คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า
บทที่สี่
สั่งสมกุศล
ท่านยังกล่าวต่อไปอีกว่า สาเหตุของการไม่รู้จักกตัญญูมาก ๆ ก็มี ๔ อย่าง
๑. เห็นแก่ทรัพย์ พอเงินทองตกถึงมือฉันก็เป็นของฉัน แม้แต่เงินทองของพ่อแม่ก็เข้าใจว่าเป็นเงินของฉัน เมื่อตนเองมีเงินมากพอก็ลืมพ่อแม่ แต่ตอนที่ตนเองเงินทองไม่พอก็กล้าจะไปเอาเงินทองของพ่อแม่ ยามที่พ่อแม่เลี้ยงดูตนเองไม่ได้ ต้องไปพึ่งพาให้ลูกเลี้ยงดูก็จะเคียดแค้นพ่อแม่ แม้แต่ครอบครัวที่มีลูกคนเดียว ก็ยังเกิดปัญหาเรื่องเงินทองถึงกับจะฆ่าแกงกัน นับประสาอะไรกับครอบครัวพี่น้องต่างเกี่ยงกันเลี้ยงดูพ่อแม่ ! พวกเขาคงลืมไปกระมังว่า กายสังขารนี้มาจากไหน เงินทองของเรามาจากไหน ตอนเราเกิดมามีเงินทองติดตัวมาหรือไร ตั้งแต่ทารกจนถึงปัจจุบันก็ไม่เคยขัดสน ใครช่วยเหลือเธอ แต่ตอนนี้ตนเองไม่อยากสิ้นเปลืองจึงคิดถือสากับพ่อแม่ !
๒. หลงเมีย หลงลูกเมียมากจนเป็นเหตุไม่กตัญญู พอมีเงินทองอาหารดี ๆ ก็จะเอาไปปรนเปรอลูกเมีย เวลามีวันหยุดวันนักขัตฤกษ์ ที่คิดจะพาลูกเมียไปให้พ่อแม่เชยชม ก็ยิ่งนับวันลดน้อยถอยห่างลงไป ไม่คิดว่าลูกเป็นลูกของฉัน แล้วฉันจะเป็นลูกของใคร พ่อแม่เลี้ยงดูฉันแล้วฉันไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ แล้วลูกที่ฉันเลี้ยงจะมีประโยชน์อันใด สามีภรรยารักใคร่กันเป็นเรื่องดี แต่ตอนที่ฉันยังอุแว้กินนมขี้เยี่ยวปนเป เมียเราตอนนั้นเลี้ยงดูเราหรือ ทีตอนนี้ก็รู้จักรักลูกหลงเมีย พ่อแม่เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ แต่งเมียได้ก้ดีใจเป็นที่สุด แต่ทำไมพอมีเมียแล้ว ก็ทำให้พ่อแม่ต้องเสียลูกไปปานนั้น
๓. สำมะเลเทเมา ไฟสุมอกร้อนแรง บวกกับถูกฝ่ายตรงข้ามเป่าหูอย่างรุนแรง ตอนนั้นคนในบ้านก็ทำร้ายจิตใจ เขาก็รับไม่ได้จึงออกจากบ้าน ไปสำมะเลเทเมาหมดเงินหมดทอง ระหว่างแม่กับเมียจึงเกิดปากเสียงกันเพราะเรื่องนี้ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกันเขาก็แก้ไขไม่ได้ เมียก็กอดลูกนอนไม่หลับ เพราะเป็นห่วงสามีที่สำมะเลเทเมาอยู่ข้างนอก แม้แต่ลมฝนนอกบ้านก็ทำให้เธอเสียใจร้องไห้ พ่อแม่ที่แก่ผมหงอกก็ไม่มีใครดูแล กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะเป็นห่วงลูกชายที่สำมะเลเทเมาอยู่นอกบ้าน จะได้รับอันตราย จิตใจที่บ้าคลั่งเช่นนี้จะหยุดลงได้เมื่อไร ทนได้หรือที่ให้คนที่ตนรักที่สุดต้องเสียใจ !
๔. แก่งแย่งอิจฉา ด้วยฟ้าดินไม่เห็นแก่ตัว แต่คนกลับมีความรู้สึกเสียใจ ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ๆ จะมีเหตุผลที่ไม่ลำเอียง หรือบรรดาลูก ๆ แย่งชิงให้พ่อแม่รัก หรือพี่น้องมีเรื่องขัดใจกัน ต่างถือสาหาความ พูดจาใส่ร้ายกัน บ้านใครก็เป็นเช่นนี้ก็จะสั่งสมแต่ความโกรธแค้น ใจที่กตัญญูก็พลอยจืดจางลง
ทั้ง ๔ อย่างเป็นสภาพธรรมดาของมนุษย์ ที่น่ากลัวคือลูกที่กตัญญูก็หลบเลี่ยงได้ยาก จนกลายเป็นคนไม่กตัญญูไป สมัยซ่ง หันเหว่ยกัง กล่าวว่า "พ่อเมตตาลูกก็กตัญญู" เป็นเรื่องปกติ ถ้าพ่อแม่เมตตาต่อลูก มีหรือลูกจะไม่กตัญญู เป็นสมัยกษัตริย์ต้าซุ่น แต่โบราณมา" หากในสภาวะที่พ่อแม่ไม่พอใจลูก ในใจขอลูกจะต้องไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย จะต้องเพิ่มความระมัดระวังปรนนิบัติพ่อแม่ ถึงแม้จะเกลี้ยกล่อมท่านไม่ได้ ก็ไม่ให้ล่วงเกินท่าน มีแต่บุตรต้องทำหน้าที่กตัญญูให้ถึงที่สุด อย่าต้องล่วงละเมิดจนกลายเป็นลูกอกตัญญูไป ถ้าหากยังมองพ่อแม่ว่าไม่ถูกต้อง ในใจก็มีแต่อารมณ์โกรธแค้น จนไม่สลายหมด หรือละวางไม่ลง ก็จะส่งให้เกิดการระงับชั่งใจไม่อยู่ คือไม่สามารถตัดรากถอนโคนความแค้นได้ อันเป็นเหตุให้ละเมิดผิดจนกลายเป็นพิษภัย ถ้าหากเป็นเช่นนั้นละก็ โทษบาปที่ดุด่าว่าพ่อแม่ไม่เมตตาจะหนักมาก เป็นโทษมหันต์ที่อกตัญญูู ก็คงหมดทางหลบหลีกจากโทษบาปที่ก่อไว้