collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144042 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ตีงูฆ่าเต่าไร้สาเหตุ

อธิบาย   :  ไม่มีสาเหตุอะไรก็ไปตีงูฆ่าเต่า อริยเจ้าสนองชาติกล่าวว่า "ชีวิตทั้งปวงฆ่าไม่ได้ ยิ่งเต่าและงูเป็นพวกปีศาจอย่างหนึ่ง
อดีตชาติที่สนองกับเทพเจ้าดาวเหนือ (ไปย๋จี๋เจินอู่เสียนเทียนซั่งตี้) เราจะเห็นใต้บาทของเทพเจ้าเจินอู่จะมีงูและเต่า (ไปดูได้ที่รูปของท่าน)  เพราะฉะนั้นจะฆ่าโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้ ถ้าทำอาจได้รับกรรมตอบสนองรุนแรง"  เพราะฉะนั้นคนที่เมตตาจะช่วยเหลือปล่อยชีวิต ! 

นิทาน   :  ชาวนาแถบเมืองเหย่โจว พากันวิดน้ำในสระจนแห้งเพื่อจับปลา แต่ก็มีเต่าจำนวนมาก พวกเขาแคะเอาเนื้อเต่าออกหมด แล้วส่งกระดองเต่าไปขายที่เมืองเจียงหลิง ดังนั้นจึงได้กำไรมาแยะ หลังจากกลับมาบ้าน ทั่วตัวเกิดเป็นฝีเจ็บปวดร้องครวญคราง คนได้ยินก็ให้สงสาร พวกเขาต้องใช้น้ำอ่างใหญ่แล้วใช้มือนวดถูในน้ำจึงค่อยทุเลาอาการเจ็บ ทำอยู่เช่นนี้จนกระดูกโผล่ออกมาเหมือนกระดองเต่า เนื้อหนังร่อนแตกจนตาย

นิทาน   :  มีเศรษฐีคนหนึ่ง ข้าง ๆ บ้านที่อยู่มีต้นไม้แห้งเฉาต้นหนึ่ง เศรษฐีเตรียมให้คนโค่นทิ้ง ในคืนนั้นเขาก็ฝันเห็นคนหนึ่งนำคนมาหลายคนมาร้องขอ ขอให้เศรษฐีชลอเวลาสักระยะหนึ่งก่อน รอให้พวกเขาย้ายออกก่อนค่อยโค่นทิ้ง หลังจากเศรษฐีตื่นจากฝัน ก็ใช้ให้คนไต่ขึ้นบนดูบนต้นไม้ ปรากฏว่าบนต้นไม้มีงูจำนวนมากพันกันเป็นกลุ่ม เศรษฐีใช้ให้คนจุดไฟเผาต้นไม้จนงูตายกันหมด ไม่นานนักที่บ้านของเศรษฐี พอตกดึกก็มีคนเห็นลูกไฟลอยเข้าไปในบ้าน พอคนในบ้านลุกขึ้นมาดูก็ไม่เห็นมีอะไรเลย สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก จนทุกคนรู้สึกเฉย ๆ  คืนหนึ่งสาวใช้ในบ้านไม่ระวังใช้ฟืนเผาไฟจนเกิดไฟลุกไหม้ขึ้น ไฟไหม้บ้านขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่มีใครลุกขึ้นมาดับไฟ ต่างคิดว่าเหมือนสภาพแล้ว ๆ มา จึงนอนต่อหลับสนิท เมื่อรู้สึกตัวอีกที คิดจะหนีก็หนีไม่ทันเสียแล้ว  คนทั้งบ้านถูกไฟเผาตายเรียบหมด

นิทาน   :  บิดาของนายหลิวเอี้ยน เป็นผู้ตรวจราชการเมืองหูโจว มีคนขึ้นมาจากเหวไปย่ขิง เขาเอาเต่ามาให้บิดาตัวหนึ่ง เป็นเต่าตัวใหญ่มาก แล้วพูดว่า "ถ้าทานเนื้อมันแล้วจะมีอายุยืนถึงพันปีเชียวนะ !"  บิดาก็นำเอาเต่าตัวนี้แอบไปปล่อยไว้ที่เดิม ภายหลังเมื่อบิดาของหลิวเอี้ยวถึงแก่กรรมไปแล้ว หลิวเอี้ยวได้เป็นตุลาการเมืองฝังโจว ได้เกิดอุทกภัยฉับพลัน น้ำท่วมหลายฟุต หลิวเอี้ยวไม่มีทางหนีน้ำได้เลย ก็ให้มีเต่าตัวหนึ่งมานำทางพาไปจนถึงที่ตื้น ดังนั้นคนทั้งบ้านจึงพ้นจากอุทกภัยได้ ในคืนนั้นก็มีคนใส่อาภรณ์ขาวคนหนึ่งมาบอกเขาว่า "ข้าคือคนที่บิดาท่านปล่อยชีวิตที่เหวไปย่ขิง เป็นเต่าตัวใหญ่ ข้ามาที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณที่บิดาท่านช่วยชีวิตเอาไว้ !"

นิทาน   :  ในสมัยถัง ท่านอริยเจ้าซุน ครั้งหนึ่งเดินอยู่ในป่าเห็นชาวบ้านกำลังรุมตีงูเขียวตัวหนึง ดังนั้นจึงขอซื้องูตัวนั้นจากชาวบ้าน แล้วก็ปล่อยมันไป ไม่นานนัก ก็มีคนหนุ่มคนหนึ่งมาต้อนรับให้ไปถึงวันแห่งหนึ่ง คนทรงอาภรณ์สีแดงออกมาต้อนรับอริยเจ้าซุน และกล่าวว่า "เมื่อวานลูกน้อยประสบภัย โชคดีที่ท่านเมตตาช่วยชีวิต ดังนั้นจึงส่งลูกคนโตไปต้อนรับท่านเข้าวัง เพื่อแสดงความขอบคุณ"  เมื่ออริยเจ้าซุนเข้าถึงวังลึกก็ให้มีเจ้าจอมนางหนึ่งพาลูกน้อยใส่อาภรณ์เขียวออกมาออกมาพบและกราบไหว้ขอบคุณอริยเจ้าซุน ราชานาคราชขอให้อริยเจ้าซุนอยู่ในเมืองบาดาลถึง 3 วัน  และขอนำอาหารอย่างดีมาต้อนรับพร้อมกับให้แพรไหมมุกต่าง ๆ แก่อริยเจ้าซุน อริยเจ้าซุนปฏิเสธไม่รับทั้งหมด เพียงขอรับตำรับยาทิพย์ 30 ขนานมาสู่โลก เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ เวลานี้ตำรับยายังใช้กันมาถึงปัจจุบัน.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  : อันทำบาปต่าง ๆ เทพเจ้าตามดูหนักเบา หักขัยตามรอบ ขัยสิ้นก็ตาย หนี้เหลือจากตาย ตกทอดบุตรหลาน

อธิบาย   :  โทษบาปต่าง ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว เทพเจ้าตุลาการสอบตามกรรมโทษบาปที่หนักเบา
นำมาหักอายุขัยของเขา โทษบาปหนักก็จะหักอายุขัยหนึ่งรอบมีสิบสองปี โทษบาปเบาก็หักขัยหนึ่งร้อยวัน ถ้าโทษบาปหักตามอายุขัยจนหมดแล้ว นั่นก็หมายความว่า กำหนดอันตรายของเขามาถึงแล้ว แม้ตายแล้วแต่โทษบาปยังเหลืออยู่ก็ให้ลูกหลานรับเคราะห์ไป อันโทษต่าง ๆ ดังกล่าวจากบทที่แล้วมาจนถึงโทษฆ่าเต่าตีงู เป็นต้น เทพเจ้าตุลาการกล่าวไว้ชัดเจน ก็ต้องรับกรรมสนองตามความเป็นจริง ในพุทธสูตรกล่าวว่า "กรรมเกิดจากใจ รูปใจที่ปรากฏเป็นการกระทำของแรงกรรม แรงกรรมอาศัยใจสร้างขึ้นจนสำเร็จขเป็นลักษณะ ใจที่ถูกแรงกรรมเผยปรากฏสภาวะชนิดต่าง ๆ เหมือนเงาที่ติดตามกาย !"  ใจที่แยกถูกผิดชั่วดีก็เหมือนเสียงที่สะท้อนกลับ การตอบสนองมากหรือน้อยแตกต่าง แต่ก็ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ตลอดจนเคราะห์ภัยตกทอดถึงลูกหลาน ดังที่พูดกันเป็นประจำถึงสามภพกันเลย ! สรุปคือที่ไกลออกไปก็อยู่ที่ลูกหลาน ที่สนองใกล้คือกับตนเอง แต่ก็เป็นความจริง เพราะว่านับตั้งแต่ชาวโลกมีใจที่เปลี่ยนแปลงชั่วร้ายหลอกลวงก็สั่งสมกรรมชั่วมากเหลือเกิน จนทำร้ายจิตใจของพระเจ้าที่ให้กำเนิดดี ละเมิดฝ่าฝืนจิตปกป้องของบรรพชน ดังนั้น จึงทำความลำบากให้กับลูกหลานจนขาดผู้สืบสกุลที่เป็นผลตอบสนองบางคนก็โยนไปเป็นเรื่องของดวงชะตา บางคนก็ผลักไปเป็นเรื่องของบรรยายกาศ โอ้ ! มหาบารมีฟ้าดินเรียกว่ากำเนิด แม้แต่ต้นหญ้าใบไม้  สัตว์ปีก  สัตว์น้ำ ฟ้าดินก็ยังไม่ยอมให้มันสูญพันธุ์ นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่มีญาณเหนือสรรพสัตว์ ฟ้าดินมีหรือที่จะทนทำร้ายลูกหลานของพวกเขา เพราะฉะนั้น หากมนุษย์ไม่ก่อโทษบาปที่หนักถึงที่สุด ก็จะไม่ดับสิ้นลูกหลานหรอกนะ !  อย่างไรก็ตาม เมื่อการลงโทษบาปแล้วยังมีโทษเหลืออยู่ก็ต้องตกทอดไปให้ลูกหลาน เป็นหลักธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล ! 

นิทาน   :  หยางสู้ขุนนางใหญ่สมัยซุย พยายามกดดันแนะนำให้พระเจ้าซุยเหวินตี้ขจัดองค์รัชทายาทหยางหย่ง และผลักดันแก้ไขให้หยางกว่างเป็นองค์รัชทายาทแทน ก็คือพระเจ้าซุยเอี้ยงจึงทำให้ประเทศเกิดวิกฤต บุตรชายของหยางสู้คือ หยางหยวนกั่น กลับถูกพระเจ้าซุยเอี้ยงที่ตนสู้อุตส่าห์สนับสนุนให้เป็นองค์รัชทายาทแทน จนขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าซุยเอี้ยง สั่งประหารทั้งครอบครัว ขุนนางผู้มีคุณในการก่อตั้งราชวงศ์ถัง คือ อวี๋สื้อเจ๋อ (ได้รับประราชทานสกุลให้แซ่ลี่ เพราะว่าพระเจ้าถังเกาจงคิดจะขจัดมเหสีหวังฮองเฮา แล้วแต่งตั้งบู๋เจียวอี้ (คือจักรพรรดินี บู๋เสกเทียน) ขึ้นมาเป็นมเหสี บรรดาขุนนางต่างพากันคัดค้านพระเจ้าถังเกาจง จึงถามความเห็นของอวี๋สื้อเจ๋อ ขุนนางอวี๋สื้อเจ๋อเคยถูกพระเจ้าถังไท้จงปลดออกก็มีความแค้นในใจอยู่แล้ว จึงทูลตอบพระเจ้าถังเกาจงว่า "เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในราชสำนัก พระองค์สามารถดำเนินการได้ตามพระทัย"  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าถังเกาจงจึงตั้งพระนางบู๋ขึ้นเป็นฮองเฮา การกระทำเช่นนี้เป็นสาเหตุให้ราชวงศ์ถังถูกกำจัดสิ้น ในที่สุดหลานชายของอวี๋สื้อเจ๋อ คือ อวี๋จิ้งก็ถูกพระนางบู๋เสกเทียนฆ่าตาย  คดีทั้งสองเรื่องที่ยกมาแสดงก็เน้นให้รู้ว่าโทษบาปที่ตนเองทำเอาไว้ได้ตกทอดถึงลูกหลาน ซึ่งเป็นความจริงที่คนพึงสังวร ดังคติกล่าวว่า "เจ้าเริ่มจากสิ่งนี้ก็สิ้นสุดจากสิ่งนี้" ออกจากที่นั่นก็คืนกลับไปที่นั่นเป็นการตอบสนอง ดังนั้นการใส่ร้ายป้ายสีจึงทำไม่ได้แน่นอน แต่คนในปัจจุบันมักมองสิ่งที่เห็นเฉพาะหน้า เห็นคนทำชั่วจำนวนมากไม่ยักจะเป็นอะไร ก็ได้แต่ต่อว่าฟ้าไม่มีตา เห็นคนทำชั่วแต่ครอบครัวกลับมั่งมีศรีสุขก็เลยพูดว่า "ทำชั่วได้ดีมีถมไป" ควรรู้ไว้ว่าในคัมภีร์อี้จิงกล่าวไว้ว่า "บ้านที่สั่งสมความดี ต้องมีงานมงคลล้น บ้านที่สั่งสมความไม่ดี ต้องมีภัยเคราะห์ล้น" อันเป็นหลักธรรม ตามหลักธรรมนี้มีคำว่า "ล้น" ซึ่งก็เก็บความหมายกว้าง หลังจากชีวิตตัวเองก็หมายถึงลูกหลานใช่ไหม หาใช่เพียงการตอบสนองต่อตนเองในปัจจุบันเท่านั้น ดังที่พระเจ้าตรัสว่า "ภัยเคราะห์ล้นตกทอดลูกหลาน" มีความมุ่งหมายตักเตือนไม่ให้คนทำชั่ว แต่ให้ทำดี ถ้าหากลูกหลานกตัญญู  ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญจิต  สั่งสมบุญบารมี  เพื่อไถ่บาปที่คนรุ่นก่อนได้สร้างเวรกรรมความชั่วเอาไว้ได้ และยังช่วยลดหนี้โทษของตนเองได้ด้วยก็จะสามารถหมุนเปลี่ยนเคราะห์ภัยให้เป็นบุญวาสนาได้นา !  นี่เป็นเรื่องที่ท่านไท่ซั่งกับพระเจ้าคาดหวังลึก ๆ ไว้นา !   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  พวกอันธพาลเอาเงินเขา  ผลชั่วตกถึงลูก เมียคนในบ้านรับไปจนกว่าถึงที่ตาย  หากยังไม่ตาย ก็มีภัยจากน้ำภัยโจรของหาย  เจ็บป่วย  คดีความตอบสนอง จนเท่าค่าที่โกงมา

อธิบาย   :  การใช้อิทธิพลอำนาจเพื่อโกงเงินเขา
ส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อลูกเมีย ที่ไหนได้ท่านเทพเจ้าตุลาการ ก็จะคิดบัญชีกับลูกเมียและคนในบ้าน เพื่อตอบสนองต่อความโลภชั่ว เพื่อให้โทษสนองนั้นเสมอกัน หากว่าความชั่วมันเต็มพอดีกับอายุขัยก็ถึงที่ตาย หากตัวยังไม่ตายเพราะโทษบาปนั้นบางเบาก็ไม่ถึงที่ตาย แต่ก็จะมีภัยจากน้ำ  ไฟ  ขโมยโจรเข้าปล้น  หรือไม่ก็มีของหาย  เจ็บป่วยค่ายาค่าหมอ  หรือมีคดีความต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้น เพื่อให้ได้ค่าเสมอกับเงินที่โกงมา บทความข้างต้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว เพียงอยากจะอธิบายขยายความถึงภัยเคราะห์ที่อันธพาลโกงมา อันธพาลในที่นี้มีความหมายกว้าง มิใช่เพียงพวกเกเรที่เห็นอยู่ตามตรอกซอกซอย  อันธพาลที่อยู่ในคราบของคนสวมใส่สูทเสื้อนอกชนชั้นปกครอง เจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายที่ใช้อิทธิพลนอกกฏหมายและในกฏหมาย แผนโกงทั้งสลับซับซ้อนและไม่ซับซ้อนเหล่านี้ ถือเป็นอันธพาล  เพราะอันธพาลคืออำนาจที่ไม่ชอบธรรม โทษบาปชนิดนี้เป็นโทษบาปที่ไร้จริยธรรมที่สุด โดยเฉพาะคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงใช้อำนาจได้ จึงเตือนมาด้วยความเคารพ !  ส่วนใหญ่การโกงเขามา จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ลูกเมียและคนในครอบคัวได้มีชีวิตที่อยู่สุขสบาย แต่หารู้ไม่ว่าเทพเจ้าตุลาการก็กำลังคิดบัญชีกับลูกเมียและคนในบ้านเพื่อตอบแทนความโลภชั่วของเขา ผลได้มันไม่สมกับความเสียหายใช่ไหม ?. เอาความรักความห่วงใยของเนื้อหนังไปแลกกับเงินทองที่ไร้รักห่วงใย แบบนี้มันสมควรแล้วหรือ แม้ตนเองก่อกรรมชั่วจนเต็มอายุขัย คววามตายก็มาถึง แล้วจะเอาเงินทองนั้นมาทำอะไร ?. หากคิดจะเอาเงินทองมาเป็นสินบนในนรก คิดหรือว่าจะใช้ได้ ถึงตอนนั้นมีใครบ้างที่ยังปล่อยวางไม่ได้ ?.  มีแต่จะพูดว่ามันสายเกินไป แล้วอีตอนที่ยังไม่มาถึงสภาพตอนนี้ ทำไมไม่คิดเสียแต่เนิ่น ๆ หากโทษบาปที่บางเบาไม่ต้องถึงตายก็จะพบกับอุปสรรคภัยเคราะห์ต่าง ๆ หรือไม่ก็ลูกหลานไม่ดีเกเรเกตุงไม่เอาถ่าน ช่วยล้างผลาญเงินทองที่เขาโกงมาจนกว่าจะหมด ควรรู้ว่าคนที่โกงเงินเขามา ในอำนาจมืดก็จะมีพลังอำนาจมาแย่งชิงเงินทองของเขาอีกต่อหนึ่ง เพราะฉะนั้นเงินทองที่ได้มา ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเหลือนา !  ทั้งยังต้องผจญหวาดผวากับเคราะห์ภัยจากน้ำไฟโจรปล้น หรือมีของหายจนกลุ้มอกกล้มใจเคียดแค้น โรคภัยไข้เจ็บก็รุมเกันเข้ามา เจ็บป่วยทรมานหรือมีคดีความฟ้องร้องเสียเงินเสียทองจนหมดตัวก็ได้ บ้างก็มีลูกหลานเกเรทำเรื่องชั่วอับอายวงศ์ตระกูล ตนเองขาดทุนเปล่า ๆ ไม่ได้ชื่นชมเสพสุข ทั้งยังมีหนี้เวรมากมายไม่มีความสุขเลย ล่มจมไม่จบ  ในที่สุดเงินทองที่โกงเขามา คิดแล้วไม่เพียงแต่หนาวใจ ยังท้อแท้หมดใจ

นิทาน   :  ในสมัยพระเจ้าถังเสียงจง ขุนนางสิงโซ่วได้รับโองการให้ไปตรวจราชการที่เมืองซินหลอ หลังเสร็จภารกิจ ตอนขากลับพักชั่วคราวที่เฟวยซัน ได้เห็นพ่อค้าตั้งร้อยคนบรรทุกสินค้าเต็มหลายลำเรือ มูลค่าหลายแสนหมิง ขุนนางสิงโซ่วสั่งให้ลูกน้องแอบเข้าโจมตีฆ่าพ่อค้าตายทั้งหมดแล้วก็แย่งชิงสินค้าของพวกเขา เวลาผ่านไปจนกระทั้งลูกชายของเขา นายสิงโซ่วกับนายหวังหงวางแผนกบฏ จึงถูกราชสำนักลงโทษประหาร ลูกหลานสักคนก็ไม่มีเหลือเลย !  นายอุ้ยกงกันมีตำแหน่งเมืองข่วนโจว อาศัยอำนาจของขุนนางโกงเงินมาได้จำนวนมาก จนกระทั่งปลดเกษียณ ขณะนั่งเรือเดินทางกลับบ้าน เรือโดนพายุล่ม ทรัพย์สินเงินทองที่ตนได้มาทั้งหมดก็จมลงสู่น้ำ เหลือแต่ชีวิตรอดมาเท่านั้น !  ขุนนางหลี่ซื่อ เป็นผู้ตรวจราชการเมืองฉือโจว รีดไถประชาชนได้เงินจำนวนมาก ล่องเรือบรรทุกเงินทองมาเต็มเรือ ระหว่งทางเกิดไฟไหม้เรือจนทรัพย์สินถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น เหลือแต่เรือกับคนที่ไม่เสียหาย ในสมัยซ่ง ขุนนางกังฉินชื่อติงเหว่ย ถูกราชสำนักเนรเทศไปถึงจูเอี้ยน ระหว่างทางถูกโจรปล้นสะดมเอาทรัพย์สินไปจนหมดไม่นานนักขุนนางติงเหว่ยก็ตายไป ขุนนางหม่าย่าง มีใจละโมบมากกินตำแหน่งตุลาการเมืองเสฉวน เกิดการจลาจลหลิวกันสงบลงแล้ว หม่าย่างก็ออกมาค้นหาเงินทองในบ่อน้ำที่ตนซ่อนเอาไว้ แต่ค้นหาเท่าใดก็หาไม่พบเลย !  เงินทองที่เขามีอยู่ทั้งหมดสูญหายไป นายหูอิ่งกุ้ยกับหลูอิฉิ สองคนช่วยกันหลอกลวงลูกชายขุนนางคนหนึ่ง ไปเล่นการพนัน วางแผนโกงทรััพย์สินของบ้านเขา ทันใดนั้นตาข้างหนึ่งของหูอิ่งกุ้ยก็บอด ขาข้างหนึ่งของหลูอิฉิก็แตกหัก ทั้งสองกลายเป็นคนทุพลภาพ ยากลำบากไปตลอดชีวิต คนใจโหดเหี้ยมที่ละโมบโกงเงินเขาจนร่ำรวย แต่ลูกชายกลับไม่เอาถ่านชอบเล่นล้างผลาญสำมะเลเทเมา ทุกวันก็ได้แต่พูดส่งเดช จึงเกิดคดีความกับชาวบ้าน เวลาไม่ถึง 10 ปี เงินทองในบ้านก็ใช้จนเกลี้ยง จากนั้นชีวิตความเป็นอยู่ก็ลำบาก ลูกหลานไม่เจริญก้าวหน้า คดีทั้งหมดที่กล่าวมา ล้วนโกงกินเงินทองของเขามาทั้งนั้น มักจะได้รับเคราะห์ภัย เป็นการแสดงให้เห็นถึงผลกรรมตอบสนอง จนกว่าเงินทองจำนวนที่โกงเขามาจะเสมอกัน ในเรื่องดังกล่าวที่สาหัสสากรรจ์กว่าเพื่อนก็เรืองของสิงโซ่วทั้งคนทั้งบ้านถูกตัดหัว !  โลกนี้มีเรื่องเข้าใจยากมากมาย มีแต่ฟ้าเท่านั้น ไม่มีหรอกที่จะไม่ตอบสนองคนทำเรื่องชั่ว ไม่ว่าคนจะฉลาดใช่เล่ห์เหลี่ยมชนิดไหน แต่ฟ้าก็สามารถตอบสนองได้เหมาะสม ! ทำไมนะคนถึงไม่รู้จักกลัวอีก !     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  ใส่ความฆ่าคนก็ถูกอาวุธฆ่าตอบ

อธิบาย   :  ใส่ความเพื่อจะฆ่าคนก็มักถูกอาวุธฆ่าตอบเช่นกัน
ในบทที่แล้วพูดถึงการโกงเงินเขา มาในบทนี้ก็ใส่ความหาเรื่องฆ่าเขา เรื่องที่เกิดขึ้นเช่นนี้ก็สืบเนื่องจากละโมบฆ่าเพื่อเงินทองของเขา แต่เอาไม่ได้ก็เลยใส่ความเขาเพื่อฆ่าเขา การหาเรื่องใส่ความฆ่าคนมีประมาณ  7 อย่าง
ที่ 1.  ข้าราชการฝ่ายตุลาการ เพราะได้รับสินบน จึงโหดเหี้ยมใส่ความหาเหตุเพื่อสั่งลงโทษประหารนักโทษ
ที่ 2.  นำกองทหารออกศึก หัวหน้าหรือขุนพลที่นำพาทหารถือโอกาสฆ่าคนเพื่อปล้นสะดมแล้วเอามาเป็นความดีความชอบ
ที่ 3.  นายแพทย์สั่งยา นายแพทย์โลภเงินอยากกำไรมาก จึงจ่ายยาคุณภาพต่ำหรือเป็นยาปลอม หรือสั่งยาผิดคนไข้ตาย แล้วก็ยืนยันว่าไม่ใช่ความผิดของตน
ที่ 4.  ฆ่าทำแท้งเพื่อประหยัดรายจ่าย เห็นเป็นเด็กทารกหญิงจึงฆ่าเสีย เกิดจากความใคร่เสพกามจนตั้งครรภ์ จึงทำแท้งเสีย
ที่ 5.  ข้าราชการเลว ข่มเหงหลอกลวงข้าราชการผู้ใหญ่ อ้างอิทธิพลหลอกลวงฆ่าคน หลอกลวงเงินทองใส่ร้ายฆ่าคน
ที่ 6.  ใช้ฮวงจุ้ยทำร้ายคน มีอาชีพซื้อฮวงจุ้ย แล้วเคลื่อนย้ายหลุมฝังศพเขาเพื่อทำลายเขา โดยก่อให้เกิดเคราะห์ภัย
ที่ 7.  เป็นครูอาจารย์ที่เลว ครูเลวไม่ชอบสอนหนังสือเป็นการทำร้ายลูกหลานชาวบ้าน คือครูทำลายศิษย์ ทำให้ลูกชาวบ้านชั่วเลวไปทั้งชีวิต
        การใส่ความทำร้ายฆ่าคนทั้ง 7 อย่าง แม้ว่าจะไม่เหมือนกัน แต่ก็เป็นการฆ่าแบบใส่ร้ายเขา ซึ่งก็มีผลอย่างเดียวกัน โทษบาปชนิดนี้ ฟ้าจะไม่มีการอภัยบาป จักต้องได้รับโทษจากฟ้าดิน แม้จะพูดว่าฆ่าคน แต่ที่แท้เป็นการฆ่าตัวเอง

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง มีพระธรรมาจารย์เซนรูปหนึ่ง สมัยหนุ่ม ๆ ดื่มสุราจนมึนเมา และในระหว่างกำลังแก่งแย่งเงินทองกับผู้อื่น ชกต่อยฝ่ายตรงข้ามรุนแรงจนถึงแก่ความตาย เป็นเพราะกลัวความผิดจึงหลบหนีไปอยู่ที่อื่น ต่อมาเขาสำนึกผิดได้จึงออกบวชบำเพ็ญด้วยความยากลำบาก ในที่สุดเขาบรรลุสว่างใจพบจิตสำเร็จเป็นมหาธรรมาจารย์เซน ท่านขึ้นอาสนะบรรยายธรรมต่อหน้าลูกศิษย์หลายร้อยคนเป็นประจำเสมอมา  วันหนึ่งขณะที่ท่านมีอายุ 70  ในเช้าวันหนึ่ง หลังจากท่านอาบน้ำชำระะกายแล้ว ก็ขึ้นบนอาสนะแล้วกล่าวกับหมู่คนทั้งหลายว่า "พวกเธอจงอยู่ในความสงบ อย่าพูดจากัน ให้ฟังเรื่องราวในอดีตของอาตมาเมื่อ 40 ปีก่อน"  พวกเขานั่งจนถึงเวลาเที่ยงก็ให้มีทหารคนหนึ่งเดินทางมาถึงวัด ทันใดเขาก็ยกคันธนูขึ้นคิดจะยิงฆ่าพระธรรมาจารย์ พระธรรมาจารย์เฒ่าก็พนมมือไหว้ไปที่ทหารผู้นั้นแล้วกล่าวว่า "ภิกษุเฒ่ารอท่านอยู่ที่นี่นานมากแล้ว !" ทหารผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจพูดว่า "ข้ากับท่านไม่รู้จักกัน แต่พอพบหน้าท่านทำไมก็คิดอยากฆ่าท่านเสีย ?.  ข้าเองก็ไม่รู้เหตุผลกลใดเลย ! "  พระธรรมาจารย์เฒ่าจึงกล่าว "เป็นหนี้เงินก็ชดใช้เงินยุติธรรมดีแล้ว ขอเชิญลงมือ อย่าต้องเสียเวลาเลย !" แล้วก็หันมาพูดกับหมู่ชนว่า "หลังจากอาตมาตายแล้ว พวกเธอจงเชื้อเชิญท่านผู้นี้รับประทานอาหาร หากพวกเธอกล่าวว่าเขาเพียงคำเดียวก็จะเป็นการละเมิดต่อฟ้า ฝ่าฝืนอาจารย์  ไม่ใช่ลูกศิษย์ของอาตมา !"  ทหารผู้นั้นได้ยินคำพูดของธรรมาจารย์แล้วก็ยิ่งเพิ่มความสงสัย จึงคาดคั้นเอาความจริงจากพระธรรมาจารย์ให้ได้ พระธรรมาจารย์จึงพูดว่า "เพราะท่านได้กลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น อาตมายังอยู่ในชาติปัจจุบัน เพราะฉะนั้นจึงยังจำเรื่องราวได้" ดังนั้น พระธรรมาจารย์จึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทหารผู้นั้นฟัง ทหารผู้นี้อ่านหนังสือไม่ออก ทันใดก็พูดกับพระธรรมาจารย์ด้วยเสียงอันดังว่า "แค้นตอบสนองกันเมื่อไรจะสิ้นสุด เคราะห์กรรมพันผูกหาใช่บังเอิญ สู้แก้กรรมกับอาจารย์ดีกว่า ตอนนี้ สู้ตั้งมั่นไปสู่สุขาวดี"  หลังจากพูดจบ ทั้งที่มือยังถือคันธนูอยู่ก็ยืนนิ่งละสังขาร ดังนั้น พระธรรมาจารย์จึงลงจากอาสนะ แล้วก็โกนผมให้กับทหารผู้นั้น แล้วก็ตั้งธรรมฉายาให้พร้อมกับเปลี่ยนใส่จีวร จากนั้นก็ยกเขาเข้าเก็บในตู้พระ  จากนั้น พระธรรมาจารย์ก็ขึ้นนั่งบนอาสนะกล่าวอำลากับหมู่ชน แล้วก็เข้าสมาบัติดับขันธ์

อธิบาย   :  สร้างหนี้กรรมฆ่าคนเมื่อ 40 ปีก่อน แล้วชดใช้หนี้กรรมหลัง 40 ปี การชดใช้หนี้ดูเหมือนช้าไปหน่อย แต่การใช้หนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม โชคดีที่ทั้งสองคนล้วนเป็นคู่กรรมใหญ่ จึงต้องมาเผชิญหน้าบนเส้นทางสายแค้น เดิมทีเป็นความชั่วร้ายที่เผชิญหน้ากัน แต่ก็ได้แก้เหตุปัจจัยดี ทหารที่ตายลงจากชาติก่อน กดดันคนที่เป็นหนี้ชีวิตเขาจนต้องออกไปบำเพ็ญปฏิบัติธรรม จนกระทั่งก็ประจักษ์แจ้งบรรลุธรรม แล้วพระธรรมาจารย์ก็รอคอยเจ้ากรรมนายเวรที่เขาเป็นหนี้ชีวิตในที่สุดเวรกรรมก็ได้รับการแก้เงื่อนปมความแค้น ทั้งสองฝ่ายซึ่งฝ่ายหนึ่งบำเพ็ญจนบรรลุธรรม และอีกฝ่ายหนึ่งก็บรรลุธรรมฉับพลัน เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่พบเห็นได้น้อยมาก อาจนานเป็นพันปีจึงมีเกิดขึ้นสักเรื่องหนึ่ง ถ้าหากพระธรรมาจารย์เซ็นไม่ได้บรรลุธรรมจริง และถ้าทหารผู้นี้ไม่เป็นผู้ถึงพร้อมยิ่ง ก็คงไม่ยอมปล่อยสิทธิของเจ้าหนี้หรอก นั่นก็คือ การฆ่าคนก็คือการฆ่าตนเอง มันชัดเจนมากอยู่แล้ว การใส่ความเพื่อฆ่าคนมี 7 อย่าง ดังกล่าวมาแล้ว ควรงดเว้นห้ามทำเด็ดขาด อย่าได้โหดเหี้ยม ก่อคดีโหดเลย !     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  เงินทองได้มาไม่ถูกต้อง ดุจเนื้อเน่าแก้หิว   สุราพิษแก้กระหาย ไม่เพียงไม่อิ่มความตายก็มาถึง

อธิบาย   : 
เงินทองที่ได้มาไม่ถูกต้อง ก็เหมือนกินเนื้อที่แช่น้ำจนเน่าเปื่อยแก้หิว หรือดื่มสุราแก้กระหาย ดื่มกินเท่าไรก็ไม่อิ่ม พิษภัยจากเนื้อเน่าและสุราพิษทำให้ชีวิตต้องตายลง บทนี้ยังเน้นย้ำถึงความร้ายกาจของความโลภ เพราะชาวโลกมีจิตใจที่โลภมาก เพราะฉะนั้นท่านไท่ชั่งจึงย้ำแล้วย้ำอีกเพื่อตักเตือนปลุกให้รู้สึกตัว ชาวโลกที่ทำละเมิดเสพกาม โหดเหี้ยมฆ่าคนเป็นต้น ซึ่งการกระทำบาปเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ เลย และคนกระทำโทษบาปเหล่านี้ก็ไม่ใช่จะพบเห็นได้ง่ายเลย นอกเสียจากหาเงินทองที่มีกลเม็ดเด็ดพรายสารพัดวิธี และก็ตรวจได้ยากด้วย ยิ่งคนในปัจจุบันมีศัพย์แสงใหม่ว่าผลประโยชน์ทับซ้อน กลยุทธในการยักย้ายถ่ายเทเงินทองที่ไม่ถูกต้อง แต่คนยุคนี้ร้ายยิ่งกว่าซาตานพันทวีคูณ ถ่ายเทเงินทองดูเหมือนถูกต้อง ไปสู่มือประชาชนปกติที่ใคร่กระหายอยากได้เงินอยู่แล้ว เพื่อมาซื้อหาสินค้าบริการที่เกินความพอเพียงของชีวิต ผลประโยชน์ก็จะกลับมาตกอยู่ในมือผู้บริหาร ตราบใดที่โลกนี้ยังมีการใช้เงิน เพราะฉะนั้นต้องมีคนได้เงินมา แต่วิธีการได้เงินมาไม่เป็นธรรมมีเป็นจำนวนมาก จึงไม่จำเป็นต้องไปสาวหาความจริงเลย !  อะไรเล่าที่เรียกว่าความเป็นธรรม ?. ความเป็นธรรมคือการดำเนินงานถูกต้องสมเหตุสมผล การเอาเงินเขามาโดยคนเขาพอใจยินดีให้เหมาะสมก็เรียกว่าเป็นธรรม ถ้าหากให้โดยไม่เต็มใจไม่สมเหตุสมผลก็ไม่เป็นธรรม ได้เงินมาแบบที่พูดให้คนอื่นฟังได้สมเหตุผลก็เป็นธรรม ได้เงินมาแบบพูดให้ใครรู้ไม่ได้เพราะไม่ชอบด้วยเหตุผลถือว่าไม่เป็นธรรม เงินที่ได้ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือมาก ถ้าได้มากโดยไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม ใช้เงินแล้วสบายใจไม่ขัดแย้งกับใจคนอื่น ผู้ฟังก็ฟังโดยไม่ขัดหูจึงถือว่าดี !  นี่แหล่ะที่ท่านไท่ชั่งมีโอวาทสอนแล้วสอนอีกก็เพราะรู้ว่าชาวโลกมักได้เงินมาไม่ถูกต้อง จึงมีคนได้เงินมาแบบไม่มีธรรม เพราะถึงแม้เขาได้เงินแล้วพอใจ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็จะเสียใจหรือแค่คนเดียวที่พอใจแต่อีกสิบคนร้อยคนพันคนกระทั่งคนทั้งประเทศต่างก็เสียใจเขาน่าจะรู้ว่า ฟ้าคืนสนองได้ดี ฟ้าเป็นธรรมไม่มีส่วนตัว มีหรือฟ้าจะรักใคร่เอ็นดูคนที่ได้เงินมาไม่ถูกต้อง ในความลี้ลับก็จะสั่งสมความหายนะด้วยเทพเจ้ารู้สึกคิดจัดการให้เรื่องราวมีความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการจัดการเพิ่มโทษเป็นกรณีพิเศษ ท่านไท่ชั่งรู้สาเหตุเรื่องราวดี จึงใช้คำพูดที่ถูกต้องจริง ๆ ตักเตือนห้ามคนว่า"ไม่ให้เอา" แต่คนกลับไม่ฟัง จึงพูดเตือนให้หวาดกลัวระวังว่า "เงินทองได้มาไม่ถูกต้อง ไม่เป็นมงคล แต่คนก็เห็นแก่เฉพาะหน้าไม่คิดถึงผล ดังนั้นก็สู้ปลุกชาวโลกให้รู้ตัวตื่นว่า "ได้กับไม่ได้ เหมือนกันทั้นั้น !"  แบบนี้ใจโลภของคนอาจลดน้อยลงบ้าง จึงพูดเปรียบเปรยเหมือนกินเนื้อเน่า ดื่มสุราพิษ เพราะของเหล่านี้พอเข้าปากก็จะต่ยทันที ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะสับสนหรือโง่เขลาก็ล้วนรู้จักเนื้อเน่าเหล้าพิษก็ไม่กลัวจะกินดื่ม ต่างก็รู้ว่าเงินที่ได้มาไม่ถูกต้องก็คือเนื้อเน่าเหล้าพิษ อย่างไรเสียก็จะไม่เอาเด็ดขาด !  อย่างนี้มิใช่หรือที่ว่าได้กลับไม่ได้ล้วนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นได้มาแล้ว ไม่ใช้ก็กลายเป็นของเสีย แล้วผู้คนทำไมจึงยังใจชั่วใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้ของเสียมาอีกทำไม ?.  อย่างไรก็ตามความหอมหวนของเนื้อเน่าที่ปรุงแต่งกลบกลิ่น  เหมือนชิ้นเนื้อเล็ก ๆ หอมชวนกิน เหล้าพิษรสหอมหวานไม่แพ้เปรียง (นมเปรี้ยว) ชาวโลกเห็นความหอมหวานของมันแล้วก็เกิดใจอยากเสี่ยงดูว่า "อึ่ม ! ไม่แน่ว่าจะมีพิษ !"  จึงไม่กล้ากินคำโตดื่มพวรวด ๆ มีไม่กี่คนหรอก ! รอจนถึงเวลาอยากจะสำรอก อยากจะคายก็คายไม่ออกเสียแล้ว ท้องไส้ขาด หนังปริแตก ความตายก็ใกล้จะถึงแล้ว มาถึงตอนนี้คิดแล้วถอนหายใจว่า "ทำไมไม่ให้เห็นผลเร็วกว่านี้นา ?"มันสายเกินไปเสียแล้ว ผัดผักต้มแกงแม้เป็นอาหารง่าย ๆ รับประทานแล้วไม่ค่อยอร่อยนัก แต่ก็อิ่มได้เพียงพอ ลูบคลำท้องก็ให้รู้สึกสบายใจ ระหว่างความทุกข์กับความสุข มันห่างไกลกันลิบลับนา ! เรื่องราวเป็นพยานหลักฐานเช่นนี้ก็พูดให้ฟังกันมาแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  หากใจเริ่มใฝ่ดี ดีแม้ยังไม่ทำ เทพดีก็ตามมา หากเริ่มใฝ่ชั่ว ชั่วแม้ยังไม่ทำ เทพชั่วก็ตามมา

อธิบาย   : 
เมื่อใจบังเกิดความคิดดีขึ้นมาแล้ว แม้ความดียังไม่ได้ทำเลย เป็นสิ่งที่ซาบซึ้งถึงเทพเจ้าฝ่ายดีแล้ว ท่านก็จะตามมาปกป้องคุ้มครอง เพื่อหวังให้เราทำดีดีจนสำเร็จแล้วจะได้ประทานบุญวาสนาให้เขา แต่ถ้าในใจบังเกิดความคิดชั่วขึ้นมา แม้กรรมชั่วยังไม่ได้ลงมือไปทำ ความคิดชั่วนี้ก็จะกระทบถึงเทพฝ่ายร้ายเทพร้ายก็จะคอยติดตามดูแลอยู่ รอจนความชั่วที่ทำเต็มทนเมื่อไรก็จะส่งภัยเคราะห์มาให้ ใจนี้จึงสำคัญนัก กำลังจะบอกแก่ชาวโลกว่ากลไกบุญวาสนาหรือภัยเคราะห์ล้วนขึ้นอยู่กับใจอันนี้ ก็หวังว่าชาวโลกจะรู้ต้นเหตุที่เกิดขึ้น จึงควรระมัดระวังไว้ !  ในพุทธธรรมกล่าวว่า สรรพรูปที่สำเร็จขึ้นในจักรวาล ล้วนมาจากใจอันนี้แปรเปลี่ยนปรากฏออกมา !" เหตุที่ใจของพวกเรานี้สามารถยึดติดกับปัจจัยสกปรกกับปัจจัยสะอาด ดังนั้น จึงบังเกิดสิบพระธาตุที่แตกต่างกัน วิธีเข้าสู่โลกกับวิธีออกจากโลก จึงอยู่ในวงของ สี่อริยะ หกปุถุชนธรรมชาติ (สี่อริยะ หมายถึง พุทธ  โพธิสัตว์  ปัจเจก  และสาวก  หกปุถุ  หมายถึง เทวดา  มนุษย์  อสูรกาย  เดรัจฉาน  เปรต  และนรก)  สิบธรรมธาตุนี้ไม่มีที่จิต ล้วนใจของเราสร้างขึ้น เพราะฉะนั้นใจก็สามารถจะเป็นพุทธะ  ใจก็สามารถเป็นเวไนย  ใจสามารถสร้างสรรค์  ใจก็สามารถสร้างนรก  ดังที่กล่วว่าผู้บังเกิดใจก็คือใจเราเริ่มกระเพื่อมเพียงแค่เกิดความคิดขึ้น กระแสความคิดนี้แม้จะเล็กน้อยเบา ๆ ก็สามารถรู้สึกกระทบกับเทพผีในฟ้าดิน ถ้าหากคนสามารถบังเกิดความคิดของใจที่ดี  เพียงความคิดดีอันนี้ก็สามารถทลายยันต์ขลังของนรกตัดขาดบรรดามารภัยด้วยดาบปัญญา  ข้ามพ้นทะเลทุกข์ด้วยยานเมตตา  ส่องทลายความมืดด้วยแสงประทีป  แต่ถ้าหากคนบังเกิดความคิดของใจที่ชั่ว กลายเป็นเดรัจฉาน  เปรต  นรก  ทางชั่วสามแพร่งก็ปรากฏขึ้นทันที  จมปลักอยู่ในนั้นไม่มีที่สิ้นสุดเลย !  เพราะฉะนั้น เทพดีกับเทพชั่วจึงติดตามใจคนที่คิดดีชั่ว เป็นการกวักหาให้มาเกาะติดโดยไม่มีการรีรอแม้แต่น้อยเลย

คติพจน์   :  มหาธรรมาจารย์กั้นชันในสมัยราชวงศ์หมิง กล่าวไว้ว่า "ความคิดบังเกิดขึ้นที่ใดต้องทลาย เรื่องยังมาไม่ถึงอย่าเกิดฟุ้งซ่าน หากขณะความคิดชั่วกำลังจะเกิดขึ้น เอามีดตัดขาดเสีย แรงกรรมก็จะขจัดหายไป ความคิดฟุ้งซ่านก็ไม่มีที่ให้มันเกิด เพราะฉะนั้น ด่านสำคัญของการก้าวพ้นปุถุเข้าสู่อริยะ ล้วนอยู่ที่ตรงนี้

นิทาน   :  เมื่อก่อนโน้นนายหยวนจื้อสือ เจ็บแค้นนายเหลียว ที่ลืมคุณไร้ธรรม ในเช้าตรู่เวลาตี 4 วันหนึ่ง  เขาก็ถือมีดมุ่งตรงไปที่บ้านนายเหลียวระหว่างทางได้ผ่านศาลเจ้าแห่งหนึ่ง เจ้าของศาลเจ้าคือท่านเฉียนหยวน ที่ลุกขึ้นสวดมนต์ตั้งแต่เช้ามืด มองเห็นผีหน้าตารูปร่างประหลาดหลายร้อยตัว ติดตามหยวนจื้อสือ ในมือของผีแต่ละตนก็ถือมีดบ้าง  ขวานบ้าง  ท่าทางดุดันกระหือกระหาย  เวลาผ่านไปไม่นานนัก  ตอนหยวนจื้อสือกลับมา ท่านเฉียนหยวนก็มองเห็นคนที่ติดตามเขามา บนศรีษะมีมงกุฏครอบดูแวววับ บนกายประดับด้วยมณีพลอย  มีจำนวนเป็นกลุ่มนับร้อยนับสิบ ริ้วธงขบวนดอกไม้หอมอบอวน ดูงามสง่าน่าเกรงขาม ใบหน้ายิ้มแย้มดูมงคล ด้วยเหตุนี้ท่านเฉียนหยวนจึงกวักเชิญหยวนจื้อสื่อเข้ามาที่ศาลเจ้า  เพื่อถามหาสาเหตุ หยวนจื้อสือก็กล่าวว่า "คนแซ่เหลียวเป็นคนลืมคุณไร้ธรรม เมื่อครู่นี้ข้ากำลังจะไปฆ่าเขา แต่เมื่อไปถึงหน้าบ้านของเขาก็ให้คิดว่า ถึงแม้นายเหลียวจะเป็นคนเนรคุณผิดต่อข้าก็ตาม แต่ลูกเมียของเขาไม่มีความผิดอะไรเลย อีกทั้งมารดาที่ชราแล้วก็ยังอยู่ ถ้าหากข้าฆ่าเขาตายก็เหมือนฆ่าคนทั้งบ้านนา !  เหตุเพราะใจทนไม่ได้ เมื่อความคิดเปลี่ยนเช่นนี้ จึงกลับมา !  ท่านเฉียนหยวนจึงเล่าเรื่องที่ตนได้เห็นแก่เขา ทั้งยังอนุโมทนาสาธุยินดีกับเขาแล้วว่า "สิ่งที่เธอกระทำนั้น เทพเจ้าล้วนรับรู้ อนาคตเธอต้องได้รับตำแหน่งการงานที่ดี และได้เสพบุญวาสนามากแน่นอน !" เมื่อหยวนจื้อสือได้ยินวาจาของท่านเฉียนหยวนเช่นนี้จึงเป็นกำลังใจให้เขามีความวิริยะอุตสาห์กระทำดีอย่างจริงจังยิ่งขึ้น ในที่สุดเขาก็สอบได้ตำแหน่งราชการ และได้เลื่อนขั้นสูงถึงตำแหน่งมหาอำมาตย์ด้วย

อธิบาย   :  ท่านเหลาจื่อกล่าวว่า  "อันความดีกับความชั่ว ถึงที่สุดแล้วไกลกันมากปานไหน ?" อาตมากับคำกล่าวของท่านเหลาจื่อประโยคนี้ได้คิดทบทวนกลับไปกลับมาหลายเที่ยว อันถนนสองสายดีชั่วนี้ ตอนขณะเริ่มต้นแตกต่างกันมาก แต่ว่าก็อยู่ในวิถีชีวิตปกติประจำวันเท่านั้นที่ใจคิดชั่วบังเกิดขึ้น  ถ้าหากสามารถเข้าใจหลักธรรมนี้แล้วถือปฏิบัติ ย้อนสำรวจตนจริงจังแล้วละก็ พื้นใจก็จะเป็นใจที่ดีทั้งหมด เหตุนี้แหละบุญวาสนาจึงเพิ่มขึ้นไม่ขาดสาย ภัยเคราะห์ทั้งหมดก็จะถดถอยขจัดออกไป เราคงได้เห็นแล้วถึงหนึ่งความคิดที่ดีทั้งหมด เหตุนี้แหละบุญวาสนาจึงเพิ่มขึ้นไม่ขาดสาย ภัยเคราะห์ทั้งหมดก็จะถดถอยขจัดออกไป เราคงได้เห็นแล้วถึงหนึ่งความคิดที่ดีของหยวนจื้อสือบังเกิดขึ้นเท่านั้น เขาก็สามารถหมันเคราะห์ภัยเป็นบุญวาสนา โดยเฉพาะระดับความเร็วก็รวดเร็วอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ที่พูดว่า การบังเกิดใจดีชั่ว เทพดีเทพร้ายก็ตามถึงทันที อย่างนี้ยิ่งไม่ใช่ต้องเพิ่มความเชื่อขึ้นหรอกหรือ ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17/08/2555, 01:59 โดย หนึ่งเดียว หลุดพ้น »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  ผู้เคยทำชั่ว  ภายหลังสำนึกแก้ไข   ชั่วทั้งหลายไม่ทำ    ความดีทั้งปวงถือปฏิบัติ   นาน ๆ ไปย่อมได้มงคลโชคลาภ   ดังว่า เปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนา

อธิบาย   : 
หากมีคนเคยทำผิดเรื่องชั่วร้าย ต่อมาตนเองก็สำนึกผิดและแก้ไข ทั้งยังขจัดตัดเรื่องเรื่องชั่วร้ายทั้งปวงออกไป แล้วก็ถือปฏิบัติเรื่องดีงามทั้งปวง  เมื่อกระทำเช่นนี้เรื่อย ๆ นาน ๆ ไปก็สามารถได้รับศิริมงคลมีงามเฉลิมฉลอง ก็ถึงที่กล่าวว่าหมุนภัยเคราะห์เป็นบุญวาสนา ในตอนนี้มีคำสองคำที่ยกขึ้นมาคือ สำนึกแก้ไข เพื่อแสดงต่อคนถึงวิธีการแก้ไขความผิดเปลี่ยนสู่ความดี ก็คือกลไกการหมุนภัยเคราะห์ให้เป็นบุญวาสนา แก้ไข คือการแก้ไขความผิด  สำนึกคือการสำนึกผิด  ในโลกนี้คนที่ไม่มีความดีบริสุทธิ์ดีมีน้อยมาก แล้วคนที่เคยทำความผิด ทำเรื่องชั่วร้ายมาแล้วมีมากมายทีเดียว !  อย่างไรก็ตามคนที่ชั่ว ก็อาจเปลียนแปลงสำเร็จกลายเป็นคนดีได้  เพราะฉะนั้นท่านไท่ชั่งจึงสู้อุตส่า่ห์ย้ำแล้วย้ำอีก ในตอนท้ายของคัมภีร์ซึ่งก็เป็นเป้าหมายศาสนาที่ให้สำนึกแก้ไข  จุดสำคัญคือให้รู้ตัวจากความหลง  ทำให้คนกลับหันหลังก็จะพบฝั่งก็ยังเกรงว่า ชาวโลกจะเข้าใจผิดที่ว่า  "วางมีดสังหารลง สำเร็จพุทธะทันที"   จะฟั่นเฟือคิดว่าแค่น้ำถ้วยหนึ่งก็หวังมากเกินไปว่าจะสามารถดับฟืนไฟทั้งคันรถได้ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า "ความชั่วทั้งหลายไม่ทำ" โดยหวังว่่าเขาจะสามารถเอากรรมชั่วตัดรากถอนโคลนให้หมดสิ้น พอกรรมชั่วหมดแล้วก็กล่าวว่า "ความดีทั้งปวงถือปฏิบัติ" ก็หวังว่าเขาสามารถจะบำเพ็ญสั่งสมความดีจนบริบูรณ์  ให้ปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยไป นาน ๆ ไป จึงจะสามารถมะลายเวรกรรมที่กระทำเมื่อก่อน ๆ จนหมดไป ด้วยเหตุนี้ภัยเคราะห์จึงสามารถขจัดมลายไป แล้วถือการปฏิบัติที่กระทำในแต่ละวันก็จะค่อย ๆ บริบูรณ์ การเพิ่มบุญวาสนาใหม่ ๆ ก็จะมีมาถึงเองนั่นแหละ !  ปัจจุบันคนโง่เขลาไม่มีปัญญา รู้ว่าตนเองได้ทำไม่ดีไว้ อาจเนื่องจากเกิดมโนธรรมขึ้น  เห็นความชั่วของตนที่กระทำไว้ ก็คิดว่าจะขจัดโทษกรรมโดยหวังพึ่งนักพรตหรือพระสงฆ์ ช่วยเหลือทำพิธีของขมาบาป การกระทำเช่นนี้ก็เหมือนกับใช้น้ำน้อยเพียงถ้วยเดียวไปดับไฟฟืนเป็นคันรถ !  อย่างนี้มิใช่หลงจนฟั่นเฟือสับสนหรอกหรือ ?  ยิ่งกว่านั้นคนที่พึ่งสำนึกผิด โทษบาปทีผ่านมาแทนที่จะหยุดไม่ทำแล้ว แต่ปรากฏว่าความผิดที่เขาสำนึกกลับเพิ่มมากขึ้น จนสุดท้ายเขายังจมปลักอยู่ในทะเลทุกข์ เช่นนี้แล้วทำให้ชีวิตต้องตายแล้ว  ยังทำลายจิตตนให้พินาศไปด้วย เป็นเรื่องที่น่าเศร้าโศกนัก !ถ้าหากคนที่สำนึกแก้ไขแบบนี้ จะมิเป็นการเนรคุณที่ท่านไท่ชั่งสู้อุตส่าห์ย้ำสอนเสียแรงเปล่า ๆ หรือ ?  โอพระเจ้า !  วิธีการที่ท่านไท่ชั่งสั่งสอนมนุษย์ให้สำนึกแก้ไขเป็นประโยคกำชับ ทุกเข็มที่ทิ่งแทงเห็นเลือด ดังคำที่ว่า โอสถทิพย์หนึ่งเม็ด  เสกเหล็กให้เป็นทอง  หลักธรรมวาจา  จักสามาถพลิกปปุถุสำเร็จเป็นอริยะ เพราะฉะนั้น ชาวโลกจักต้องตั้งสัตย์สาบานขยันปฏิบัติ มีเพียงแบบน้เท่านั้นจึงจะสามารถลงรอยกับท่านไท่ชั่งที่ทรงมหาเมตตามหากรุณาต่อชาวโลก  จากนี้ไปก็จะอธิบายวิธีการสำนึกก่อน แล้วจึงอธิบายวิธีการแก้ไข การสำนึกก็คือ การแก้ไขความผิดที่ผ่านมาให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ทำความผิดซ้ำอีก เป็นวิธีสำคัญที่ให้ความดีบังเกิดขึ้นเพื่อดับความชั่ว !  เพราะฉะนั้นรากแห่งความดีจึงต้องรู้จักบ่มเลี้ยง ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำความดีเกิดขึ้น และเป็นเหตุให้หยุดกระทำความชั่ว บาปกรรมที่มีจึงมลายหายไป ทั้งนี้ทั้งนั้น พวกเราจะต้องดังนี้

     หนึ่ง   :  ต้องเชื่อเรื่องเหตุต้นผลกรรมอย่างถูกต้อง ไม่ให้หลงงมงาย และไม่ให้เชื่อเหตุต้นผลกรรมอย่างผิด ๆ  ความดีเช่นนี้จะได้รับบุญวาสนาตอบแทน  ส่วนทำชั่วย่อมได้รับภัยเคราะห์ ถึงแม้ยังมิได้กระทำให้เกิดขึ้นจริง ๆ แต่ผลตอบสนองก็ยังมีอยู่ เหตุที่ความคิดถึงแม้จะเกิด ๆ ดับ ๆ แต่แรงกรรมไม่สูญมลายไป ความศรัทธาเป็นต้นตอของการเข้าสู่ธรรม มีแต่ปัญญาทางเดียวที่จะเข้าถึง นี่คือรากแก่นของความดีทั้งหลาย ใช้ความศรัทธาที่เชื่อถืออย่างถูกต้อง ก็จะพลิกมาทลายใจที่ปราศจากรากแก่นได้ดีนา ! 

     สอง   :  ต้องสำนึกโทษบาป นี่เป็นรากมูลของความรู้สุกละอาย ละอายในโทษบาปที่ตนกระทำ ซึ่งไม่สมกับการเป็นคน ความละอายในบาปที่ได้ละเมิดไปแล้วย่อมได้รับโทษบาปจากฟ้าดิน เรียกว่าเป็นวิธีสว่าง ก็จะพลิกมาทลายความละอายในวิธีมืด

     สาม   :  ต้องหวาดกลัวความอนิจจัง เมื่อลมหายใจหยุดความตายก็มาถึงมโนวิญญาณก็จะติดตามแรงกรรมไปเกิด เพื่อรับผลกรรมตอบสนอง จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักสิ้นสุด ถ้าหากเข้าใจถึงหลักธรรมแห่งไตรลักษณ์ ก็จะช่วยพลิกกลับมาทลายความหวาดกลัวที่ต้องตกนรกอเวจี

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  ผู้เคยทำชั่ว  ภายหลังสำนึกแก้ไข   ชั่วทั้งหลายไม่ทำ    ความดีทั้งปวงถือปฏิบัติ   นาน ๆ ไปย่อมได้มงคลโชคลาภ   ดังว่า เปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนา  1

     สี่   :  ต้องเปิดเผยหลังสำนึกผิด พูดให้เขาฟังถึงโทษบาปหนักเบาที่ตนได้กระทำมา เนื่องจ่กได้เปิดเผยสาเหตุของการทำผิดมาแล้ว เมล็ดแห่งโทษกรรม หรือเมล็ดพันธุ์ทำชั่วบาปก็จะเหี่ยวเฉาเหมือนกับการโค่นต้นไม้ กิ่งใบก็จะหลุดร่วงลงมา ก็จะพลิกกลับมามลายใจที่เป็นคลังชั่วบาป

     ห้า   :  ต้องตัดใจที่สร้างบาปติดต่อกัน ต้องมีความกล้าหาญที่จะเอาชั่วบาปทิ้งให้ถึงก้นปึ้ง เหมือนเอามีดเหล็กกล้าตัดของตัดฉับเดียวให้ขาด นี่ก็เป็นการพลิกกลับมามลายใจที่สร้างบาปติดต่อกัน

     หก   :  ต้องบังเกิดใจโพธิสัตว์ แผ่ปณิธานที่จะขจัดปัดเป่าความทุกข์ของเวไนยสัตว์ จะแผ่ทานให้แก่เวไนยทั้งหลายให้มีความสุข ด้วยใจที่กว้างใหญ่นี้ ก็จะพลิกกลับมาทลายใจที่ชั่วบาปทั้งหลายได้

     เจ็ด   :  ต้องสร้างกุศลมาชดใช้ความชั่วที่กระทำมา วิริยะมุ่งมั่นพากเพียรบำเพ็ญตน ให้เที่ยงตรงในกายกรรม  วจีกรรม  และมโนกรรม  ด้วยการปฏิบัติ จะขี้เกียจไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นี่แหละคือการปฏิบัติธรรมสร้างกุศล ก็จะพลิกกลับมาทลายใจที่ไม่บำเพ็ญกรรมสาม อันเป็นเหตุให้สร้างบาป

     แปด :  ต้องปกปักรักษาธรรมเที่ยงแท้ ไม่เข้าใกล้ไสยศาสตร์ อาจารย์ชั่วร้ายที่โจมตีพุทธธรรม  เป็นการพลิกกลับมาทลายใจที่ดับเรื่องดีทั้งใจ

     เก้า :  ต้องภาวนาขอบุญบารมีพระพุทธเจ้าทั้งหลายกับทิพยบัญชาของพระองค์ อ้อนวอนให้พุทธเจ้าสงสารรับไว้ปกป้องรักษาเรา ขจัดโทษกรรมให้ทิพย์โอสถที่สะอาดเย็นเช่นนี้ จะพลิกกลับมาทลายใจที่รู้จักแต่ความชั่วคิดชั่วของเราได้

     สิบ :  ต้องเพ่งพิศส่องดูโทษ จิตเดิมนั้นว่าง บาปกรรมเกิดขึ้นจากใจ ก็ต้องดับที่ใจ เพราะฉะนั้น จึงพูดว่า "ถ้าใจนี้ดับ บาปก็มลาย" ถ้าหากรู้ว่าบาปบุญเดิมที่ไม่มีที่ใจตน องค์ของใจก็สว่างสงบ จะต้องกลับคืนสู่ต้นคืนสู่ตอ ก็จะสามารถใสสอาดสมบูรณ์ถึงที่สุด นี่แหละคือพลิกกลับมาทลายอวิชชาของใจที่ยึดติดได้

        ในคัมภีร์ว่า  :  "ทะเลกิเลสกรรมขีดขวางทั้งหลาย ล้วนเกิดจากคิดฟุ้งซ่าน ผู้อยากสำนึก นั่งคิดถึงภาพลักษณ์จริง  โทษบาปดุจคนิ้งน้ำค้าง ตะวันปัญญาสามารถขจัดมลายได้" เพราะฉะนั้น พวกเราต้องรู้สำนึกด้วยความจริงใจ ดุจดังเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักล้างนานร้อยปี ก็สามารถซักให้สะอาดได้ภายในวันเดียว  หรือเหมือนกระจกที่ฝุ่นเกาะมานานพันปี ก็สามารถเช็ดถูให้มันเหมือนเดิมที่เงาใสได้นา !  เพราะฉะนั้นการสำนึกผิด จึงสามารถแก้ไขขจัดความผิดที่ผ่ามมานานหมื่นกัปได้ ขอเพียงต้องจริงใจสำนึกก็จะไม่มีเวรกรรมอะไรที่ขจัดดับไม่ได้ และก็ไม่มีกรรมดีอะไรที่บังเกิดขึ้นไม่ได้นา ! 

     นิทาน   :  ท่านอนิรุทธ์ในอดีตชาติเป็นโจรขโมย ในคืนวันหนึ่ง เขาเข้าไปเพื่อขโมยของในวัดแห่งหนึ่ง มองเห็นดวงประทีปหน้าพระพุทธรูปกำลังจะดับมอดลง จึงดึงลูกธนูขึ้นมาแล้วเขี่ยใส้ตะเกียงขึ้นมา ดวงประทีปก็กลับสว่างไสว ความสว่างจากดวงประทีปทิ่มแทงตาเขามาก ในใจของอนุรุทธ์รู้สึกหวาดกลัวจึงละชั่วไปสู่ดี บาปกรรมในอดีตที่ทำมาก็ค่อย ๆ มลายหายไป และกรรมดีที่กระทำมาก็่อย ๆ เพิ่มจนบริบูรณ์ ดังนั้นท่านอนิรุทธ์จึงได้อริยมรรคผล

     นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ขุนนางหยางตงเหอ มีตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาเมืองสี่โจว ในรัชสมัยของพระเจ้าเทียนเซิน ถูกราชสำนักให้ไปกินตำแหน่งผู้พิพากษาเมืองไฉโจว เพราะเขาตัดสินลงโทษใส่ร้าย จึงถูกพระเจ้าไปย่จี๋เจินอู่ (ในกรุงเทพฯ อยู่ที่ศาลเจ้าพ่อเสือ) รายงานความผิด ขณะที่จะถูกลงโทษอย่างหนัก ขุนนางหยางตงเหอก็ให้หวาดกลัวสำนึกผิด จึงรีบลาออกจากราชการจากผู้พิพากษาเมืองไฉโจวทันที แล้วตั้งสาบานจะบำเพ็ญร้อยความดี เพื่อไถ่โทษบาป ทุกครั้งที่เขาพบภิกษุนักพรตหรือคนยากจน หรือคนกำพร้าโดดเดี่ยว หรือคนป่วยตายในบ้านก็จะเข้าไปสงเคราห์ทันทีด้วยเหตุนี้หลายปีที่ผ่านมา ทรัพย์สมบัติในบ้านจึงหมดไปกับการให้ทาน และเขาก็ศรัทธากราบไหว้พระเจ้าเจินอู่ทุกวัน  พระเจ้าเจินอู่เห็นความกล้าหาญในการแก้ไขความผิดจึงเกิดความซาบซึ้ง สงสารในความยากจนของเขา จึงแปลงเป็นนักพรตคนหนึ่ง แล้วก็นำเอาใบเซียมซีของพระองค์ 12 ใบมอบให้เขาเพื่อให้เขาสามารถมีรายได้มาบ้าง จึงมีชีวิตสงบสุข และปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป เมื่อเขาตายไปแล้ว พระเจ้าตงอวี่มหาราชรับเขาไปเป็นเทพผู้บันทึกสมุดแถบเมืองหม่าซื และทางราชสำนักก็สถาปนาให้เขาเป็นอริยเจ้าอู้เปิ่น

     อธิบาย   :  คุณเฉินเหลียงหม้อกล่าวว่า  "ความยากดีมีจนของคน อายุยืนหรืออายุสั่น ตลอดจนการกินการอยู่  การกระทำการหยุดยั้ง  ล้วนมีกำหนด  ซึ่งไม่อาจขัดขืนได้"  อย่างไรก็ตามศูนย์กลางเปลี่ยนแปลงเคราะห์วาสนากลับอยู่ที่คนเป็นผู้กำหนด ดังนั้น  "กำหนด" นี้ก็ไม่สามารถกำจัดได้ เพราะว่ากำหนดนี้คือโองการฟ้า หรือชะตาฟ้า  แต่ความรู้สึกตอบสนองอยู่ที่ใใจฟ้า เบื้องบนถือหลักประโยชน์ของเวไนยเป็นหลัก ไม่แบ่งแยก  ไม่เอนเอียงแม้แต่น้อย  ถ้าคนบังเกิดความดีมีใจที่จะสงเคราะห์คนแล้ว แม้ตอนเริ่มต้นยังไม่มีเป้าหมายอะไรจะทำ ถึงแม้ขณะนั้นจะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ แต่ในใจศรัทธาตั้งใจที่สุด ก็จะสามารถขึ้นระบบใจฟ้าได้ เหมือนเสียงสะท้อนที่ดังล้วนเป็นหลักธรรมแน่นอน "กำหนด" ก็คือ "ฟ้ากำหนด"  ใจฟ้าได้ขึ้นระบบไว้แล้ว ฟ้ากำหนดก็จะหมุนตาม จะถูกกำหนดให้อยู่ได้อย่างไร เหมือนประเทศชาติที่ลงโทษ ให้รางวัลมีระบบ ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ ถ้าคนที่เป็นขุนนาง  ถ้าสามารถจงรักภักดีต่อราชาจนเป็นที่ประทับใจ ถึงแม้อาจโยกย้าย ถูกเนรเทศแล้วก็จะถูกเรียกตัวกลับได้ หรือใกล้ลงโทษประหาร พระราชาก็มีโองการนิรโทษยกเลิกได้ ในเวลาสั้น ๆ ดีใจโกรธก็เปลี่ยนแปลงได้ทันทีไม่เหมือนกัน แล้วจะมีอะไรเล่าที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงรู้ว่า ใจฟ้ากับฟ้ากำหนดต่างก็เพิ่มลดซึ่งกันและกันได้ จากอดีตสู่ปัจจับัน เรื่องราวรองรอยที่ตอบสนองต่อบุญวาสนามีมากมายนักเป็นความจริงที่น่าเชื่อถือได้ !"   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”