collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144051 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  ใช้เล่ห์แย่งตำแหน่ง

อธิบาย  :  ทำร้ายคนอื่นเพื่อแย่งชิงตำแหน่งของเขา  ในโลกนี้ตำแหน่งหน้าที่  ถึงแม้จะมีกำหนดแล้วในดวงชะตา แต่ถ้าขยันในการทำดี บำเพ็ญกุศลละเว้นการทำชั่ว  โอกาสการเลื่อนตำแหน่งก็ยิ่งสูงขึ้น  โดยปกติคนทั่วไปเพียงแต่ยอมทำกุศลให้มาก ก็มีโอกาสมีตำแหน่งในราชการอยู่แล้ว  แต่ถ้าคิดแต่หวังเลื่อนตำแหน่ง โดยวิธีใช้เล่ห์ทำลายเขา เพื่อแย่งตำแหน่งเขา แต่กฏแห่งกรรมตอบสนอง หลักธรรมชัดเจน  คนที่ทำร้ายผู้อื่น ในที่สุดแล้วก็ถูกผู้อื่นทำร้ายเอา  แย่งตำแหน่งเขาในที่สุด ตำแหน่งของตนก็จะถูกผู้อื่นแย่งชิงไป การตอบสนองนั้นเร็วมาก และสามารถเห็นได้ในปัจจุบัน !

คติ  :  คนสมัยก่อนพูดว่า  "ถึงแม้ถวายตนรับใช้เจ้าเหนือหัว ดังนั้น ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่เป็นของตนแล้ว เพราะฉะนั้นจึงควรคิดเสมอว่า ทำเพื่อเจ้าเหนือหัว ทำไมยังมัวห่วงชีวิตตนอีกเล่า ?. ขุนนางแบบนี้ ทำไมไม่จงรักภักดีต่อประเทศชาตินะ ?"  คำพูดของคนสมัยก่อนแบบนี้ ต้องถือเป็นวลีทองของคนเหล่านี้ดี ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  เข่นฆ่าผู้ยอมแพ้

อธิบาย  :  ถ้าโจรผู้ร้ายยอมแพ้แต่กลับฆ่าทิ้งพวกเขาเสีย เป็นการละเมิดหลักธรรมฟ้าอย่างยิ่ง  การสงครามเป็นเรื่องอัปมงคลและอันตรายที่สุด ปราชญ์จำยอมต้องใช้ทหารออกศึก เพราะว่าในสมัยโบราณเมื่อมีสงครามศัตรูก็จะถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก จึงทำให้รู้สึกเศร้าสลดกับพวกเขา  สงสารพวกเขาที่ต้องตายในสงคราม ฝ่ายที่ชนะสงครามก็อาจช่วยพิธีศพให้ทหารที่ตายไป กับศัตรูที่แพ้สงคราม ก็ควรที่จะให้ความสงสาร ปลอบประโลมตักเตือนพวกเขา  เมื่อศัตรูยอมแพ้แล้ว กลับเอาพวกเขาไปฆ่าทิ้ง จิตใจเช่นนี้ช่างโหดเหี้ยมเหลือทน  เป็นการสร้างวิบากกรรมอย่างมาก เพราะฉะนั้น  การได้รับกรรมตอบสนองจึงมากมายกว่านี้อีกมาก  คุณหยวนโม่วอิ๋ว ในสมัยหมิงกล่าวว่า  "ผู้มีจิตใจเมตตายิ่งก็จะไม่สามารถนำทหารไปออกศึก เป็นขุนพลไม่ได้ !  หรือที่พูดกันว่าถ้าหากเป็นขุนพลก็จะตายลูกเดียวอย่างนั้นหรือ ?.  ที่จริงไม่ใช่เช่นนั้น ถ้าหากขุนพลสามารถช่วยเหลือราษฏร ปราบจลาจลให้สงบ ทำให้ประเทศชาติอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าเช่นนี้ การเป็นขุนนพลก็มีทางรอดอยู่ได้ เป็นเพราะว่าต้องฉุดช่วยมวลมนุษย์ จึงจำยอมต้องมีการฆ่าฟัน เช่นนี้บุญคุณไหนจะยิ่งใหญ่เท่าขุนพลเป็นไม่มี  ทำไมหรือ ?. เพราะได้อุทิศคนส่วนน้อย แต่สามารถช่วยชีวิตคนได้เป็นเรือนพันเรือนหมื่น  ถ้าเทียบกับการทำความดีปกติก็มีที่ไม่เหมือนแน่นอน  ถ้าหากเป็นการทำเพื่อความสำเร็จของตนเองให้ตนมีเกียรติยศ แล้วใช้มาตรการมาเข่นฆ่าทำร้ายมวลชน บาปกรรมก็จะมากมายยิ่งกว่าขุนพลอีก ทำไมหรือ ?.  เพราะเมื่อรบแพ้คนใต้บังคับบัญชาถูกฆ่าไปมาก ถ้าหากรบชนะก็ฆ่าศัตรูไปมาก การรบถ้าวินัยไม่เคร่งครัด ก็จะเที่ยวเข่นฆ่าประชาชนที่ไม่มีความผิด เหล่านี้เป็นหน้าที่ของขุนพล เพราะฉะนั้น การส่งขุนพลไปจะไม่ระมัดระวังไม่ได้ และทหารใต้บังคับบัญชาของขุนพลก็ยิ่งจะไม่ระมัดระวังไม่ได้เลย ! คนโบราณว่า "สามชั่วโตรเป็นขุนพล ชาวพรตจะหลีกเลี่ยง" 

        อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบฆ่าฟันเป็นเรื่องที่อาจมีขึ้น แต่เราจะวางใจใช้ได้หรือ ?. เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวต้องใช้ทหาร ก็ควรเคารพ ๓ ประการ ซึ่งไม่สามารถจะละเลยได้

ข้อที่หนึ่ง   ต้องกลัวว่า ไม่มีเรื่อง แล้วเกิดเรื่อง การอุทิศชีวิตคนจำนวนทหารเป็นร้อยเป็นพัน เพื่อนำมาบำเหน็จคน ๆ หนึ่งให้เป็นเจ้าเป็นจอมพล
ข้อที่สอง   ต้องกลัวเอาความรุนแรงทำให้ยิ่งรุนแรง ทำให้ฆ่าผู้คนไปจำนวนมาก เพื่อความดีความชอบแล้วตัดหัวคนไปมาก
ข้อที่สาม   ต้องกลัวว่า ทหารทั้งสองฝ่ายต้องรบกันด้วยความลำบากทั้งฝ่ายเขาและฝ่ายเรา ต้องเข่นฆ่าล้มตายเป็นจำนวนมาก คนที่รับหน้าที่ทำสงครามก็อาจพูดว่า "ฆ่าคนแล้วแต่ข้า  แบบนี้ถึงจะถึงเป้าหมายของอำนาจ !"  ควรจะรู้ว่าวิถีแห่งขุนพลที่สำคัญต้องมีวินัยเคร่งครัด ห้ามทหารฆ่าส่งเดช ถ้ามีวินัยเคร่งครัด ทหารก็ไม่ถูกใส่ร้าย ทั้งยังได้ผลงาน  นี่คือวิธีรอดที่เป็นเหตุเป็นผลของการดำเนินด้วยการฆ่าฟัน !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  ขับคนดีไล่ปราชญ์

อธิบาย  :  การติเตียนกล่าวโทษข้าราชการที่ดี  ขจัดผู้มีความรู้เพื่อให้เขาพ้นจากตำแหน่ง หรือถูกย้ายไปที่ทุรกันดาร เป็นการขับคนดีไล่ปราชญ์  นักปราชญ์บัณฑิตถือเป็นบุคลากรของประเทศชาติ ควรที่จะรู้จักใช้พวกเขาให้ถูกต้อง  ในคณะรัฐบาลก็จะมีผู้มีความสามารถหลากหลาย  ต่างชาติล่วงรู้ก็จะให้ความเคารพนับถือ ไม่กล้าที่จะเอารัดเอาเปรียบ  อย่าเป็นเพราะอิจฉาในความรู้ความสามารถของเขา หรือเป็นผู้ที่ไม่ลงรอยกับตนก็คิดหาวิธีขจัดพวกเขาให้พ้นตำแหน่งหน้าที่ หรือไม่ก็กล่าวโทษแล้วโยกย้ายพวกเขาไปในที่ไกล การทำร้ายชนิดนี้ เป็นผู้ทำลายประเทศชาติ เป็นผู้ก่อวิบากกรรมน่ากลัวจริง ๆ !

        ควรรู้ว่า ต้องมีผู้ชำนาญม้าเสียก่อน ภายหลังจึงจะมีม้าดี  ม้าดีมีบ่อยแต่ผู้ชำนาญม้ามีไม่มาก การที่ได้ผู้สามารถก็เหตุผลเดียวกัน  ถ้ามีผู้อำนาจปกครองประเทศเหมือนผู้ชำนาญม้า รู้จักสรรหาคนมีความรู้เอามาทำงาน  เช่นผู้มีคุณธรรมสูง มีใจกว้าง ก็ให้เขารับตำแหน่งมหาอำมาตย์ คนที่ซื่อสัตย์สุจริตก็ให้เขารับผิดชอบเรื่องการคลัง คนที่รักประชาชนก็ให้เขาไปเป็นผู้ว่า เป็นนายอำเภอ  คือรู้จักใช้คนให้ถูกงาน คนดีมีความสามารถก็ไม่เปล่าประโยชน์ อย่างนี้ประเทศชาติเจริญเป็นแน่แท้ ! 

        ในสมัยหมิง คุณหยวนโม่วอิ๋วกล่าวว่า  "ผู้กล่าวโทษคนดี ขับไล่ปราชญ์นั้น กับผู้โอบอุ้มคนดีนั้น อันที่จริงก็แตกต่างกันไม่ไกล แต่เป็นเพราะว่าถูกความเห็นของฉัน กระทบเอา สมมุติว่า "เมื่อได้ยินกิติศัพท์ของปราชญ์แล้วรู้สึกชื่นชมเขา เมื่อเขามาอยู่ต่อหน้าแล้วมีเรื่องบางอย่างที่ทนเขาไม่ได้ เมื่อสั่งสมนาน ๆ เข้าก็จะกลายเป็นความแค้น ดังนั้น การโอบอุ้มปราชญ์ที่อยู่กับตัวเรานั้นยากกว่า และการโอบอุ้มในเวลาช่วงสั้น ๆ ง่ายกว่าการโอบอุ้มในช่วงเวลายาว ๆ นี่เป็นเพราะอะไรหรือ ?.  เป็นเพราะว่าอารมณ์ระหว่างเขากับเราที่กระทบกัน  ความสามารถระหว่างเขากับเราที่เปรียบเทียบกัน  ชื่อเสียงระหว่างเขากับเราที่กล่าวตำหนิกัน เป็นอิทธิพลที่ก่อให้เกิดการโจมตีซึ่งกันและกัน และเหล่าปราชญ์ก็ยังไม่สามารถปฏิบัติตัวระดับใจเสมอภาค  และภาพลักษณ์ไม่มีตัวฉันได้  เพราะฉะนั้น เมื่อการคบหากันระหว่างเขากับเรานาน ๆ ไปก็ทำให้เห็นจุกบกพร่องของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้น เมื่อก่อนที่เคยชื่นชมนิยมเขา มาบัดนี้กลายเป็นว่าเคารพยกย่องผิดคนไป ปัจจุบันที่อิจฉาริษยาคนดี กลับทำให้รู้สึกว่าในใจตนเองไม่มีความคลาดเคลื่อน  ที่จริงก็เป็นที่จิตใจของเราไม่กว้างที่จะยอมรับปราชญ์คนดีได้ต่างหากเล่า !  เพราะฉะนั้น การพบปะกันฉันบัณฑิต สุดท้ายกลับกลายเป็นศัตรู  ก็เป็นสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นยามปกติควรฝึกฝนให้กดข่มอดกลั้นไม่หวังชื่อเสียง  ไม่ยึดติดในรูปลักษณ์  และทำเพื่อประชาชน  ต่อการกล่าวหาทำลายหรือยกย่อง ก็ไม่เก็บไว้ในใจ เช่นนี้ก็สามารถสร้างบุญวาสนาให้กับลูกหลานได้ ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  รังแกกำพร้า ข่มเหงหม้าย

อธิบาย  :  รังแกลูกกำพร้ากดดันบังคับแม่หม้าย ในบทก่อนหน้า (เล่ม ๑)  มีคำว่า สงสารกำพร้าเวทนาหญิงหม้าย ท่านไท่ชั่งก็กล่วครั้งหนึ่งมาแล้ว มาถึงตอนนี้ก็กล่าวถึง "รังแกกำพร้าข่มเหงหญิงหม้าย"  จึงเป็นการกล่าวย้ำเตือนอย่างหนักแน่นว่า เพราะว่าลูกกำพร้ากับหญิงหม้ายเป็นคนที่ไร้วาสนาของชีวิตมนุษย์ เพราะฉะนั้นฟ้าดินจึงเพ่งมองหนัก ทำอย่างไรจะให้โอกาสพวกเขาอย่าถูกข่มเหง  ถูกทำร้าย  ตลอดจนถูกแย่งชิงเอาทรัพย์ ของพวกเขาไป หรือใช้วิธีหลอกลวงส่งพวกเขาไปถูกใช้งาน หรือใช้อิทธิพลกดดันบังคับลูกกำพร้าหญิงหม้ายให้พลัดที่อยู่อาศัย  ถูกปรักปรำจนไม่มีทางต่อสู้ !  เรายังคงไม่พูดถึงผีถึงเจ้าที่ตรวจตราและการตอบสนอง ที่ไม่คลาดเคลื่อน  แต่ให้คิดคำนึงถึงว่า ลูกกำพร้าก็เป็นลูกของชาวบ้าน แล้วเอาลูกของตน ภรรยาของตนไปแทนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา  ก็จะทำให้เราไม่คิดรังแกข่มเหง ทำร้ายเขา อันเป็นการละเมิดหลักธรรมของฟ้าได้

คติ  :  เมื่อเห็นเคราะห์กรรมที่ตายทั้งบ้านแล้ว พวกที่กล้ารังแกกำพร้าข่มเหงหญิงหม้าย ก็ควรที่จะสำนึกผิดแก้ไขเสีย !  ตลอดจนพี่น้องร่วมตระกูล  ที่กล้ารังแกกำพร้าหญิงหม้าย ก็คือคนที่ไม่ใช่คน ที่คิดทำสิ่งที่ละเมิดธรรมสัมพันธ์ สิ่งที่ได้รับคือโศกนาฏกรรมที่ตอบสนอง ซึ่งร้ายแรงยิ่งนัก !   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  ละกฏรับสินบน

อธิบาย  :  ข้าราชการที่กล้าละทิ้งกฏหมาย และรับสินบนจากชาวบ้าน เริ่มจาก  "ละทิ้งกฏรับสินบน"  มาถึง  "เห็นประหารเพิ่มโทสะ"  เป็นการพูดถึงข้าราชการสอบสวนคดี รวมถึงฝ่ายเอกสารธุรการด้วย มิใช่จะเป็นการบ่งชี้แต่ฝ่ายตุลาการเพียงอย่างเดียว หรือฝ่ายกฏหมายเท่านั้น  ท่านไท่ชั่งกล่าวว่า   "คดตรงเบาหนัก"  ต้องเริ่มจากละกฏรับสินบน เพราะว่า  "คดตรงเบาหนัก"  มันต้องอาศัยวิธีการทางกฏหมาย แต่ที่จุดเพียงมุ่งหมายทางเดียวคือคิดอยากได้เงิน เพราะฉะนั้นจึงรับเอาตามอำเภอใจ  คนให้สินบนก็มีข้อเงื่อนไขร้องขอ ที่ผิดข้อกำหนดของกฏหมาย ถ้าเป็นฝ่ายตุลาการ ที่ละทิ้งกฏหมายไม่ทำตามระเบียบแล้วอาศัยความดีชั่วของตนเอง มาตัดสินคดีนักโทษถึงความเป็นความตาย เช่นนี้ประชาชนก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หรือว่าไม่รู้ที่ทำด้วย พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่าการกระทำแบบนี้ อาจทำให้ฟ้าโกรธ คนกล่าวโทษแล้วตนเองต้องได้พบกับภัยพิบัติที่แปลกประหลาด

        คุณหยวนโม่วอิ๋วกล่าวว่า  "พวกที่สอบเป็นขุนนางได้ ก็คือพวกที่อ่านจนขึ้นใจ ถึงกลอนจริยาและดนตรีแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าควรต้องสุจริตโปร่งใส ! หรืออาจเป็นเพราะเห็นจนเคยชินถึงวัฒนธรรมของการแสวงหาตำแหน่ง ขอให้คนช่วยสนับสนุน ถ้าไม่ใช่ของขวัญหรือไม่มีเงิน  มันก็จะไม่ลื่นไหล ตอนเริ่มต้นจะคอรัปชั่นใหม่ ๆ ก็ยังยับยั้งชั่งใจบ้าง ใจยังรู้จักอับอายไม่สบายใจ พอนานวันเข้ากลายเป็นความเคยชินกลับตัวยาก ยิ่งโลภยิ่งร้ายแรง ตอนนี้ทั้งสกปรกและเหม็นคาวอย่างยิ่ง แต่ใจคนโลภไมไ่เบื่อ ได้ร้อยตำลึงก็คิดว่าถ้าได้พันตำลึงก็จะดีกว่า การได้พันตำลึงก็คิดอยากได้หมื่นตำลึงก็จะยอดกว่า ยิ่งร้ายแรงก็คืออิทธิพลและอำนาจ  เมื่อได้แล้วเงินทองก็เต็มบ้าน เงินทองได้มากแล้วก็ว่าเท่าเก่าไปไม่พอใจ อยากได้อยู่เรื่อยไป คนข้าง ๆ เขาก็หัวเราะเอาเพราะเห็นว่าเขากำลังหลงไม่รู้ตัว ที่จริงเขารักเงินมาก จนกลายเป็นเสพติด

        พวกคอรัปชั่นนี้ ส่วนใหญ่ก็อยากให้ลูกหลานร่ำรวยเสพสุขได้นาน แต่หารู้ไม่ว่าลูกหลานกลับโง่เขลาของบรรดาเศรษฐีด้วยสาเหตุอันนี้ ซึ่งต้องพบกับภัยพิบัติที่ดับสลายกลายเป็นจุดจบ แต่ลูกหลานครอบครัวสุจริตยากจน  กลับมีความเจริญร่ำรวยขึ้น  ต้องรู้ไว้ว่า บุญวาสนามีกำหนด ถ้าหากได้เงินที่สกปรกไม่ถูกต้อง ก็เป็นการสั่งสมวิบากกรรมให้ลูกหลาน ต้องชดใช้ อย่างนี้ไม่ใช่บุญวาสนาแล้ว ตลอดจนผู้ได้เป็นข้าราชการ ก็จะสร้างวัดวาอารามช่วยเหลือวงศ์ตระกูล  ช่วยเหลือญาติพี่น้อง มันเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อใจรีบร้อนอยากทำเรื่องดีเหล่านี้ให้สำเร็จจริง ๆ เลยยิ่งต้องคอรัปชั่นยิ่งมากจึงยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้น อย่างนี้สู้การมีคุณธรรมทำความดีก็เพียงพอที่จะได้มงคล ทำราชการไปนานแล้วก็สามารถร่ำรวยได้ บุญวาสนาตอบแทนเช่นนี้ จะมิเป็นการยืนยาวกว่าหรือ !  ถ้าเป็นข้าราชการที่ชอบดื่มเหล้า  ชอบเที่ยวผู้หญิง  ชอบฆ่าสัตว์  ล้วนเกิดจากความโลภเป็นเหตุ  ความโลภก็คือการปล่อยตัวตามใจตัวจนกลายเป็นนิสัย  พอเคยตัวนานเข้า ใจก็เปลี่ยนทำให้ทิ้งตัวทั้งชีวิต เอาแต่โลภเงินดีกว่า เขาก็จะไม่สนใจดูแลเงินทองที่ได้มา สุดท้ายมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์เล่า !  คนเป็นข้าราชการใหม่ ๆ ไม่กล้าคอรัปชั่น พอพรรษามากเข้าก็ยับยั้งใจไม่อยู่ ปล่อยเลยตามเลย เขาเอาสถานที่ราชการเป็นบ้านตนเอง เอาเงินทองเป็นชีวิตตนเอง !  คนแบบนี้เมื่อเทียบกับคนบางคนที่พอเป็นข้าราชการทันที ก็เร่งรีบคอรัปชั่น หาคอรัปชั่นก้อนโต ก็ยังดีกว่าแยะ ! 

        อีกอันหนึ่ง คนที่เป็นหัวหน้าข้าราชการซึ่งคิดว่าตนเองโปร่งใส ไม่คอรัปชั่น รู้แต่รักษาตนรอดเป็นยอดดีก็เพียงพอแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาจะคอรัปชั่นก็ไม่ใส่ใจเคร่งครัด เพราะคนเป็นหัวหน้ามีหูตาจำกัด ทุกอย่างต้องอาศัยผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชารับสินบนแล้วตนเองไม่ใส่ใจ โทษหนักจะตกอยู่กับหัวหน้าข้าราชการนั่นเอง ! 

วิจารณ์  :  โฮวเจี้ยนรับสินบนแค่ ๖๐ ตำลึง พระเจ้าก็จะลดตำแหน่งที่เขาควรจะได้เป็นถึงเสนาบดีเลย  การกระทำของโฮวเจี้ยน ไม่รู้ว่าฉลาดหรือโง่กันแน่โดยที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่เอาเรื่อง  ภัยเคราะห์หรือโชควาสนาไปแจ้งให้คนทำงานรู้ชัด ๆ ด้วย !  ด้วยเหตุนี้คนที่รับสินบนโดยไม่รู้ว่าได้ถูกลดบุญวาสนาไปแล้วมีมากมายเท่าไร !  ตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง นายเหว่ยเจา มีตำแหน่งเป็นผู้พิพากษา เป็นเพราะรับสินบนมา ๔๐๐ ตำลึง จึงจงใจตัดสินประหารนักโทษและปล่อยตัวคนทำผิดไป คนที่ตายก็โกรธแค้นที่ถูกปรักปรำ พระเจ้าจึงลบบุญวาสนาและอายุขัยของเหว่ยเจา ผ่านไปเพียงหนึ่งปี เหว่ยเจาก็ตายไป ในปัจจุบันคนที่ไปปลดโทษให้คน ไม่สมควรเปรียบเทียบกับจงใจเพิ่มโทษคนผิด ก็ต้องเอาเรื่องนี้มาอ้างอิง กลับไม่รู้หลักธรรมที่ว่า "กฏหมายนั้นละเลยไม่ได้ คนก็ไม่อาจปรักปรำได้" 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  เอาตรงว่าคด  เอาคดว่าตรง

อธิบาย  :  เอาหลักการตรงให้กลายเป็นหลักการคด เอาหลักการคดถือว่าเป็นหลักการตรง คนทำงานสองฝ่าย ต่างก็เขียนคำร้องเสนอต่อทางการ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาฝ่ายตรงกันข้าม  ณ จุดนี้หลักการตรงคดของทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน การแย่งชิง มีความผิดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่คำพิพากษาของศาล เพราะฉะนั้นศาลจะตัดสินส่งเดชได้อย่างไร ?. แต่ปัจจุบันข้าราชการตุลาการกลับเอาหลักการตรงตัดสินให้เป็นหลักการคด แล้วก็เอาหลักการที่คดตัดสินให้เป็นหลักการตรง ข้าราชการที่ตัดสินกลับตาลปัตรอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับสินบนแล้ว เขาก็ลำเอียงเห็นแก่ตัว ถ้าหากเละเทะถึงระดับนี้ จะเป็นข้าราชการศาลยุติธรรมได้อย่างไร ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  โทษเบาเป็นหนัก

อธิบาย  :  การตัดสินผู้ลงโทษกระทำผิด เป็นโทษเบาแต่จงใจลงโทษหนัก  ในหนังสือซูจิงกล่าวว่า "การตัดสินคดีความ ถ้าในใจมีความสงสัย ก็ควรตัดสินให้เบาไว้"  การตัดสินลงโทษสามารถตัดสินให้เบาได้ ก็ไม่ให้ตัดสินโทษหนักกว่าที่เขาควรจะได้"  แต่ผู้พิพากษาจงใจลงโทษที่ควรเป็นโทษเบาให้กลายเป็นหนักแล้ว ก็จะเป็นการละเมิดใจของอริยเจ้าอย่างมหันต์ ที่ทรงเมตตากับนักโทษอยู่แล้ว โดยเฉพาะชีวิตคนเกี่ยวข้องกับฟ้า เกี่ยวข้องกับความเป็นตายแล้ว ภารกิจหนักหนวงมากยิ่งใหญ่ ผู้รับผิดชอบหน้าที่พิพากษา ควรที่จะใส่ใจให้มาก ให้ค้นหาหลักฐานให้รอบคอบ ประมาทไม่ได้แม้แต่้น้อย มิฉะนั้น ก็จะกลายเป็นช่วงว่างให้โจทก์ได้ประโยชน์  ทำให้รูปคดีผิดพลาดไป ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  เห็นประหารเพิ่มโทสะ

อธิบาย  :  เห็นผู้อื่นตัดสินลงโทษประหาร ขณะกำลังจะประหารชีวิต ไม่รู้สึกสงสารกลับเพิ่มความโกรธ คนแบบนี้เป็นคนเหี้ยมโหดมาก  ท่านจ้งจื่อกล่าววา"หากประสบเรื่องเช่นนี้ ต้องเศร้าเสียใจไม่ยินดี"  นี่หมายถึงเมื่อเห็นนักโทษที่กำลังจะถูกประหาร เราควรให้อภัยด้วยความเห็นอกเห็นใจที่เขาต้องโทษเช่นนี้ ไม่ควรรู้สึกสะใจสมน้ำหน้า และคิดว่าโทษเท่านั้นยังน้อยไป แม้ผู้ถูกประหารไม่อาจฟื้นคืนชีวิตด้วยก่อกรรมเองจึงต้องรับโทษเองก็ตามที เมื่อได้เห็นเขาถูกประหารใจควรรู้สึกเจ็บปวดจนต้องก้มหน้าจะน้ำตาจะไหลอยู่แล้วเช่นนี้ มีหรือจะเพิ่มความโกรธแค้นเพิ่มโทษอีก ถ้าเป็นคนแบบนี้ ถือว่าเป็นคนโหดเหี้ยมมาก แม้แต่สัตว์เลี้ยงในบ้าน ถ้าถูกเขากำลังฆ่าก็ยังต้องสงสารพวกเขาที่ไม่มีโทษมีความผิดอะไร ถ้าหากมาเห็นพวกมันถูกฆ่า ก็ยังพูดจาเดือดดาลด้วยอารมณ์แค้นละก็ คนแบบนี้ย่อมเป็นคนโหดเหี้ยมร้ายกาจแน่นอน เขาเป็นคนชั่วร้ายแท้จริง !

ขยายความ   :  เรื่องที่ผ่านมาทำให้รู้ว่า การสวดพระพุทธสามารถฉุดช่วยวิญญาณที่ตายได้ ทั้งตนเองก็มีบุญกุศลเพิ่มขึ้นด้วย และเมื่อหมดอายุขัยในโลกนี้แล้ว ก็ยังได้ไปเกิดในแดนสุขาวดีอีก ถ้ามีคนถามว่า "เพียงแต่สวดพระนามพระพุทธะเท่านั้น ทำไมทั้งเขาและเราก็ได้ประโยชน์เล่า ?."  ฉันตอบว่า "เวไนยสัตว์ตั้งหลายกัปกัลป์มาแล้ว จิตเดิมมืดมัวหมมดแล้ว คิดที่จะรู้สึกลุรู้ มันห่างไกลไร้กำหนดจริง ๆ ยากยิ่งจริง ๆ แต่เมื่อได้ยินพระนามพระพุทธะ จิตเดิมก็อาจจะตื่นจากความมืดมัวได้ ส่วนเขาผู้เป็นเพชฌฆาตโหดเหี้ยมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมื่อถูกเราที่บังเกิดใจเมตตา ช่วยโปรดทุกข์ให้กับสัตว์ที่ถูกฆ่าด้วยการสวดพระพุทธะ ก็อาจทำให้เขาละบาปหันสู่กุศลก็ได้นะ !  เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นเวไนยสัตว์ถูกฆ่า แล้วสวดพระพุทธะให้ ก็อาจกล่าวได้ว่ากุศลเหลือคณานับ ! "  ในสมัยหมิง มหาธรรมาจารย์กลั่นซัน กล่าวว่า "อาตมาเมื่อยามปกติเมื่อได้ยินเสียงสัตว์เดรัจฉานถูกฆ่า ก็ให้รู้สึกว่าใจฉันปวดยิ่ง ก็จะรีบ ๆ สวดพระพุทธะและคาถาปฏิสนธิให้แก่พวกเขา อาตมาทำเช่นนี้ก็เพื่อวิญญาณสัตว์ที่ถูกฆ่าเหล่านั้น ทำสุดใจของอาตมาส่วนหนึ่ง"  เมื่อเห็นเรื่องราวสองเรื่องนี้ จึงรู้ว่าสัตว์ที่ถูกฆ่าได้รับความเจ็บปวด หากได้ยินเสียงสวดพระนามพระพุทธะ พวกมันก็จะได้ประโยชน์์มาก และสบายขึ้น ดังนั้น ถ้าพวกเราได้เห็นหรือได้ยินเสียงสัตว์ถูกฆ่า เห็นพวกเขาอยู่บนเขียง อยู่ในหม้อต้มหรือทอด ก็ควรให้รีบ ๆ มีจิตเมตตาสวดพุทธะแก่พวกเขา อย่างนี้จึงจะเป็นผู้ถึงความเมตตาอยางแท้จริงที่จะปลดทุกข์ ขจัดความเจ็บปวดให้แก่เวไนยสัตว์จักเป็นกุศลยิ่งนักแล !

สรุป   :  ผู้พิพากษาและผู้สัสดี ถือเป็นผู้ทำงานใหญ่ของประเทศ ความเป็นความตายของประชาชนก็จะเกี่ยวข้องกันโดยตรง เพราะฉะนั้น ท่านไท่ชั่งก็ตั้งวาจาว่า  ก่อนอื่นต้องเคร่งครัดห้ามรับสินบน ตลอดจนหลักการคตหลักการตรง การตัดสินโทษหนักโทษเบา โดยเฉพาะตุลาการที่ทำการพิพากษามีความสำคัญมาก เพราะว่าพวกเขามีอำนาจอยู่ในมือ สามารถช่วยเหลือคนให้ได้รับความสะดวก อย่างไรก็ตาม หูตาของผู้พิพากษาก็มีความจำกัดมาก เพราะฉะนั้น พนักงานที่ทำเรื่องคดีความ ถ้าสามารถขจัดทิ้งนิสัยชั่วของตนได้้และทำดีร่วมกับตุลาการ ฉุดช่วยคนจากทุกข์ร้อน ถ้าทำเช่นนี้ได้กุศลจะเหลือคณานับ  ควรรู้ไว้ว่า การแบ่งแยกบาปกับบุญ ก้อยู่ที่ความคิดหนึ่งพอใจตนเอง  เหมือนอาศัยลมแล้วกางใบขึ้น ทำได้ง่ายมาก คนเขาว่า  "อย่าขึ้นศาล"  ข้าว่า  "ศาลบำเพ็ญดี"  คนโบราณว่าไว้จะหลอกเราหรือ ?. ตลอดจนการฆ่าคนฆ่าสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นคนอื่นฆ่าหรือเราฆ่าเอง ก็เป็นการฆ่าทั้งนั้นนะ !  ถึงแม้จะไม่สามารถทำจนไม่ให้ถูกฆ่าได้แล้วก็ให้ตั้งใจสวดพระพุทะะให้แก่พวกมัน มันจะเสียเงินทองเราหรือ ?.  มันจะเปลืองแรงเรานักหรือ ?.  หลักการเช่นนี้ ขอให้พวกเราตรึกตรองละเอียดสักนิด !     

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”