collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144028 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                 
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                         บทที่หนึ่ง

                                         ความหมาย

        นิทาน ๕  :  ในสมัยราชวงศ์ซ้ง  นายเหว่ยต๋งต๋า เป็นข้าราชการในสำนักราชบัณฑิต มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาถูกยมทูตจับตัวไปยังยมโลก ยมบาลผู้ตัดสินความ สั่งให้ท้าวสุวรรณตรวจสอบบัญชีบาปบุญ เมื่อบัญชีบันทึกบาปบุญถูกส่งมาที่ห้องพิจารณาคดี บัญชีที่บันทึกความผิดมีมากมาย ส่วนบัญชีบันทึกความดีมีความหนาเท่ากับความหนาของตะเกียบเท่านั้น ยมบาลจึงส่งให้นำขึ้นชั่ง ปรากฏว่าบัญชีความผิดซึ่งมีมากมายกลับเบากว่าบัญชีบันทึกความดี  นายเหว่ยต๋งต๋าจึงถามขึ้นว่า "อายุฉันยังไม่ถึง ๔๐ ปี ทำไมจึงทำผิดมากมายเช่นนี้" ยมบาลตอบว่า "เพียงแค่เกิดความคิดชั่วเกิดขึ้นก็บาปแล้วไม่ต้องรอไปกระทำหรอก"  สมมุติเห็นหญิงสาว เกิดใจลามกก็มีความผิดแล้ว แล้วนายเหว่ยต๋งต๋า ก็ถามต่อว่า แล้วบัญชีบันทึกความดีนั้นคืออะไร  ยมบาลตอบว่า "มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้คิดจะสร้างสะพานหินบน  ๓ ภูเขา เจ้าก็ทูลฮ่องเต้ว่าอย่าไปสร้างเลย เพราะราษฏรจะได้รับความเหนื่อยยากทั้งแรงกายและเงินทอง นี่คือสิ่งที่เจ้าได้กราบทูล" แต่เหว่ยต๋งต๋าตอบว่า "ฉันเพียงได้กราบทูล แต่ฮ่องเต้ไม่ทรงฟัง และก็ได้ลงมือสร้าง การกราบทูลห้ามก็ไม่มีผลประการใด แล้วผลความดีทำไมจึงมีน้ำหนักมากนัก" ยมบาลตอบว่า "ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่ฟังคำของเธอ แต่ความคิดของเธอนั้นจริงใจ จุดมุ่งหมายไม่อยากให้ประชาราษฏรต้องเหน็ดเหนื่อย ถ้าหากฮ่องเต้ฟังคำของเธอแล้ว ความดีของเธอก็จะยิ่งใหญ่กว่านี้มาก ถ้าเธอยอมเอาใจนี้มากล่อมเกลาผู้คนก็ไม่ใช่จะยากเย็ยอะไร ! น่าเสียดายที่ความคิดชั่วของเธอมีมากมาย เพราะฉะนั้น ปริมาณความดีจึงถูกลดไปกึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่มีโอกาสไปถึงตำแหน่งมหาอำมาตย์"  ก็เป็นจริงดังว่า นายเหว่ยต๋งต๋ารับราชการไปถึงตำแหน่งบรรณาลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์เท่านั้นไปไม่ถึงตำแหน่งมหาอำมาตย์

        สรุป  :  ความคิดแค่เกิดขึ้นจากความคิดยังไม่ได้กระทำก็ยังถูกบั่นทอนบุญวาสนาแล้ว เช่นเดียวกัน ความคิดดี แม้ไม่ถูกนำไปกระทำ ก็ให้มีพลังมีอานุภาพมาก  ดังตัวอย่างในนิทาน ถ้าหากความคิดดี ความคิดชั่วถูกนำไปกระทำแล้ว พลังความดี ความชั่ว จะมีมากขนาดไหน จะเห็นว่า แค่เคลื่อนไหวทางความคิดเท่านั้น นี่คือ ทวารแห่งภัยพิบัติและบุญวาสนา

        คติพจน์  :  "ทำความดีเหมือนหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ คือ ไม่เห็นต้นหญ้าสูงรก แต่มีหญ้าเพิ่มขึ้นทุกวัน ทำความชั่วเหมือนหินลับมีด คือ ไม่เห็นหินมันสึกกร่อน แต่นับว่าก็สึกกร่อนไป"  เพราะฉะนั้น บุญก็ดี  บาปก็ดี  มันเพิ่มลดโดยเราไม่รู้สึกตัว ผู้ไม่มีปัญญา  ไม่อาจจะเข้าใจได้ง่ายนัก
        ท่านเว่ยหล่าง (ฮุ่ยเหนิง) สังฆปรินายกในสมัยราชวงศ์ถัง กล่าวไว้ว่า "เนื้อนาบุญ ไม่พ้นตารางนิ้ว"  ในพุทธธรรมก็ว่า "บาปบุญ  มงคลเคราะห์  สุดแต่ใจสร้าง"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่หนึ่ง

                                            ความหมาย

                     คัมภีร์ :  บุญบาปตอบสนอง  เหมือนเงาตามตัว     

        อธิบาย  :  การตอบสนองของบาปบุญ  ก็เหมือนเงาที่ติดตามตัว คนเดินไปถึงไหนเงาก็ตามไปที่นั่น มันไม่แยกจากกันเลยตลอดกาล  ความดีความชั่วก็คือการพูดถึงใจของคน การตอบสนองก็คือหลักธรรมฟ้า ถ้าร่างกายของคนตรงเงาก็ตรง ถ้าร่างกายเอียงเงาก็เอียงไป เป็นเช่นนี้อย่างไม่ผิดเพื้อน หากสร้างเหตุความดีไว้ ก็ย่อมได้รับผลของความสุข หากได้สร้างเหตุความชั่วก็ย่อมได้รับทุกข์เป็นผล เหตุผลเหล่านี้  อริยเจ้าได้พูดไว้ละเอียดมาก น่าเสียดายคนที่มีความรู้ คือมีการศึกษา ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อเหตุผลเหล่านี้ ส่วนคนโง่ที่ไม่มีปัญญาก็ไม่เชื่อเพราะมองไม่เห็น ดังนั้นจึงละดีทำชั่ว เพราะว่าพวกเขาเห็นคนที่มักทำความดี มักมีชะตาชีวิตที่ผกผัน กับคนที่เรื่องชั่ว ๆ ไม่เพียงมีอายุยืนยาวแถมร่ำรวยอีกต่างหาก เพราะปัจจุบันการรับกรรมสนองมีต่าง ๆ กัน ซึ่งความดีความชั่วกลับไม่เห็นการตอบสนอง ดังนั้น เหตุต้นผลกรรมจึงดูไม่มีเหตุผลเพียงพอต่อความเชื่อถือ  ทั้งนี้  เพราะคนโง่ผู้ไร้ปัญญา พวกเขาไม่รู้ว่า มนุษย์โลกไม่มีใครยืนหลายร้อยปี และสวรรคฺก็ไม่ได้คิดบัญชีในทันที  และคนในโลกนี้ดีบริสุทธิ์หรือชั่วบริสุทธิ์ก็มีน้อยมาก ดังนั้น โอกาสทำความดีความชั่วก็มีมากมาย เพราะว่าความคิดนี้ก็มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ผลตอบสนองก็ควรสลับไปสลับมา บางทีก็ตอบสนองบนตัวเขาเอง บางทีก็ตอบสนองกับลูกหลานเขา บางทีก็ตอบสนองในปุจจุบันชาติ บางทีก็ตอบสนองในชาติหน้า บางครั้งก็ตอบสนองก็มากบ้างน้อยบ้างเร็วบ้างช้าบ้าง ถึงแม้ในนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงแยกย้ายแต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีการผิดเพี้ยน ดังที่พูดกันว่า "ความดีความชั่วถึงที่สุด แล้วมีตอบสนองเพียงแต่เร็วหรือช้าเท่านั้น" "ไม่มีหรอกที่จะไม่ตอบ เวลายังมาไม่ถึง" เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรมองเฉพาะหน้า ควรจะติคตามให้ถึงที่สุด เพราะว่าการตอบสนองของความดีความชั่ว เป็นเหมือนเงาตามตัวแน่นอน  ถ้าว่าตามพุทธธรรม กฏแห่งกรรมต้องพูดถึง 3 ชาติ ชนิดแรกคือปัจจุบัน ก็คือจะได้รับผลตอบสนองในชั่วชีวิตนี้  ชนิดที่สองคือ ชาติหน้า คือได้ผลตอบสนองในชาติถัดไป  ชนิดที่สามคือชาติถัด ๆ ไปคือได้ผลตอบสนองในชาติอื่น ๆ ถัดไป  อาจเป็นสิบชาติร้อยชาติพันชาติก็ได้  เพราะฉะนั้น ถ้าปัจจุบันทำดีกลับได้รับภัยพิบัติ อันนี้เกิดจากกรรมชั่วที่เขาทำเมื่อชาติที่แล้ว มาถึงปัจจุบันก็ประจวบเหมาะกรรมตอบสนองพอดี  ผู้ที่ปัจจุบันทำชั่วกลับมีบุญวาสนา  อันนี้เกิดจากกรรมดีที่เขาทำไว้เมื่อชาติที่แล้ว มาถึงปัจจุบันก็ประจวบเหมาะกับกรรมดีตอบสนอง  เพราะฉะนั้น ในบุญมีเคราะห์  ในเคราะห็มีบุญ ก็เพราะว่าคนเราไม่มีใครดีบริสุทธิ์หรือชั่วบริสุทธิ์ บางคนเริ่มต้นก็มีบุญวาสนา สุดท้ายกลับมีภัยพิบัติ นี้เพราะใจอันดีงามของเขาถดถอยไป บางคนเริ่มต้นมีแต่ภัยเคราะห์ ต่อมาภายหลังกลับมีบุญวาสนา ทั้งนี้เพราะใจชั่วของเขาสำนึกผิด ถ้าหากผลตอบสนองไม่มีการเปลี่ยนแปลง นั่นคือการตอบสนองโดยตรง ถ้าหากภัยพิบัติกับบุญวาสนาช่วยกันปรากฏให้เห็น ก็แสดงว่าผลตอบสนองคลุมเครือ และบังเอิญกับพอดี ยิ่งบางคนไม่เข้าใจกุศลลับ กับ อกุศลลับด้วยแล้ว มันไม่ใช่หูหรือตาของคนที่สามารถมองเห็นฟังถึงผลกรรมตอบสนองได้  จะต้องรู้ว่ากฏหมายในโลกยังมีรอยรั่วและไม่รัดกุม แต่การตอบสนองของธรรมแห่งฟ้าไม่มีการรั่วไหลหรือมีช่องโหว่ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า "สร้างความดีความชั่ว ตอบสนองเหมือนเงาตามตัว จงอย่าพูดว่าทำชั่วไม่ตอบสนอง รอให้ชั่วมันเอ่อล้น จงอย่าพูดว่าทำดีไม่ได้รับ รอผลดีสมบูรณ์ก่อน" ในพุทธธรรมก็ว่า "ถึงแม้จะเป็นร้อยพันกัป กรรมที่ทำไม่สลายเหตุสัมพันธ์ได้เวลา จงรับผลตอบสนอง" เหล่านี้ก็น่าจะรู้ว่า เราได้รับสุขทุกข์ในสามภพภูมิ วนเวียนอยู่ในวิถีหก ข้างบนก็คือภพภูมิสามที่ดี ข้างล่างคือภพภูมิบาปทั้งสาม ล้วนสุดแต่ใจคนจะกวักหามา ควรรู้เอาไว้ว่าตาข่ายฟ้าหลุดรอดยาก แม้คิดจะหลบหนีก็เหมือนเดินอยู่กลางทุ่งโล่ง เมื่อเกิดฝนตกหนัก มองไปทุกทิศล้วนแต่เปียกปอน ที่แท้ก็ไม่มีที่จะหลบฝนได้ แต่ชาวโลกไม่บรรลุรู้ จึงหมดทางสำเร็จถึงภาพลักษณ์ที่แท้จริงของการตอบสนอง หากผลตอบสนองยังอยู่ไกล แน่นอนเราก็จะมองไม่เห็น ผลตอบสนองที่มองเห็นได้ ก็ทึกทักเหมาเอาว่า มันเป็นไปตามสภาวะปกติที่ราบรื่นบ้าง ขรุขระบ้าง จึงไม่เพิ่มความสำคัญ  ยามปกติก็ดูแคลนกันแบบนี้ จึงไม่เอามาวินิจฉัย บางครั้งประสพกับมหาโชค หรือมหาภัยซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะเชื่อถือได้ แต่กลับเอาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องน่าเชื่อถือมายอมรับ แบบนี้เป็นเรื่องตัวเองหลอกตัวเอง สงสัยตัวเอง ถึงแม้คนที่ผ่านชีวิตมายาวนาน บังเอิญบรรลุรู้หลักธรรมบ้าง แต่เพราะคนก็แก่ชราแล้ว นิสัยก็ยึดติดแน่นแล้ว ยากที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ยิ่งคนหนุ่มสาวที่แข็งแรงเลือดลมดี ก็ยิ่งยากที่จะเชื่อถือ นี่แหละที่ทำให้ในโลกนี้จึงมีคนหลงลืมตนเองจำนวนมาก จึงเดินไปสู่ทางสามแพร่ง เป็นเรื่องที่น่าเวทนานัก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่หนึ่ง

                                            ความหมาย

                     คัมภีร์ :  บุญบาปตอบสนอง  เหมือนเงาตามตัว     

        นิทาน  ๑  :  ในราชวงศ์ชิง ที่เมืองฉงหมิง มีคนชื่อ  หวงย่งเจียะ มีหมอดูคนหนึ่ง ทายดวงชะตาของเขาว่า เขาจะมีอายุแค่ ๖๐ ปีต่อมามีเรือจากหนานหยางลำหนึงประสบกับพายุ เรื่อใกล้จะจมลง นายหวงย่งเจียะรีบเอาเงินสิบตำลึงซื้อเรือประมงให้ออกไปฉุดช่วย เขาฉุดช่วยคนมาได้ ๑๓ ชีวิต  ต่อมาเขาได้พบหมอดูคนนั้นอีก มองดูคนนั้นมองหน้าเขาแล้วประหลาดใจถามว่า "คุณหวง เส้นชะตาชีวิตบนหน้าท่าน สั่งสมบุญกุศลมามาก ไม่เพียงแต่ท่านจะได้บุตร บุตรของท่านยังจะสอบเข้าราชสำนักได้ ชีวิตของท่านก็จะยืนยาวขึ้น" ต่อมา นายหวงย่งเจียะก็ได้บุตรคนหนึ่ง ตังหวงย่งเจียะก็มีอายุยืนยาวถึง ๙๐ ปี และสิ้นขัยอย่างสงบ  นิทานนี้ก็ให้รู้ว่าธรรมแห่งฟ้าน่าเชื่อถือ แล้วคนทำไมไม่ยอมละชั่วทำดีน่ะ ?

        นิทาน  ๒  :  ที่เมืองซิ้วซุ่ย  มีคนชื่อเจ่อฟานฉี  เขาเป็นคนทำชั่วมาก ยุยงให้คนมีคดีความกัน ชอบด่าพระด่าเจ้า  มีอยู่วันหนึ่ง เขาก็ล้มตายฉับพลัน ผ่านไปคืนหนึ่งก็ฟื้นขึ้นมาใหม่  เขาจึงเรียกลูกเมียให้ไปเรียกชาวบ้านมารวมกัน แล้วเล่าว่า "ยมบาลบอกว่าคนตายในยมโลกต้องรับโทษตอบสนอง  คนบนโลกนี้ไม่รู้อะไร การได้รับการตอบสนองจะรู้สึกเจ็บปวดมาก ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้ว ที่น่าสมเพชคือชาวโลกไม่รุ้จักความน่ากลัวของนรก จึงยังทำความชั่วกันจริงจัง เจ่อฟานฉี มีโทษมหันต์ เพราะฉะนั้นจึงอาศัยพวกเจ้ามาบอกกล่าวตักเตือน "พุดจบเขาเอามีดเฉือนเจ้าโลกทิ้งพร้อมพูดว่า" นี่คือการตอบสนองล่วงประเวณี  "เขายังควักลูกตาออกพร้อมพูดว่า" นี่คือดูถูกลบหลู่เซียนพุทธะบิดามารดา" เขายังตัดมือของเขาแล้วพูดว่า "นี่คือมือที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต"  เขายังผ่าท้องควักหัวใจ พูดว่า "นี่คือกรรมตอบสนองความชั่วร้าย"  เขาตัดลิ้นแล้วพูดว่า "เพราะพูดจาหลอกลวง"  คนรอบข้างมองดูแล้วรู้สึกสะพรึงกลัว  เขาทรมานอยู่ถึง  ๖ วันจึงตายร่างกายไม่มีชิ้นดี  นี่คือทำเองรับเอง การตอบสนองช่างรวดเร็วจริงหนอ !

        สรุป   :  ที่ศาลเจ้าตงอี้  มีกลอนคู่เขียนไว้ว่า  :   "บนโลกอันธพาลฝืนหลักธรรม  ยมโลกตอบสนอง  อดีตมาเคยละเว้นใคร" ทำไมคนจึงต้องรู้อาญากรรม ด้วยก่อความทุกข์ไม่จบสิ้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        คัมภีร์  :  ด้วยฟ้าดินมีเทพเจ้าปกครอง อิงการกระทำของมนุษย์หนักเบาเพื่อลงโทษตัดขัย

อธิบาย  :   ตลอดชีวิตของคน ไม่ว่าจะเป็นกลางคืนหรือกลางวัน ทุก ๆ นาทีข้างบนหรือข้างล่าง รอบ ๆ ทั้งสี่ด้าน ล้วนมีผู้ควบคุม คือมีเทพเจ้าควบคุมตรวจตราความชั่วของมนุษย์ และก็อิงตามความชั่วว่า  มีหนักเบาแค่ไหน เพื่อลงโทษตัดทอนอายุขัยของมนุษย์ (ถ้ามนุษย์มีอายุถึงหนึ่งร้อยวัน เรียกว่า หนึ่งช้วน  ความผิดเบาก็ตัดขัยน้อย  ความผิดหนักก็ต้ดขัยมาก
        ฟ้ามีตรีรัชภพห้าพระเจ้า  มีเทพเจ้าอีกนับร้อย ๆ  ดินมีห้า  มหาขุนเขาสี่  มหานที และ นครชุมชน ก็มีเทพที่มีหน้าที่จดความคิดดีคิดชั่วของมนุษย์  เจ้าผู้ทำหน้าที่ต่าง ๆ เหล่านี้ เรียกว่าเทพเจ้าปกครอง  อันที่จริงแล้วเบื้องบนมีจิตเมตตาอารีย์ คิดอยากให้ชาวโลกรู้จักสัมผัสใจตนเอง ทำดีละชั่ว  ด้วยเหตุนี้จึงมีเทพเจ้าปกครอง คอยตรวจสอบคนที่ทำชั่วกับวัดระดับหนักเบาของความชั่ว  แล้วมาตัดอายุขัยของคนร้อยวัน  เพราะฉะนั้นที่ว่า "ชาวโลกแอบกระซิบส่วนตัว เบื้องบนได้ยินดังเหมือนสายฟ้า หากคนทำสิ่งที่เลวร้ายในพริบตา ก็หนีไม่พ้นตาอันแหลมคมดุจไฟฟ้าของเทพเจ้า"  ในคัมภีร์ซีจิงก็มีกล่าวว่า "พระเจ้าตรวจสอบทั้งกลางวันกลางคืนถึงการกระทำ คำพูด ความคิด ของมนุษย์" นี่แหละคือเหตุผลที่ในใจเราสัมผัสรู้ เทพเจ้าแห่งฟ้าดินก็ตรวจสอบเราเข้มงวดมากกว่าเราสัมผัสรู้เสียอีก และนี่คือหลักธรรมที่มนุษย์กับฟ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว
        ในอวตังกสูตร กล่าวว่า ภายหลังที่แต่ละคนเกิดมา ก็จะมีเทพสององค์ติดตาม  องค์หนึ่งมีชื่อว่า ร่วมชีวิต  อีกองค์หนึ่งชื่อว่า ร่วมชื่อ  เทพทั้งสองนี้จะติดตามเราไปตลอดและพบเห็นได้บ่อย ๆ  แต่คนที่ถูกเทพติดตามก็จะมองไม่เห็นองค์เทพ "เทพทั้งสองก็คือเทพกุมารฝ่านดีกับฝ่ายชั่ว ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง จะคอยบันทึกการกระทำดีชั่วของเรา รวามทั้งความคิดในใจ  เพราะฉะนั้น  พอคนเคลื่อนไหวความคิด พูดคุยพบปะผู้คนต้องให้คิดถึงเทพทั้งสอง ที่คอยติดตามบันทึก อย่าให้ความคิดชั่วต้องคอยถูกบันทึกติดต่อกันไปไม่ขาดนะ !  ถ้าบังเอิญเจ้าความคิดชั่วเกิดขึ้นก็ให้ระงับเสีย แล้วพามันหวนกลับมา เพราะฉะนั้นการกดข่มตนเองต้องกดข่มจากตรงที่กดข่มยากเรื่อยไปจนกว่าความคิดนั้นจะดับไป ถ้าหากฝึกฝนได้เช่นนี้เรื่อยไป วิบากกรรมมากมายของเราก็สามารถที่ทำให้หมดจดบริสุทธิ์ดุจอวกาศได้ในขณะหนึ่ง ถ้าทำได้เช่นนี้ เจ้ามงคล  ภัยเคราะห์  บุญวาสนา  อายุสั้นยาว ก็สามารถควบคุมให้อยู่ในกำมือของเราเอง เทพเจ้าฟ้าดินก็ไม่อาจทำอะไรได้ ยิ่งนับประสาอะไรกับเทพเจ้าปกครองที่คอยตัดอายุขัยเล่า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
   
                 คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        นิทาน  ๑  :  ในสมัยราชวงศ์หมิง เมื่อไท่หยวนซานซี  นายหวังย้งอวี่  เขาเป็นผู้มีคุณธรรมสูงต่อผู้อื่น เขาบูชาพระเจ้าเหวินเซียงอย่างนอบน้อม เขากับเพื่อนอีกหลายคนตั้งชมรมขึ้น พอถึงวันอริยสมภพของพระเจ้าเหวินเซียง พวกเขาก็จะผลัดกันรับหน้าที่ตกแต่งปะรำพิธีบนตำหนักยอดเขาเพื่อขอพร ในชมรมมีหนึ่งคนชื่อโถวหลิน เป็นผู้มีความกตัญญูยิ่ง มีหลายคนทั้งใกล้ไกลพากันมาศึกษากับเขา ไหว้เขาเป็นอาจารย์ ยังมีอีกคนชื่อฉงโจว  หน้าตาผึ่งผาย  ทะมัดทะแมง  รูปร่างสูงใหญ่  ศิลปการพูดการเขียนป็นหนึ่ง ทุกคนต่างชื่นชมนิยมบุคคลทั้งสองมาก ในปีฮ่องเต้เจิ้นถงครองราช  นายหวังย้งอวี่เตรียมตัวขึ้นเขาไปยังตำหนักพระเจ้าเหวินเซียง เช้าเป็นพิเศษ เพื่อจัดงานอริยสมภพ และ เตรียมค้างคืนบนเขาด้วย คืนนั้นเขาก็ฝัน  ฝันว่าพระเจ้าเหวินเซียงกำลังเสด็จขึ้นแท่นประทับ พวกศาลเจ้าเมืองต่าง ๆ พากันเข้ามาเฝ้า เจ้าเมืองต่างรายงานบันทึกของประชาชนของตน มีเทพองค์หนึ่งสวมชุดข้าราชการสีแดง ในมือถือสมุดเล่มใหญ่ยื่นใหถวายให้พระเจ้าเหวินเซียงลงพระนาม หวังย่งอวี่จึงแอบถามเทพองค์นั้นว่า "มีรายชื่อสอบบรรจุข้าราชการเมืองซานซีหรือไม่ มีชื่อของหวังย่งอวี่  โถวหลิน  และฉงโจว ๓ คนสอบติดไหม เทพตอบว่า "ไม่มี"  สักครู่หนึ่ง พอบรรดาเทพศาลเจ้าเมืองกลับกันหมดแล้ว เทพเสื้อแดงก็ถวายรายชื่อขึ้นไป  พระองค์ก็ค่อย ๆ ตรวจรายชื่อและวงแต่ละชื่อ บางครั้งพระองค์ก็รีรอไม่ลงสักที เทพเสื้อแดงจึงประกาศต่อหน้าเทพศาลเจ้าเมืองแต่ละเมืองว่า ให้รีบไปตรวจสอบบุญกุศลของบุตรแต่ละครอบครัวเอารายชื่อพวกเขารายงานขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนชื่อที่พระองค์ไม่อนุมัติ"  ขณะนั้นนายหวังย้งอวี่ ที่หมอบอยู่ข้างเสาร์ได้พระแท่น ก็ได้ยินเสียงขานเรียกจากด้านในของพระแท่น  ให้หวังย้งอวี่เข้าเฝ้าพระเจ้าเหวินเซียง  หวังย้งอวี่จึงเข้าไปคุกเข่าบนเบาะใต้พระแท่น พระองค์ตรัสว่า " เรื่องการสอบ เป็นความลับของสวรรค์ จะแพร่งพรายไม่ได้ เพราะเจ้าเคารพบูชาข้ามาตลอด  ๑๐ ปี ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นจึงเรียกเจ้ามาชำระความ  ปู่ของเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ หากินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน  และก็ไม่เคยรังแกใครตอนนั้นก็ได้บันทึกให้เจ้าสอบได้เป็นที่หนึ่งของเมือง เพื่อเป็นการประจักษ์ถึงคุณธรรมที่สืบทอดกันมาของบ้านเจ้า และเป็นเพราะเมื่อเจ้าพบปะพระเจ้าก็ก้มหัว  แต่ว่าแต่ละครั้งที่เจ้าภาวนา เจ้าก็ขอให้ตนเองประสบความสำเร็จ และขอให้เมียเจ้าหายจากเจ็บป่วย ขอให้สามีภรรยามีอายุยืนยาวจนแก่เฒ่า แต่กลับมารดาของเจ้าที่ยังอยู่ เจ้าไม่เคยขอภาวนาให้พระคุ้มครองมารดาเลย ด้วยเหตุนี้ จึงลดขั้นบุญวาสนาลงไป ๒ ขั้น เจ้าจะสอบได้อันดับที่ ๕๓  เจ้าต้องแก้ไขพฤติกรรมของเจ้า จงอย่าได้ละเมิดใจฟ้าอีก" หวังย้งอวี่ฟังคำวินิจฉัยของพระองค์แล้ว ก็ได้แต่ก้มกราบขอประทานอภัย พระองค์ตรัสต่อว่า " กับคนในชุมชนของเจ้านายโจวจี๋เป็นผู้สอบไล่ได้ที่หนึ่งของชุมชนเจ้า" ขณะนั้นในสมาชิกชมรม นายโจวจี๋เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ที่สุด ความรู้วิชาก้ด้อยกว่าผู้อื่น  นายหวังย้งอวี่ฟังแล้วรู้สึกตกใจหวาดหวั่น ดังนั้นจึงก้มกราบทูลถามพระองค์ถึงสามเหตุการสอบไล่ได้ของนายโจวจี๋ พระองค์ตรัสว่า " พ่อและปู่ของโจวจี๋เป็นคนเรียนหนังสือตลอดมาก็ไม่เคยมีคดีความ และก็ไม่เคยล่วงประเวณี  ตระกูลโจว ๓ ชั่วคน ไม่เคยพูดถึงความชั่วของผู้อื่น หรือ เปิดเผยความเลวของผู้อื่นเลย โดยเฉพาะปู่ทวดของโจวจี๋ เคยนำเอาหนังสือ "ร้อยขันติ" ไปตักเตือนกล่อมเกลาชาวบ้าน เขาได้กล่อมเกลาคนไปไม่น้อย เพราะฉะนั้น ตระกูลโจวหลายชั่วคนช่วยกันสั่งสมบุญกุศลมาอย่างเงีบย ๆ  เป็นเวลานานถึง ๖๐ ปีแล้ว ถือเป็นกุศลลับสูงสุด คนอื่นไม่มีใครรู้  พระเจ้าจึงพอพระทัยเป็นพิเศษ  จึงกำหนดให้ตระกูลโจวมีความเจริญถึง ๓   ชั่วคน ตอนนี้โจวจี๋ก็สอบได้ที่หนึ่ง  นี่คือจุดเริ่มต้นบุญวาสนาของตระกูลโจว" นายหวังย้งอวี๋ทูลถามพระองค์ต่อไป "เพื่อนในชมรม นายโถวหลิน  นายฉงโจว   ไม่ทราบว่าเขาทั้งสองสอบได้ไหม" พระองค์จึงตรวจสมุดของเมืองไท่หยวนดู พระพักตร์ไม่สู้พอพระทัยตรัสว่า "โถวหลินเดิมทีต้องสอบได้ แต่เขาดูแลบิดามารดา มีโทษกลับกลอก และมักจะนินทาผู้อื่นบ่อย ๆ ไม่มีเหตุผล ฟุ้งเฟ้อว่าตนเป็นบัณทิต เพราะฉะนั้น จึงลบชื่อออก ทำให้ชีวิตเขาต้องยากจนลง"  หวังย้งอวี่กราบทูลถามพระองค์ว่า "อะไรคือกลับกลอก"  พระองค์ตรัสว่า "โถวหลินประพฤติต่อบิดามารดาของเขา ถึงแม้คำพูดและกิริยา แสดงถึงความกตัญญู แต่ภายในใจของเขากลับไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ฝืนปั้นสีหน้าภายนอกดูเหมือนเชื่อฟังบิดามารดา แต่จิตใจกลับแย่ลงไปทุกวัน ๆ  การแสร้งทำเป็นกตัญญู  เป็นการข่มเหงตนและผู้อื่น คือเห็นบิดามารดาเหมือนคนร่วมโลก ต้องรู้ว่าการใช้วาจาการกระทำมาหลอกลวงโลกเพื่อให้ได้ชื่อนั้น เป็นการจุดความโกรธเทพเจ้าอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงลงโทษเขา
        สำหรับนายฉงโจว  ที่จริงฟ้าให้เขาเป็นวีรชน อายุ ๒๖ ควรสอบได้จิ้นสือ (ราชบัณทิตอันดับสองรองจากจอหงวน) อายุ ๓๐ ปีก็จะโดดเด่น ควรเลื่อนยศถึงอันดับกลาง พออายุ ๔๕ จะได้ถึงอันดับราชมนตรี ปกครองการเกตษร  พอ ๕๔  ก็ยังรักษาอันดับไว้ได้จนเกษียณ อายุถึง ๖๙ ปี  สิ้นขัย แต่เพราะเขาเข้าเรียนอายุได้ ๑๗ ปี ก็ทรนง วาจาเสียดแทงคน พูดจาสองง่ามสองคม ถากถางผู้อื่น ยมบาลได้บันทึกความผิดทางวาจามากมาย ๒,๔๗๐ กว่าคดีแล้ว  พระเจ้าโกรธจัด จึงกำหนดให้เขาอยู่สัญชาติมืด ลบบุญวาสนาของเขา ถ้าหากเขายังไม่รู้สำนึกผิดเปลี่ยนแปลงแก้ไข เมื่อไรความผิดของเขาถึง ๓ พัน เรื่อง  ก็ตัดอายุขัยสิ้น ทั้งยังจะลงโทษให้ลูกหลานเขาเป็นขอทาน เพราะวจีกรรมทำผิดทำลายปราการละมุนละมัยของฟ้าดิน ซึ่งกระทบขัดแย้งกับเทพเจ้า เพราะฉะนั้นวจีกรรมนี้ก็คือ โทษบาปเทียบเท่ากับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและล่วงประเวณีเลยทีเดียว พวกเจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ"  เวลาผ่านนานมาก  พระองค์จึงสอนต่อว่า การล่วงประเวณี  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  วจีกรรม  แม้ล่วงละเมิดเพียงเล็กน้อย ก็มีผลตอบสนอง คงไม่ต้องพูดอีกแล้ว แต่การล่วงประเวณีกับฆ่าสัตว์ กรรมชั่วทั้งสอง คนที่รักตัวเอง ก็ต้องรู้จักหักห้ามไม่ล่วงละเมิด แม้แต่พูดเยาะเย้ย  พูดจาเสียดแทงผู้อื่น การช่อนมีดในรอยยิ้ม เหมือนโจรทำลายใจเขา ถ้าทำจนเป็นนิสัย ก็จะรู้ตัวตรวจสอบเองได้ลำบาก ในที่สุดทั้งคำพูดหน้าตาและจิตใจก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นคนหยิ่งยโส ความชั่วทางวจีกรรมก็จะถูกเทพเจ้าบันทึกไว้ เพราะฉะนั้นภัยเคราะห็เรื่องร้ายก็ตามมา ที่จริงพื้นดวงชะตาควรได้เสวยสุข เพียงไม่นานก็กลายเป็นคนชั่วยากจน น่าเสียดายอย่างยิ่ง  และก็เป็นเรื่องน่ากลัว เจ้าต้องไปตักเตือนคนให้มาก เอาสิ่งเหล่านี้เป็นศีล  อย่าให้เขาต้องยุ่งยากตอนจะเซ็นชื่อ ต้องรีรอเสียการ" หวังย้งอวี๋กราบลงแล้วถอยออก ขณะนั้นเสียงระฆังในตำหนักดังขึ้น หวังย้งอวี๋ตกใจตื่น ไก่ด้านนอกขันถึง  ๓  ครั้ง หวังย้งอวี๋ก็ไปถึงตำหนักแล้วก้มกราบขอบคุณพระเจ้าเหวินเซียง จากนั้นก็รีบบันทึกความฝัน รอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ประกาศผลสอบ ปรากฏว่าโจวจี๋สอบได้ที่ ๑  ของเมืองซานซี  หวังย้งอวี๋จึงเอาบันทึกฝันนี้เปิดเผยแก่ชาวบ้าน เพื่อใช้ตักเตือนชาวโลก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        นิทาน  ๒  :  ธรรมาจารย์เซ็นกวงเชี้ยวอัน ในสมัยราชวงศ์ซ้ง  ขณะเข้าสมาธิ  ได้เห็นภิกษุ ๒  รูปคุยกัน  ตอนแรกก็มีเทพเจ้าคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ  ทั้งยังฟังพวกเขาคุยกัน พอนานไป เทพเจ้าก็จากไป ผ่านไปไม่นาน ก็มีผีร้ายถ่มน้ำลายด่าว่าพวกเขา ทั้งยังเอาไม้กวาดไล่กวาดรอยเท้าของพวกเขา ทั้งนี้เพราะตอนเริ่มต้นภิกษุนั้นคุยธรรมกัน ต่อมาก็พูดถึงเรื่องครอบครัว ตอนหลังก็พูดถึงเรื่องชือเสียง และผลประโยชน์ ควรรู้ว่าผู้ออกบวชมาคุยเรื่องทางโลก  ผีเจ้าก็รำคาญ  ไม่พอใจ   คนปัจจุบัน ชาวโลกไม่เพียงสร้างแค่กาย  วจี  ใจ กรรมสามเท่านั้น ยังทำเบยเถิดไปอีก พวกเขาจะต้องถูกผีเจ้าลงโทษ แล้วจะเป็นเช่นไร  คิดแล้วน่าสยดสยองยิ่งนัก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        คัมภีร์  :  ตัดขัยให้ยากจน  ประสบทุกข์ลำบากบ่อย

อธิบาย  :  อายุขัยของคน เพราะละเมิดความผิดจึงถูกตัดลดอายุ ทั้งยังต้องถูกลงโทษให้ชีวิตยากจน ครอบครัวแตกสลาย แล้วยังจะประสบกับทุกข์ภัยพิบัติจนลำบาก
        คนที่ถูกตัดขัยอายุจนตาย ก็เพราะการกระทำที่รังแกหลอกลวงผู้อื่น เทพเจ้าตรวจสอบก็จะตัดทอนอายุขัย จนครอบครัวยากจนแตกสลาย ความทุกข์ก็ติดตามมา เรื่องบุญวาสนาหรือภัยพิบัติเป็นหลักธรรมที่สร้างสรรค์ หากคนคิดอยากได้โชคลาภ หลบพ้นภัยเคราะห์ ก็ต้องแก้ไขทำความดี ถ้าอย่างนั้นความสำคัญของมัน ควรอยู่ที่การรักษาใจ ตรวจตรากรรมสามของตน ปล่อยปละละเลยตามใจไม่ได้ มิฉะนั้นก็จะตกสู่ตาข่ายกรรม จึงควรช่วยเหลือกัน ตักเตือนให้อยู่ในทำนองคลองธรรม เช่นปากกับใจต้องช่วยกันตักเตือน ใจต้องบอกกับปากว่า "เจ้าปากเอ๋ย !  เธอต้องพูดแต่เรื่องที่ดี ๆ พูดเพราะ ๆ อย่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด"  ใจก็ต้องบอกกับกายว่า "กายเอ๋ย ! เธอต้องวิริยะอุตสาหะปฏิบัติบำเพ็ญอย่าได้ขี้เกียจนะ" ถึงแม้จะเป็นวันหนึ่ง เวลาหนึ่ง ขณะหนึ่ง  แม้จะเป็นแค่วินาทีเดียว  ก็ต้องหักห้ามกดข่มใจตนเอง ตนเองต้องระมัดระวังปากของตนเอง  ตนเองต้องรักษากายตนเองให้ดี  ไม่ให้ขาดตอน เรื่อยไปนาน ๆ เราก็จะไม่ถูกอิทธิพลภายนอกกระทบไปเอง ใจก็จะไม่เคลื่อนไหว  จึงตอนนี้ก็จะใสสงบไม่มีภาวะที่คาดหวัง หรืออยากได้ ทั้งกายใจก็จะเป็นกุศล เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมีหรือจะถูกเทพเจ้าตัดทอนอายุขัย  ตลอดจนตกสู่ความยากจนบ้านแตกสลาย

        นิทาน ๑  :  นายอำเภอเมืองฟ่งหู่ ชื่อเฉียนหยังหวี่  เป็นคนโหดเหี้ยม ในตอนหนุ่มก็ได้รับตำแหน่งนี้ หน้าที่การงานก็ทำไม่ได้ดีในที่สุดก็ต้องลาออก  บั้นปลายชีวิตตกทุกข์ได้ยาก ทั้งลูกชายลูกสาวก็ตายไปก่อน ชีวิตตกอยู่ในฐานะลำบาก ดังนั้นเขาจึงไปอ้อนวอนเทพเจ้า เขาก็ได้ฝันเห็นเทพเจ้าบอกกับเขาว่า "เฉียนหยังหวี่  เธอทำกรรมชั่วไว้มาก มาถึงบัดนี้  หลังจากตัดทอนอายุขัยแล้ว ตอนนี้ขัยหมดสิ้นแล้ว ชีวิตก็ยากจน  บ้านแตกสลายชีวิตสิ้นแล้ว มาอ้อนวอนข้า ช่างงี่เง่าที่สุด ! "

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ผู้คนก็รังเกียจ

อธิบาย  :  ทุกคนต่างก็รังเกียจคนที่ทำความชั่ว ในคัมภีร์อี้ชวีจิง กล่าวว่า "หากมนุษย์ไม่ทำกรรมดี  เบื้องบก้จะตัดเทพของเขา ดึงสังขารของเขา ให้วิญญาณของเขาผันผวน ถูกคนรังแกทอดทิ้งเหยียดหยาม" อย่างตอนนี้  โกรธแค้นคนอื่นรังแกคนของเรา  เราจะรู้ได้อย่างไร เป็นเพราะเบื้องบนได้ตัดดึงเทพวิญญาณของเขา ทำให้เขาไปถึงที่ไหนก็ถูกเขารังแก ตอนนี้เราโชคดีที่รู้ความจริงเรื่องนี้ ก็ควรรีบชำระใจแก้ไขความชั่วไปสู่ความดี ใจของฟ้าเมตตาอภัยให้เช่นนี้ คือจะไม่กล่าวโทษผู้สำนึกผิดและแก้ไขเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนที่ทำผิดมาแล้ว  ก็สามารถที่จะแก้ไขฉุดช่วยได้ จากนี้ไปก็แก้ไขทำความดี อนาคตก็ยังสดใสได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะรู้ตัวตอนยังมีชีวิตหรือรู้ตัวตอนทุกข์ยาก ขอเพียงให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขมุ่งสู่ความดี ความสำเร็จก็ได้เหมือนกัน จงอย่าหุนหันพลันแล่นละเลยไม่สนใจ
        คนที่ทำเรื่องชั่ว ๆ  ผู้คนทำไมถึงรังเกียจเดียดฉันท์เล่า ทั้งนี้เพราะใจธรรมมีอยู่ในใจของคน และจิตอันดีงามเดิมเป็นจิตที่ดี จิตสำนึกดีทุกคนมีอยู่พร้อม จึงอยากให้ทุกคนผลักดันความคิดนี้ เมื่อพบความดีก็กลัวว่าจะร่วงหล่นไปอยู่ด้านหลังคนอื่น  พอพบความไม่ดีก็เหมือนกับเอามือจุ่มลงไปในเดือดที่น่ากลัว เราต้องให้กำลังใจตนเอง ต้องบำเพ็ญไปจนถึงสภาวะที่ไม่มีทั้งความดีความชั่ว ถ้ามัวแต่รังเกียจความชั่วของผู้อื่น แต่ไม่ขจัดความชั่วของตน อย่างนี้จะหลบหลีกพ้นที่ผู้อื่นรังเกียจความชั่วของตนได้อย่างไร           
        นิทาน  ๑  :  ในสมัยราชวงศ์ถัง มีตุลาการที่รับผิดชอบตัดสินคดีชื่อ ไล้จุ่นเฉิน  ฉ้อราษฏร์ตัดสินคดี ทำให้คนไม่ผิดต้องตายไปมาก ต่อมาถูกราชสำนักจับได้ เขาจึงถูกนำตัวแห่ไปตลาดและถูกประหารชีวิตในที่สาธารณะ  หลังจากถูกตัดห้ว คนที่โกรธแค้นจำนวนมาก ต่างวิ่งกรูกันเข้าไปทึ้งดึงศพ บ้างก็ควักลูกตา บ้างก็ฉีกเนื้อกิน  บ้างก็ดึงแขนขาทึ้งจนศพไม่เหลืออะไรเลย ดูซิผู้คนรังเกียจเขาขนาดไหน

        นิทาน  ๒  :   ในสมัยราชวงศ์ซ้ง ข้าราชการผู้ใหญ่สองคน คนหนึ่งชือเติ้งเหว่ย  อีกคนชื่อกวนไหลกง  ประชาชนในสมัยนั้น พอพูดถึงกวนไหลกง ทุกคนก็ว่าเขาเป็นตงฉิน (ข้าราชการซื่อสัตย์)  พอพูดถึงเติ้งเหว่ย คนก็ตราหน้าว่าเป็นกังฉิน (โกงกิน) เมื่อประชาชนได้ฟังข่าวดี พวกเขาก็ยกให้เป็นความดีของกวนไหลกง  อันที่จริงบางเรื่องก้ไม่ใช่เป็นผลงานของกวนไหลกง  แต่พอประชาชนได้รับฟังเรื่องไม่ดี พวกเขาก็เหมาเอาว่าเป็นเรื่องของเติ้งเหว่ย  ซึ่งบางทีเติ้งเหว่ยก็ไม่ได้ทำ นี่แหละความไม่ดีที่คนเขาดูมาครั้งหนึ่ง ก็มักเป็นที่รังเกียจตลอดไป

        นิทาน  ๓  :  ในสมัยราชวงศ์ซ้ง  ราชอำมาตย์ฉินขุ้ย เป็นทรราชขายชาติ ทำลายผู้จงรักภัคดีต่อชาติ ประวัติศาสตร์จารึกไว้มานานนับพันปี ทุกวันนี้ประชาชนก็ยังนึกรังเกียจฉินขุ้ย เขาปลอมราชโองการประหารเหย้เฟย ขุนพลผู้ปกป้องแผ่นดิน ที่ทะเลสาบซีหูเมืองหังโจว มีศาลเจ้าของเหย้เฟย และหน้าศาลเจ้าก็มีรูปปั้นเหล็กของฉินขุ้ยและภรรยา คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ จะมีฝ่ามือทำด้วยไม้แขวนไว้ พอประชาชนมากราบไหว้ท่านเหย้เฟยแล้ว ก็ออกมาที่หน้าศาลเจ้า จะคว้าฝ่ามือไม้ฟาดที่รูปปั้นของฉินขุ้ย และภรรยา พร้อมสาบแช่ง
        นิทานทั้ง  ๓  เรื่องนี้ ประชาชนไม่มีใจลำเอียง ทุกคนนิยมความดี  และรังเกียจความชั่ว นี่คือสิ่งสะท้อนจากใจของคนล่ะ !

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”