คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า
บทที่สอง
ตักเตือน
นิทาน ๑ : ในสมัยราชวงศ์หมิง เมื่อไท่หยวนซานซี นายหวังย้งอวี่ เขาเป็นผู้มีคุณธรรมสูงต่อผู้อื่น เขาบูชาพระเจ้าเหวินเซียงอย่างนอบน้อม เขากับเพื่อนอีกหลายคนตั้งชมรมขึ้น พอถึงวันอริยสมภพของพระเจ้าเหวินเซียง พวกเขาก็จะผลัดกันรับหน้าที่ตกแต่งปะรำพิธีบนตำหนักยอดเขาเพื่อขอพร ในชมรมมีหนึ่งคนชื่อโถวหลิน เป็นผู้มีความกตัญญูยิ่ง มีหลายคนทั้งใกล้ไกลพากันมาศึกษากับเขา ไหว้เขาเป็นอาจารย์ ยังมีอีกคนชื่อฉงโจว หน้าตาผึ่งผาย ทะมัดทะแมง รูปร่างสูงใหญ่ ศิลปการพูดการเขียนป็นหนึ่ง ทุกคนต่างชื่นชมนิยมบุคคลทั้งสองมาก ในปีฮ่องเต้เจิ้นถงครองราช นายหวังย้งอวี่เตรียมตัวขึ้นเขาไปยังตำหนักพระเจ้าเหวินเซียง เช้าเป็นพิเศษ เพื่อจัดงานอริยสมภพ และ เตรียมค้างคืนบนเขาด้วย คืนนั้นเขาก็ฝัน ฝันว่าพระเจ้าเหวินเซียงกำลังเสด็จขึ้นแท่นประทับ พวกศาลเจ้าเมืองต่าง ๆ พากันเข้ามาเฝ้า เจ้าเมืองต่างรายงานบันทึกของประชาชนของตน มีเทพองค์หนึ่งสวมชุดข้าราชการสีแดง ในมือถือสมุดเล่มใหญ่ยื่นใหถวายให้พระเจ้าเหวินเซียงลงพระนาม หวังย่งอวี่จึงแอบถามเทพองค์นั้นว่า "มีรายชื่อสอบบรรจุข้าราชการเมืองซานซีหรือไม่ มีชื่อของหวังย่งอวี่ โถวหลิน และฉงโจว ๓ คนสอบติดไหม เทพตอบว่า "ไม่มี" สักครู่หนึ่ง พอบรรดาเทพศาลเจ้าเมืองกลับกันหมดแล้ว เทพเสื้อแดงก็ถวายรายชื่อขึ้นไป พระองค์ก็ค่อย ๆ ตรวจรายชื่อและวงแต่ละชื่อ บางครั้งพระองค์ก็รีรอไม่ลงสักที เทพเสื้อแดงจึงประกาศต่อหน้าเทพศาลเจ้าเมืองแต่ละเมืองว่า ให้รีบไปตรวจสอบบุญกุศลของบุตรแต่ละครอบครัวเอารายชื่อพวกเขารายงานขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนชื่อที่พระองค์ไม่อนุมัติ" ขณะนั้นนายหวังย้งอวี่ ที่หมอบอยู่ข้างเสาร์ได้พระแท่น ก็ได้ยินเสียงขานเรียกจากด้านในของพระแท่น ให้หวังย้งอวี่เข้าเฝ้าพระเจ้าเหวินเซียง หวังย้งอวี่จึงเข้าไปคุกเข่าบนเบาะใต้พระแท่น พระองค์ตรัสว่า " เรื่องการสอบ เป็นความลับของสวรรค์ จะแพร่งพรายไม่ได้ เพราะเจ้าเคารพบูชาข้ามาตลอด ๑๐ ปี ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นจึงเรียกเจ้ามาชำระความ ปู่ของเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ หากินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน และก็ไม่เคยรังแกใครตอนนั้นก็ได้บันทึกให้เจ้าสอบได้เป็นที่หนึ่งของเมือง เพื่อเป็นการประจักษ์ถึงคุณธรรมที่สืบทอดกันมาของบ้านเจ้า และเป็นเพราะเมื่อเจ้าพบปะพระเจ้าก็ก้มหัว แต่ว่าแต่ละครั้งที่เจ้าภาวนา เจ้าก็ขอให้ตนเองประสบความสำเร็จ และขอให้เมียเจ้าหายจากเจ็บป่วย ขอให้สามีภรรยามีอายุยืนยาวจนแก่เฒ่า แต่กลับมารดาของเจ้าที่ยังอยู่ เจ้าไม่เคยขอภาวนาให้พระคุ้มครองมารดาเลย ด้วยเหตุนี้ จึงลดขั้นบุญวาสนาลงไป ๒ ขั้น เจ้าจะสอบได้อันดับที่ ๕๓ เจ้าต้องแก้ไขพฤติกรรมของเจ้า จงอย่าได้ละเมิดใจฟ้าอีก" หวังย้งอวี่ฟังคำวินิจฉัยของพระองค์แล้ว ก็ได้แต่ก้มกราบขอประทานอภัย พระองค์ตรัสต่อว่า " กับคนในชุมชนของเจ้านายโจวจี๋เป็นผู้สอบไล่ได้ที่หนึ่งของชุมชนเจ้า" ขณะนั้นในสมาชิกชมรม นายโจวจี๋เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ที่สุด ความรู้วิชาก้ด้อยกว่าผู้อื่น นายหวังย้งอวี่ฟังแล้วรู้สึกตกใจหวาดหวั่น ดังนั้นจึงก้มกราบทูลถามพระองค์ถึงสามเหตุการสอบไล่ได้ของนายโจวจี๋ พระองค์ตรัสว่า " พ่อและปู่ของโจวจี๋เป็นคนเรียนหนังสือตลอดมาก็ไม่เคยมีคดีความ และก็ไม่เคยล่วงประเวณี ตระกูลโจว ๓ ชั่วคน ไม่เคยพูดถึงความชั่วของผู้อื่น หรือ เปิดเผยความเลวของผู้อื่นเลย โดยเฉพาะปู่ทวดของโจวจี๋ เคยนำเอาหนังสือ "ร้อยขันติ" ไปตักเตือนกล่อมเกลาชาวบ้าน เขาได้กล่อมเกลาคนไปไม่น้อย เพราะฉะนั้น ตระกูลโจวหลายชั่วคนช่วยกันสั่งสมบุญกุศลมาอย่างเงีบย ๆ เป็นเวลานานถึง ๖๐ ปีแล้ว ถือเป็นกุศลลับสูงสุด คนอื่นไม่มีใครรู้ พระเจ้าจึงพอพระทัยเป็นพิเศษ จึงกำหนดให้ตระกูลโจวมีความเจริญถึง ๓ ชั่วคน ตอนนี้โจวจี๋ก็สอบได้ที่หนึ่ง นี่คือจุดเริ่มต้นบุญวาสนาของตระกูลโจว" นายหวังย้งอวี๋ทูลถามพระองค์ต่อไป "เพื่อนในชมรม นายโถวหลิน นายฉงโจว ไม่ทราบว่าเขาทั้งสองสอบได้ไหม" พระองค์จึงตรวจสมุดของเมืองไท่หยวนดู พระพักตร์ไม่สู้พอพระทัยตรัสว่า "โถวหลินเดิมทีต้องสอบได้ แต่เขาดูแลบิดามารดา มีโทษกลับกลอก และมักจะนินทาผู้อื่นบ่อย ๆ ไม่มีเหตุผล ฟุ้งเฟ้อว่าตนเป็นบัณทิต เพราะฉะนั้น จึงลบชื่อออก ทำให้ชีวิตเขาต้องยากจนลง" หวังย้งอวี่กราบทูลถามพระองค์ว่า "อะไรคือกลับกลอก" พระองค์ตรัสว่า "โถวหลินประพฤติต่อบิดามารดาของเขา ถึงแม้คำพูดและกิริยา แสดงถึงความกตัญญู แต่ภายในใจของเขากลับไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ฝืนปั้นสีหน้าภายนอกดูเหมือนเชื่อฟังบิดามารดา แต่จิตใจกลับแย่ลงไปทุกวัน ๆ การแสร้งทำเป็นกตัญญู เป็นการข่มเหงตนและผู้อื่น คือเห็นบิดามารดาเหมือนคนร่วมโลก ต้องรู้ว่าการใช้วาจาการกระทำมาหลอกลวงโลกเพื่อให้ได้ชื่อนั้น เป็นการจุดความโกรธเทพเจ้าอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงลงโทษเขา
สำหรับนายฉงโจว ที่จริงฟ้าให้เขาเป็นวีรชน อายุ ๒๖ ควรสอบได้จิ้นสือ (ราชบัณทิตอันดับสองรองจากจอหงวน) อายุ ๓๐ ปีก็จะโดดเด่น ควรเลื่อนยศถึงอันดับกลาง พออายุ ๔๕ จะได้ถึงอันดับราชมนตรี ปกครองการเกตษร พอ ๕๔ ก็ยังรักษาอันดับไว้ได้จนเกษียณ อายุถึง ๖๙ ปี สิ้นขัย แต่เพราะเขาเข้าเรียนอายุได้ ๑๗ ปี ก็ทรนง วาจาเสียดแทงคน พูดจาสองง่ามสองคม ถากถางผู้อื่น ยมบาลได้บันทึกความผิดทางวาจามากมาย ๒,๔๗๐ กว่าคดีแล้ว พระเจ้าโกรธจัด จึงกำหนดให้เขาอยู่สัญชาติมืด ลบบุญวาสนาของเขา ถ้าหากเขายังไม่รู้สำนึกผิดเปลี่ยนแปลงแก้ไข เมื่อไรความผิดของเขาถึง ๓ พัน เรื่อง ก็ตัดอายุขัยสิ้น ทั้งยังจะลงโทษให้ลูกหลานเขาเป็นขอทาน เพราะวจีกรรมทำผิดทำลายปราการละมุนละมัยของฟ้าดิน ซึ่งกระทบขัดแย้งกับเทพเจ้า เพราะฉะนั้นวจีกรรมนี้ก็คือ โทษบาปเทียบเท่ากับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและล่วงประเวณีเลยทีเดียว พวกเจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ" เวลาผ่านนานมาก พระองค์จึงสอนต่อว่า การล่วงประเวณี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต วจีกรรม แม้ล่วงละเมิดเพียงเล็กน้อย ก็มีผลตอบสนอง คงไม่ต้องพูดอีกแล้ว แต่การล่วงประเวณีกับฆ่าสัตว์ กรรมชั่วทั้งสอง คนที่รักตัวเอง ก็ต้องรู้จักหักห้ามไม่ล่วงละเมิด แม้แต่พูดเยาะเย้ย พูดจาเสียดแทงผู้อื่น การช่อนมีดในรอยยิ้ม เหมือนโจรทำลายใจเขา ถ้าทำจนเป็นนิสัย ก็จะรู้ตัวตรวจสอบเองได้ลำบาก ในที่สุดทั้งคำพูดหน้าตาและจิตใจก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นคนหยิ่งยโส ความชั่วทางวจีกรรมก็จะถูกเทพเจ้าบันทึกไว้ เพราะฉะนั้นภัยเคราะห็เรื่องร้ายก็ตามมา ที่จริงพื้นดวงชะตาควรได้เสวยสุข เพียงไม่นานก็กลายเป็นคนชั่วยากจน น่าเสียดายอย่างยิ่ง และก็เป็นเรื่องน่ากลัว เจ้าต้องไปตักเตือนคนให้มาก เอาสิ่งเหล่านี้เป็นศีล อย่าให้เขาต้องยุ่งยากตอนจะเซ็นชื่อ ต้องรีรอเสียการ" หวังย้งอวี๋กราบลงแล้วถอยออก ขณะนั้นเสียงระฆังในตำหนักดังขึ้น หวังย้งอวี๋ตกใจตื่น ไก่ด้านนอกขันถึง ๓ ครั้ง หวังย้งอวี๋ก็ไปถึงตำหนักแล้วก้มกราบขอบคุณพระเจ้าเหวินเซียง จากนั้นก็รีบบันทึกความฝัน รอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ประกาศผลสอบ ปรากฏว่าโจวจี๋สอบได้ที่ ๑ ของเมืองซานซี หวังย้งอวี๋จึงเอาบันทึกฝันนี้เปิดเผยแก่ชาวบ้าน เพื่อใช้ตักเตือนชาวโลก