง เป็นต้น !  ตอนนี้ก็อยากเตือนชาวโลกที่ท่องสวดคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน ต้องตั้งปณิธานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธเจ้า หรือ พระโพธิสัตว์ ว่าจะพิมพ์หนังสือแจกจ่าย เพื่อให้ทุก ๆ คนสามารถมีโอกาสได้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นมในตรอกซอกซอยเล็ก ๆ ไม่ว่าจะบริจาคมากหรือน้อย หรือเป็นส่วนรวมก็แล้วแต่  ถ้าเป็นส่วนรวมก็ควรตั้งปณิธานพิมพ์สักหมื่นเล่ม  แล้วก็แจกจ่ายในที่สาธารณะ  บุญกุศลนับไม่ถ้วน

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”