collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144268 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                                      คัมภีร์  :  ให้มากรับน้อย

        อธิบาย  :  ไม่ว่าพี่น้องที่แบ่งสมบัติ หรือเพื่อนที่ติดต่อการเงินกัน ล้วนต้องรู้จักให้และผ่อนปรนทั้งนั้น  เอาส่วนที่มากให้แก่พี่น้องหรือเพื่อน  ตนเองรับแต่ส่วนเล็ก ยอมให้คนอื่นได้เปรียบ สะดวกสบาย คนเองยอมเสียเปรียบขาดทุน  ระหว่างพี่น้องมีความเกี่ยวข้องทางสายโลหิต อันเป็นความสัมพันธ์ธรรม           
ชาติ เงินทองเป็นของนอกกาย จึงควรที่จะให้ได้ผ่อนปรนได้ พระพุทธองค์ก็เคยตรัสไว้  "คนที่หวังมาก เพราะเขาโลภในทรัพย์สมบัติมาก เพราะฉะนั้น ความทุกข์และความกังวลของเขา เมื่อเทียบกับคนอื่นก็จะมาก ส่วนคนที่หวังน้อย ตลอดจนคนที่ไม่หวัง ก็ไม่โลภอยากได้อะไร ก้จะไม่มีทุกข์กังวลมากมาย
นัก ใครก็ตามที่จะพ้นห่างจากทุกข์กังวล ต้องรู้จักพอ วิธีการรู้จักพอ ก็จะมีความมั่นคงในความร่ำรวยสงบสุข คนที่รู้จักพอถึงแม้จะนอนอยู่บนพื้นดิน เขาก็สุข
ใจอย่างยิ่ง คนที่ไม่รู้จักพอ ถึงแม้เขาจะอยู่บนตึกระฟ้าก็ไม่สบายใจไม่มีความสุข เช่นนี้ก็พอจะรู้ว่า หากคนสามารถเป็นผู้ให้มากรับน้อยได้แล้ว ใจเขาก็จะราบเรียบเอง สภาวะอะไรภายนอกก็ไม่สามารถที่จะรบกวนใจเขาได้ เพราะว่าเขารู้จักพอตลอดเวลาจึงสุขเสมอ ! 
        คุณอู่เถี่ยเจียงพูดว่า  "เงินทองเป็นมูลอากาศของโลก คนที่อยู่บนโลกไม่มีเงินทองก้อยู่ไม่ได้ ดังนั้นโลกนี้จึงไม่มีคนที่ไม่ชอบเงิน และก็ไม่มีวันไหนที่ไม่ใช้เงิน เพราะฉะนั้นเงินจึงเป็นของที่ขาดไม่ได้ แต่การมีเงินของแต่ละคนมีกำหนด คิดอย่างได้มากอีกหน่อยก็เป็นไปไม่ได้  และการใช้เงินของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน คนที่สุรุ่ยสุร่ายเวลาหยิบก็เป็นพัน  คนตระหนี่บาทหนึ่งก็หยิบยาก คนที่สุจริตบริสุทธิ์ กลางคืนดึก ๆ มีคนเอาเงินมาให้โดยไม่มีเหตุ เขาก็จะไม่รับเป็นอันขาด คนโลภมีอิทธิพลกลางวันเสก ๆ ก็กล้าที่จะไปแยกชิงเอามา ควรต้องรู้ว่าคนตระหนี่ ความรู้น้อย เงินแต่ละบาทเหมือนมณีมีค่า เหมือนผึ้งที่เฝ้าน้ำผึ้ง เหมือนเด็กที่หวงขนม จะไม่ยอมแบ่งให้ใคร แต่ทว่านี่ก็ยังเป็นสิ่งที่เขารักษาส่วนที่เขามี  เพียงแต่ทำให้คนอื่นเบื้อหน่ายเท่านั้น  แต่ฟ้าเบื้องบนก้ไม่โกรธเขา เพราะเขาตระหนี่หรอก  แต่คนที่เป็นอันธพาลโลภเอาของคนอื่น เขาคิดจะเอาส่วนที่ไม่ใช่เป็นของเขา ทั้งยังโลภไม่เบื่อ ก็เหมือนปลาที่กลืนเรือ งูกลืนช้างที่โลภเกินไป พี่น้องแย่งชิงกัน เพื่อนชิงแค้นกัน โจรฆ่าคนชิงทรัพย์ เอาตำแหน่งไม่ชอบธรรม กังฉินขายชาติ เหล่านี้ล้วนเกิดจากความโลภสร้างขึ้น เพราะฉะนั้น ท่านไท่ซั่ง จึงตักเตือนถึงภัยเคราะห์ที่มาจากความโลภ สอนไม่ให้เอาเงินทองโดยไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากสอนคนไม่ให้หาเงินเลยนี่ซิคงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านไท่ซั่งจึงพูดคำว่า  "มากกับน้อย"  สามารถทำให้คนสามารถได้ตามส่วนที่ควรได้ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง ตัวเลขมากน้อยก็ไม่ใช่เป็นการตายตัว คนที่จน ทองหนึ่งตำลึงก็ถือว่าไม่น้อย สำหรับคนที่มีเงิน หมื่นตำลึงทองก็ไม่ใช่ของมาก สำหรับคนที่สะอาดบริสุทธิ์ เขาควรได้หนึ่งร้อยแต่กลับได้หนึ่งพัน เขาก็ยังไม่รู้สึกว่ามาก นอกเสียจากคนที่เป็นธรรม ปริมาณที่ตนเองควรจะได้ เวลาไปเอาก็จะไม่เอาเกินส่วนปริมาณที่ควรจะได้ นี่ก็คือวิธีการที่เอาน้อย ถึงอย่างไรก็ตาม ใจคนที่ป่วยมีน้อยอยากได้มาก อันนี้เป็นธรรมดาของคน ถ้าให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่ไปแย่งชิงก็ไม่เป็นการสร้างบาป แต่ถ้าหากเห็นว่ามากแล้วกลับให้ไปนี่ซิ จะไม่ขัดอารมณ์ไปหน่อยหรือ
        ควรรู้ว่า เงินทองที่ได้มามีเหตุปัจจัยที่ไม่เหมือนกัน  เงินที่อยู่เฉพาะหน้าที่จะเอา  ก้ไม่แน่ว่าในดวงชะตาเราควรจะได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในทางลึกลับจำนวนที่เราจะมีเราก็ไม่สามารถรู้ได้และก็ไม่มีปัญญาตรวจสอบ แต่ถ้าไปเอาเงินที่ดวงชะตาของเราไม่มีก็เหมือนไปเอาเหล้าพิษ หรือเนื้อเน่ามากินซึ่งก็กินไม่ได้ไม่มีสุขอยู่แล้ว  สู้ให้แก่ผู้อื่นไปมิปลอดภัยกว่าหรอกหรือ ถ้าหากเป็นการให้ในส่วนที่ดวงชะตามีอยู่ก็ไม่เป็นไร เพราะมันเป็นการขจัดบาปที่มีอยู่ เงินที่ให้ไปโดยผิดพลาดทั้ง ๆ ที่ในดวงชะตาเรามีอยู่ก็ไม่เป็นไร เพราะเงินที่ให้ไปอาจได้กลับมาจากที่อื่น
        ขณะมองเห็นเงินทอง ต้องมีความอดทน ไม่ใช่เห็นเงินก็ตาโตแล้วทำส่งเดช สำหรับคนร่ำรวยก้พอทำได้ง่าย ถ้าเป็นคนจนอาจทำได้ยากกว่า ถ้ารู้ว่าทำใจได้ยาก แต่ก็อดทนทำจนได้ อันนี้เทพเจ้าที่ตรวจสอบเราอยู่ก็คงไม่ปล่อยตามเลย แม้ชีวิตกำลังลำบาก ก็จะบันดาลให้เกิดเรื่องที่ช่วยให้ชีวิตเราอยู่รอดได้ หลักธรรมเหล่านี้ต้องเชื่อว่าเป็นจริง รักษาสติเอาไว้ เช่นนี้ วิถีแห่งการนับน้อยก็คือ วิถีแห่งการร่ำรวยนั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                    คัมภีร์  :  รับอัปยศไม่แค้น

อธิบาย  :  ถึงแม้จะได้รับอัปยศจากคนอื่น ก็ควรที่จะโทษตนเอง ที่มีบุญน้อยกุศลเบาบาง  ไม่สามารถทำให้คนเขาเกรงใจ ด้วยเหตุนี้ควรที่จะสั่งสมบุญกุศลจะไปแค้นเคืองผู้อื่นไม่ได้ ต้องรู้ว่า เมื่อได้รับความอัปยศจากผู้อื่น เราต้องรีบกลับมาสำรวจตนเอง เป็นความผผิดของเราเองใช่หรือไม่  ถ้าใช่ก็เป็นเหตุผลพอที่คนอื่นจะทำอัปยศเรา เราควรยอมรับโดยดี ถ้าความชั่วอยู่ที่ผู้อื่น การทำอัปยศก็ไม่สมควร ถึงแม้จะอับอายมาถึงตนก็เหมือนไม่มีความอับอาย ไม่เพียงไม่ควรโกรธ แค้นเพราะไม่มีที่จะแค้น ตั้งแต่โบราณมา คนที่มีปัญญามีความกล้าหาญ  ก็สามารถอดทนต่อความเล็ก ๆ นี้ได้ จึงจะสามารถทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้  คนที่มีใจคับแคบความรู้น้อยก็จะไม่สามารถที่จะเข้าใจหลักธรรมนี้ได้  ในสมัยซ่ง  นายหยวนโม่วอิ๋ว เป็นชาวอำเภอติงหู มณฑลเจ๋อเจียง เขาสอนลูกหลานเขาว่า  "คนที่ไม่มีประสบการณ์ต่อความอดทน ฝึกฝนมาก่อน ก็จะไม่รู้จักคำว่า  อดทน  นี้มีความยากลำบากแค่ไหน  ถ้าในใจมีความดีความชั่วต่อสู้กันแล้ว ก็จะไม่เข้าใจได้  ความลึกซึ้งของตัวอักษรอดทนนี้ล้ำลึกนัก  คนเราถ้าไม่สามารถอดทนต่ออัปยศได้ ถ้าจะเป็นคนมีใจดี แต่พอถูกคนกระทุ้งก็ดีแตก  พอถูกคนหักหน้าก็ร่วงหล่นแล้ว เพราะฉะนั้นท่านเมิ่งจื่อจึงกล่าวว่า  "เมื่อเบื้องบนจะให้ภาระหนักแก่ใครแบกรับ ก็ต้องให้เขาฝึกฝนใจเสียก่อน ให้ฝึกฝนใจที่เคลื่อนไหวว่ามีบารมีของจิตขันติหรือไม่ นั่นคือต้องการให้คนพิจารณาด่านอันนี้ ส่วนใหญ่แล้ว การให้ทานสงเคราะห์ผู้อื่น ถ้าไม่ระวังก็จะได้รับการโกรธแค้นกล่าวโทษจากคนอื่น ต้องยอมรับการกล่าวโทษ ทำงานต้องขยันชี้นำอบรมโดยไม่หนีการนินทาว่าร้ายของใคร ต้องจริงใจอภัยคนอื่น หรือได้รับการเยาะเย้้ยถากถางจากคนอื่น วิสัยอันธพาลต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนติดมากับใจที่ดี การกระทำที่ดี หากไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมนี้ ก็ไม่ใช่คนดีที่เพียงพอแท้จริง"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                           คัมภีร์  :  รับความทุกข์ดุจความหวาดกลัว

อธิบาย   :  ขณะที่ได้รับความรักความชอบให้เลื่อนยศเป็นรางวัลนั้น ไม่อาจแบกรับไม่ได้ หากแต่ให้คิดหวาดหวั่นเอาไว้  กลัวว่าตนเองบุญบารมีน้อย บุญตอบสนองไม่พอ ไม่สามารถรักษาความรักความชอบนี้ได้ยาวนาน  ใครคนหนึ่งเมื่อได้รับเกียรติความรักใคร่ ถึงแม้เขามีส่วนควรได้ก็ตาม แต่ก็ควรรักษาส่วนนั้นให้ดีรู้จักพอ ให้รู้สึกหวาดกลัวที่ได้รับความรักใคร่นั้น เพราะว่า  "บุญเอยวาสนาเอย ด้วยเคราะห์นั้นถูกสยบไว้"  เป็นโอวาทโบราณ คนส่วนใหญ่ตอนมีบุญวาสนาก็ได้ใจจนลืมตน เพราะว่าสาเหตุตอนนี้ภัยเคราะห์ถูกกลบไว้ให้อยู่ห่าง ๆ ด้วยขณะนี้ดวงกำลังขึ้นเหมือนพระจันทร์เต็มดวง จากนั้น ดวงจันทร์ก็จะค่อย ๆ แหว่งลง เป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าไม่รู้จักหวาดกลัว วันใดที่ความรักใคร่หมดไป ภัยเคราะห์ที่กลบห่างก็จะผุดขึ้น  เพราะฉะนั้น เมื่อได้รับเกียรติยศแล้ว ก็ควรที่จะสั่งสมบุญกุศลให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น ขยันตอบแทนพระคุณ อย่าได้ขี้เกียจแม้แต่น้อย

คำคม  :  เจิ้นชวงพูดว่า  "เงียบ ๆ ๆ เทพเซียนเหลือคณานับเป็นตรงนี้ ปล่อย ๆ ถัยเคราะห์เป็นหมื่นละลายทันที ทน ๆ ๆ เจ้ากรรมนายเวรหลบซ่อนตรงนี้หยุด ๆ ๆ เกียรติยศทั้งโลกไม่อิสระเสรี" 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                      คัมภีร์  :  ทำคุณไม่หวังผลตอบ ให้เขาไม่นึกเสียใจ

อธิบาย  :  การบริจาคหรือการให้ทาน เป็นการทำคุณกับผู้อื่น อย่างไรเสียเราจะไม่หวังผลตอบแทน การมอบของให้กับผู้อื่นก็จะไม่นึกเสียใจในภายหลัง การทำบุญคุณให้แก่ผู้อื่น  หากยังหวังให้เขาตอบแทน แสดงว่าในใจของเรายังมีความโลภอยู่ คือยังไม่ลืมคุณที่เราทำ การให้สิ่งของแก่ผู้อื่นไปก็เช่นกัน ต่อมากลับรู้สึกนึกเสียใจ นี่ก็แสดงถึงใจที่เป็นตระหนี่ คือยังไม่แปรเปลี่ยน ควรรู้ว่าความโลภกับตระหนี่เป็นสิ่งที่บัณฑิตไม่กระทำ ในวัชรสูตรว่า  "โพธิสัตว์ที่มีต่อคน เรื่องและสิ่งของ คือไม่มีอุปาทานติดยึดแล้วให้ทานไป" พูดอีกว่า "หากโพธิสัตว์สามารถไม่ยึดติดในรูปให้ทานแล้ว บุญกุศลของเขาก็ไม่อาจนับประมาณได้"  ทำให้รู้ว่า หากคนสามารถเอาทรัพย์สิ่งของช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว สามารถทำจนภายในไม่เห็นฉันผู้ให้ทาน นี่เรียกว่ารูปทั้งสามว่าง ก็เรียกได้ว่าใจสะอาด  ถ้าหากสามารถให้บริจาคทานได้แบบนี้ ถึงแม้จะบริจาคท่านแค่หนึ่งถัง ก็สามารถสร้างบุญได้เอนกอนันต์ แม้การให้ทานแค่บาทเดียวก็จะสามารถจะขจัดมลายบาปกรรมเป็นพันกัปได้ ถ้าหากในใจยังมีความหวังตอบแทนแม้เพียงเล็ก ๆ อยู่ ถึงแม้จะใช้เงินถึงสองแสนตำลึง ไปช่วยเหลือคน ก็ยังไม่ได้รับบุญกุศลที่สมบูรณ์ตลอดจนการนึกเสียใจ โดยเฉพาะความสำคัญของชีวิตที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างปุถุกับอริยะ ความชั่วที่ทำถ้านึกเสียใจได้แล้ว อนาคตความคิดชั่วก็จะค่อย ไ หยุดลง ส่วนความดีที่ทำถ้านึกเสียใจแล้วอนาคตความคิดดีในใจที่มีอยู่ก็จะค่อย ๆ หายไปไม่เกิดขึ้น  ถ้าหากภายหลังการให้ทานแล้วก็เกิดเสียใจในภายหลังถ้าอย่างนั้นก็สู้ไม่ไปให้บริจาคทานก็จะปลอดภัยกว่า !
        ชาวโลกคิดอยากให้ยุ้งฉางมีข้าวเต็ม และไม่ขาดพร่องเลยสักปี ถ้าต้องการเช่นนั้น ก็ต้องเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้และขยันไปไถหว่าน เอาเมล็ดพันธุ์หว่านลงในแปลงนา ถ้าเมล็ดไม่ไปปลูก ข้าวในยุ้งฉางก็จะใช้หมดไปโดยเร็ว หลักธรรมก็เช่นเดียวกัน เอาใจที่กตัญญู  เมตตา  เคารพเป็นเมล็ดพันธุ์ เอาเสื้อผ้าอาหารเงินทองกับชีวิตมาเป็นวัวและคันไถ เอาพ่อแม่คนจนที่ป่วย กับพระรัตนตรัยมาเป็นไร่นา หากเป็นพุทธบุตรคิดจะได้บุญสะอาด ทุก ๆ ชาติก็จะมีบุญตอบสนองไม่สิ้นสุด จึงจำเป็นต้องอาศัยใจที่เมตตา เคารพกตัญญู  เอาเสื้อผ้าอาหารเงินทองตลอดจนชีวิตไปเคารพบูชา เลี้ยงพ่อแม่และคนที่เจ็บป่วยกับรัตนตรัย อย่างนี้เรียกว่าปลูกบุญ หากไม่ปลูกบุญก็จะยากจน ไม่มีทั้งบุญและปัญญา  ตกสู่หนทางเลวร้ายของการเกิดการตาย ที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็คือ การปลูกเนื้อนาบุญ ก็เหมือนปลูกข้าวในนา จึงเรียกว่า  นาบุญ 
        การให้ทานก็มี ๓ อย่าง  ให้ธรรมเป็นทาน  ทรัพย์เป็นทาน  และใจเป็นทาน  ด้วยความสะดวกต่าง ๆ มากล่อมเกลาตักเตือนคน  การให้ทานเป็นธรรม ได้กุศลมาก ทรัพย์เป็นทานก็ใช้สงเคราะห์เขา  ใจเป็นทานคือเอาใจเราไปเห็นอกเห็นใจผู้ตกทุกข์ได้ยาก คือคิดจะช่วยเหลือเขาแต่ไม่มีกำลัง อย่างนี้ก็เป็นการให้ทานแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                   คัมภีร์  :  ที่ว่าเป็นคนดี

อธิบาย   :   คือบุคคลที่สามารถนำเอาความดีที่กล่าวมาแต่ต้นทั้งหมด สามารถนำมาปฏิบัติได้  ก็เรียกว่าเป็นคนดี จากนี้เป็นต้นไป... จนถึงเป็นเทพเซียนปรารถนาได้ เป็นการพูดถึงบุญวาสนาที่ตอบสนองคนดี ซึ่งมีประสิทธิภาพมาก ต้องรู้ว่าการได้ชื่อว่าเป็นคนดีที่แท้จริงนั้น เริ่มแรกต้องสามารถแยกแยะเรื่องถูกผิดให้ชัดเจนเสียก่อน อย่าเข้าใจผิด  ต้องมีทั้งปัญญาและความกล้าหาญ สุดท้ายก็ไปถึงจุดที่เป็นสภาวะ  "ลืมทั้งฉันและเขา"   การปฏิบัติต่อโลกด้วยความเมตตาและอภัย ความหมายก็คือ การปฏิบัติตนและปฏิบัติต่อผู้อื่น จะต้องไม่ละเมิดขืนจิตฟ้าและใจคน ถ้าทำได้ก็นับว่าเป็นกษัตรืย์เหยากษัตริย์ซุ่น เจ้าโจวกง และท่านขงจื่อกลับฟื้นคืนชีพ ดังนั้น ที่ว่าเป็นคนดี ก็คือเอาใจฟ้าที่ชอบดีแล้วห่างไกลชั่ว โดยที่ใจคนจะทำดีได้อย่างไร โโยไม่มีความชั่วเล่า เพราะว่าผู้คนมักจะละเลยตนเองที่ฝึกฝนนิสัยไม่ดี เหมือนเป็นโรคจิตติดตัว จนทำให้สูญเสียใจฟ้าที่มีมาแต่เริ่มแรก เพราะฉะนั้น มนุษย์ควรมีความดีและวิริยะก้าวไป มีความชั่วก็ให้แก้ไขสำนึกผิด เช่นนี้แล้ว สภาวะของมีความดีไม่มีชั่วก็ทำได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                 คัมภีร์   :  คนให้ความเคารพ ธรรมแห่งฟ้าคุ้มครอง บุญวาสนาตามมา ชั่วร้ายถอยห่าง เทพศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

อธิบาย   :  ตลอดชีวิตของคนดีที่ทำเรื่องดี ทุกคนพอใจ  เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะเคารพนับถือเขา และเข้ากับหลักธรรมฟ้าเบื้องบน  เพราะฉะนั้น เทพเจ้าบนสวรรค์ต่าง ๆ ก็จะปกปักรักษาคุ้มครองเขา ทำให้เขาได้มีอายุยืน  ร่ำรวย สุขภาพดี เป็นบุญวาสนาตอบแทน เขาไม่ต้องไปแสวงหาก็มีมาเอง ผีร้ายต่าง ๆ ก็ถอยห่างหลบหลีกเขาหมด ไม่กล้าเข้ามารุกราน เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็จะคอยคุ้มครองเขาหมด ไม่กล้าเข้ามารุกราน เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็จะคอยคุ้มครองเขาอย่างลับ ๆ คอยช่วยเหลือเขาตลอดเวลา  "คนให้ความเคารพ"  ความดีมีอยู่ในจิตเดิมของทุกคน เป็นจิตฟ้าคือจิตสำนึกดี จิตนี้เมื่อเคลื่อนไหวหรือมีการกระทบ ก็จะมีการตอบสนอง ถึงแม้จะเป็นผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญา แต่พอได้ยินเรื่องดี ๆ เข้า  พวกเขาก็สรรเสริญยกย่อง ไม่ว่าเธอจะเป็นคนอำมหิตชั่วร้ายยิ่งปานไหน  แต่พอเห็นคนดีเข้าก็ไม่กล้าไปรุกรานเขา ทั้งนี้เพราะจิตสำนึกดีเผยปรากฏ ก็จะบังเกิดแรงระงับไม่มุ่งร้ายเอง ทำไมจึงพูดว่าทุกคนให้ความเคารพคนดี ทั้งนี้เพราะคุณธรรมของเขามีจุดที่ควรเคารพอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครไม่เคารพคนดี

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                   คัมภีร์   :  งานที่ทำก็สำเร็จ  เป็นเทพเซียนปรารถนาได้

อธิบาย   :  ทำให้การงานธุรกิจที่คนดีทำประสบผความสำเร็จแน่นอนและอยู่ได้ยั่งยืน ทั้งยังปรารถนาจะสำเร็จเป็นเทพเจ้า หรือเป็นเซียนก็ได้ มีชื่อจารึกอยู่บนสวรรค์  การงานทุกอย่างในโลกไม่มีหรอกที่ทำไม่สำเร็จ และคนที่ไปทำสำเร็จได้ก็ต้องเป็นคนที่มีความจริงใจทำดี เช่นนี้ทั้งคนและงาน ก็จะเข้ากับใจฟ้าได้ จะมีหรือที่ใจฟ้าจะขัดขวางปณิธานคน จะมีก็แต่คอยช่วยเหลือคนดีอย่างเงียบ ๆ ก็จะไม่มีงานดีที่ทำไม่สำเร็จหรือทำไม่ราบรื่น   

        ท่านไท่ซั่งเหล่าจวิน เป็นบรรพจารย์องค์แรกของศาสนาเต๋า เพราะฉะนั้นจึงบรรยายหลักธรรมของเซียนโดยเฉพาะ ท่านเมิ่งจื่อกล่าวว่า  "มนุษย์ล้วนเป็นเช่นกษัตริย์เหยา - ซุ่นได้"  พระสังฆปรินายกองค์ที่หกแห่งเซ็น  พุทธศาสนามหายาน ท่านฮุ่ยเหนิง (เหว่ยหล่าง)  กล่าวว่า  "แต่ใช้ใจนี้ ตรงจุดสำเร็จพุทธ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามศาสนา  พูดถึงเรื่องราวกับว่าออกมาจากรอยล้อเดียวกัน  อยากเป็นเทพเซียนก็ปรารถนาเอาได้  จะสำเร็จเป็นพุทธก้ได้  แม้แต่จะเป็นกษัตริย์เหยา - ซุ่น ยังเป็นได้ นับประสาอะไรกับชื่อเสียงร่ำรวยอายุยืนชายหญิง ก็เป็นได้แล้วจะมีอะไรอีกที่จะเป็นไม่ได้ เพียงแต่มาดูที่คนแสวงหา มีความจริงใจไปทำหรือไม่เท่านั้น

        พระพุทธองค์สอนสาวกว่า  "พวกเธอภิกขุ ควรจะขยันมุ่งวิริยะก็จะไม่มีเรื่องอะไรยาก ! สมมุติว่าสายน้ำเล็ก ๆ ไหลไม่หยุด ผ่านเวลาอันยาวนานก็จะสามารถผ่านหินที่แข็งได้ หากใจของผู้ปฏิบัติขี้เกียจหยุดนิ่งบ่อย ๆ เหมือนการปั่นไม้เอาไฟยังไม่ทันปั่นจนไม้ร้อนก็หยุดไปพัก คิดอยากได้ไฟใช้คงเป็นไปไม่ได้ ! "

        ในสมัยหมิง ท่านธรรมาจารย์เหลียนฉือ กล่าวว่า  "วิทยาการแต่ละแขนงบนโลกนี้ ตอนเริ่มต้นเรียน แรกดูเหมือนยากมาก เหมือนกับว่าเรียนไม่สามารถสำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้จึงหยุดเสียกลางคัน  ถ้าเช่นนั้นก้จะไม่มีวันสำเร็จได้  เพราะฉะนั้นตอนเริ่มต้นที่สำคัญต้องมีใจแน่วแน่ไม่สงสัย ถึงแม้จะตัดสินใจไม่เคลือบแคลงใจ แต่ถ้าอืดอาดอุ้ยอ้าย ไม่จริงใจเรียนก็ไม่สำเร็จเหมือนกัน ขั้นต่อไปต้องมีความวิริยะอุตส่าห์ ถึงแม้จะมีวิริยะแต่พอมีความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็รู้สึกพออิ่มแล้ว หรือเป็นเพราะเวลาเนิ่นนานเกินไป จนเหนื่อยอ่อน หรือพบกับความราบรื่นเลยหลงฟั่นเฟือน หรือพบกับอุปสรรคจนร่วงหล่น อย่างนี้ก็เรียนไม่สำเร็จ ขั้นต่อไป ที่สำคัญต้องมีความบริสุทธิ์แรงกล้าไม่ถดถอย อย่างนี้จึงเรียกว่าใจของวีรบุรุษที่แท้จริง  คนต้องมีใจแบบนี้ จะมีเรื่องอะไรที่ทำไม่สำเร็จ พวกเราต้องพากเพียรด้วยตนเองนะ !" 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                คัมภีร์  :  อยากเป็นเทพเซียนฟ้า ต้องทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล  อยากเป็นเทพเซียนดิน ต้องทำความดีสามร้อยกุศล

อธิบาย   :   คิดอยากเป็นเทพเซียนบนฟ้า ก็ควรทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล ทำความดีวันละหนึ่งกุศล ก็ใช้เวลาสักสี่ปี ก็สามารถสำเร็จได้ หากคิดจะเป็นเพียงแค่เซียนดิน ก็ให้ทำความดีสามร้อยกุศล  วันหนึ่งทำหนึ่งกุศล เพียงหนึ่งปีก็สำเร็จแล้ว

        คัมภีร์ตอนนี้เป็นบทสรุปจากเริ่มต้นมา พูดถึงวิธีการทำความดี เป็นรากฐานของการสำเร็จเป็นเทพเซียน ตรงพูดจำนวนหนึ่งพันบ้าง  สามร้อยบ้าง  เป็นการกำหนดปริมาณการทำความดี  เพียงต้องจริงใจไปทำดีก็กำหนดแน่ว่าสำเร็จ และก็ไม่คิดท้อถอย ความแตกต่างระหว่างเทพเซียนฟ้ากับดิน ก็อยู่ที่คนทำดีมากน้อย ในศุรางคมสูตรว่า  "เซียนมี  ๑๐ ชนิด 

ชนิดที่หนึ่ง     เซียนเดินดิน
ชนิดที่ ๒       เซียนเดินเหิน   
ชนิดที่ ๓       เซียนท่องเที่ยว
ชนิดที่ ๔       เซียนเหินอากาศ
ชนิดที่ ๕       เซียนเหินฟ้า
ชนิดที่ ๖       เซียนเหินทะลุ
ชนิดที่ ๗       เซียนเหินธรรม
ชนิดที่ ๘       เซียนเหินส่อง
ชนิดที่ ๙       เซียนเหินชำนาญ
ชนิดที่ ๑๐     เซียนเหินเยี่ยม
   
        อายุขัยแม้จะยืนยาวได้ถึงร้อยล้านปีก็ตาม  ก็ยังอยู่ในหกทางไป เพราะฉะนั้นภายหลังสำเร็จเทพเซียนแล้ว ก็ยังต้องไปวิริยะขึ้นอีกก้าวหนึ่ง จึงจะไม่ร่วงหล่น คืนให้เลื่อนพ้นสามภพหกทางไป  สิ้นสุกวัฏฏะ ก็จะเป็นอย่างเช่นวิสุทธิเทพ อย่างเซียนหลี่ตงปิง ในวัชรปรัชญาปรามิตตาสูตรว่า  "ควรไม่มีที่ยึดอยู่แล้วบังเกิดใจนั้น"  ซึ่งก็เป็นการตรัสรู้ ต่อมาก็ได้พบกับธรรมาจารย์เซ็นหวงหลง มายืนยันเขา อริยเจ้าซุนซือเหมา ก็มักจะถามพุทธธรรมกับอาจารย์เต้าชวนหลี่  ในสมัยถังเป็นประจำ ต่อมาก้ไปที่เสฉวน  ได้ฟังธรรมพระสูตรบทอนันต์รัตนเจดีย์จากภิกษุอู่หมิง จึงได้รับการยืนยันสำเร็จเป็นอริยเจ้า ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นการก้าวขึ้นอีกก้าวหนึ่ง เป็นวิสุทธิเทพพ้นสามภพ

                          ~ จบเล่มที่ ๑ ~

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                       คำนำ

        หลังจาก คัมภีร์กรรม เล่ม ๑  ได้แปลเรียบเรียงและพิมพ์เผยแผ่ออกมาเมื่อปลายปีที่แล้ว หลายท่านมีความชื่นชอบมาก เพื่อเป็นการตอกย้ำว่ากรรมนี้มีจริง เป็นกฏธรรมชาติที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ผู้ใดทำกรรมไว้ ผลกรรมนั้นย่อมตอบสนองเสมอไป ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย  คัมภีร์กรรมเล่มนี้ เป็นบทนิพนธ์ของท่านเหลาจื่อพระศาสดาแห่งเต๋า พระธรรมาจารย์จิ้งคง ประเทศไต้หวัน ได้อธิบายความหมายของคัมภีร์แต่ละคำ พร้อมยกนิทานประกอบ เพื่อเป็นประจักษณ์หลักฐานว่า กรรมย่อมตอบสนองเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้  คัมภีร์กรรมของท่านเหลาจื่อ คงจัดพิมพ์เป็น ๔ เล่ม ในเล่ม ๒ เริ่มต้นของบทที่ ๖ ชื่อว่า ชั่วบาป  เฉพาะบทนี้บทเดียวก็ต้องพิมพ์ถึง ๒ เล่มจึงจะจบ ท่านคงได้อ่านเล่ม ๓ ในปีหน้า 

        ท่านที่ได้ร่วมทำบุญบริจาคทรัพย์ ในการทำพิมพ์หนังสือธรรมก็เป็นหนึ่งเหตุแห่งความดี จะเป็นเมล็ดกุศลที่ปลูกลงในเนื้อนาบุญจะเพิ่มทวีคูณเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ท่านก็จะได้เก็บเกี่ยวในอนาคต แม้ท่านกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้วผลกุศลก็ยังมีอานิสงส์ตกถึงลูกหลานสืบไป จงอย่าประมาทรีบสร้างกุศลเมื่อยังมีโอกาส และสร้างด้วยความปิติยินดี อย่าสร้างเพราะความจำใจ ผลบุญจะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

        สุดท้าย  ขออำนาจกุศลที่ท่านได้สร้างไว้แล้ว ปฏิบัติแล้ว จงเป็นพลวปัจจัยให้ท่านได้ลุถึงฝั่งพระนิพพานเทอญ.

                               ด้วยความเคารพ
                             
                                 ธรรมบัญชา

                         ๓๑  กรกฏาคม  ๒๕๔๗                         
                         
                             วันอาสาฬหะบูชา                   

               ไท่ซั่ง  กั่นอิ้งเพียน                               

               พระสูตรสั่งสมบุญวาสนาสลายเคราะห์ภัย                   

                              ธรรมบัญชา                       

                             แปลเรียบเรียง                         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

               คัมภีร์  :  หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง กระทำละเมิดธรรม 

        อธิบาย   :  หากมีคนฝ่าฝืนสัจธรรม แล้วบังเกิดความคิดชั่วแล้วละเมิดหลักธรรมฟ้า ไปกระทำเรื่องชั่วร้ายขึ้น บทชั่วบาปนี้จะยาวมาก เฉพาะบทที่หกนี้ยาวมาก อาจแบ่งเป็นเล่มไม่น้อยกว่าสองเล่ม เริ่มต้นจากข้อความว่า  "หากทำสิ่งไม่ถูกต้องเรื่อยไป ... จนถึงความตายก็มาถึง"  ล้วนเป็นรายละเอียดของการทำชั่วบาป ถือเป็นการกวักภัยเคราะห์มาหาทั้งหมด หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง กระทำละเมิดธรรม ซึ่งจะตรงข้ามกับคำว่า  "เป็นธรรมให้เดินหน้า"  (คำแรกของบทที่ ๔)   โบราณว่า  :  "อารมณ์ของคนเหมือนน้ำ ต้องใช้กฏระเบียบมารยาทและธรรมมาคอยป้องกันเหมือนเขื่อนที่ก่อสร้างไม่แข็งแรง  สุดท้ายก็พังทลายลงได้  น้ำก็จะไหลทะลักจนกลายเป็นอุทกภัย อารมณ์ของคนหากไม่เพิ่มการควบคุม คอยระมัดระวัง ก็จะเสียหาย ทำให้ขัดขืนหลักธรรมจนเกิดความวุ่นวาย โลกทั้งโลกก็จะเกิดมหาจลาจลได้นา !  เพราะฉะนั้น  การขจัดความกังวลอารมณ์อยาก หยุดใจที่บ้าคลั่ง ระงับหยุดทำชั่ว หยุดเดินทางบาป ถ้าจะให้ได้ฉับพลัน จะต้องไม่ลืมกฏระเบียบกติกามารยาท"  ยังกล่าวต่อว่า  ม้าที่พยายามมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่กล้าวิ่งตามอำเภอใจ เพราะว่ามีเชือกร้อยจมูกคอยบังคับมันอยู่ พวกอันธพาลที่เกกมะเหรกไร้เหตุผล แต่ที่มิกล้าปล่อยตามอำเภอใจทำส่งเดชก็เพราะมีกฏหมายมีบทลงโทษที่คอยควบคุมอยู่ และที่พวกเรามีมโนวิญญาณ ไม่กล้าเกิดความคิดตามอำเภอใจไปทำชั่ว ก็เพราะในใจมีบารมีรู้ตัว คอยส่องควบคุม เพราะฉะนั้นภายในใจของคน ๆ หนึ่ง ถ้าหากไม่มีพลังบารมี รู้ตัวคอยส่องควบคุมแล้ว ก็เหมือนม้าที่พุ่งทะยานโดยปราศจากเชือกคอยเหนี่ยวรั้ง ก็เหมือนไม่มีกฏหมายควบคุมอันธพาลทำอย่างไรจึงจะสามารถขจัดความใคร่อยากในใจได้ ก็ต้องรักษาใจไม่ให้เกิดความคิดฟั่นเฟือนซิ"

            คำคม   :  คนในปัจจุบันกล้าที่จะละเมิดสัจธรรม และบังเกิดความคิดชั่ว ขัดขืนหลักธรรมฟ้าไปทำเรื่องเลว ก็เพราะว่าเขาไม่เข้าใจสัจธรรมและหลักธรรมฟ้าได้ชัดเจน ทำไมไม่มาเรียนกับท่านซู้จิ่งซวี บ้างเล่า !

Tags: