collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144025 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ
                                     
            คัมภีร์  :   ความผิดมากน้อยมีมากถึงร้อย อยากมีอายุยืนต้องหลีกเลี่ยงเอย

อธิบาย  :  เรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นโทษบากเป็นเวรกรรม ทั้งบาปมาก บาปน้อย  มีเป็นร้อย ๆ เรื่อง คนที่คิดจะมีอายุให้ยืนยาวก็ต้องหลบเื่ิลี่ยงเวรกรรมเหล่านี้  ท่านไท่ชั่งจะสอนคนให้หลีกเลี่ยงการทำความผดไว้ก่อน บอกด้วยว่ามีมากมายเป็นร้อยเรื่อง  ก็มีการยกตัวอย่างไว้บ้างในคัมภีร์เริ่มต้นจาก  "อะไรไม่ถูกต้องไม่กระทำ"  ถึง  "ตายก็ยังเกินเลย"  บาปกรรมที่ทำดังกล่าวมาแล้วในตอนต้นที่พูดถึงการตัดทอนอายุขัย ซึ่งสอนคนให้ณุ้จักระมัดระวัง พอมาถึงตอนนี้ก็มาพูดถึงการมีชีวิตยืน เป็นการสอนคนให้รู้จักนิยมชมชอบ กล้าหาญที่จะแก้ไขความผิดหันมาทำความดี ถึงแม้จะเป็นความผิดเล็ก ๆ น้อยๆ ก็ไม่กล้าทำ อย่างนี้ก็ต้องอายุยืนยาวเป็นผลตอบแทน  โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม ล้วนต้องสั่งสมบุญกุศล อบรมตนเองด้วยคุณธรรมเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐาน ถ้านำเอาหลักปฏิบัติของท่านขงจื่อมีหลัก "สี่ตรงร้อยกระทำ"  ในพุทธธรรมมี "บารมีหก"  ทางลัทธิเต๋ามี "สามพันบุญแปดร้อยกุศล"  เหล่านี้ล้วนเป็นการสั่งสมบุญกุศล หลบเลี่ยงบาปทั้งสิ้น ดังนั้น  การที่จะคิดสั่งสมบุญกุศลเพื่อแก้บาป ก็ต้องเรียนรู้ถึงธรรมอันสูงสุด หากจะเรียนรู้ถึงธรรมอันสูงสุด ก็ต้องมีความเข้าใจแจ่มแจ้งในใจตน เพราะว่าใจคือองค์ธรรม  และธรรมก็คือกิริยาของใจ หากคนสามารถสำรวตรวจตราใจเพ่งจิต จนเห็นองค์ธรรมกลมสว่างจนปรากฏตรงหน้า เป็นกิริยาที่ไม่มุ่งหวังไม่กระทำ ก็สำเร็จได้เอง ไม่ต้องอาศัยบารมีอะไรก็จะสามารถหลุดฉับพลันถึงฝั่งโน้น นี่ถ้าไม่ใช่บำเพ็ญจนใจโปร่งใสแล้ว จะสามารถทำให้ความคิดต่าง ๆ ห่างหายไปฉับพลันได้หรือ ฝุ่นกิเลสไม่อาจเปรอะเปื้อนได้ มูลใจอิสระ ตั้งใจไม่เกิดแน่นอน เพราะฉะนั้น คนที่บำเพ็ญจนองค์ธรรมสว่าง ไม่ทำให้กายสังขารไปถ่วงจิตเดิมไม่ถูกสภาวะภายนอกมาทำให้ใจจริงของตนสับสน สามารถตอบรับกับสรรพสิ่งตามกลไกลสัมพันธ์ ก็จะมีหลักธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับเหลืออยู่นี่ก็คือการเข้าถึงธรรมอันสูงสุด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
              คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ
                                     
            คัมภีร์  :   ความผิดมากน้อยมีมากถึงร้อย อยากมีอายุยืนต้องหลีกเลี่ยงเอย

นิทาน   :  มีเทพธิดานางหนึ่งนามว่า  หยางเจิ่นเจี้ยน  นางบำเพ็ญบารมีอีกไม่นานนักก็จะได้สัจจะแล้ว  แต่พระเจ้าติเตียนนางว่าตอนยังเป็นเด็ก พ่อแม่ของนางกำลังเตรียมเงินจะไปเสียภาษี  หยางเจิ่นเจี้ยน เห็นเข้า นางก็เลือกเอาเหรียญที่กลมและดีที่สุด แค่ 2 อีแปะเท่านั้นเก็บซ่อนไว้ นี่เรียกว่าเก็บซ่อนของทางการ เพราะฉะนั้น  พระเจ้าจึงมีบัญชาทำโทษให้นางต้องอยู่ในโลกมนุษย์อีกหนึ่งปี พระจื่อชวีหยวนจวิน กับ เหมาจวิน  ซึ่งสถิตอยู่ที่ประสาทชิงชวี มีหน้าที่ตรวจสอบกำหนดความได้เสียเรื่องราวต่าง ๆ ของเทพเซียนใต้หล้า เพียงรอบตัวก็ลบเทพเซียนออกไปถึง ๔๗  คน  หลังจากลบออกไปแล้วก็ตรวจสอบใหม่ มีแค่  ๒  คน  ที่ผ่านได้และถูกเขียนชื่อบนกระดาน นี่ก็คือพวกเขายังมีใจใคร่อยากในกามแล้วมาบำเพ็ญสัจจะ อย่างนี้จึงมีความผิดแล้ว อย่าว่าเก็บซ่อนเงินแค่ ๒ อีแปะ  ที่เป็นความผิดเล็กน้อยมาก โดยเฉพาะการบำเพ็ญของเซียนอยู่ที่ผลความดีความชั่วที่เทียบปริมาณกันแล้ว ยังถูกกล่าวโทษตำหนิติเตียนอย่างเข้มงวด นับประสาอะไร  กับคนที่ทำผิดตามอำเภอใจ โดยไม่รู้จักหลีกเลี่ยง
        ในสมัยราชวงศ์หมิง  โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน  มีวิธีแก้ไขความผิดพูดไว้ละเอียดอยู่  หากยังมีความก้าวหน้้าก็เอาเป็นตัวอย่างไปแก้ไขได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   
                                     
            คัมภีร์  :   เป็นธรรมให้เดินหน้า  ไม่ใช่ธรรมให้ถอย

อธิบาย  :   จะทำเรื่องสักอย่างหนึ่ง ต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจะลงมือทำว่าเรื่องที่จะทำมีหลักธรรมหรือไม่ ถ้าถูกหลักธรรมก่อนเดินหน้าทำต่อไป ถ้าไม่ถูุกหลักธรรมก็ให้ถอยเลิกทำเสีย  ข้อความตอนนี้คือ เริ่มจากคำนี้จนถึง ทำความดีสามร้อยกุศล  เป็นหลักการสำคัญที่ท่านไท่ชั่งเหลาจวิน ให้กระทำความดีเพื่อสั่งสมบุญกุศล เป็นการสอนให้คนน้อมนำไปปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติได้ก็เป็นการกวักบุญวาสนามาเป็นผลตอบสนอง ธรรมก็เหมือนถนนใหญ่ เป็นไปตามหลักธรรมฟ้า เข้ากับใจคน ต้องเป็นทางเรียบและตรงจึงเป็นทางธรรม หากเป็นการฝืนหลักธรรมฟ้า ขัดใจคร ทิ่มแทงติดขัดนั่นไม่ใช่ธรม  ในคัมภีร์ตั้งแต่คำว่า "ไม่ใช่เดินทางชั่ว"...จนถึง...ให้เขาไม่นึกเสียใจ"  ล้วนเป็นทางธรรมทั้งสิ้น แลก็เป็นการสร้างกุศลซึ่งเป็นบทที่สี่ทั้งบท และตั้งแต่ "หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง...จนถึง...ฆ่าเฒ่าฆ่างูไร้เหตุ ซึ่งเป็นทางชั่วบาป จัดเอาไว้ในบทที่หกคือชั่วบาป
        เป็นธรรมให้เดินหน้า ไม่ใช่ธรรมให้ถอย  คำ  "ให้"  นี้แสดงถึงความหนักแน่นมีกำลัง เพราะว่าความผิดความถูกอยู่ที่ความคิดที่รู้จักแยกแยะ จะเดินหน้าหรือถอยก็ให้ตัดสินทันที จึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ต้องตัดสินใจให้แน่วแน่ลงไปเลย ห้ามมีใจที่ลังเลไม่แน่ใจ เพียงแค่ความคิดที่เปลี่ยนเท่านั้นก็จะตกอยู่ในกำมือมาร จึงจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอ ทุกเรื่องต้องระมัดระวัง สมมุติคนในบ้านไม่เห็นตามความคิดของตนเอง จะเกิดความกังวลไหม จะมีชีวิตที่สุขสบายหรือไม่ เกิดความโลภหรือไม่ ถ้ารายได้เข้าบ้านไม่มาก รู้จักไปหาวิะ๊หาเงินหรือไม่ ถ้าเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกันจากไป เราจะเกิดเบื่อหน่ายท้อถอยหรือไม่ เหล่านี้เป็นต้น ล้วนทำให้สูญเสียธรรมทางใจไป แล้วก้เข้าสู่ทางไม่ใช่ธรรม เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรปล่อยปละดูแคลน
        คำว่า "ธรรม"  ในคัมภีร์ทางสายกลาง (จงหยง) ของท่านขงจื่อที่กล่าวไว้ว่า "โองการฟ้าคือจิต คล้อยตามจิตเรียกว่าธรรม" ธรรมนี้ก็อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการพูด หรือนิ่งเฉย หรือเคลื่อนไหว หรือเงียบ ล้วนเป็นธรรมทั้งสิ้น  เพียงต้องเข้าใจหลักธรรมของมันให้ถูกต้อง พอนำไปปฏิบัติก็มีความก้าวหน้าชาญชัย คุณธรรมโบราณก็กล่าวไว้ "มหาธรรมอยู่ตรงหน้า มองไปเห็นยาก  อยากเห็นองค์แท้ของมหาธรรม ไม่ห่างจากรูปเสียงวาจา"  ในคัมภีร์เต๋า (ต้าเต๋อจิง) กล่าวว่า "คนในระดับสูงได้ฟังเต๋า ก็มานะปฏิบัติตาม (บทที่๔๑)" คัมภีร์มองภายใน (เน้ยกวงจิง) กล่าวว่า "รู้ธรรมง่ายเชื่อธรรมยาก เชื่อธรรมง่าย ปฏิบัติธรรมยาก" อวตํสกสูตร (ฮั่วเอวียนจิง) กล่าวว่า " ศรัทธาเพื่อธรรม คือแม่บุญ เจริญเลี้ยงรากกุศลทั้งปวง ขจัดตัดสงสัย หลุดพ้นตะข่ายนทีรัก แนะนำนิพพานธรรมสูงสุด" เพราะว่าองค์ธรรมของทุก ๆคน บริบูรณ์พออยู่แล้ว ถึงแม้จะจมปลักอยู่ในกามคุณนานาชนิด ถ้าหากยอมเอาใจย้อนแสงส่องตน เช่นนี้แล้วภายในจะเป็นจริงหรือปลอม จะปกปิดสักนิดก็ไม่อยู่ นี่แหละที่เรียกว่า "หลักธรรมฟ้าองค์ธรรมไม่หยุด" ถ้าหากสามารถขยายทำให้มันเต็มเปี่ยม ถึงแม้จะผ่านไปเป็นหมื่นกัป หรือเกิดสักพันครั้ง มันก็จะไม่ร่วงตกอีก เพราะฉะนั้น หากมนุษย์สามารถรู้จักปฏิบัติเข้าเป็นที่หนึ่ง ก็จะหลุดพ้นปุถุชนสู่อริยชน ก็คงไม่ยากใช่ไหม  !  นี่เป็นสัจจริงนะ  !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   
                                     
            คัมภีร์  :   เป็นธรรมให้เดินหน้า  ไม่ใช่ธรรมให้ถอย

นิทาน ๑   :  สมัยก่อนมีชาวนาคนหนึ่ง ถูกเสือดัดเอาจนบาดเจ็บสาหัส พอมีคนพูดถึงเสือกัดคน ทุกคนฟังแล้วก็มีการหวาดกลัว แต่ชาวนาคนนี้ถึงกับมีสีหน้าถอดสี ซึ่งไม่เหมือนกับคนทั่วไป การที่เสือกัดคน ทุกคนก็พอที่จะเข้าใจถึงอันตรายของมัน แต่สำหรับคนที่เคยผ่านประสบการณ์มาจะเข้าใจลึกซึ้งกว่า ดังนั้นเมื่อมีผู้พูดถึงเสือกัดคน คนทั่วไปก็พากันหวาดกลัวเท่านั้น แต่สำหรับชาวนาผู้นี้แล้ว เขาจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการกัดของเสือเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นหน้าตาก็จะถอดสีเมื่อได้ยินคนพูดถึงเสือ

นิทาน  ๒  :  ในสมัยฮั่น  มีมหาบัณฑิตนามว่า  กวนหนิง และ ฮั่วอิน  ทั้งสองทำไร่อยู่ด้วยกัน กวนหนิงขุดดินพบก้อนทองอยู่หลายครั้ง เขาก็ไม่สนใจแม้จะมองดู  แต่ฮั่วอินเก็บมันขึ้นจากดิน แล้วโยนออกไปข้างทาง ต่อมาเกิดสงคราม กวนหนิงจึงย้ายหนีสงครามไปอยู่ที่เหลียวตง ท่านกงซุนตู้แห่งเหลียวตง ให้ความนับถือต่อกวนหนิงมาก กวนหนิงก็วางตนเฉย ท่านกวนหนิงอาศัยอยู่ที่บนเขา และก็มีหลายคนติดตามขึ้นไปอยู่บนเขาด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง วัวของคนใกล้เคียงเขาไปย่ำเหยียบนาของกวงหนิงเสียหาย กวนหนิงจึงจูงวัวออกไปเลี้ยงตามทุ่งหญ้า ทางเจ้าของวัวรู้เข้าจึงรู้สึกขายหน้า ก็มาขอโทษกวนหนิง บริเวณที่กวนหนิงอาศัยอยุ่ชักจะมีผุ้คนพากันมาอยู่มากขึ้น กวนหนิงจึงเปิดการอบรม อบรมคนแถวนั้นให้รู้จักจริยธรรม รรู้จักรักษาตนให้ซื่อสัตย์สุจริตและมีความละอาย หากผู้ที่มาขอพบไม่ได้มาเพื่อเข้าอบรม เขาก็จะไม่ให้พบหน้า จากการอบรมของกวนหนิง ไม่นานนักก็แพร่กระจายไปทั่วเหลียวตง ชาวบ้านที่ได้รับการอบรมก็มีคุณธรรมสูง จนมีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงนิสัยอันไม่ดีของชาวบ้านได้ แต่ละครั้งที่กวนหนิงได้พบหน้ากับกงซุนตู้ ก็จะพูดคุยกันแต่เรื่องคุณธรม เรื่องทางโลกเขาจะไม่พูดถึงกันเลย  กงชุนตู้เห็นความเป็นนักปราชญ์ของกวนหนิง เป็นเวลายาวนานถึง ๓๗ ปี ต่อมากิตติศัพท์ได้ยินไปถึงราชสำนัก ทางราชสำนักจึงมีราชโองการให้กลับมาที่เมืองหลวง โดยทางเรือ เดินสมุทร พอดีกเิดลมพายุ เรือใกล้จะจมลง ชาวเรือต่างร้องขอฟ้าช่วย ส่วนกวนหนิงก็ได้แต่นั่งนิ่งเฉยกล่าวว่า "ข้ากวนหนิงตลอดชีวิตเคยทำผิดครั้งหนึ่งคือไม่ได้สวมหมวกในตอนเช้า เข้านอนดึกมี ๓ ครั้ง ครั้งหนึ่งเข้าห้องส้วมไม่ได้สวมหมวก ที่ทำผิดมาตลอดก็มีเพียงเท่านี้ !"  (คงเป็นกฏระเบียบของลัทธิขงจื่อ)  เรือลำอื่น ๆ ที่แล่นมาด้วยกันล่มจมหมด  มีแต่เรือของกวนหนิงที่นั่งมาเพียงลำพังลำเดียวที่ไม่จม เมื่อมาถึงราชสำนัก ทางราชสำนักจะแต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ เขาไม่ยอมรับ แม้แต่ท่านฮั่วอิน จะยกตำแหน่งของตนให้  เขาก็ปกิเสธไม่ยอมรับ  กวนหนิงมีชีวิตถึง  ๘๔ ปี ม้านั่งไม้กับบริเวณที่คุกเข่าล้วนทะลุเป็นรูแล้ว เพราะกวนหนิงไม่ได้ใช้นานถึง  ๕๐ ปีเลยทีเดียว  ญาติหรือเพื่อนบ้านที่ยากจนไม่มีข้าว กวนหนิงก็จะแบ่งปันให้เพื่อจุนเจือพวกเขา ถ้ากวนหนิงได้พบลูกหลานของชาวบ้าน ก็จะพูดหลักกตัญญูแก่พวกเขา  ถ้าพบคนที่เป็นน้องเขา ก็จะพูดหลักความรักในสายเลือด หากพบกับผู้ทำราชการก้พุดถึงเรื่องจงรักภักดีให้ฟัง หน้าตาของกวนหนิงไม่เพียงน่านับถือ แม้แต่วาจาก็นิ่มนวล ถ้าหากสามารถชักจูงคนมุ่งสู่ความดี ก็จะสามารถกล่อมเกลาคนได้มากทีเดียวนะ  !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   
                                     
            คัมภีร์  :   ไม่ดำเนินทางชั่ว  ไม่แอบรังแกข่มแหง

อธิบาย  :  สถานที่ที่ไม่ดี อาทิเช่น บ่อนการพนัน  โรงอาบอบนวด ซ่องโสเภณี ดิสโก้เทค  ร้านคาราโอเกะ เป็นต้น  สถานที่เหล่านี้ต้องถือว่าเป็นทางชั่ว  จะต้องหลบเลี่ยงไม่ไป ในสถานที่มืดสลัว คนอื่นมองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน  หรือในที่ลับตาซึ่งง่ายต่อการทำชั่ว สถานที่เหล่านี้คือ เขตแบ่งระหว่างความดีความชั่ว ต้องรู้จักหักห้ามใจไม่ก้าวล่วงเข้าไป และก็ไม่ยอมข่มเหงรังแกใครเป็นอันขาด คัมภีร์สองคำนี้ บอกให้รู้จักหลบเลื่องแล้ว ที่สำคัญก็คือ ตักเตือนคน ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการทำดี "ไม่ดำเนินทางชั่ว"  เป็นความสง่าผ่าเผยของจิตใจ ถึงแม้จะเป็นทางชั่วเล็ก ๆ  เช่น ร้านคาราโอเกะ มีความผิดเล็กน้อยก็ตามถ้าตัดขาดได้ไม่ไปเสีย ทางชั่วใหญ่ เช่นบ่อนการพนัน โรงอาบอบนวด โสเภณี  เราก็รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดี แน่นอนยิ่งต้องละเว้น ในที่ลับตาไม่มีคนเห็นก็เป็นที่ทำชั่วได้ง่าย ถ้าในใจเราสามารถปัดกวาดให้สะอาดโปร่งใส ถึงเห็นจะอยู่ในห้องที่ผู้อื่นไม่เห็น นอกจากตนเอง เราก็จะไม่ยอมทำเรื่องชั่วร้ายเป็นอันขาดได้แล้ว ยิ่งในที่แจ้งก็ไม่ต้องพูดถึง ถ้าทำได้เช่นนี้แล้วมาทำบุญสร้างกุศล มาทำเรื่องดีงามต่าง ๆ ได้ก็จะทำได้ตลอดไม่ติดขัด  เราต้องรู้ว่าบุญวาสนามาจากการให้ทดแทนคุณ หากใจเราคิดแสวงหาบุญวาสนา แม้เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นทางชั่วแล้วนะ ! เพราะฉะนั้น การจะสร้างบุญวาสนาให้กับลูกหลาน จึงไม่ควรที่จะอธิษฐานขอให้ลูกหลานมีบุญวาสนา เช่น สะสมที่ดินสร้างบ้านใหญ่โต ผูกพันจับแต่งงาน ดิ้นรนยื้อแย่ง ซื้อเกียรติยศ  เหล่านี้เป็นการทำแทนลูกหลาน ช่วยหาบุญวาสนาให้ ต้องรู้ว่ารูปลักษณ์การสร้างบุญวาสนา หากมองภายนอกแล้ว ถึงแม้จะดูเงียบ ๆ เฉย ๆ แต่ก็สามารถทำให้ลูกหลานยืนยาวและเจริญนาน  ถ้ารูปแบบการสร้างบุญวาสนาดูภายนอกเห็นเป็นเอิกเกริกฟู่ฟ่า การตอบสนองบุญวาสนาของลูกหลานก็จะสั้นลง
        การมีชื่อเสียงเกียรติยศ ถ้ามีชื่อแท้จริงสมลักษณะก็ไม่เป็นไร คือดีจริงมีคุณสมบัติจริง  หากใจอยากให้ดังทั่วเมือง ให้คนตีร้องป่าวประกาศ อย่างนี้เป็นทางชั่ว เพราะฉะนั้น ควรรู้จักถนอมชื่อไม่ใช่เป็นการสร้างชื่อสร้างภาพ หากรู้จักเรียนวรรณกรรม มีสมบัติผู้ดี เตือนให้ระมัดระวังการรับการให้ พึงใส่ใจความสง่าผ่าเผย  เช่นนี้ถือเป็นการถนอมชื่อ ถ้าวิ่งเต้นให้มีชื่อในบอร์ด เบ่งอำนาจอิทธิพลแสดงความหยิ่งยโส  ออกกีริยาไพร่สามัญ อย่างนี้เป็นการสร้างชื่อ เพราะฉะนั้น  ผู้ที่ถนอมชื่อจะปรากฏความนิ่งเงียบสงบและดูเป็นมงคล ส่วนคนที่สร้างชื่อก็เห็นอึกทึกครึกโครม ดูกะเร่อกะร่า !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

นิทาน ๑  :  ในสมัยหมิง มีคนชื่อหยางจื่อ เป็นชาวอำเภออู๋ เมืองเจียงซู เป็นข้าราชการตำแหน่งช่างชู คืนหนึ่งเขาก็ฝันว่า เขาไปเที่ยวสวนแห่งหนึ่ง แล้วก็เด็ดผลไม้ติดมือมาสองผล กินเข้าไป พอตื่นขึ้นมาก็ให้รู้สึกเจ็บใจตัวเองแล้วพูดว่า "นี่แสดงว่ายามปกติฉันขาดความซื่อสัตย์ เห็นแก่ได้ รู้สึกไม่ลึกซึ้งดี จึงเป็นเหตุให้ฉันต้องขโมยผลลี้ของคนอื่นกิน" ด้วยเหตุนี้เขาจึงลงโทษตนเอง โดยไม่กินข้าวอยู่หลายวัน

นิทาน  ๒  :  เมื่อก่อนโน้นมีสามเณรรูปหนึ่งอายุ ๘ ปี นามว่า เหมี่ยวหยวน  เขามีภิญญาาได้มรรคผลแล้ว ครั้งหนึ่งเขาลอยเข้าไปในราชวัง ฮองเฮาต้องการอุ้มเขา สามเณรเหมี่ยวหยวนไม่ยอม จึงทูลฮองเฮาว่า " อุ้มหม่อมฉันไม่่ได้ ฮองเฮาไม่ควรเข้ามาใกล้หม่อมฉันหม่อมฉันออกบวชแล้ว"  ฮองเฮาก็ตรัสว่า " เจ้ากับลูกชายข้าเล็กเท่ากัน ให้ข้าอุ้มเจ้าหน่อยจะเป็นไรไป" เหมี่ยวหยวนทูลว่า "เราเอาเรื่องมิตรไมตรีมาเปรียบเทียบ ก้อย่่างที่ฮองเฮาตรัสเมื่อครู่นี้ แต่มิตรไมตรีเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ  ก็เหมือนเชื้อไฟเล็ก ๆ ขนาดดาวก็สามารถเผาผลาญป่ากว้าวใหญ่ไพศาล ถ้าเปรียบเหมือนหยดน้ำ ก็ยังสามารถผ่านซึมขุนเขาใหญ่โตได้ อะไรที่เป็นเรื่องอารมณ์ ก้เริ่มจากทีละน้อย จากเล็กก็กลายเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญาก็จะหลบหลีกการติเตือนสงสัย นี่ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าป้องกันเรื่องเล็กไว้ก่อน

นิทาน ๓  :  ในสมัยฮั่น นายหยางจิ้น เป็นผุ้ว่าราชการเมืองตงไหล มีครั้งหนึ่งผ่านมาที่อำเภอที่ตนปกครอง นายอำเภอหวังมี่่ ก็เป็นบุคคลที่เขาคัดเลือก ตกกลางคืน นายอำเภอหวังมี่ ก็นำเอาทองคำเข้ามาหานายหยางจิ้น หวังมี่พูดว่า "ค่ำมืดอย่างนี้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้" หยางจิ้นว่า "ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ารู้ข้ารู้ ทำไมจึงพูดว่าไม่มีใครรู้" หวังมี่ได้ยินแล้วรู้สึกอับอายมาก  ต่อมาหยาง
จิ้นได้เลื่อนขึ้นเป็นถึงซันกง

นิทาน  ๔  :  แพทย์เหอเติ้ง เป็นหมอที่มีวิชาสูง เขามีผู้ป่วยแซ่ซุนคนหนึ่ง ป่วยมานานแล้ว  ภายหลังที่แพทย์เหอเติ้งไปดูไข้ที่บ้านหลายครั้งแล้ว ภรรยาผู้ป่วยจึงพูดกับเหอเติ้งว่า "สามีฉันป่วยมานาน เงินทองก็ใช้จนหมดแล้ว ฉันยอมอุทิศกายเป็นค่าหมอค่ายา"เหอเติ้งฟังแล้วก็พูดกับเธออย่างจริงจังว่า "คุณนายชุนทำไมจึงพูดเช่นนี้ แต่ขอให้สบายใจได้อย่ากังวล ฉันจะรักษาคุณชุนอย่างเต็มที่ ถ้าหากฉันถือโอกาสลวนลามเธอ อย่างนี้ทำให้ข้านี้ต้องเป็นคนต่ำทรามไปตลอด คุณนายจะสูญเสียความเป็นกุลสตรี ถึงแม้เราจะหลบพ้นการด่าทอของคนอื่นได้ แต่ต้องรู้ว่า หลบสายฟ้าได้ยากนัก !  ต่อมาเหอเติ้งก็มีความฝัน ฝันว่าตนเองได้รับราชการตำแหน่งใหญ่ มีเทพธิดาองค์หนึ่งพูดกับเข่าว่า เหอเติ้ง เจ้ารักษาคนช่วยเหลือคนมีบุญกุศลโดยเฉพาะภายใต้การตกอับของผู้อื่น ไม่ลวนลามหญิงชาวบ้าน ดังนั้น พระเจ้าจึงประทานตำแหน่งแก่เจ้ากับเงินอีก ๕ หมื่นพวง เหมือนกับในฝันไม่ผิดเพี้ยน  !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

                                คัมภีร์   :  สั่งสมบุญกุศล

อธิบาย  :  สั่งสมบุญก็เหมือนสะสมเงินทอง ค่อย ๆ เก็บก็จะเพิ่มมากขึ้น สั่งสมกุศลก็เหมือนการก่อกำแพง ก่ออิฐขึ้นทีละก้อน กำแพลก็ค่อย ๆ สูงขึ้น  บุญไม่รู้สั่งสม บุญก็จะไม่เพิ่มขึ้น  กุศลไม่ไปทำ บารมีก็ไม่มากขึ้น ก็เหมือนชาวนาที่ขยันไถหว่านก็จะเก็บเกี่ยวได้ในฤดูสารท  เหมือนพ่อค้าที่ขยันค้าขายหวังเก็บเงินไว้มาก  วันเก็บได้หนึ่งบุญ  พรุ่งนี้ก็เก็บอีกหนึ่งบุญ  วันนี้สั่งสมได้หนึ่งกุศล  พรุ่งนี้ก็เพิ่มได้อีกหนึ่งกุศล  อยากคิดจะเป็นเทพเซียนก็ไม่ใช่เป็นเรื่องลำบาก  หากจะเป็นเซียนฟ้า ต้องทำเรื่องบุญกุศลหนึ่งพันสามร้อยเรื่อง ทำไปทุกวัน แค่ 4 ปี ก็สำเร็จแล้ว ถ้าจะเป็นเซียนดินก็ทำกุศลแค่สามร้อยเรื่อง วันละหนึ่งเรื่องเพียงหนึ่งปีก็ได้แล้ว  กลัวแ่คนไม่กล้าเปิดใจไปทำหรือทำไปครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็เลิกแล้ว  เพราะฉะนั้น  เมื่อตั้งปณิธานก็มีความตั้งใจศรัทธา  มีใจกล้าหาญ  ใจวิริยะ  ใจแน่วแน่ ไม่ใช่ตระหนี่เงินแล้วหยุดไปเลย  หรือถูกคนอื่นเขาหัวเราะก็เกิดคลางแคลงสงสัย  อย่าได้เอาแต่ความสบายจนเคยตัว  จนไม่สามารถบังเกิดความกระตือรือร้น  อย่าให้ความอยากส่วนตัวเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง  จนกระทบกับมรรคผล อย่าเห็นว่างานใหญ่กลัวลำบาก อย่าเห็นว่าบุญเล็กจึงดูแคลน อย่าให้เรื่องงานไม่ว่างเป็นเหตุผลในการบอกปัด อย่าให้รักชื่อเสียงจึงไม่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์  สรุปคือ  อย่าหลีกเลี่ยงการถูกตำหนิติเตียน  อย่าหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหา  อย่าเพราะเลยตามเลย  อย่างขาดตอน  อย่าตระหนี่  อย่าหวังตอบแทน  อย่าหวังชื่อเสียง  อะไรเป็นเรื่องกุศลก็ให้ไปทำอย่างยินดี  ความสำเร็จที่ได้จากอุปสรรค  จึงจะเป็นการสั่งสมบุญกุศลอย่างแท้จริง
       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

                                คัมภีร์   :  สั่งสมบุญกุศล

นิทาน ๑  :   พระเจ้าจืิชวีหยวนจวิน กล่าวว่า "เมื่อก่อนมีคุณหูชอบเรียนธรรมตั้งแต่เด็ก เขาเข้าไปอยู่ในห้องศิลาบนเขาเจียวชัน เวลาผ่านไป 3 ปี  ทันใดก็ได้พบท่านอริยะเจ้าไท่จี๋ ให้สว่านไม่แก่เขาอันหนึ่ง  ต้องการให้เขาไปเจาะก้อนหินก้อนใหญ่ให้ทะลุ ทั้งยังบอกเขาว่า "ถ้าหากเจ้าใช้สว่านไม้เจาะทะลุหินก้อนใหญ่นี้ได้ ฉันก็จะมาฉุดช่วยเจ้า"    คุณหูก็เจาะหินก้อนนั้นนานถึง ๔๗ ปี ทันใดนั้นก้อนหินก็ทะลุ แล้วอริยะเจ้าไท่จี๋ก็มาฉุดช่วยเขาจริง ๆ ด้วย ต้องรู้ว่าการสั่งสมบุญกุศล ไม่ได้อยู่ที่เจาะก้อนหิน เพียงแต่อาศัยเป็นกรณีอธิบาย คือคนก็กลัวที่จะไม่ทำ หรือทำไปแค่ครึ่งเดียวก็หยุด เพราะฉะนั้น  ผู้ที่ตั้งใจงานก็สำเร็จ การเจาะก้อนหินของคุณหู ก็คือประจีกษ์พยานที่แจ่มชัด

นิทาน ๒  :  สมัยช้ง  ที่เจิ้งเจียงมีผู้ว่าราชการคนหนึ่งชื่อ เก๋อชี้  แต่ละปีจะทำความดีไว้หลายเรื่อง ติดต่อกันมาไม่มีหยุดนานถึง๔๐ ปี  มีคนไปขอคำชี้แนะ เก๋อชี่พูดว่า "ฉันไม่มีเวลาพิศดาร  ทุกวันจะทำเรื่องให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นสักหนึ่งสองเรื่องเท่านั้น"  แล้วเขาก็ชี้ให้ดูที่แผ่นกระดาน  ที่วางไว้ให้เหยียบขึ้นที่นั่งว่า "ถ้ากระดานที่เหยียบวางไม่ตรง ก้อาจกระแทกจนเท้าบาดเจ็บได้ เพราะฉะนั้น ฉันก็เอามันวางให้ตรงเสีย คนที่คอแห้งฉันก็เรียกเขามาดื่มน้ำ  เหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  นับตั้งแต่มหาอำมาตย์จนถึงขอทาน ก็สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้  ทำไปนาน ๆ ก้จะได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง"

นิทาน ๓   :  นายเจียวกง เป็นชาวตงจิง เพราะบ้านสามชั่วคนมาแล้วที่ภรรยาคนแรกไม่มีบุตรชายสืบสกุล เขาจึงเที่ยวสอบถามผู้รู้ไปทั่ว  เพราะเขาเป็นพ่อค้าที่เดินทางค้าขาย ต่อมาเขาได้พบกับพระภิกษุเฒ่ารูปหนึ่ง พระภิกษุเฒ่าบอกเขาว่า "สาเหตุของการไม่มีบุตรชาย มี ๓ อย่าง ๑. บรรพชนไม่ได้สั่งสมบุญกุศล  ๒.ชะตาอายุของสามีภรรยา อาจละเมิดข้อห้ามบางอย่างไว้  ๓.ตนเองไม่รักษาสุขภาพ ภรรยามีโรคเลือดเย็น"  เจียวกงตอบว่า  เรื่องสั่งสมบุญกุศลกับชะตาอายุของสามีภรรยา ล้วนสามารถปฏิบัติได้ แต่เรื่องโรคเลือดเย็นนี่มีวิธีรักษาอย่างไร"  ภิกษุผู้เฒ่าตอบว่า  "อันนี้ไม่ยาก แต่เธอต้องไปสะสมบุญกุศลก่อน ภายหลังก็เสริมสร้างสุขภาพให้ดีสามปีให้หลัง ก็มาถึงอู่ไถ่ชัน ข้าจะให้ตำหรับยาแก่เจ้า" จากนั้นจวงกงก็เริ่มสร้างบุญสร้างกุศลสร้างบุญลับต่าง ๆ  เขาสั่งสมบุญกุศล ๓ ปีแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปอู่ไถชัน เพื่อหาพระภิกษุเฒ่า ก็เห็นลูกศิษย์วัด ในมือถือม้วนกระดาษ เขาพูดกับเจียวกงว่า "หลวงพ่อบอกให้ฉันมาบอกท่าน ท่านได้สั่งสมบุญกุศลมาครบ ๓ ปีแล้ว ก็ให้ไปหายาตามใบยา แล้วก็กินอย่างนอบน้อม จะได้ลูกหลานที่ดีร่ำรวยตามแต่ใจที่ท่านคิด"  ต่อมาเจียวกงได้ลูกชาย คือเศรษฐีเจียง แต่ลูกของเศรษฐีเจียงไม่ดี เศรษฐีเจียงถึงกับเสียใจว่าบุญกุศลของตนจึงเสียหายถึงขนาดนี้  จึงไปที่อู่ไถชัน พบแต่ลูกศิษย์  ลูกศิษย์ว่า " "หลวงพ่อให้ฉันมาบอกท่านว่า จะมาถามทำไม  แต่ทำไมไม่เจริญรอยตามพ่อของท่าน  สร้างบุญกุศลยังจริงใจซิ แล้วบุตรที่โง่เขลาก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ฉลาด มีความสามารถ ที่ยากจนก็จะร่ำรวยขึ้น เศรษฐีเจียงพูดว่า " ยากจนแล้วเปลี่ยนเป็นคนรวยนี่เป็นชะตาชีวิตของเขาเอง แต่ที่โง่เขลามันเป็นธรรมชาติจากสมองของเขา อันนี้ไม่มีทางช่วยเหลือ !" ลูกศิษย์ว่า "ท่านพูดอะไรโง่ ๆ อย่างนั้น เขาเปลี่ยนแปลงได้ซิ"  ยังพูดต่อว่า  "สมัยก่อนตู้อวี่เกิง มีบุตรชาย ๕ คน เกิดแรกๆ สุขภาพไม่ค่อยดี รูปร่างก้ไม่ครบถ้วน ต่อมาตู้อวี่เกิงจึงไปที่โจวเอี้ยนซันตั้งใจสร้างบูยสร้างกุศล บุตรชายทั้งห้ากลับกลายเป็นคนดี และยังสอบได้ตำแหน่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงร้อนเปอร์เซ็นต์ ! "  เศรษฐีเจียงฟังแล้วก็ขอบคุณลูกศิษย์แล้วกลับบ้าน ตั้งใจทำดีสร้างกุศลโดยไม่ลังเลสงสัย  ๒๐ ปีต่อมา  ลูกชายก็ดีขึ้นหลายคนและทุก ๆ คนก็ได้บุตรดีด้วย
        คนในปัจจุบันก็รู้เรื่องนี้ดีว่า ตู้อวี่เกิง แห่งเอี้ยนซัน มีบุตรชาย ๕ คน ล้วนมีความร่ำรวยติดต่อกันเป็นที่กล่าวขาน และต่างก็รู้ว่าบุตรของเขาเกิดมาแรก ๆ สุขภาพก็ไม่ดี บ้างก็ไม่สมประกอบ ด้วยความมุ่งมานะทำความดีสั่งสมบุญกุศลของนายตู้อวี่เกิงเรื่อยมา จนบุตรของเขาหายจากสุขภาพไม่ดี ทุกคนสุขภาพดี ว่องไว เป็นคนดี !  จะเห็นได้ว่า ฟ้ากับมนุษย์ผสานกันได้ง่ายเช่นนี้ เพียงขอให้มนุษย์มีใจทำงานแน่วแน่และศรัทธา สร้างบุญกุศล อย่าได้เกียจคร้านเลย !   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”