collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144218 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่หนึ่ง

                                            ความหมาย

                     คัมภีร์ :  บุญบาปตอบสนอง  เหมือนเงาตามตัว     

        นิทาน  ๑  :  ในราชวงศ์ชิง ที่เมืองฉงหมิง มีคนชื่อ  หวงย่งเจียะ มีหมอดูคนหนึ่ง ทายดวงชะตาของเขาว่า เขาจะมีอายุแค่ ๖๐ ปีต่อมามีเรือจากหนานหยางลำหนึงประสบกับพายุ เรื่อใกล้จะจมลง นายหวงย่งเจียะรีบเอาเงินสิบตำลึงซื้อเรือประมงให้ออกไปฉุดช่วย เขาฉุดช่วยคนมาได้ ๑๓ ชีวิต  ต่อมาเขาได้พบหมอดูคนนั้นอีก มองดูคนนั้นมองหน้าเขาแล้วประหลาดใจถามว่า "คุณหวง เส้นชะตาชีวิตบนหน้าท่าน สั่งสมบุญกุศลมามาก ไม่เพียงแต่ท่านจะได้บุตร บุตรของท่านยังจะสอบเข้าราชสำนักได้ ชีวิตของท่านก็จะยืนยาวขึ้น" ต่อมา นายหวงย่งเจียะก็ได้บุตรคนหนึ่ง ตังหวงย่งเจียะก็มีอายุยืนยาวถึง ๙๐ ปี และสิ้นขัยอย่างสงบ  นิทานนี้ก็ให้รู้ว่าธรรมแห่งฟ้าน่าเชื่อถือ แล้วคนทำไมไม่ยอมละชั่วทำดีน่ะ ?

        นิทาน  ๒  :  ที่เมืองซิ้วซุ่ย  มีคนชื่อเจ่อฟานฉี  เขาเป็นคนทำชั่วมาก ยุยงให้คนมีคดีความกัน ชอบด่าพระด่าเจ้า  มีอยู่วันหนึ่ง เขาก็ล้มตายฉับพลัน ผ่านไปคืนหนึ่งก็ฟื้นขึ้นมาใหม่  เขาจึงเรียกลูกเมียให้ไปเรียกชาวบ้านมารวมกัน แล้วเล่าว่า "ยมบาลบอกว่าคนตายในยมโลกต้องรับโทษตอบสนอง  คนบนโลกนี้ไม่รู้อะไร การได้รับการตอบสนองจะรู้สึกเจ็บปวดมาก ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้ว ที่น่าสมเพชคือชาวโลกไม่รุ้จักความน่ากลัวของนรก จึงยังทำความชั่วกันจริงจัง เจ่อฟานฉี มีโทษมหันต์ เพราะฉะนั้นจึงอาศัยพวกเจ้ามาบอกกล่าวตักเตือน "พุดจบเขาเอามีดเฉือนเจ้าโลกทิ้งพร้อมพูดว่า" นี่คือการตอบสนองล่วงประเวณี  "เขายังควักลูกตาออกพร้อมพูดว่า" นี่คือดูถูกลบหลู่เซียนพุทธะบิดามารดา" เขายังตัดมือของเขาแล้วพูดว่า "นี่คือมือที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต"  เขายังผ่าท้องควักหัวใจ พูดว่า "นี่คือกรรมตอบสนองความชั่วร้าย"  เขาตัดลิ้นแล้วพูดว่า "เพราะพูดจาหลอกลวง"  คนรอบข้างมองดูแล้วรู้สึกสะพรึงกลัว  เขาทรมานอยู่ถึง  ๖ วันจึงตายร่างกายไม่มีชิ้นดี  นี่คือทำเองรับเอง การตอบสนองช่างรวดเร็วจริงหนอ !

        สรุป   :  ที่ศาลเจ้าตงอี้  มีกลอนคู่เขียนไว้ว่า  :   "บนโลกอันธพาลฝืนหลักธรรม  ยมโลกตอบสนอง  อดีตมาเคยละเว้นใคร" ทำไมคนจึงต้องรู้อาญากรรม ด้วยก่อความทุกข์ไม่จบสิ้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        คัมภีร์  :  ด้วยฟ้าดินมีเทพเจ้าปกครอง อิงการกระทำของมนุษย์หนักเบาเพื่อลงโทษตัดขัย

อธิบาย  :   ตลอดชีวิตของคน ไม่ว่าจะเป็นกลางคืนหรือกลางวัน ทุก ๆ นาทีข้างบนหรือข้างล่าง รอบ ๆ ทั้งสี่ด้าน ล้วนมีผู้ควบคุม คือมีเทพเจ้าควบคุมตรวจตราความชั่วของมนุษย์ และก็อิงตามความชั่วว่า  มีหนักเบาแค่ไหน เพื่อลงโทษตัดทอนอายุขัยของมนุษย์ (ถ้ามนุษย์มีอายุถึงหนึ่งร้อยวัน เรียกว่า หนึ่งช้วน  ความผิดเบาก็ตัดขัยน้อย  ความผิดหนักก็ต้ดขัยมาก
        ฟ้ามีตรีรัชภพห้าพระเจ้า  มีเทพเจ้าอีกนับร้อย ๆ  ดินมีห้า  มหาขุนเขาสี่  มหานที และ นครชุมชน ก็มีเทพที่มีหน้าที่จดความคิดดีคิดชั่วของมนุษย์  เจ้าผู้ทำหน้าที่ต่าง ๆ เหล่านี้ เรียกว่าเทพเจ้าปกครอง  อันที่จริงแล้วเบื้องบนมีจิตเมตตาอารีย์ คิดอยากให้ชาวโลกรู้จักสัมผัสใจตนเอง ทำดีละชั่ว  ด้วยเหตุนี้จึงมีเทพเจ้าปกครอง คอยตรวจสอบคนที่ทำชั่วกับวัดระดับหนักเบาของความชั่ว  แล้วมาตัดอายุขัยของคนร้อยวัน  เพราะฉะนั้นที่ว่า "ชาวโลกแอบกระซิบส่วนตัว เบื้องบนได้ยินดังเหมือนสายฟ้า หากคนทำสิ่งที่เลวร้ายในพริบตา ก็หนีไม่พ้นตาอันแหลมคมดุจไฟฟ้าของเทพเจ้า"  ในคัมภีร์ซีจิงก็มีกล่าวว่า "พระเจ้าตรวจสอบทั้งกลางวันกลางคืนถึงการกระทำ คำพูด ความคิด ของมนุษย์" นี่แหละคือเหตุผลที่ในใจเราสัมผัสรู้ เทพเจ้าแห่งฟ้าดินก็ตรวจสอบเราเข้มงวดมากกว่าเราสัมผัสรู้เสียอีก และนี่คือหลักธรรมที่มนุษย์กับฟ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว
        ในอวตังกสูตร กล่าวว่า ภายหลังที่แต่ละคนเกิดมา ก็จะมีเทพสององค์ติดตาม  องค์หนึ่งมีชื่อว่า ร่วมชีวิต  อีกองค์หนึ่งชื่อว่า ร่วมชื่อ  เทพทั้งสองนี้จะติดตามเราไปตลอดและพบเห็นได้บ่อย ๆ  แต่คนที่ถูกเทพติดตามก็จะมองไม่เห็นองค์เทพ "เทพทั้งสองก็คือเทพกุมารฝ่านดีกับฝ่ายชั่ว ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง จะคอยบันทึกการกระทำดีชั่วของเรา รวามทั้งความคิดในใจ  เพราะฉะนั้น  พอคนเคลื่อนไหวความคิด พูดคุยพบปะผู้คนต้องให้คิดถึงเทพทั้งสอง ที่คอยติดตามบันทึก อย่าให้ความคิดชั่วต้องคอยถูกบันทึกติดต่อกันไปไม่ขาดนะ !  ถ้าบังเอิญเจ้าความคิดชั่วเกิดขึ้นก็ให้ระงับเสีย แล้วพามันหวนกลับมา เพราะฉะนั้นการกดข่มตนเองต้องกดข่มจากตรงที่กดข่มยากเรื่อยไปจนกว่าความคิดนั้นจะดับไป ถ้าหากฝึกฝนได้เช่นนี้เรื่อยไป วิบากกรรมมากมายของเราก็สามารถที่ทำให้หมดจดบริสุทธิ์ดุจอวกาศได้ในขณะหนึ่ง ถ้าทำได้เช่นนี้ เจ้ามงคล  ภัยเคราะห์  บุญวาสนา  อายุสั้นยาว ก็สามารถควบคุมให้อยู่ในกำมือของเราเอง เทพเจ้าฟ้าดินก็ไม่อาจทำอะไรได้ ยิ่งนับประสาอะไรกับเทพเจ้าปกครองที่คอยตัดอายุขัยเล่า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
   
                 คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        นิทาน  ๑  :  ในสมัยราชวงศ์หมิง เมื่อไท่หยวนซานซี  นายหวังย้งอวี่  เขาเป็นผู้มีคุณธรรมสูงต่อผู้อื่น เขาบูชาพระเจ้าเหวินเซียงอย่างนอบน้อม เขากับเพื่อนอีกหลายคนตั้งชมรมขึ้น พอถึงวันอริยสมภพของพระเจ้าเหวินเซียง พวกเขาก็จะผลัดกันรับหน้าที่ตกแต่งปะรำพิธีบนตำหนักยอดเขาเพื่อขอพร ในชมรมมีหนึ่งคนชื่อโถวหลิน เป็นผู้มีความกตัญญูยิ่ง มีหลายคนทั้งใกล้ไกลพากันมาศึกษากับเขา ไหว้เขาเป็นอาจารย์ ยังมีอีกคนชื่อฉงโจว  หน้าตาผึ่งผาย  ทะมัดทะแมง  รูปร่างสูงใหญ่  ศิลปการพูดการเขียนป็นหนึ่ง ทุกคนต่างชื่นชมนิยมบุคคลทั้งสองมาก ในปีฮ่องเต้เจิ้นถงครองราช  นายหวังย้งอวี่เตรียมตัวขึ้นเขาไปยังตำหนักพระเจ้าเหวินเซียง เช้าเป็นพิเศษ เพื่อจัดงานอริยสมภพ และ เตรียมค้างคืนบนเขาด้วย คืนนั้นเขาก็ฝัน  ฝันว่าพระเจ้าเหวินเซียงกำลังเสด็จขึ้นแท่นประทับ พวกศาลเจ้าเมืองต่าง ๆ พากันเข้ามาเฝ้า เจ้าเมืองต่างรายงานบันทึกของประชาชนของตน มีเทพองค์หนึ่งสวมชุดข้าราชการสีแดง ในมือถือสมุดเล่มใหญ่ยื่นใหถวายให้พระเจ้าเหวินเซียงลงพระนาม หวังย่งอวี่จึงแอบถามเทพองค์นั้นว่า "มีรายชื่อสอบบรรจุข้าราชการเมืองซานซีหรือไม่ มีชื่อของหวังย่งอวี่  โถวหลิน  และฉงโจว ๓ คนสอบติดไหม เทพตอบว่า "ไม่มี"  สักครู่หนึ่ง พอบรรดาเทพศาลเจ้าเมืองกลับกันหมดแล้ว เทพเสื้อแดงก็ถวายรายชื่อขึ้นไป  พระองค์ก็ค่อย ๆ ตรวจรายชื่อและวงแต่ละชื่อ บางครั้งพระองค์ก็รีรอไม่ลงสักที เทพเสื้อแดงจึงประกาศต่อหน้าเทพศาลเจ้าเมืองแต่ละเมืองว่า ให้รีบไปตรวจสอบบุญกุศลของบุตรแต่ละครอบครัวเอารายชื่อพวกเขารายงานขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนชื่อที่พระองค์ไม่อนุมัติ"  ขณะนั้นนายหวังย้งอวี่ ที่หมอบอยู่ข้างเสาร์ได้พระแท่น ก็ได้ยินเสียงขานเรียกจากด้านในของพระแท่น  ให้หวังย้งอวี่เข้าเฝ้าพระเจ้าเหวินเซียง  หวังย้งอวี่จึงเข้าไปคุกเข่าบนเบาะใต้พระแท่น พระองค์ตรัสว่า " เรื่องการสอบ เป็นความลับของสวรรค์ จะแพร่งพรายไม่ได้ เพราะเจ้าเคารพบูชาข้ามาตลอด  ๑๐ ปี ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นจึงเรียกเจ้ามาชำระความ  ปู่ของเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ หากินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน  และก็ไม่เคยรังแกใครตอนนั้นก็ได้บันทึกให้เจ้าสอบได้เป็นที่หนึ่งของเมือง เพื่อเป็นการประจักษ์ถึงคุณธรรมที่สืบทอดกันมาของบ้านเจ้า และเป็นเพราะเมื่อเจ้าพบปะพระเจ้าก็ก้มหัว  แต่ว่าแต่ละครั้งที่เจ้าภาวนา เจ้าก็ขอให้ตนเองประสบความสำเร็จ และขอให้เมียเจ้าหายจากเจ็บป่วย ขอให้สามีภรรยามีอายุยืนยาวจนแก่เฒ่า แต่กลับมารดาของเจ้าที่ยังอยู่ เจ้าไม่เคยขอภาวนาให้พระคุ้มครองมารดาเลย ด้วยเหตุนี้ จึงลดขั้นบุญวาสนาลงไป ๒ ขั้น เจ้าจะสอบได้อันดับที่ ๕๓  เจ้าต้องแก้ไขพฤติกรรมของเจ้า จงอย่าได้ละเมิดใจฟ้าอีก" หวังย้งอวี่ฟังคำวินิจฉัยของพระองค์แล้ว ก็ได้แต่ก้มกราบขอประทานอภัย พระองค์ตรัสต่อว่า " กับคนในชุมชนของเจ้านายโจวจี๋เป็นผู้สอบไล่ได้ที่หนึ่งของชุมชนเจ้า" ขณะนั้นในสมาชิกชมรม นายโจวจี๋เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ที่สุด ความรู้วิชาก้ด้อยกว่าผู้อื่น  นายหวังย้งอวี่ฟังแล้วรู้สึกตกใจหวาดหวั่น ดังนั้นจึงก้มกราบทูลถามพระองค์ถึงสามเหตุการสอบไล่ได้ของนายโจวจี๋ พระองค์ตรัสว่า " พ่อและปู่ของโจวจี๋เป็นคนเรียนหนังสือตลอดมาก็ไม่เคยมีคดีความ และก็ไม่เคยล่วงประเวณี  ตระกูลโจว ๓ ชั่วคน ไม่เคยพูดถึงความชั่วของผู้อื่น หรือ เปิดเผยความเลวของผู้อื่นเลย โดยเฉพาะปู่ทวดของโจวจี๋ เคยนำเอาหนังสือ "ร้อยขันติ" ไปตักเตือนกล่อมเกลาชาวบ้าน เขาได้กล่อมเกลาคนไปไม่น้อย เพราะฉะนั้น ตระกูลโจวหลายชั่วคนช่วยกันสั่งสมบุญกุศลมาอย่างเงีบย ๆ  เป็นเวลานานถึง ๖๐ ปีแล้ว ถือเป็นกุศลลับสูงสุด คนอื่นไม่มีใครรู้  พระเจ้าจึงพอพระทัยเป็นพิเศษ  จึงกำหนดให้ตระกูลโจวมีความเจริญถึง ๓   ชั่วคน ตอนนี้โจวจี๋ก็สอบได้ที่หนึ่ง  นี่คือจุดเริ่มต้นบุญวาสนาของตระกูลโจว" นายหวังย้งอวี๋ทูลถามพระองค์ต่อไป "เพื่อนในชมรม นายโถวหลิน  นายฉงโจว   ไม่ทราบว่าเขาทั้งสองสอบได้ไหม" พระองค์จึงตรวจสมุดของเมืองไท่หยวนดู พระพักตร์ไม่สู้พอพระทัยตรัสว่า "โถวหลินเดิมทีต้องสอบได้ แต่เขาดูแลบิดามารดา มีโทษกลับกลอก และมักจะนินทาผู้อื่นบ่อย ๆ ไม่มีเหตุผล ฟุ้งเฟ้อว่าตนเป็นบัณทิต เพราะฉะนั้น จึงลบชื่อออก ทำให้ชีวิตเขาต้องยากจนลง"  หวังย้งอวี่กราบทูลถามพระองค์ว่า "อะไรคือกลับกลอก"  พระองค์ตรัสว่า "โถวหลินประพฤติต่อบิดามารดาของเขา ถึงแม้คำพูดและกิริยา แสดงถึงความกตัญญู แต่ภายในใจของเขากลับไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ฝืนปั้นสีหน้าภายนอกดูเหมือนเชื่อฟังบิดามารดา แต่จิตใจกลับแย่ลงไปทุกวัน ๆ  การแสร้งทำเป็นกตัญญู  เป็นการข่มเหงตนและผู้อื่น คือเห็นบิดามารดาเหมือนคนร่วมโลก ต้องรู้ว่าการใช้วาจาการกระทำมาหลอกลวงโลกเพื่อให้ได้ชื่อนั้น เป็นการจุดความโกรธเทพเจ้าอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงลงโทษเขา
        สำหรับนายฉงโจว  ที่จริงฟ้าให้เขาเป็นวีรชน อายุ ๒๖ ควรสอบได้จิ้นสือ (ราชบัณทิตอันดับสองรองจากจอหงวน) อายุ ๓๐ ปีก็จะโดดเด่น ควรเลื่อนยศถึงอันดับกลาง พออายุ ๔๕ จะได้ถึงอันดับราชมนตรี ปกครองการเกตษร  พอ ๕๔  ก็ยังรักษาอันดับไว้ได้จนเกษียณ อายุถึง ๖๙ ปี  สิ้นขัย แต่เพราะเขาเข้าเรียนอายุได้ ๑๗ ปี ก็ทรนง วาจาเสียดแทงคน พูดจาสองง่ามสองคม ถากถางผู้อื่น ยมบาลได้บันทึกความผิดทางวาจามากมาย ๒,๔๗๐ กว่าคดีแล้ว  พระเจ้าโกรธจัด จึงกำหนดให้เขาอยู่สัญชาติมืด ลบบุญวาสนาของเขา ถ้าหากเขายังไม่รู้สำนึกผิดเปลี่ยนแปลงแก้ไข เมื่อไรความผิดของเขาถึง ๓ พัน เรื่อง  ก็ตัดอายุขัยสิ้น ทั้งยังจะลงโทษให้ลูกหลานเขาเป็นขอทาน เพราะวจีกรรมทำผิดทำลายปราการละมุนละมัยของฟ้าดิน ซึ่งกระทบขัดแย้งกับเทพเจ้า เพราะฉะนั้นวจีกรรมนี้ก็คือ โทษบาปเทียบเท่ากับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและล่วงประเวณีเลยทีเดียว พวกเจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ"  เวลาผ่านนานมาก  พระองค์จึงสอนต่อว่า การล่วงประเวณี  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  วจีกรรม  แม้ล่วงละเมิดเพียงเล็กน้อย ก็มีผลตอบสนอง คงไม่ต้องพูดอีกแล้ว แต่การล่วงประเวณีกับฆ่าสัตว์ กรรมชั่วทั้งสอง คนที่รักตัวเอง ก็ต้องรู้จักหักห้ามไม่ล่วงละเมิด แม้แต่พูดเยาะเย้ย  พูดจาเสียดแทงผู้อื่น การช่อนมีดในรอยยิ้ม เหมือนโจรทำลายใจเขา ถ้าทำจนเป็นนิสัย ก็จะรู้ตัวตรวจสอบเองได้ลำบาก ในที่สุดทั้งคำพูดหน้าตาและจิตใจก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นคนหยิ่งยโส ความชั่วทางวจีกรรมก็จะถูกเทพเจ้าบันทึกไว้ เพราะฉะนั้นภัยเคราะห็เรื่องร้ายก็ตามมา ที่จริงพื้นดวงชะตาควรได้เสวยสุข เพียงไม่นานก็กลายเป็นคนชั่วยากจน น่าเสียดายอย่างยิ่ง  และก็เป็นเรื่องน่ากลัว เจ้าต้องไปตักเตือนคนให้มาก เอาสิ่งเหล่านี้เป็นศีล  อย่าให้เขาต้องยุ่งยากตอนจะเซ็นชื่อ ต้องรีรอเสียการ" หวังย้งอวี๋กราบลงแล้วถอยออก ขณะนั้นเสียงระฆังในตำหนักดังขึ้น หวังย้งอวี๋ตกใจตื่น ไก่ด้านนอกขันถึง  ๓  ครั้ง หวังย้งอวี๋ก็ไปถึงตำหนักแล้วก้มกราบขอบคุณพระเจ้าเหวินเซียง จากนั้นก็รีบบันทึกความฝัน รอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ประกาศผลสอบ ปรากฏว่าโจวจี๋สอบได้ที่ ๑  ของเมืองซานซี  หวังย้งอวี๋จึงเอาบันทึกฝันนี้เปิดเผยแก่ชาวบ้าน เพื่อใช้ตักเตือนชาวโลก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        นิทาน  ๒  :  ธรรมาจารย์เซ็นกวงเชี้ยวอัน ในสมัยราชวงศ์ซ้ง  ขณะเข้าสมาธิ  ได้เห็นภิกษุ ๒  รูปคุยกัน  ตอนแรกก็มีเทพเจ้าคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ  ทั้งยังฟังพวกเขาคุยกัน พอนานไป เทพเจ้าก็จากไป ผ่านไปไม่นาน ก็มีผีร้ายถ่มน้ำลายด่าว่าพวกเขา ทั้งยังเอาไม้กวาดไล่กวาดรอยเท้าของพวกเขา ทั้งนี้เพราะตอนเริ่มต้นภิกษุนั้นคุยธรรมกัน ต่อมาก็พูดถึงเรื่องครอบครัว ตอนหลังก็พูดถึงเรื่องชือเสียง และผลประโยชน์ ควรรู้ว่าผู้ออกบวชมาคุยเรื่องทางโลก  ผีเจ้าก็รำคาญ  ไม่พอใจ   คนปัจจุบัน ชาวโลกไม่เพียงสร้างแค่กาย  วจี  ใจ กรรมสามเท่านั้น ยังทำเบยเถิดไปอีก พวกเขาจะต้องถูกผีเจ้าลงโทษ แล้วจะเป็นเช่นไร  คิดแล้วน่าสยดสยองยิ่งนัก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        คัมภีร์  :  ตัดขัยให้ยากจน  ประสบทุกข์ลำบากบ่อย

อธิบาย  :  อายุขัยของคน เพราะละเมิดความผิดจึงถูกตัดลดอายุ ทั้งยังต้องถูกลงโทษให้ชีวิตยากจน ครอบครัวแตกสลาย แล้วยังจะประสบกับทุกข์ภัยพิบัติจนลำบาก
        คนที่ถูกตัดขัยอายุจนตาย ก็เพราะการกระทำที่รังแกหลอกลวงผู้อื่น เทพเจ้าตรวจสอบก็จะตัดทอนอายุขัย จนครอบครัวยากจนแตกสลาย ความทุกข์ก็ติดตามมา เรื่องบุญวาสนาหรือภัยพิบัติเป็นหลักธรรมที่สร้างสรรค์ หากคนคิดอยากได้โชคลาภ หลบพ้นภัยเคราะห์ ก็ต้องแก้ไขทำความดี ถ้าอย่างนั้นความสำคัญของมัน ควรอยู่ที่การรักษาใจ ตรวจตรากรรมสามของตน ปล่อยปละละเลยตามใจไม่ได้ มิฉะนั้นก็จะตกสู่ตาข่ายกรรม จึงควรช่วยเหลือกัน ตักเตือนให้อยู่ในทำนองคลองธรรม เช่นปากกับใจต้องช่วยกันตักเตือน ใจต้องบอกกับปากว่า "เจ้าปากเอ๋ย !  เธอต้องพูดแต่เรื่องที่ดี ๆ พูดเพราะ ๆ อย่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด"  ใจก็ต้องบอกกับกายว่า "กายเอ๋ย ! เธอต้องวิริยะอุตสาหะปฏิบัติบำเพ็ญอย่าได้ขี้เกียจนะ" ถึงแม้จะเป็นวันหนึ่ง เวลาหนึ่ง ขณะหนึ่ง  แม้จะเป็นแค่วินาทีเดียว  ก็ต้องหักห้ามกดข่มใจตนเอง ตนเองต้องระมัดระวังปากของตนเอง  ตนเองต้องรักษากายตนเองให้ดี  ไม่ให้ขาดตอน เรื่อยไปนาน ๆ เราก็จะไม่ถูกอิทธิพลภายนอกกระทบไปเอง ใจก็จะไม่เคลื่อนไหว  จึงตอนนี้ก็จะใสสงบไม่มีภาวะที่คาดหวัง หรืออยากได้ ทั้งกายใจก็จะเป็นกุศล เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมีหรือจะถูกเทพเจ้าตัดทอนอายุขัย  ตลอดจนตกสู่ความยากจนบ้านแตกสลาย

        นิทาน ๑  :  นายอำเภอเมืองฟ่งหู่ ชื่อเฉียนหยังหวี่  เป็นคนโหดเหี้ยม ในตอนหนุ่มก็ได้รับตำแหน่งนี้ หน้าที่การงานก็ทำไม่ได้ดีในที่สุดก็ต้องลาออก  บั้นปลายชีวิตตกทุกข์ได้ยาก ทั้งลูกชายลูกสาวก็ตายไปก่อน ชีวิตตกอยู่ในฐานะลำบาก ดังนั้นเขาจึงไปอ้อนวอนเทพเจ้า เขาก็ได้ฝันเห็นเทพเจ้าบอกกับเขาว่า "เฉียนหยังหวี่  เธอทำกรรมชั่วไว้มาก มาถึงบัดนี้  หลังจากตัดทอนอายุขัยแล้ว ตอนนี้ขัยหมดสิ้นแล้ว ชีวิตก็ยากจน  บ้านแตกสลายชีวิตสิ้นแล้ว มาอ้อนวอนข้า ช่างงี่เง่าที่สุด ! "

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ผู้คนก็รังเกียจ

อธิบาย  :  ทุกคนต่างก็รังเกียจคนที่ทำความชั่ว ในคัมภีร์อี้ชวีจิง กล่าวว่า "หากมนุษย์ไม่ทำกรรมดี  เบื้องบก้จะตัดเทพของเขา ดึงสังขารของเขา ให้วิญญาณของเขาผันผวน ถูกคนรังแกทอดทิ้งเหยียดหยาม" อย่างตอนนี้  โกรธแค้นคนอื่นรังแกคนของเรา  เราจะรู้ได้อย่างไร เป็นเพราะเบื้องบนได้ตัดดึงเทพวิญญาณของเขา ทำให้เขาไปถึงที่ไหนก็ถูกเขารังแก ตอนนี้เราโชคดีที่รู้ความจริงเรื่องนี้ ก็ควรรีบชำระใจแก้ไขความชั่วไปสู่ความดี ใจของฟ้าเมตตาอภัยให้เช่นนี้ คือจะไม่กล่าวโทษผู้สำนึกผิดและแก้ไขเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนที่ทำผิดมาแล้ว  ก็สามารถที่จะแก้ไขฉุดช่วยได้ จากนี้ไปก็แก้ไขทำความดี อนาคตก็ยังสดใสได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะรู้ตัวตอนยังมีชีวิตหรือรู้ตัวตอนทุกข์ยาก ขอเพียงให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขมุ่งสู่ความดี ความสำเร็จก็ได้เหมือนกัน จงอย่าหุนหันพลันแล่นละเลยไม่สนใจ
        คนที่ทำเรื่องชั่ว ๆ  ผู้คนทำไมถึงรังเกียจเดียดฉันท์เล่า ทั้งนี้เพราะใจธรรมมีอยู่ในใจของคน และจิตอันดีงามเดิมเป็นจิตที่ดี จิตสำนึกดีทุกคนมีอยู่พร้อม จึงอยากให้ทุกคนผลักดันความคิดนี้ เมื่อพบความดีก็กลัวว่าจะร่วงหล่นไปอยู่ด้านหลังคนอื่น  พอพบความไม่ดีก็เหมือนกับเอามือจุ่มลงไปในเดือดที่น่ากลัว เราต้องให้กำลังใจตนเอง ต้องบำเพ็ญไปจนถึงสภาวะที่ไม่มีทั้งความดีความชั่ว ถ้ามัวแต่รังเกียจความชั่วของผู้อื่น แต่ไม่ขจัดความชั่วของตน อย่างนี้จะหลบหลีกพ้นที่ผู้อื่นรังเกียจความชั่วของตนได้อย่างไร           
        นิทาน  ๑  :  ในสมัยราชวงศ์ถัง มีตุลาการที่รับผิดชอบตัดสินคดีชื่อ ไล้จุ่นเฉิน  ฉ้อราษฏร์ตัดสินคดี ทำให้คนไม่ผิดต้องตายไปมาก ต่อมาถูกราชสำนักจับได้ เขาจึงถูกนำตัวแห่ไปตลาดและถูกประหารชีวิตในที่สาธารณะ  หลังจากถูกตัดห้ว คนที่โกรธแค้นจำนวนมาก ต่างวิ่งกรูกันเข้าไปทึ้งดึงศพ บ้างก็ควักลูกตา บ้างก็ฉีกเนื้อกิน  บ้างก็ดึงแขนขาทึ้งจนศพไม่เหลืออะไรเลย ดูซิผู้คนรังเกียจเขาขนาดไหน

        นิทาน  ๒  :   ในสมัยราชวงศ์ซ้ง ข้าราชการผู้ใหญ่สองคน คนหนึ่งชือเติ้งเหว่ย  อีกคนชื่อกวนไหลกง  ประชาชนในสมัยนั้น พอพูดถึงกวนไหลกง ทุกคนก็ว่าเขาเป็นตงฉิน (ข้าราชการซื่อสัตย์)  พอพูดถึงเติ้งเหว่ย คนก็ตราหน้าว่าเป็นกังฉิน (โกงกิน) เมื่อประชาชนได้ฟังข่าวดี พวกเขาก็ยกให้เป็นความดีของกวนไหลกง  อันที่จริงบางเรื่องก้ไม่ใช่เป็นผลงานของกวนไหลกง  แต่พอประชาชนได้รับฟังเรื่องไม่ดี พวกเขาก็เหมาเอาว่าเป็นเรื่องของเติ้งเหว่ย  ซึ่งบางทีเติ้งเหว่ยก็ไม่ได้ทำ นี่แหละความไม่ดีที่คนเขาดูมาครั้งหนึ่ง ก็มักเป็นที่รังเกียจตลอดไป

        นิทาน  ๓  :  ในสมัยราชวงศ์ซ้ง  ราชอำมาตย์ฉินขุ้ย เป็นทรราชขายชาติ ทำลายผู้จงรักภัคดีต่อชาติ ประวัติศาสตร์จารึกไว้มานานนับพันปี ทุกวันนี้ประชาชนก็ยังนึกรังเกียจฉินขุ้ย เขาปลอมราชโองการประหารเหย้เฟย ขุนพลผู้ปกป้องแผ่นดิน ที่ทะเลสาบซีหูเมืองหังโจว มีศาลเจ้าของเหย้เฟย และหน้าศาลเจ้าก็มีรูปปั้นเหล็กของฉินขุ้ยและภรรยา คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ จะมีฝ่ามือทำด้วยไม้แขวนไว้ พอประชาชนมากราบไหว้ท่านเหย้เฟยแล้ว ก็ออกมาที่หน้าศาลเจ้า จะคว้าฝ่ามือไม้ฟาดที่รูปปั้นของฉินขุ้ย และภรรยา พร้อมสาบแช่ง
        นิทานทั้ง  ๓  เรื่องนี้ ประชาชนไม่มีใจลำเอียง ทุกคนนิยมความดี  และรังเกียจความชั่ว นี่คือสิ่งสะท้อนจากใจของคนล่ะ !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ต้องโทษวิบัติตามมา

อธิบาย  :  ท่านอริบเจ้าไท้ฮือ กล่าวว่า  "ถ้าหากผู้อื่นเอาภัยวิบัติย้ายมาให้กับอาตมา  ถ้างั้นอาตมาก็จะเอาบุญวาสนาตอบแทนไป ถ้าหากว่าสามารถทำได้เช่นนี้แล้ว ที่สุดแล้วปราณแห่งบุญวาสนาก็เริ่มต้นมาจากที่เรานี่เอง  ส่วนปราณร้ายภัยพิบัติก็ออกมาจากคนชั่วแน่นอน"  ท่านพูดถึงโทษบาปภัยวิบัติย่อมติดตามคนชั่ว ดังนั้นโทษบาปภัยพิบัติจึงติดตามคนชั่ว
        อวตังกสูตรว่า "เวไนยสัตว์แห่งชมพูทวีป เป็นทวีปแห่งความเลวร้าย เวไนยสัตว์แห่งทวีปนี้ ไม่ยอมบำเพ็ญกุศลกรรมบทสิบ หากแต่มีความชำนาญในการก่อกรรมชั่ว  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลักขโมย  ล่วงประเวณี  พูดส่งเดช  พูดหลอกลวง  พูดหยาบคาย  ลิ้นสองแฉก  โลภโกรธ  เห็นผิด  ไม่กตัญญูพ่อแม่  ไม่นับถือไตรรัตน์  ชอบอาฆาตมาดร้ายต่อสู้กัน หลอกลวงกล่าวร้ายซึ่งกันและกันชอบแสดงความเห็นตามอารมณ์  แสวงหาอย่างผิดกฏหมาย  ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้  จึงเป็นการกวักหาคมดาบ  ความอดอยาก  เจ็บป่วย  ความตาย  ภัยธรรมชาติ  ภัมนุษย์  ต่าง ๆ ตอบสนอง" จะเห็นได้ว่า เป็นการทำเองรับเอง รับผลชั่วเองล้วนแต่แต่ตนเป็นผุ้แสวงหา ไม่ใช่ผู้อื่นสร้างให้เลย !  ถ้าหากต้องการมงคลพ้นเคราะห์ละก็  ก้ต้องเริ่มต้นจากใจคิดชั่วขณะหนึ่งนี่เอง  นรกหรือสวรรค์ก็อยู่ต่อหน้าเราแล้ว  ถ้าสมมุติมีคนยอมบำเพ็ญกุศลธรรมบทสิบ  แล้วได้รับผลตอบสนองชั่วละก็ คงจะเป็นไปไม่ได้ หลักธรรมแบบนี้ไม่มีแน่นอน !

        นิทาน   :  ในสมัยราชวงศ์ฮั่น  นายเหลียงจ้ง  ได้ขอให้ราชสำนักเพิ่มบทลงโทษในกฏหมายให้มากขึ้น แต่ทางราชสำนักไม่ได้เห็นตามข้อเสนอของเขา  ต่อมานายเหลียงจ้งก้ได้ฝันว่า ในความฝันเทพเจ้าได้พูดกับเขาว่า "เหลียงจ้งเอ๋ย !  ถึงแม้ว่าจะโชคดีที่ทางราชสำนักไม่รับฟังความคิดเห็นของเจ้าก็ตามที  แต่ทางยมโลกได้บันทึกโทษบาปของเจ้าไว้แล้ว เพราะเจ้าคิดจะทำบทลงโทษมาทำร้ายประชาชน นับว่าใจของเจ้านี้โหดเหี้ยม  ถ้าเป็นเช่นนั้น ลูกหลานของเจ้าจะขจัดลบโทษบาปได้อย่างไร  การกระทำของเจ้าละเมิดเบื้องบนไปแล้ว ถึงแม้เจ้าจะภาวนาร้องขอก็ไม่มีประโยชน์"  ต่อมา ลูกของนายเหลียงจ้ง ก็ไม่ได้ตายดี  สืบต่อถึงนายเหลียงพี  ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น  ในที่สุดฮ่องเต้ก็ลงโทษประหารทั้งตระกูล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  มงคลโชคลาภหลบหาย

อธิบาย  :  ความสิริมงคลและงานมงคลต่าง ๆ ล้วนพากันหลบหายไปไกล ๆ ควรจะรู้ว่า "ธรรมแห่งฟ้าไร้ญาติ  ญาติดีกับคนดีเท่านั้น"ถ้าหากคนเราสามารถละชั่วทำดี  ระมัดระวังตนเอง คล้อยตามหลักธรรมฟ้า  แน่นอนในขณะที่สงบเงียบ ใจก็จะหลอมรวมกับธรรมแห่งฟ้า ขณะการเคลื่อนไหว  การกระทำก้จะพบกับความสิริมงคล ถ้าหากมีคนที่ใจตรงกันข้าม  เราก็มักจะพบเห็นได้ ว่าเขามักจะไม่รอดพ้นโทษกรรม  ที่ไม่เห็นก็แสดงว่าเขาได้ถูกเทพหรือผีทำโทษ  โดยคนชั่วจะถูกเทพหรือผีตัดอายุขัย จึงตายอายุสั้น  มงคลโชคลาภก็ห่างหายหลบไปไกล  ทั้งโทษภัยเคราะห์บาปก็ตามมาคอดบัญชี ยังไงเสียก็หลบไม่พ้นหรอก  !

        นิทาน  :  ในสมัยก่อน มีนักศ฿กษาคนหนึ่งชื่อ หวังเซิน  เป็นคนใจร้ายคับแคบ เรื่องที่ทำด้วยละเมิดหลักธรรมฟ้า  มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเข้าสอบแข่งขันเพื่อรับราชการ  บทความของเขาเยี่ยมมาก อาจารย์ผู้ควบคุมการสอบคิดจะใส่ชื่อเขาไว้เป็นอันดับต้น ๆ   แต่พอถึงตอนจะเขียนชื่อลงในประกาศ ปรากฏว่าบทความของเขาหายไป  หลังจากประกาศชื่อผู้สอบได้ออกไปแล้ว ก็พบบทความของเขาร่วงออกมาจากแขนเสื้อ ผู้คุมสอบรู้สึกเสียใจอย่างมาก  ถึงกับนัดพบกับหวังเซิน แล้วให้คำสัญญาว่า หากมีโอกาศก็จะเอาเขาบรรจุเข้าในตำแหน่งว่าง เหตุการณ์ผ่านไปไม่นานนัก ผู้คุมสอบก็ถูกย้ายไปที่อื่น หวังเซินจึงหมดโอกาศไป  รอจนถึงวาระสอบรอบใหม่    ผู้คุมสอบเดิมก็ได้ย้ายกลับมาคุมสอบใหม่  ผู้คุมสอบได้พบหวังเซินอีกครั้ง ก็รู้สึกดีใจ  ถึงกับรับปากจะหาตำแหน่งดี ๆ ให้ เพื่อชดเชยโอกาสครั้งก่อนที่พลาดไป  พอมาถึงตอนคัดเลือก บิดาของผู้คุมสอบตายลง  ผู้คุมสอบจึงลาพักกลับไปต่างจังหวัดเพื่อจัดงานศพและไว้ทุกข์เป็นเวลาถึง  3  ปี  ตามประเพณี  หลังจากไว้ทุกข์ก้กลับมาที่ราชสำนัก และรับตำแหน่งผู้คุมสอบตามเดิม แต่ถึงตอนนี้นายหวังเซินก็อายุมากขึ้น  อันที่จริงเขาควรได้รับตำแหน่งและมีเงินเดือนรวมหนึ่งหมื่นตำลึงทองเชียวละ และวันเวลาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว  แต่ชั่วไม่กี่วันมารดาเขาก็เสียชีวิต  จึงอยู่กับบ้านไว้ทุกข์จึงพลาดโอกาสอีก  นายหวังเซินผ่านอุปสรรคมากครั้ง ผู้คุมสอบก็รู้สึกสงสารถึงชะตากรรมที่ตกอับของเขา  จึงพาเขาไปฝากเป็นครูประจำบ้านของข้าราชการผู้ใหญ่  ในเวลาสามปีเขาก็ได้รับเงินตอบแทนสักหนึ่งพันตำลึงทอง  แต่เขาทำงานไปยังไม่พอเดือนหนึ่ง  ข้าราชการผู้นี้ก็มีเรื่องต้องออกจากราชการ เขาจึงตกงานไป ตลอดชีวิตของหวังเซิน  ประสบแต่เหตุการณ์ประหลาด มองเห็นอนาคตสวยหรูอยู่แค่เอื้อมก็ให้มีอันเป็นไป  จิตใจหวังเซินจึงหาความสงบสุขไม่ได้ ทำให้ล้มป่วยลงนานถึง  ๓  ปี   วันหนึ่งหวังเซินก็บรรลุว่า  เขาพูดว่า  "เหล่านี้เพราะตนสั่งสมแต่กรรมชั่ว  เพราะฉะนั้นจึงได้รับแต่ผลร้าย ! " ภายหลังที่หวังเซินสำนึกผิดและแก้ไขเรื่อยมา  ความเจ็บป่วยของเขาจึงหายได้  เหตุนี้หวังเซินจึงตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดี

คำคม  :  นายซิซีหยวน  กล่าวว่า  "บุญวาสนาในโลก  หากไม่มีใจที่ดีหมั่นตักเตือนตนแล้ว บูญวาสนาไม่มีทางเอามาได้  หากไม่ทำเรื่องสงเคราะห์ช่วยเหลือคนแล้ว  บุญวาสนาก็ไม่มีทางคู่เคียงได้" ช่างมีเหตุผลน่าฟังมาก !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ดาวร้ายภัยตาม

อธิบาย  : 

        ดาวร้าย คือ เทพที่ดูแลภัยพิบัติ ฆาตเคาระห์ทั้งหลายของมนุษย์ อยากจะรู้ชีวิตคนบนโลก ในแต่ละวันหรือแต่ละสารท ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของแสงดาว ผู้ที่ทำชั่ว  เพราะใจจะมืดมัวเสมอเพราะปราณสีดำของตัวเขาจะพวยพุ่งสู่ข้างบน เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับร้ายกวักร้าย เพราะฉะนั้น ดาวร้ายจึงลงมาบนหัวของเขา ภัยพิบัติจึงติดตามตัว สำหรับคนที่ทำดี  เพราะว่าพื้นจิตใจสว่าง ปราณชั่วร้ายจึงค่อย ๆ จางหายไป ดาวร้ายก็ต้องหลบเขา แล้วจะส่งภัยพิบัติให้เขาได้หรือ ที่จริงแล้ว คนต่างหากที่สร้างวิบากกรรมดาวร้ายจึงส่งภัยพิบัติให้เขา  มิใช่ดาวร้ายไม่ดี ตนเองไม่ดีต่างหากเล่า !  เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว คนจะไม่กลัวเกรงได้อย่างไร ทำตัวให้ดี สำรวจความชั่วของตน เพื่อดึงใจฟ้ากลับมา ! 

นิทาน  :  ที่มณฑลซานตง เมืองลี่เฉิน มีคนหนึ่งชื่อหม่าฉางชื่่อ อาศัยว่าตนมีความฉลาดสามารถ จึงอันธพาลไปทั่ว ไม่ชั่วไม่ทำ มีอยู่วันหนึ่งดาวปัญญาก็ลงมาจากฟ้าสู่ลานบ้าน กลายเป็นหินก้อนใหญ่ จากนั้นบ้านของหม่าฉางชื่อ มีคดีความไ่ม่หยุดหย่อน โรคภัยก็ถามหา  การทะเลาะเบาะแว้งในบ้านเกิดขึ้นเป็นประจำ เวลาผ่านไปแค่หนึ่งปี  หม่าฉางชื่อก้ตายลง คนในบ้านก็แตกไปคนละทิศคนละทาง กลายเป็นบ้านร้างไป รอบ ๆ ก้อนหินใหญ่มีแถบกว้างเป็นฟุตสีม่วง และปรากฏเหมือนมีอักษร หินก้อนนั้นยังอยู่มาถึงปัจจุบัน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
              คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ขัยสิ้นก็ตาย

อธิบาย  :   ทำให้อายุขัยของคนชั่วถูกตัดทอนไปเรื่อย ๆ  จนหมดอายุขัยคนชั่วก็ตายลง  นี่คือคำห้ามปรามของ  ท่านไท่ชั่ง ที่พร่ำบอกแก่ชาวโลก นิสัยที่ชาวโลกทำจนเคยตัว ยากลำบากที่จะถอดถอนขจัดให้หมดลง ล้วนเกิดจากการก่อเรื่องไม่ดีจนกลายเป็นวิบากกรรม วิญญาณกรรม ที่กองสุมเป็นภูเขา  ความร้อนแรงค่อยเผาชีวิตของเรา วันแล้ววันเล่า จนกว่าชีวิตขัยจะหมดสิ้น นั่นคือวันตายก็มาถึง ความชั่วที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นวิบากกรรมที่ติดตามวิญญาณไปเสวยทุกข์ ไปเกิดป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง  เป็นผีนรกที่ต้องรับทุกข์ ทุกข์ที่ได้รับในตอนนี้จะทุกข์ทรมานเหลือประมาณ ไม่ใช่ว่าตายแล้วจะจบสิ้นกันไป หมดเรื่องกันเลย ไม่ง่ายเช่นนั้น คนที่ทำชั่วแล้วมารู้เช่นนี้ คงต้องร้องไห้อย่างโหยหวนเป็นแน่แท้ ควรรู้เอาไว้ว่า "ร่างกายสลายง่ายวิบากกรรมหลบหลีกยาก" นอกเสียจากผู้ใจการุณย์ที่ใจมั่นคง ต้องเชื่อมั่นในหลักธรรมนี้ ใช้โอกาสที่ยังมีลมหายใจอยู่สำนึกผิดเพื่อขจัดโทษกรรม ถ้าหากยังเฉยเมยปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ใส่ใจไยดีที่จะแก้ไขความผิด เวลาร้อยปีก็ผ่านรวดเร็วเหมือนจรวด เมื่อถึงคราวสิ้นอายุขัย ดิน น้ำ ลมไฟ แยกสลาย ค่อยมากังวลเป็นทุกข์ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

นิทาน  :  สมัยก่อนมีคนแก่คนหนึ่ง ตายไปพบกับยมบาล ก็ต่อว่ายมบาลว่า ทำไม่ไม่เขียนจดหมายเตือนล่วงหน้าเสียก่อน ยมบาลพูดว่า "ตอนที่เธอสายตายาว ก็คือจดหมายฉบับแรกที่ฉันเขียนให้เธอ  ตอนที่เธอหูตึงก็เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ฉันเขียนให้เธอ  ตอนที่เธอฟันเสียฉันก็เขียนจดหมายฉบับที่สามแล้ว   ตอนที่ร่างกายนับวันอ่อนแอลง ไม่รู้ว่าเป็นจดหมายฉบับที่เท่าไรแล้ว  ที่ฉันเขียนให้เธอรู้ล่วงหน้า จะมาว่าข้าไม่ได้เขียนจดหมายให้เธอไม่ได้นะ !   ก็มีคนหนุ่มที่ตายไปพบยมบาล ก็ต่อว่ายมบาลว่า " ตาของฉันยังดีอยู่  หูก็ยังฟังชัด  ฟันก็ยังคมอยู่  ร่างกายหรือก็แข็งแรงมาก  ท่านยมบาลเอาฉันมาทำไมไม่เขีนยจดหมายเตือนให้ฉันรู้ล่วงหน้า"  ยมบาลตอบว่า  "ข้าก็เคยมีจดหมายเตือนเจ้าล่วงหน้าอยู่นะ !  เธอไม่เห็นหรือ บ้านใกล้เรือนเคียงทางทิศตะวันออก  อายุแค่ ๓ - ๔๐ ก็ตาย   บ้านใกล้เรือนเคียงทางทิศตะวันตก อายุแค่ ๑๐-๒๐ ปี ก็ตายแล้ว  บางคนแค่ขวบเดียวยังเป็นเด็กอยู่เลยก็ตายแล้ว พวกนี้แหละเป็นจดหมายที่ฉันเขียนให้เธอไงเล่า !" เพราะฉะนั้นจึงพูดว่า ชีวิตคนไม่เที่ยง เหมือนน้ำค้างในตอนเช้าแค่ลมหายใจไม่มา ร่างกายก็เป็นซากศพแล้ว ในพระสูตร  ๔๒ บท ก็มีเขียนไว้ พุทธองค์ถามสาวกว่า"ชีวิตคนยาวแค่ไหน" สาวกคนหนึ่งตอบว่า "ชีวิตคนอยู่ในช่วงวัน" พุทธองค์ตรัสว่า "เธอยังไม่รู้จัก" สาวกอีกรูปหนึ่งตอบว่า "ชีวิตคนอยู่ในระหว่างรับประทานอาหาร" พุทธองค์ตรัสว่า "เธอยังไม่รู้จัก" สาวกอีกรูปหนึ่งตอบว่า " ชีวิตคนอยู่ในชั่วลมหายใจเข้าออก" พุทธองค์ตรัสว่า " เจริญพร !  เจริญพร ! เธอรู้จักแล้ว"     

คติพจน์   :  ในราชวงศ์หยวน พระธรรมาจารย์เทียนหยู เคยพูดว่า " การที่พุทธองค์อุบัติขึ้นในโลกนี้ ก็เพื่อพวกเราทุกคน ให้ทุกคนมีความตั้งมั่นอยู่ในช่วงหนึ่งแห่งการเกิดดับ เป็นเรื่องสำคัญ ก็อย่างที่พูดว่า " เกิดมาไม่รู้ว่ามาจากไหน ตายไปก็ไม่รู้จะไปที่ไหน" นี่เป็นเรื่องสำคัญ !  ถ้าหากยังเกิดอย่างนี้ตายอย่างนี้ ทั้งหมดของมหาปฐพีก็ถูกกรงครอบไว้ ตั้งแต่โบราณมา ไม่เคยแม้แต่คนเดียวที่ถูกมหาสมุทรแห่งการเกิดการตายกลืนหมดสิ้น จงอย่าได้พูดว่า เอาตั้งแต่โบราณมาเลย พูดเอาแค่ตั้งแต่เธอมีชีวิตอยู่มา ให้หวนคิดถึงเมื่อ ๑๐-๒๐ ปีก่อนโพ้น ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเธอได้ตายไปกี่มากน้อยแล้ว กล่าวไปไยกับผู้อื่น พูดเอาแต่ตัวเองเถอะ ตอนนี้ก็หยิบยืมดินน้ำลมไฟสี่มหาภูติรูปแล้วก็หลงคิดว่า รูปกายนี้เป็นฉัน เช้าจรดเย็นหาวิธีต่าง ๆ มาคอยรักษามัน เอาของต่าง ๆ มาเลี้ยงดูมันแต่มันก็ไม่หยุดที่จะโรยลา ค่อยเสื่อมทรามลงไม่ทันรู้ตัววันสิ้นสุดของอายุก็มาถึงแล้ว มาถึงขณะนี้ก็ชุลมุนวุ่ยวายขนาดใหญ่ เหมือนปูที่ตกลงในหม้อน้ำเดือดที่ทุกข์ทรมาน !  ดูซิ  อุดมการณ์อันมั่นคงของวีรชน ปัจจุบันไปอยู่เสียที่ไหน โดยเฉพาะหลังการตาย ร่างกายสีสันเปลี่ยนแปลง ทั้งเหม็นทั้งสกปรก ใครก็ทนรับไม่ไหว ถึงแม้จะเป็นญาติสนิทสายโลหิตก็เถอะ จะมองให้เต็มตาก็ไม่อยากเลย แล้วที่พูดว่าความรักผูกพันบุญคุณเหล่านี้เล่ามันหายไปอยู่ที่ไหน  เพราะว่าเหตุปัจจัยเหล่านี้ ดังนั้นพระธรรมาจารย์จึงพูดว่า เพียงลมหายใจหนึ่งขาดลง ก็เหมือนดินฝุ่นไอแล้ว หนทางข้างหน้าอันเวิ้งว้างไม่รู้จะไปที่ไหนอย่างไร หรือเพียงตายแล้วก็เผาเท่นั้นน่าสมเพชนักแต่มิใช่อย่างนั้น ภายหลังการตายยังต้องไปรับโทษตามกรรม ที่ตนก่อไว้ นี่แหละเป็นเรื่องที่สำคัญล่ะ !  ต้องรู้จักว่าผลตอบสนองติดตามแรงกรรมมา เหมือนเงาที่ติดตามกายสังขาร ถึงแม้ร่างกายนี้จะตายแล้วก็ตาม แต่วิญญาณนี้อาจจะตกนรก หรือไม่เกิดเป็นเปรต  หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปหมุนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร เช่นนี้ก็จะได้รับการเจ็บปวดทรมานอย่างเหลือประมาณได้ นี่คือสภาวะของกรรมตอบสนอง  นี่คือรากกรรมของการเกิดการตาย และรากกรรมอันนี้ก้อยู่ที่หนึ่งขณะจิตก่อนหน้านั้น  เธอมาตั้งแต่สมัยยังไม่เริ่มต้นอวิชชาที่ทุกข์กังวล ความคิดที่เพ้อเจ้อ ใจที่ฟุ้งซ่าน  สัมผัสกับสภาวะภายนอก หรือพบกับปัจจัยภายนอก ก็หลงติดในรูปในเสียง ทำให้เธอฟั่นเฝือ  ไม่มีกรรมใดที่ไม่กระทำ เหล่านี้กลายเป็นรากเหง้าของวัฏสงสาร !  เพราะฉะนั้นเมื่อมาคิดถึงการเกิดการตายเป็นเรื่องใหญ่ต่อให้เป็นบุรุษเหล็กก็ยังครั่นคร้าม เพราะเหตุปัจจัยนี้เอง พระพุทธองค์จึงเกิดมหาเมตตาสงสาร สอนให้เธอเรียนพุทธธรรมและปฏิบัติบำเพ็ญ เรียนธรรมพิจารณาเซ็น เพื่อให้เธอขจัดล้างความคิดเพ้อเจ้อใจฟุ้งซ่านให้รู้จักเจ้านายตนเอง ให้รู้จักหน้าตาตนเองก่อนที่พ่อแม่ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น ต้องมีวิสัยทัศน์ยืนให้มั่น รีบเร่งทำตัวให้ใสสะอาดหลุดพ้นอย่างนี้แล้วเหมือนถึงคราวชีวิตจะดับลง ก็จะได้รับผลมาก ก็อย่างที่พูดว่า การเกิดการตายมีอิสระ ไม่มีติดขัด  การมาการไปมีเสรีอย่างนี้เรียกว่า หลุดพ้นการเกิดการตาย คนแบบนี้ซิจึงจะนับว่าเป็นมหาบุรุษที่แท้จริงล่ะ ! 

Tags: