collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144266 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

นิทาน   1  :  นายหวังหุ้ย  ในสมัยซ่ง ระหว่างทางไปสอบที่เมืองหลวง ได้ยินเสียงร้องไห้สองคนแม่ลูก เสียงร้องไห้ฟังแล้วน่าเวทนายิ่งนัก  หวังหุ้ยจึงไปถามคนใกล้เคียง คนใกล้เคียงบอกว่า  "แม่ลูกคู่นี้ยากจนมาก เป็นหนี้เงินหลวง ทางการก้เร่งรัด จึงคิดพาลูกสาวไปขายใช้หนี้ จึงร้องไห้อย่างนี้"  หวังหุ้ยจึงไปที่บ้านนาง ก็เห็นว่าเป็นจริง หวังหุ้ยก็พูดกับผู้เป็นแม่ว่า  "เธอเอาลูกสาวขายให้ฉัน เพราะฉันเป็นข้าราชการ ต้องผ่านมาแถวนี้อยู่แล้ว อย่างนี้เธอกับลูกก็ได้เห็นหน้าประจำ"  แล้วก็ให้เงินไปไถ่หนี้จากราชการ แล้วก็นัดว่าอีก 3 วัน  จะมาพาลูกสาวไป ผ่านไป 3 วัน  หวังหุ้ยก็ไม่ได้พาลูกสาวนางไป ผู้เป็นแม่ก็แปลกใจ จึงไปหาที่หวังหุ้ย ตอนนี้หวังหุ้ยก้ไม่อยู่ แต่ทิ้งจดหมายไว้บอกกับคุณแม่ว่า ให้หาลูกเขยที่พึ่งพาได้และแต่งงานลูกสาวเสีย เมื่อหวังหุ้ยไปสอบที่เมืองหลวง เขาสอบติดประกาศอันดับหนึ่งถึงสามครั้ง ได้รับตำแหน่งสูงมาก และฮ่องเต้ก็สถาปนาเป็นจินกั๊วกง

นิทาน   2  :  ที่ซินเจี้ยน  มีช่วงข้าวยากหมากแพง มีครอบครัวหนึ่งจนถึงที่สุด ทั้งบ้านเหลือข้าวแค่ขีดเดียว จึงหุงข้าวแล้วใส่ยาพิษลงไป หวังว่าสามีภรรยากินอิ่มสักมื้อแล้วค่อยตาย กำลังจะกินข้าวอยู่พอดี  ผู้ใหญ่บ้านก็เข้ามาทวงเงินหลวงที่ยืมไป  เห็นข้าวสุกพอดี คิดจะลงไปกินข้าว คนจนผู้นี้จึงเข้าห้ามผู้ใหญ่บ้านแล้วว่า "ข้าวนี้ไม่ใช่ข้าวที่ท่านควรกิน"  ว่าแล้วร้องไห้เล่าสาเหตุให้ฟัง ผู้ใหญ่บ้านฟังแล้วก็ให้สงสาร จึงพูดกับเขาว่า  "ทำไมเจ้าถึงจนขนาดนี้ ถึงแม้บ้านข้าจะขาดแคลน แต่ก็ยังมีข้าวอยู่ห้าถัง เอาอย่างนี้ เจ้าตามไปที่บ้านข้าแบ่งข้าวมากิน พออยู่ได้อีกหลายวัน"  คนจนผู้นั้นแบกข้าวกลับมาบ้าน พบว่าในถุงข้าวมีทองอยู่ 50 ตำลึง คนจนคิดว่านี่คงเป็นเงินหลวง จึงรีบนำกลับไปคืนที่บ้านผู้ใหญ่  ผู้ใหญ่พูดว่า "นี่ไม่ใช่เงินหลวง เบื้องบนคงประทานให้เจ้า"  เขาจึงแบ่งทองให้ผู้ใหญ่ไปครึ่งหนึ่ง  ทั้งสองบ้านจึงผ่านช่วงข้าวยากหมากแพงมาได้

นิทาน   3  :  นายต่วนเอ้อปา  มียุ้งเก็บข้าวนับ 10 ห้อง พอถึงช่วงข้าวยากหมากแพง ก็คิดฉวยโอกาสทำกำไร ขึ้นราคาข้าวเสียสูงลิ่ว ทางการส่งคนมาขอยืมข้าวเพื่อช่วยเหหลือประชาชน ต่วนเอ้อปา ตอบรับคำแล้ว พอรุ่งขึ้นเช้า เห็นคนหิวโหยมาเข้าแถวรออยู่ที่หน้าบ้านเพื่อรอรับข้าว ต่วนเอ้อปา รู้สึกเสียดาย จึงไม่ยอมจ่ายข้าวให้ประชาชน ประชาชนก็ชุลมุนร้องโวยวาย  ต่วนเอ้ปาสั่งลูกน้องให้ปิดประตูบ้าน ไม่ให้คนเข้ามา  ในทันใดนั้นฟ้าก็เปลี่ยนปรวนแปรเกิดลมพายุฝน  สายฟ้าคำราม พูดแล้วก้แปลก ข้าวในยุ้งของต่วนเอ้อปา  ไม่รู้ทำอีท่าไหน หลุดออกมากองอยู่บนถนนเป็นกอง ๆ  ประชาชนต่างกรูเข้าไปแย่งเอา  แค่พริบตาก็หมดเกลี้ยง  ต่วนเอ้อปาก็ถูกฟ้าผ่าตายไป

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

         คัมภีร์  :  เห็นเขาได้ดีเหมือนตนได้ดี  เห็นเขาสูญเสียเหมือนตนสูญเสีย

อธิบาย  :  เมื่อเห็นคนอื่นดวงดีกำลังได้ีดี ก็เหมือนตนกำลังได้ดีทั้งยังต้องไปช่วยพยุงให้เขาดีขึ้นไป ถ้าเห็นเขาดวงตกก็ให้เหมือนตนดวงตก จึงต้องฉุดช่วยคุ้มครอง  แต่คนปัจจุบัน เห็นผู้อื่นตกอับก็ไม่รู้สุกเหมือนตนตกอับ สาเหตุเพราะความเห็นแก่ตัว หวังเอาแต่ได้กลัวการสูญเสีย ทั้งยังกล่าวว่า ผู้อื่นจะได้ ทั้งยังสบายใจถ้าทำให้ผู้อื่นสูญเสีย เริ่มแรกก็เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเท่านั้น ต่อมาก็ค่อย ๆ ระวังทำร้ายเขา ด้วยความอิจฉาความสำเร็จของคนอื่น อันที่จริง คนกับงาน จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ไม่เกี่ยวกัน ที่เป็นเช่นนี้ ตนเองเป็นผู้ทำลายจิตใจของตนเอง เป็นการปลูกเหตุแห่งความชั่ว ที่สุดเป็นการทำลายตนเอง เขาไม่รู้ถึงการบำเพ็ญของปราชญ์อริยะ ก็คือการขจัดทำลายความเป็นตัวตน เพื่อให้เขาถึงผู้อื่น จึงจำเป็นต้องตัดอารมณ์ปุถุชน หากสามารถเข้าถึงว่าผู้อื่นกับตนเองเป็นกายเดียวกัน การได้เสียล้วนเป็นเรื่องของชะตาฟ้า เช่นนี้แล้วเมื่อเห็นการได้ของเขาก็จะไม่อิจฉา แล้วยังจะไปผดุงเขาช่วยเหลือเขา อย่างนี้จึงจะเป็นประโยชน์ที่แท้จริง

คำคม  :  ธรรมาจารย์เหลือนฉือ ในสมัยหมิง กล่าวว่า "มนุษย์ถูกรูปสมบัติ เกียรติ  ลวงหลอกเอา แต่ละคนมีพลังสติที่จะเผชิญหน้าต่อการลวงหลอกนี้ไม่เท่ากัน อาตมาจะเปรียบเทียบอธิบายให้ฟัง  "สมมุติว่าที่นี่มีกองไฟ  ข้างกองไฟมีสิ่งของวางไว้  5  ชนิดไม่เหมือนกัน  มีฟางแห้ง พอเจอไฟก็ไหม้ทันที  มีท่อนไม้ ต้องมีลมช่วยกระพือก็จะติดไฟ   มีท่อนเหล็กเผาไม่ไหม้ แต่พอเผาไปนาน ๆ ก็จะหลอมละลายได้  มีน้ำแม้ยังไม่ติดไฟ แต่ไฟก็ทำให้น้ำแห้งได้ แม้เอาใส่หม้อก็ยังถูกไฟเผาจนแห้ง  มีอากาศในอากาศไม่มีสิ่งของ ไฟจะเผาเท่าไรมันก็ไม่กระทบอะไร แม้ไฟจะเผานานแค่ไหนก็ตาม ในที่สุดไฟก็มอดไปเอง" เพราะการทำให้ใจสงบ ก็ต้องมองให้เห็นเช่นนี้

นิทาน   :  แซว่เวี่ยน  เป็นมหาอำมาตย์ของเมืองเอี้ยน ไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเสมอภาคกันได้ หากยังเกิดอิจฉา ชอบใจที่คนอื่นสูญเสีย ไม่ยอมส่งเสริมนักปราชญ์ที่สามารถ ทั้งยังอิจฉาเคลือบแคลงพวกเขา เพื่อกีดกันไม่ให้ฮ่องเต้เรียกหามาใช้งาน ในที่สุดบุตรชายคนหนึ่งของเขาก็ตายในคุก  ลูกที่เหลือก็กลายเป็นคนไม่สมประกอบ ท่านกงหมิงจื่อ จึงเอาคัมภีร์ศีลให้เขาอ่าน ภายหลังการอ่านคัมภีร์แล้ว แซว่เวียนรู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตนเอง จึงสาบานจะปฏิบัติตามคัมภีร์ศีลสั่งสอน ในที่สุดก็สามารถรักษาลูกไว้ได้คนหนึ่ง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

         คัมภีร์  :  ไม่โพทนาความชั่วเขา  ไม่โอ้อวดความดีตน

อธิบาย  :  จงอย่าได้เปิดเผยโพนทะนาความชั่วหรือจุดด้อยของคนอื่น สมควรอย่างยิ่งที่จะเก็บงำความไม่ดีของผู้อื่นให้ดีที่สุด ขณะเดียวกันก็ไม่ควรโอ้อวดหรือคุยถึงความดีของตน ยิ่งต้องเก็บซ่อนความเด่นบ่มเลี้ยงความซื่อ เป็นการอบรมจิตธรรมของตนเอง  เมื่อได้ยินความไม่ดีงามของผู้อื่น ก็ให้เหมือนพวกเราได้ยินชื่อของพ่อแม่ คือหูได้แต่ฟังเท่านั้น แต่ปากพูกออกมาไม่ได้ เมื่อปากพูดไม่ได้แล้ว ถ้าหูไม่ไปฟังเสียได้ก็จะยิ่งดี เราต้องรู้บ้างว่ามีใครบ้างที่ไม่มีข้อบกพร่อง ถ้าไปโพนทะนาข้อบกพร่องของผู้อื่นก็หลีกไม่ได้ที่จะถูกถ่ายทอดออกไป เป็นการเสียหายชื่อเสียงของผู้อื่น อาจทำให้เขาต้องตกต่ำ บาปกรรมอันนี้ใครกันต้องรับผิดชอบ ถ้าไม่เป็นคนใจแคบชั่วช้าแล้วก็จะไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่ !  สิ่งที่เป็นปมเด่นความดี ก็ควรให้เหมือนนักธุรกิจที่มี
ปัญญา คือจะเก็บซ่อนทรัพย์สินไม่เปิดเผย ถ้าหากเปิดเผยเงินทองให้คนรู้ก็จะมีอันตราย คนเราทุกคนก็ต้องมีจุดดีของเขา ที่สำคัญต้องรู้จักเก็บซ่อนความเด่น บ่มเลี้ยงจิตธรรมเช่นนี้ทุกวันไปก็จะสำเร็จในจริยวัตรของตนได้  ท่านเหลาจื่อว่า  "ผู้มีบุญอิ่ม  หน้าของเขาดูแล้วเหมือนคนเซ่อ ๆ"   ท่านจื่อซือก็กล่าวว่า  "ธรรมเพื่อผู้อื่น บัณฑิตจะไม่เผย เก็บความงามอยู่ภายใน นาน ๆ ไปสักวันหนึ่งฟ้าก็จะแจ้งชัด"  โอวาทของปราชญ์ชัดเจนออกอย่างนี้ เราควรนำมาพิจารณาให้ละเอียด ! 

คำคม   :  คุณจางหงจิ้ง กล่าวว่า  "อย่าหูเบาโยนทิ้งความดีของคน  อย่าหูเบาเชื่อคำพูดของคน  อย่าหูเบาพอใจคน  อย่าหูเบาพูดความชั่วคน"  นี่คือวิธีปฏิบัติตนที่ดี การเปิดเผยความไม่ดีของผู้อื่น เป็นรากฐานของการโหดเหี้ยม

นิทาน   :  โอวหยางซิว ในสมัยซ่ง เป็นผู้เขียนบทความยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์ ถือเป็นผู้มีชื่อเสียงในวรรณกรรม แต่เขาต้อนรับแขกก็พูดเรื่องการเมืองไม่พูดเรื่องวรรณกรรม แต่นายฉายหย้าง ผู้รู้เรื่องการปกครอง แต่พูดคุยกับแขกจะพูดเรื่องวรรณกรรม ไม่พูดการเมือง ทั้งสองเป็นผู้ซ่อนเร้นปมเด่นของตนดีมาก ต่อหน้าผู้อื่นจะไม่อวดอ้างความดีของตน เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้มีชื่อเสียง มีตำแหน่งข้าราชการก็สูงมาก

สรุป   :  จากเรื่องเหล่านี้ จะเห็นได้ว่า ความสามารถสู้วิชาการไม่ได้  ศักดิ์ศรีสู้คุณธรรมไม่ได้  วรรณกรรมสู้การปฏิบัติมิตรไมตรีไม่ได้  คนสมัยก่อน ก็เอาเหตุผลเหล่านี้พูดไว้ชัดเจนแล้ว  เพราะฉะนั้น การอวดความดีของตน บัณฑิตจะไม่กระทำ แต่คนสมัยนี้ มักพูดว่า  "น่าภาคภูมิ"  ติดปาก  ทุกคนฟังจนเป็นคำธรรมดาไป พวกเขาไม่ถือเรื่องผิด ต้องรู้ว่าเป็นการกวักหาความสูญเสีย ขาดผลประโยชน์ มีแต่ความนอบน้อมคนเท่านั้น จึงจะได้รับผลบุญตอบสนองที่แท้จริง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                             คัมภีร์ :  หยุดยั้งเรื่องชั่วเผยแผ่เรื่องดี

อธิบาย  :  เราควรห้ามปรามหยุดยั้งคนไปทำชั่ว   เพื่อไม่ให้เขาแปรเปลี่ยนไปเป็นอันธพาล  ผู้อื่นก็จะไม่ต้องรับการทำร้ายจากเขา ขณะเดียวกันก็ต้องสรรเสริญสนับสนุนให้คนทำดี เพื่อให้เขาทำดีไม่เบื่อ นอกนี้แล้วคนอื่นก็พลอยให้ถูกชักนำไปในทางดีด้วย คนที่ทำชั่ว ไม่ใช่จิตวิสัยของเขาที่ทำขึ้นมาแต่แรก แต่ถ้าคน ๆ หน่งทำชั่วจนเคยตัว ชั่วขนาดหนัก ก็ฉุดช่วยลำบาก หรือว่าทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชั่วก็ยังทำ หรือว่าไม่รู้หรือเข้าใจผิด ในที่สุดก็สร้างเวรกรรมทั่วเมือง ถ้าเรามาวิเคราะห์ตอนเริ่มต้น ก็เกิดจากความคิดที่ผิดพลาดไป อย่างไรเสีย ทุกคนก็มีจิตสำนึกที่ดี ขณะที่เขาเริ่มต้นทำชั่ว ความคิดชั่วเพิ่งจะเริ่มต้นใหม่ ๆ  หากเราพร่ำพูดตักเตือนชักจูงเขา ปลุกให้รู้ตื่น และห้ามปรามเขาจนถึงที่สุด ถ้าคนนั้นไม่มีจิตสำนึกดี ได้ผ่านการตักเตือนห้ามปรามขนาดนี้แล้ว เขาจะไม่สามารถแก้ไขความผิดไปสู่ความดีหรือ ถ้าหากโชคไม่ดี เขาได้ทำผิดมหันต์ไปแล้ว หากเราสามารถกล่อมเกลาเขาอย่างจริงใจ  ห้ามปรามเขา ขัดขวางเขา เช่นนี้แล้วใจที่ดีของเขาจะไม่เผยออกมาหรือ อาจจะตัดสินแก้ไขชำระจิตทันทีก็ได้ ในเมื่อเขาไม่ใช่ปราชญ์อริยะ จะสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างดีไปหมดได้ ถ้าหากเขามีความประพฤติหรือคำพูดที่พอจะรับฟังได้ เราก็ควรที่จะยกย่องสรรเสริญเขาทันที  ถ้าเขาเป็นคนที่ทำดีแล้ว ความศรัทธาของเขาก็จะมั่นคง ก็จะขยันทำดีเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นคนที่ยังไม่เคยทำดี พอได้ยินเราชมเชยเขา เขาก็จะชื่นชมเอาอย่างตัดสินใจไปปฏิบัติ อย่างนี้แล้ว จะไม่ใช่คล้อยตามชะตาฟ้าหรอกหรือ  ชาวเต๋าพูดว่า  "หยุดชั่วเผยดี"  ชาวพุทธว่า  "หยุดชั่วทำดี"  ชาวหยูว่า  "เก็บชั่วเผยดี"  หลักธรรมทั้ง 3 ศาสนาเหมือนกัน พูดออกมาจากปากเดียวกัน ทำให้รู้ว่า กายใจของอริยเจ้าเป็นญาณที่บริสุทธิ์โปร่งใส  ขอเพียงเป็นความหวังแค่เส้นใยเล็ก ๆ ก็จะไม่ปล่อยให้ไป ดุจกระจกใสส่องของ ส่องทันทีที่เห็นภาพออกมาทันที การที่สามารถเห็นภาพทันทีก็แสดงว่า เราสามารถกล่อมเกลาแปรเปลี่ยนได้ทันที เพราะฉะนั้น เมื่ออริยเจ้าเห็นความชั่วก็จะสามารถเอาความชั่วออกให้ละลายหายทันที  พอเห็นความดีก็จะสามารถขยายให้สว่างได้ทันที  เพราะฉะนั้น อริยเจ้าที่หยุดยั้งเรื่องชั่งเผยแผ่เรื่องดีก็คือการฟื้นฟูองค์จิตที่สมบูรณ์อยู่แล้วของเวไนยสัตว์ ให้กลับคืนมาใหม่นั่นเอง

คำคม   :  " หยุดยั้งความชั่วของตนได้ ก็ไปหยุดยั้งความชั่วของผู้อื่นได้ เผยแผ่เรื่องดีของผู้อื่นได้ ภายหลังก็สามารถตักเตือนคนให้ทำดีได้"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                                      คัมภีร์  :  ให้มากรับน้อย

        อธิบาย  :  ไม่ว่าพี่น้องที่แบ่งสมบัติ หรือเพื่อนที่ติดต่อการเงินกัน ล้วนต้องรู้จักให้และผ่อนปรนทั้งนั้น  เอาส่วนที่มากให้แก่พี่น้องหรือเพื่อน  ตนเองรับแต่ส่วนเล็ก ยอมให้คนอื่นได้เปรียบ สะดวกสบาย คนเองยอมเสียเปรียบขาดทุน  ระหว่างพี่น้องมีความเกี่ยวข้องทางสายโลหิต อันเป็นความสัมพันธ์ธรรม           
ชาติ เงินทองเป็นของนอกกาย จึงควรที่จะให้ได้ผ่อนปรนได้ พระพุทธองค์ก็เคยตรัสไว้  "คนที่หวังมาก เพราะเขาโลภในทรัพย์สมบัติมาก เพราะฉะนั้น ความทุกข์และความกังวลของเขา เมื่อเทียบกับคนอื่นก็จะมาก ส่วนคนที่หวังน้อย ตลอดจนคนที่ไม่หวัง ก็ไม่โลภอยากได้อะไร ก้จะไม่มีทุกข์กังวลมากมาย
นัก ใครก็ตามที่จะพ้นห่างจากทุกข์กังวล ต้องรู้จักพอ วิธีการรู้จักพอ ก็จะมีความมั่นคงในความร่ำรวยสงบสุข คนที่รู้จักพอถึงแม้จะนอนอยู่บนพื้นดิน เขาก็สุข
ใจอย่างยิ่ง คนที่ไม่รู้จักพอ ถึงแม้เขาจะอยู่บนตึกระฟ้าก็ไม่สบายใจไม่มีความสุข เช่นนี้ก็พอจะรู้ว่า หากคนสามารถเป็นผู้ให้มากรับน้อยได้แล้ว ใจเขาก็จะราบเรียบเอง สภาวะอะไรภายนอกก็ไม่สามารถที่จะรบกวนใจเขาได้ เพราะว่าเขารู้จักพอตลอดเวลาจึงสุขเสมอ ! 
        คุณอู่เถี่ยเจียงพูดว่า  "เงินทองเป็นมูลอากาศของโลก คนที่อยู่บนโลกไม่มีเงินทองก้อยู่ไม่ได้ ดังนั้นโลกนี้จึงไม่มีคนที่ไม่ชอบเงิน และก็ไม่มีวันไหนที่ไม่ใช้เงิน เพราะฉะนั้นเงินจึงเป็นของที่ขาดไม่ได้ แต่การมีเงินของแต่ละคนมีกำหนด คิดอย่างได้มากอีกหน่อยก็เป็นไปไม่ได้  และการใช้เงินของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน คนที่สุรุ่ยสุร่ายเวลาหยิบก็เป็นพัน  คนตระหนี่บาทหนึ่งก็หยิบยาก คนที่สุจริตบริสุทธิ์ กลางคืนดึก ๆ มีคนเอาเงินมาให้โดยไม่มีเหตุ เขาก็จะไม่รับเป็นอันขาด คนโลภมีอิทธิพลกลางวันเสก ๆ ก็กล้าที่จะไปแยกชิงเอามา ควรต้องรู้ว่าคนตระหนี่ ความรู้น้อย เงินแต่ละบาทเหมือนมณีมีค่า เหมือนผึ้งที่เฝ้าน้ำผึ้ง เหมือนเด็กที่หวงขนม จะไม่ยอมแบ่งให้ใคร แต่ทว่านี่ก็ยังเป็นสิ่งที่เขารักษาส่วนที่เขามี  เพียงแต่ทำให้คนอื่นเบื้อหน่ายเท่านั้น  แต่ฟ้าเบื้องบนก้ไม่โกรธเขา เพราะเขาตระหนี่หรอก  แต่คนที่เป็นอันธพาลโลภเอาของคนอื่น เขาคิดจะเอาส่วนที่ไม่ใช่เป็นของเขา ทั้งยังโลภไม่เบื่อ ก็เหมือนปลาที่กลืนเรือ งูกลืนช้างที่โลภเกินไป พี่น้องแย่งชิงกัน เพื่อนชิงแค้นกัน โจรฆ่าคนชิงทรัพย์ เอาตำแหน่งไม่ชอบธรรม กังฉินขายชาติ เหล่านี้ล้วนเกิดจากความโลภสร้างขึ้น เพราะฉะนั้น ท่านไท่ซั่ง จึงตักเตือนถึงภัยเคราะห์ที่มาจากความโลภ สอนไม่ให้เอาเงินทองโดยไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากสอนคนไม่ให้หาเงินเลยนี่ซิคงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านไท่ซั่งจึงพูดคำว่า  "มากกับน้อย"  สามารถทำให้คนสามารถได้ตามส่วนที่ควรได้ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง ตัวเลขมากน้อยก็ไม่ใช่เป็นการตายตัว คนที่จน ทองหนึ่งตำลึงก็ถือว่าไม่น้อย สำหรับคนที่มีเงิน หมื่นตำลึงทองก็ไม่ใช่ของมาก สำหรับคนที่สะอาดบริสุทธิ์ เขาควรได้หนึ่งร้อยแต่กลับได้หนึ่งพัน เขาก็ยังไม่รู้สึกว่ามาก นอกเสียจากคนที่เป็นธรรม ปริมาณที่ตนเองควรจะได้ เวลาไปเอาก็จะไม่เอาเกินส่วนปริมาณที่ควรจะได้ นี่ก็คือวิธีการที่เอาน้อย ถึงอย่างไรก็ตาม ใจคนที่ป่วยมีน้อยอยากได้มาก อันนี้เป็นธรรมดาของคน ถ้าให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่ไปแย่งชิงก็ไม่เป็นการสร้างบาป แต่ถ้าหากเห็นว่ามากแล้วกลับให้ไปนี่ซิ จะไม่ขัดอารมณ์ไปหน่อยหรือ
        ควรรู้ว่า เงินทองที่ได้มามีเหตุปัจจัยที่ไม่เหมือนกัน  เงินที่อยู่เฉพาะหน้าที่จะเอา  ก้ไม่แน่ว่าในดวงชะตาเราควรจะได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในทางลึกลับจำนวนที่เราจะมีเราก็ไม่สามารถรู้ได้และก็ไม่มีปัญญาตรวจสอบ แต่ถ้าไปเอาเงินที่ดวงชะตาของเราไม่มีก็เหมือนไปเอาเหล้าพิษ หรือเนื้อเน่ามากินซึ่งก็กินไม่ได้ไม่มีสุขอยู่แล้ว  สู้ให้แก่ผู้อื่นไปมิปลอดภัยกว่าหรอกหรือ ถ้าหากเป็นการให้ในส่วนที่ดวงชะตามีอยู่ก็ไม่เป็นไร เพราะมันเป็นการขจัดบาปที่มีอยู่ เงินที่ให้ไปโดยผิดพลาดทั้ง ๆ ที่ในดวงชะตาเรามีอยู่ก็ไม่เป็นไร เพราะเงินที่ให้ไปอาจได้กลับมาจากที่อื่น
        ขณะมองเห็นเงินทอง ต้องมีความอดทน ไม่ใช่เห็นเงินก็ตาโตแล้วทำส่งเดช สำหรับคนร่ำรวยก้พอทำได้ง่าย ถ้าเป็นคนจนอาจทำได้ยากกว่า ถ้ารู้ว่าทำใจได้ยาก แต่ก็อดทนทำจนได้ อันนี้เทพเจ้าที่ตรวจสอบเราอยู่ก็คงไม่ปล่อยตามเลย แม้ชีวิตกำลังลำบาก ก็จะบันดาลให้เกิดเรื่องที่ช่วยให้ชีวิตเราอยู่รอดได้ หลักธรรมเหล่านี้ต้องเชื่อว่าเป็นจริง รักษาสติเอาไว้ เช่นนี้ วิถีแห่งการนับน้อยก็คือ วิถีแห่งการร่ำรวยนั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                    คัมภีร์  :  รับอัปยศไม่แค้น

อธิบาย  :  ถึงแม้จะได้รับอัปยศจากคนอื่น ก็ควรที่จะโทษตนเอง ที่มีบุญน้อยกุศลเบาบาง  ไม่สามารถทำให้คนเขาเกรงใจ ด้วยเหตุนี้ควรที่จะสั่งสมบุญกุศลจะไปแค้นเคืองผู้อื่นไม่ได้ ต้องรู้ว่า เมื่อได้รับความอัปยศจากผู้อื่น เราต้องรีบกลับมาสำรวจตนเอง เป็นความผผิดของเราเองใช่หรือไม่  ถ้าใช่ก็เป็นเหตุผลพอที่คนอื่นจะทำอัปยศเรา เราควรยอมรับโดยดี ถ้าความชั่วอยู่ที่ผู้อื่น การทำอัปยศก็ไม่สมควร ถึงแม้จะอับอายมาถึงตนก็เหมือนไม่มีความอับอาย ไม่เพียงไม่ควรโกรธ แค้นเพราะไม่มีที่จะแค้น ตั้งแต่โบราณมา คนที่มีปัญญามีความกล้าหาญ  ก็สามารถอดทนต่อความเล็ก ๆ นี้ได้ จึงจะสามารถทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้  คนที่มีใจคับแคบความรู้น้อยก็จะไม่สามารถที่จะเข้าใจหลักธรรมนี้ได้  ในสมัยซ่ง  นายหยวนโม่วอิ๋ว เป็นชาวอำเภอติงหู มณฑลเจ๋อเจียง เขาสอนลูกหลานเขาว่า  "คนที่ไม่มีประสบการณ์ต่อความอดทน ฝึกฝนมาก่อน ก็จะไม่รู้จักคำว่า  อดทน  นี้มีความยากลำบากแค่ไหน  ถ้าในใจมีความดีความชั่วต่อสู้กันแล้ว ก็จะไม่เข้าใจได้  ความลึกซึ้งของตัวอักษรอดทนนี้ล้ำลึกนัก  คนเราถ้าไม่สามารถอดทนต่ออัปยศได้ ถ้าจะเป็นคนมีใจดี แต่พอถูกคนกระทุ้งก็ดีแตก  พอถูกคนหักหน้าก็ร่วงหล่นแล้ว เพราะฉะนั้นท่านเมิ่งจื่อจึงกล่าวว่า  "เมื่อเบื้องบนจะให้ภาระหนักแก่ใครแบกรับ ก็ต้องให้เขาฝึกฝนใจเสียก่อน ให้ฝึกฝนใจที่เคลื่อนไหวว่ามีบารมีของจิตขันติหรือไม่ นั่นคือต้องการให้คนพิจารณาด่านอันนี้ ส่วนใหญ่แล้ว การให้ทานสงเคราะห์ผู้อื่น ถ้าไม่ระวังก็จะได้รับการโกรธแค้นกล่าวโทษจากคนอื่น ต้องยอมรับการกล่าวโทษ ทำงานต้องขยันชี้นำอบรมโดยไม่หนีการนินทาว่าร้ายของใคร ต้องจริงใจอภัยคนอื่น หรือได้รับการเยาะเย้้ยถากถางจากคนอื่น วิสัยอันธพาลต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนติดมากับใจที่ดี การกระทำที่ดี หากไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมนี้ ก็ไม่ใช่คนดีที่เพียงพอแท้จริง"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                           คัมภีร์  :  รับความทุกข์ดุจความหวาดกลัว

อธิบาย   :  ขณะที่ได้รับความรักความชอบให้เลื่อนยศเป็นรางวัลนั้น ไม่อาจแบกรับไม่ได้ หากแต่ให้คิดหวาดหวั่นเอาไว้  กลัวว่าตนเองบุญบารมีน้อย บุญตอบสนองไม่พอ ไม่สามารถรักษาความรักความชอบนี้ได้ยาวนาน  ใครคนหนึ่งเมื่อได้รับเกียรติความรักใคร่ ถึงแม้เขามีส่วนควรได้ก็ตาม แต่ก็ควรรักษาส่วนนั้นให้ดีรู้จักพอ ให้รู้สึกหวาดกลัวที่ได้รับความรักใคร่นั้น เพราะว่า  "บุญเอยวาสนาเอย ด้วยเคราะห์นั้นถูกสยบไว้"  เป็นโอวาทโบราณ คนส่วนใหญ่ตอนมีบุญวาสนาก็ได้ใจจนลืมตน เพราะว่าสาเหตุตอนนี้ภัยเคราะห์ถูกกลบไว้ให้อยู่ห่าง ๆ ด้วยขณะนี้ดวงกำลังขึ้นเหมือนพระจันทร์เต็มดวง จากนั้น ดวงจันทร์ก็จะค่อย ๆ แหว่งลง เป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าไม่รู้จักหวาดกลัว วันใดที่ความรักใคร่หมดไป ภัยเคราะห์ที่กลบห่างก็จะผุดขึ้น  เพราะฉะนั้น เมื่อได้รับเกียรติยศแล้ว ก็ควรที่จะสั่งสมบุญกุศลให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น ขยันตอบแทนพระคุณ อย่าได้ขี้เกียจแม้แต่น้อย

คำคม  :  เจิ้นชวงพูดว่า  "เงียบ ๆ ๆ เทพเซียนเหลือคณานับเป็นตรงนี้ ปล่อย ๆ ถัยเคราะห์เป็นหมื่นละลายทันที ทน ๆ ๆ เจ้ากรรมนายเวรหลบซ่อนตรงนี้หยุด ๆ ๆ เกียรติยศทั้งโลกไม่อิสระเสรี" 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                      คัมภีร์  :  ทำคุณไม่หวังผลตอบ ให้เขาไม่นึกเสียใจ

อธิบาย  :  การบริจาคหรือการให้ทาน เป็นการทำคุณกับผู้อื่น อย่างไรเสียเราจะไม่หวังผลตอบแทน การมอบของให้กับผู้อื่นก็จะไม่นึกเสียใจในภายหลัง การทำบุญคุณให้แก่ผู้อื่น  หากยังหวังให้เขาตอบแทน แสดงว่าในใจของเรายังมีความโลภอยู่ คือยังไม่ลืมคุณที่เราทำ การให้สิ่งของแก่ผู้อื่นไปก็เช่นกัน ต่อมากลับรู้สึกนึกเสียใจ นี่ก็แสดงถึงใจที่เป็นตระหนี่ คือยังไม่แปรเปลี่ยน ควรรู้ว่าความโลภกับตระหนี่เป็นสิ่งที่บัณฑิตไม่กระทำ ในวัชรสูตรว่า  "โพธิสัตว์ที่มีต่อคน เรื่องและสิ่งของ คือไม่มีอุปาทานติดยึดแล้วให้ทานไป" พูดอีกว่า "หากโพธิสัตว์สามารถไม่ยึดติดในรูปให้ทานแล้ว บุญกุศลของเขาก็ไม่อาจนับประมาณได้"  ทำให้รู้ว่า หากคนสามารถเอาทรัพย์สิ่งของช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว สามารถทำจนภายในไม่เห็นฉันผู้ให้ทาน นี่เรียกว่ารูปทั้งสามว่าง ก็เรียกได้ว่าใจสะอาด  ถ้าหากสามารถให้บริจาคทานได้แบบนี้ ถึงแม้จะบริจาคท่านแค่หนึ่งถัง ก็สามารถสร้างบุญได้เอนกอนันต์ แม้การให้ทานแค่บาทเดียวก็จะสามารถจะขจัดมลายบาปกรรมเป็นพันกัปได้ ถ้าหากในใจยังมีความหวังตอบแทนแม้เพียงเล็ก ๆ อยู่ ถึงแม้จะใช้เงินถึงสองแสนตำลึง ไปช่วยเหลือคน ก็ยังไม่ได้รับบุญกุศลที่สมบูรณ์ตลอดจนการนึกเสียใจ โดยเฉพาะความสำคัญของชีวิตที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างปุถุกับอริยะ ความชั่วที่ทำถ้านึกเสียใจได้แล้ว อนาคตความคิดชั่วก็จะค่อย ไ หยุดลง ส่วนความดีที่ทำถ้านึกเสียใจแล้วอนาคตความคิดดีในใจที่มีอยู่ก็จะค่อย ๆ หายไปไม่เกิดขึ้น  ถ้าหากภายหลังการให้ทานแล้วก็เกิดเสียใจในภายหลังถ้าอย่างนั้นก็สู้ไม่ไปให้บริจาคทานก็จะปลอดภัยกว่า !
        ชาวโลกคิดอยากให้ยุ้งฉางมีข้าวเต็ม และไม่ขาดพร่องเลยสักปี ถ้าต้องการเช่นนั้น ก็ต้องเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้และขยันไปไถหว่าน เอาเมล็ดพันธุ์หว่านลงในแปลงนา ถ้าเมล็ดไม่ไปปลูก ข้าวในยุ้งฉางก็จะใช้หมดไปโดยเร็ว หลักธรรมก็เช่นเดียวกัน เอาใจที่กตัญญู  เมตตา  เคารพเป็นเมล็ดพันธุ์ เอาเสื้อผ้าอาหารเงินทองกับชีวิตมาเป็นวัวและคันไถ เอาพ่อแม่คนจนที่ป่วย กับพระรัตนตรัยมาเป็นไร่นา หากเป็นพุทธบุตรคิดจะได้บุญสะอาด ทุก ๆ ชาติก็จะมีบุญตอบสนองไม่สิ้นสุด จึงจำเป็นต้องอาศัยใจที่เมตตา เคารพกตัญญู  เอาเสื้อผ้าอาหารเงินทองตลอดจนชีวิตไปเคารพบูชา เลี้ยงพ่อแม่และคนที่เจ็บป่วยกับรัตนตรัย อย่างนี้เรียกว่าปลูกบุญ หากไม่ปลูกบุญก็จะยากจน ไม่มีทั้งบุญและปัญญา  ตกสู่หนทางเลวร้ายของการเกิดการตาย ที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็คือ การปลูกเนื้อนาบุญ ก็เหมือนปลูกข้าวในนา จึงเรียกว่า  นาบุญ 
        การให้ทานก็มี ๓ อย่าง  ให้ธรรมเป็นทาน  ทรัพย์เป็นทาน  และใจเป็นทาน  ด้วยความสะดวกต่าง ๆ มากล่อมเกลาตักเตือนคน  การให้ทานเป็นธรรม ได้กุศลมาก ทรัพย์เป็นทานก็ใช้สงเคราะห์เขา  ใจเป็นทานคือเอาใจเราไปเห็นอกเห็นใจผู้ตกทุกข์ได้ยาก คือคิดจะช่วยเหลือเขาแต่ไม่มีกำลัง อย่างนี้ก็เป็นการให้ทานแล้ว

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”