บทที่เจ็ด กรรมสนอง : ดังนั้น ผู้มงคล วาจาดี มองดี ทำดี วันหนึ่งมีสามดี สามปีฟ้าย่อมส่งบุญวาสนา ผู้อุบาทว์ วาจาชั่ว มองชั่ว ทำชั่ว วันหนึ่งมีสามชั่ว สามปีฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติ ยังจะไม่พยายามปฏิบัติหรือ !
อธิบาย : เพราะว่าผู้มงคลที่พากเพียรกระทำความดีทั้งหลาย เพราะว่าคำพูดที่ดี การมองคนในแง่ดี การกระทำในทางดี ในวันหนึ่งก็ได้ทำความดีสามอย่างแล้ว ทำไปครบสามปี การทำความดีของเขาก็จะสมบูรณ์ ฟ้าก็ประทานบุญวาสนาให้เขา เพิ่มพูนอายุขัยเขา แต่คนชั่วอุบามทว์ เพราะคำพูดร้าย มองคนในแง่ร้ายและกระทำสิ่งที่ชั่ว ในวันหนึ่งก็ได้ทำความชั่วตั้งสามอย่างแล้ว เมื่อทำครบสามปีเต็ม ความชั่วของเขาเต็มเปี่ยมแล้ว ฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติมาสู่เขา ตัดอายุขัย ทำไมคนจึงไม่พากเพียรทำความดีเล่าเพื่อเปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนาไงเล่า ! ตอนนี้เป็นตอนสรุปของคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน จึงเป็นตอนที่สอนคนให้ทำดี ละชั่ว "ดังนั้น" จึงเป็นคำสรุปของทั้งหมด"ผู้มงคล" ก็คือคนดี คนอุบาทว์ คือ คนชั่วช้า เพราะการกระทำชั่วจึงได้รับภัยพิบัติ จึงเป็นคนอุบาทว์ คำว่า ความชั่วทั้งหลาย กับ ความดีทั้งหลาย จึงหมายถึงการกระทำกาย วาจา และใจนั่นเอง เช่น พูดดี มองดี ทำดี สามอย่าง เป็นจุดที่เราต้องลงมือกระทำ พูดดี เช่นสิ่งที่ไร้มารยาทไม่พูด ขยันบอกคนอื่นให้ทำดี เตือนคนให้ทำดีเป็นต้น มองดี เช่น สิ่งที่ไร้มารยาทไม่มอง ดีใจที่เห็นคนดี พอใจดูหนังสือดี ให้เห็นสิ่งที่ตัวเองทำไม่ดีเป็นนิจ อย่าไปมองเรื่องไม่ดีของคนอื่น กระทำดี เช่น ไร้มารยาทไม่ทำ เรื่องไร้ศีลธรรมไม่ทำ กล้าหาญไปทำเรื่องดี ให้อภัยให้ความสะดวกผู้อื่น บุญต่าง ๆ ให้บำเพ็ญ ดำริชี้นำในสิ่งที่ตนอยู่ แล้วค่อย ๆ กระจายไปทั่วสารทิศ จนซาบซึ้งกล่อมเกลาชาวโลกให้มาร่วมทำความดีด้วยกัน ซึ่งตรงข้ามกับการทำชั่ว ทำเช่นนี้เรื่อยไป สามปีให้หลังก็นับถึงพันวัน เหตุนี้เอง ความดีความชั่วที่สั่งสมก็ถึงขีดเต็มสมบูรณ์แล้ว ใจคนนั้นมีชีวิตชีวายิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ ในช่วงเวลา 3 ปีที่นาน ถ้าหากใจไม่มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เขาทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะถึงจุดที่ชำนาญคล่องตัว ! เพราะถึงจุดนี้ฟ้าเบื้องบนและเทพเจ้าก็จะให้รางวัลหรือลงโทษเป็นบุญวาสนาหรือภัยพพิบัติ ซึ่งจุดสำคัญของเนื้อแท้แก่นสารของคัมภีร์ทั้งหมดก็อยู่ที่ตรงนี้ และที่นี่แหละที่เขากล่าวถึง "ฟ้า" ก็คือใจของเรา ท่านเมิ่งจื่อว่า "รักษาใจของตนให้ว่องไวสว่าง บ่มเลี้ยงจิตเดิมที่ฟ้าประทานให้นี้คือวิธีการบูชาฟ้าเบื้องบน" คัมภีร์ตอนนี้พูดถึงคำว่า "ย่อม" หมายถึงฟ้าที่ลี้ลับ ซับซ้อนไม่มีสุ้มเสียง ไม่มีกลิ่น แต่ย่อมขึ้นอยู่ที่ใจของเราบังเกิด พูด มอง กระทำ ในสามปีว่าดีหรือชั่ว ที่พูดกันว่าไม่ว่าจะเป็นอะไรล้วนตนเองเป็นผู้แสวงหามาเอง หลักธรรมเป็นเช่นนี้เอง คนสว่างสูงใจปิติมุ่งธรรม ต้นตอมิใช่แสวงหาบุญวาสนา หรือ อยากได้บุญวาสนาจึงทำความดี เพรานั้น ใจก้าวล่วงสู่ความเห็นแก่ตัวแล้ว ! เพราะฉะนั้น ตนต้องทำถึงที่สุด จากนั้นก็สุดแท้แต่ฟ้า โดยใจต้องไม่มุ่งหวัง อย่างไรก็ตาม ภัยพิบัติบุญวาสนา ที่เป็นผลกรรมตอบสนอง ก็อยู่ที่ใจดีชั่วกวักหามาเอง วิถีฟ้าคือ ตอบสนองตามเหตุต้นผลกรรม ที่จริงก็เต็มเปี่ยมท่ามกลางฟ้าดินนี่เอง และก็ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย มีคนเอาดีละชั่วเป็นเรื่องภายในของตนเอง คนแบบนี้ถือเป็นคนมีรากธรรมเลอเลิศสูงส่ง อย่างไรก็ตามคนในโลกนี้คนปุถุชนมีมาก เพราะฉะนั้นจึงกลัวภัยพิบัติ และอยากแสวงหาบุญวาสนา จึงยอมละชั่วทำดี ก็เป็นสิ่งที่ท่านไท่ชั่งหวังโปรดปก แต่ก็เกรงว่าชาวโลกยังไม่ยอมแสวงหาบุญวาสนาอีก ! ท่านเมิ่งจื่อว่า "ผู้แสวงหามีธรรม ผู้ได้มีชะตาคือแสวงได้ประโยชน์อยู่ที่ได้เอย" เป็นหลักธรรมถูกต้องที่สุด ถ้าหากไปแสวงหาตามวิธีของท่านเมิ่งจื่อก็จะไม่เกิดอันตราย !