collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144222 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล 

ท่านยังกล่าวต่อไปอีกว่า   สาเหตุของการไม่รู้จักกตัญญูมาก ๆ  ก็มี  ๔  อย่าง

        ๑.   เห็นแก่ทรัพย์   พอเงินทองตกถึงมือฉันก็เป็นของฉัน  แม้แต่เงินทองของพ่อแม่ก็เข้าใจว่าเป็นเงินของฉัน เมื่อตนเองมีเงินมากพอก็ลืมพ่อแม่ แต่ตอนที่ตนเองเงินทองไม่พอก็กล้าจะไปเอาเงินทองของพ่อแม่ ยามที่พ่อแม่เลี้ยงดูตนเองไม่ได้  ต้องไปพึ่งพาให้ลูกเลี้ยงดูก็จะเคียดแค้นพ่อแม่ แม้แต่ครอบครัวที่มีลูกคนเดียว ก็ยังเกิดปัญหาเรื่องเงินทองถึงกับจะฆ่าแกงกัน นับประสาอะไรกับครอบครัวพี่น้องต่างเกี่ยงกันเลี้ยงดูพ่อแม่ !  พวกเขาคงลืมไปกระมังว่า กายสังขารนี้มาจากไหน เงินทองของเรามาจากไหน ตอนเราเกิดมามีเงินทองติดตัวมาหรือไร  ตั้งแต่ทารกจนถึงปัจจุบันก็ไม่เคยขัดสน  ใครช่วยเหลือเธอ แต่ตอนนี้ตนเองไม่อยากสิ้นเปลืองจึงคิดถือสากับพ่อแม่ ! 

        ๒.   หลงเมีย    หลงลูกเมียมากจนเป็นเหตุไม่กตัญญู พอมีเงินทองอาหารดี ๆ ก็จะเอาไปปรนเปรอลูกเมีย เวลามีวันหยุดวันนักขัตฤกษ์ ที่คิดจะพาลูกเมียไปให้พ่อแม่เชยชม ก็ยิ่งนับวันลดน้อยถอยห่างลงไป ไม่คิดว่าลูกเป็นลูกของฉัน แล้วฉันจะเป็นลูกของใคร พ่อแม่เลี้ยงดูฉันแล้วฉันไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ แล้วลูกที่ฉันเลี้ยงจะมีประโยชน์อันใด  สามีภรรยารักใคร่กันเป็นเรื่องดี  แต่ตอนที่ฉันยังอุแว้กินนมขี้เยี่ยวปนเป เมียเราตอนนั้นเลี้ยงดูเราหรือ  ทีตอนนี้ก็รู้จักรักลูกหลงเมีย พ่อแม่เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ แต่งเมียได้ก้ดีใจเป็นที่สุด แต่ทำไมพอมีเมียแล้ว ก็ทำให้พ่อแม่ต้องเสียลูกไปปานนั้น

        ๓.   สำมะเลเทเมา   ไฟสุมอกร้อนแรง  บวกกับถูกฝ่ายตรงข้ามเป่าหูอย่างรุนแรง  ตอนนั้นคนในบ้านก็ทำร้ายจิตใจ เขาก็รับไม่ได้จึงออกจากบ้าน ไปสำมะเลเทเมาหมดเงินหมดทอง ระหว่างแม่กับเมียจึงเกิดปากเสียงกันเพราะเรื่องนี้ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกันเขาก็แก้ไขไม่ได้  เมียก็กอดลูกนอนไม่หลับ เพราะเป็นห่วงสามีที่สำมะเลเทเมาอยู่ข้างนอก แม้แต่ลมฝนนอกบ้านก็ทำให้เธอเสียใจร้องไห้ พ่อแม่ที่แก่ผมหงอกก็ไม่มีใครดูแล กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะเป็นห่วงลูกชายที่สำมะเลเทเมาอยู่นอกบ้าน จะได้รับอันตราย จิตใจที่บ้าคลั่งเช่นนี้จะหยุดลงได้เมื่อไร ทนได้หรือที่ให้คนที่ตนรักที่สุดต้องเสียใจ  ! 

        ๔.   แก่งแย่งอิจฉา    ด้วยฟ้าดินไม่เห็นแก่ตัว แต่คนกลับมีความรู้สึกเสียใจ ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ๆ จะมีเหตุผลที่ไม่ลำเอียง หรือบรรดาลูก ๆ แย่งชิงให้พ่อแม่รัก หรือพี่น้องมีเรื่องขัดใจกัน ต่างถือสาหาความ พูดจาใส่ร้ายกัน บ้านใครก็เป็นเช่นนี้ก็จะสั่งสมแต่ความโกรธแค้น ใจที่กตัญญูก็พลอยจืดจางลง

        ทั้ง ๔ อย่างเป็นสภาพธรรมดาของมนุษย์ ที่น่ากลัวคือลูกที่กตัญญูก็หลบเลี่ยงได้ยาก จนกลายเป็นคนไม่กตัญญูไป   สมัยซ่ง หันเหว่ยกัง กล่าวว่า  "พ่อเมตตาลูกก็กตัญญู" เป็นเรื่องปกติ ถ้าพ่อแม่เมตตาต่อลูก มีหรือลูกจะไม่กตัญญู เป็นสมัยกษัตริย์ต้าซุ่น แต่โบราณมา"  หากในสภาวะที่พ่อแม่ไม่พอใจลูก ในใจขอลูกจะต้องไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย จะต้องเพิ่มความระมัดระวังปรนนิบัติพ่อแม่ ถึงแม้จะเกลี้ยกล่อมท่านไม่ได้ ก็ไม่ให้ล่วงเกินท่าน มีแต่บุตรต้องทำหน้าที่กตัญญูให้ถึงที่สุด อย่าต้องล่วงละเมิดจนกลายเป็นลูกอกตัญญูไป  ถ้าหากยังมองพ่อแม่ว่าไม่ถูกต้อง ในใจก็มีแต่อารมณ์โกรธแค้น จนไม่สลายหมด หรือละวางไม่ลง ก็จะส่งให้เกิดการระงับชั่งใจไม่อยู่ คือไม่สามารถตัดรากถอนโคนความแค้นได้ อันเป็นเหตุให้ละเมิดผิดจนกลายเป็นพิษภัย ถ้าหากเป็นเช่นนั้นละก็ โทษบาปที่ดุด่าว่าพ่อแม่ไม่เมตตาจะหนักมาก เป็นโทษมหันต์ที่อกตัญญูู ก็คงหมดทางหลบหลีกจากโทษบาปที่ก่อไว้   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล 

คำคม  :  ท่านหลอ เคยกล่าวไว้ว่า "บุตรกตัญญูที่ปรนนิบัติบิดามารดา จะทำให้บิดามารดามีใจเย็ยชาไม่ได้ มีกังวลใจไม่ได้ มีใจหวาดกลัวไม่ได้ มีความกลุ้มใจไม่ได้ ทำให้บิดามารดาไม่อยากพูดไม่ได้ ทำให้บิดามารดามีใจละอายแค้นไม่ได้" 
        ท่านถัง ได้เขียนบทเพลงพระคุณบิดามารดาว่า  :-

ฉันยังไม่ทันเอ่ยก็น้ำตาร่วงริน             ไม่อาจตอบแทนพระคุณเลี้ยงอบรม
ตื้นตันจนพูดไม่ออก                           ตื้นตันพูดให้พวกท่านฟัง
ทนทุกข์ทรมานยามตั้งท้อง                  ดุจผจญมารเอาชนะยาก                   
การให้กำเนิดนั้นมีอันตราย                   ระหว่างความเป็นความตาย
เจ็บปวดท้องสุดจะทนได้                     ดุจให้เขาถอดกายสังขาร
จะตายจะเกิดนับครั้งไม่ถ้วน                  อาศัยเทพเทวาเป็นที่พึ่ง
ลูกคลอดออกมาเลือดกระจาย               กัดฟันหลับตาดุจเกิดใหม่
จวบจนตัดสายใส่เสื้อแล้ว                    ผ่านไปสามวันค่อยเป็นคน
ขี้เยี่ยวรดเปื้อนเต็มตัว                          เหม็นควาสกปรกกลิ่นไม่ไหว
ใจไม่เคยนึกติโกรธเคือง                      จะอาบล้างเปลี่ยนแสนลำบาก
ได้ยินเสียงลูกน้อยร้องแว้                     พลิกตัวเอามือมาช้อนอุ้ม
คิดว่าเธออายุได้ครึ่งขวบ                     สะดุ้งตื่นไม่เป็นอันหลับ
ยามหิมะตกฟ้าปลายปี                         พันหัวพันเท้าอุ้มลูกนอน
เพราะลูกน้อยยังกินนม                        ยามดึกเปิดอกออกข้างนอก
พอลูกออกหัดอีสุกใส                          ใจแม่อกสั่นขวัญแขวน
ภายหลังอาการบรรเทาแล้ว                 คอยจะดื่มกินอาหารได้
จุดธูปเทียนกราบเจ้าเตาไฟ                 พร่ำเรียกเจ้าแม่อีสุกใส
ถ้าหากเกิดมีเสียงเจ้าแม่                      คงอกสั่นจนขนหัวลุก
โชคดีเลี้ยงลูกได้ถึงสองขวบ               อาศัยปีนป่ายเดินเตาะแตะ
ห่วงก็เพียงจะชนหัวหน้าแตก               อย่างไรเสียก็ไม่ปล่อยวางใจ
มีลูกก็มักปล่อยตามใจ                        เสียนิสัยบ่มอนาคต
ทำไมพ่อแม่รักลำเอียง                       ปากก็ว่าลูกดีเด็กดี ๆ
ลูกโตผมยาวปะไหล่                          ชั่วพริบตาเติบโตผู้ใหญ่
เจ็บปวดยามปู่ย่าจากไป                     ไม่อาจเฝ้าดูแลอยู่ข้างกาย 
แบ่งได้ไร่นาเพียงเล็กน้อย                  ก็หนักใจทำกินลำบาก
ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ลูกหรือไร               ตนเองกินได้สักกี่อีแปะ
แม่ดูพ่อ ๆ ส่องมองดูแม่                     ทำไมหน้าตาซีดเซียว   
เป็นเพราะลูกต้องแต่งงาน                 คิ้วขมวดเติมห้องหนึ่งห้อง
แต่ละนิ้วคืบล้วนบุญคุณ                    ใครสามารถพรรณนาได้สักครึ่ง
เก่งแค่ไหนที่พรรณนาออกมา             ก็แค่หกเจ็ดส่วนเท่านั้นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล         

คำคม   : 

        คุณจินเช้าเกา กล่าวว่า  "ความเสื่อมในประเพณีงานศพ"  ปัจจุบันถึงจุดเสื่อมสุดแล้ว คนปัจจุบันมักเข้าใจว่า คนสมัยก่อนทำงานศพไม่ถูกต้อง ปัจจุบันไว้ทุกข์กันภายในแค่เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวันเท่านั้น เพื่อให้จบสิ้นแล้วไปจัดงานแต่งงาน อย่างนี้ถือเป็นการไม่มีอารยธรรม ในสมัยโบราณผู้เป็นบัณฑิตจะไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญูเป็นระยะเวลา ๓ ปี  ขนาดรับประทานอาหารประณีตก็ไม่รู้สึกรสอร่อย ฟังดนตรีก็ให้รู้สึกไม่สบาย ชีวิตประจำวันก็ยังมีความรู้สึกอาลัยอาดูรการจากไปของพ่อแม่ เป็นเวลาเช่นนี้นานถึง ๓ ปี ปัจจุบันจิตสำนึกของคน ไม่สนใจหลักธรรมฟ้า บางทีก็ยังแต่งงานภายใน ๔๙ วันก็มี แม้แต่งานศพพ่อแม่ก็ยังไม่สนใจ กับแต่จะหาความสุขระหว่างสามีกับภรรยากัน การเป็นลูกของคน หากเป็นเช่นนี้ลวก ๆ ง่าย ๆ เช่นนี้ถือว่าไม่กตัญญูอย่างยิ่ง หากพ่อแม่สอนลูกให้ทำเช่นนี้ก็คือ การสอนลูกให้ไม่กตัญญูโดยเฉพาะอยู่ในช่วงอุบาทว์แต่ไปทำงานมงคล มันจะไม่ดีกับสามีภรรยาทั้งสองฝ่าย ประเพณีที่ไม่ดีอย่างนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เริ่มต้น พอมาถึงปัจจุบันกลายเป็นเรื่องถูกต้องไป แม้แต่ในครอบครัวที่มีการศึกษาก็ยังเป็นเช่นนี้ คงเป็นคนบาปของโจวกงและท่านขงจื่อ ประเพณีที่เลวแบบนี้ ควรรีบแก้ไขเสียโดยรีบด่วน ! 
        คุณเสิ่นหลงเจียง  กล่าวว่า  "การปรนนิบัติพ่อแม่ยังเทียบไม่ได้เท่ากับงานวาระสุดท้ายของพ่อแม่ งานวาระสิ้นบุญของพ่อแม่ถือเป็นงานใหญ่ ถ้าปฏิบัติไม่ได้แล้ว งานอื่น ๆ ก้ถือว่าไม่จริงใจแล้วในครอบครัวที่มีพี่น้องมาก พี่น้องมักจะเกี่ยงกันไปมา เหตุนี้จึงจัดงานศพลวก ๆ เพทื่อให้เสร็จสิ้น ก่อให้เกิดนึกเสียใจภายหลัง สำหรับฉันแล้วการเป็นลูกคนโต ถ้ามีกำลังทำได้ก็ควรทำเสียคนเดียว ไม่จำเป็นต้องผลักให้น้อง ๆ ไปทำ ถ้าเป็นน้องเขามีกำลังทำได้ตามลำพัง ก็ควรรับเป็นหน้าที่ของตนเอง ก็ไม่ต้องให้พี่ต้องแบกรับจนเกินกำลัง แต่ละคนทำสุดกำลัง ให้แบ่งกันทำ อย่างนี้จึงสมเหตุผลที่เกิดเป็นลูก !  หากคิดอยากพึ่งคนอื่นอีกส่วนหนึ่ง มันก็จะเกิดขึ้นอยู่ในใจเราส่วนหนึ่ง ก็จะกลายเป็นไม่ทำสุดกำลังไปส่วนหนึ่ง !"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

นิทาน  ๑.  :  หยางปู่เป็นชาวเมืองไห่เหอ ร่ำลาแม่เฒ่าที่บ้านแล้วเดินทางไปเสฉวน  เพื่อไปกราบอาจารย์อู๋จี้ไต้ซือ ระหว่างทางได้พบภิกษุเฒ่ารูปหนึ่งพูดกับเขาว่า "จะไปไหน"  หยางปู่ตอบว่า "ไปกราบอาจารย์อู๋จี้ที่เสฉวน" ภิกษุเฒ่าพูดว่า "เจ้าไปกราบอาจารย์อู๋จี้ ยังสู้ไปหาพระพุทธะไม่ได้" หยางปู่จึงถามว่า "อย่างนั้นพระพุทธะอยู่ที่ไหน"  ภิกษุเฒ่าตอบว่า "เพียงเจ้ากลับบ้านก็จะเห็นคนหนึ่งที่พาดเสื้อสีเหลืองไว้บนบ่า เท้าก็ใ่ส่รองเท้ากลับข้าง คน ๆ นั้นคือพระพุทธะ !"  หยางปู่ฟังแล้วก็รีบกลับบ้าน ตอนที่กลับมาบ้านก็เป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน ปิดประตูนอนกันหมดแล้ว หยางปู่เคาะประตูบ้านรออยู่ข้างนอก ขณะนั้นแม่เฒ่าได้ยินเสียงลูกชายร้องเรียกอยู่ข้างนอก ด้วยอารามดีใจที่จะไปเปิดประตู จึงฉุกละหุกคว้าเสื้อได้ตัวหนึ่งสีเหลืองพาดไว้บนไหล่ ด้วยอาการรีบร้อนที่จะเห็นหน้าลูก จึงใส่รองเท้าสลับข้างวิ่งไปที่ประตูบ้านพอเปิดประตู หยางปู่เห็นสภาพมารดาตรงกับที่พระภิกษุเฒ่าบอกทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้จึงตื่นบรรลุฉับพลัน จากนั้นมาเขาก็จะอยู่ที่บ้านคอยดูแลปรนนิบัติมารดาสุดกำลัง ทั้งยังได้เขียนคำอธิบายในคัมภีร์กตัญญูไว้เป็นหมื่น ๆ ตัวอักษร ขณะที่หยางปู่เขียนคำอธิบายคัมภีร์กตัญญูอยู่นั้น พอน้ำในที่ฝนหมึกใกล้จะแห้ง ทันใดนั้นน้ำก็เต็มขึ้นมาเอง คนอื่นต่างยอมรับว่า เพราะความกตัญญูของหยางปู่ เป็นเหตุซาบซึ้งถึงฟ้าดิน เทพจึงมาเติมน้ำให้ตลอดเวลา

คำคม  :   พระโพธิสัตว์เมตตรัย กล่าวไว้ว่า "ในบ้านมีพุทธะ  ๒ องค์  เจ็บใจที่ชาวโลกไม่รู้จัก ไม่ต้องใช้โลหะหล่อ ไม่ต้องใช้ไม้กฤษณามาแกะนั่นคือ พ่อแม่ทั้งสอง  ก็คือศากยะเมตตรัย  หากสามารถตั้งใจเคารพปรนนิบัติ ไม่ต้องไปหาบุญกุศลที่ไหน"

นิทาน  ๒.  นายไอ้เหมี่ยน มีนิสัยกตัญญูมาก แม่ตาบอดทั้งสองข้าง เขายอมขายทรัพย์สมบัติเพื่อรักษาตาของแม่ เขาปรนนิบัติแม่เขานานถึง  ๓๐ ปี  เขาระมัดระวังเคารพมาก แม้ตกกลางคืนเขาก็จะไม่ถอดหมวกและเสื้อคลุมออกเลย เมื่อถึงเทศกาลตรุษสารท
เขาก็จะพาแม่ออกไปรับประทานอาหารข้างนอก เพื่อได้สนุกสนานกับผู้คนข้างนอก เพื่อให้คุณแม่ลืมความทุกข์  ต่อมาเมื่อแม่ถึงแก่
กรรม นายไอ๋เหมี่ยน เสียใจจนกระอักเลือด แล้วตั้งปณิธานทานเจตลอดชีวิต เขาจะรักพี่ชาย พี่สาว เหมือนรักแม่ เขาดีต่อหลานยิ่งกว่าลูกของตน เงินที่เขาหาได้ก็จะแบ่งปันให้กับญาติพี่น้อง ทั้งพูดว่า "ถึงแม้คุณแม่จะจากไปแล้ว ข้าก็มิอาจไม่แสดงความกตัญญูไม่ได้ คิดถึงเมื่อครั้งคุณแม่ยังอยู่ คุณแม่ห่วงใยพี่ชาย  พี่สาว และหลาน ๆ มากที่สุด ๔-๕ คนนี้  เพราะฉะนั้น  ฉันจะต้องดูแลเขาอย่างดี การทำแบบนี้ จึงจะปลอบประโลมคุณแม่บนสวรรค์นั้นได้"  ต่อมาไอ๋เหมี่ยน ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นถึงราชเลขา บุตรชายของเขานายอิ้งปู่ มีความสามารถมากเป็นถึงมหาอำมาตย์  โอ้ !  คนเช่น ไอ๋เหมี่ยน นี้จึงนับเป็นบุตรกตัญญูที่แท้จริง ขณะแม่มีชีวิตอยู่ก็ทำให้แม่ดีใจ ภายหลังแม่สิ้นบุญไปแล้ว ก็ยังสามารถทำความหวังของแม่ได้ เมื่อมาย้อนดูชาวโลกที่ร่ำรวยมีอำนาจ กลับปฏิบัติต่อพ่อแม่พี่น้องเหมือนคนเดินถนนทั่วไป เมื่อมองดูใจกตัญญูของนายไอ๋เหมี่ยน แล้วจะรู้สึกละอายใจบ้างไหม ? 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

นิทาน  ๓.  :  หลี่เซิน สูญเสียแม่ตั้งแต่เด็ก จึงปรนนิบัติพ่ออย่างดีเพราะว่าพ่อมีอายุมากแล้ว กลางคืนก็จะลุกขึ้นปัสสาวะบ่อย หลี่เซินจึงนอนกับพ่อเพื่อคอยดูแล ทุกคืนหลี่เซินต้องลุกขึ้นถึง ๔-๕ ครั้ง เพื่อพาพ่อไปปัสสาวะ อยู่มาหนึ่งปีเกิดสงคราม ขโมยโจรปล้นจี้เต็มบ้านเต็มเมือง หลีี่เซินแบกพ่อขึ้นหลังหนีเข้าป่า ระหว่างทางพบกับพวกโจร พวกโจรเห็นหลี่เซินมีความกตัญญูจนเป็นที่ประทับใจจึงไม่ทำร้ายทั้งสองคน ยามปกติพ่อของเขาชอบผลไม้ลูกเห็งมาก นายหลี่เซินจึงปลูกต้นเห็งไว้ในที่ดินใกล้ ๆ บ้านหลายต้น แ๖่ก็ถูกเพื่อนบ้านยึดครองเอาไป หลี่เซินหมดท่า จึงเขียนใบฏีการายงานเทพเจ้าให้ช่วยเหลือ เทพเจ้าก็ลงโทษเพื่อนบ้านที่ยึดครองโดยทำโทษให้เกิดหลังโกงขึ้น ทั้งยังพูดกับพวกเขาว่า "เธอต้องคืนที่ดินกัับต้นเห็งให้แก่หลี่เซินให้หมดโดยเร็ว"  เพื่อนบ้านที่ใช้อำนาจยึดครองที่ดินของหลี่เซินไป ต่างพากัันไปคืนที่ดินและต้นเห็งแก่หลี่เซินจนหมด เทพเจ้าจึงเลิกลงโทษ

นิทาน  ๔  :  หลี่หุยซิ้ว เป็นคนในสมัยถัง  มีนิสัยกตัญญู มารดาของเขายากจนมาก่อน พอภรรยาของเขาด่าว่าคนใช้ แม่ของหลี่หุยซิ้วได้ยินแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ด้วยสาเหตุนี้หลี่หุยซิ้วจึงเลิกกับภรรยา มีคนถามเขา "มีสาเหตุอะไรกันแน่ จึงเลิกกับภรรยา" เขาตอบว่า " จุดมุ่งหมายของการแต่งภรรยา ก็เพื่อให้ภรรยาปรนนิบัติมารดา ถ้าหากภรรยาไม่สามารถยิ้มแย้มปรนนิบัติอย่างจริงใจได้ สะใภ้แบบนี้จะเอาไว้ได้อย่างไร" ความกตัญญูของหลี่หุยซิ้ว ซาบซึ้งสวรรค์ ดังนั้นที่หน้าบ้สนของเขาจึงมีต้นหญ้าจืองอกขึ้น ฮ่องเต้ถึงกับมีราชสาสน์ประกาศความกตัญญูของเขาส่งมาถึงบ้าน

นิทาน  ๕  :  ในสมัยฮั่น  เมืองเจอะเจียง บ้านช่างอู้ มีเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ เฉาง้อ พ่อของเธอชื่อเฉาอวี่ เป็นอาจารย์ทำพิธีกรรมในวันเทศกาลขนมจ้าง วันที่ ๕ เดือน ๕  วันนั้นเขาโดยสารเรือไปที่กลางแม่น้ำเพื่ออัญเชิญเทพเจ้า   ไม่ทันระมัดระวังจึงพลาดตกน้ำตาย เฉาง้ออายุเพียง ๑๔ ปี  เธอเดินเลาะตลิ่งเพื่อหาศพของพ่อ แต่ก็หาไม่พบ เฉาง้อร้องไห้ที่ริมแม่น้ำถึง ๗ วัน ๗ คืน ในที่สุดเธอก็กระโดดลงแม่น้ำ ผ่านไป ๕ วัน  เฉาง้อก็แบกศพพ่อลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ คนในละแวกนั้นพากันตกตะลึง นายอำเภอช่างอู้จึงจัดทำศพให้แล้วรายงานสู่ราชสำนัก ฮ่องเต้เห็นความกตัญญูของเฉาง้อ จึงมีประกาศเกียรติคุณและสร้างศาลเจ้าเฉาง้อไว้ข้างแม่น้ำนั้นที่ศาลเจ้ามีคนไปไหว้ไม่ขาดสายมาจนถึงทุกวันนี้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

คัมภีร์   :  ให้รักญาติมิตร

อธิบาย  :  เมื่อเป็นพี่ชายเขาก็ต้องรัก  หากเป็นน้องชายเขาก็ต้องรักพี่ พี่น้องเปรียบเหมือนแขนขา จึงเหมือนคน ๆ เดียวกันในสายตาของพ่อแม่ พี่น้องก็เป็นคนเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในระหว่างพี่น้องมีเรื่องทำให้ไม่รักใคร่กัน ใจของพ่อแม่ก็จะอยู่ไม่เป็นสุข ถ้าพ่อแม่เห็นพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนแขนขา ใจจะมีความรู้สึกสบายปานไหน !  ดังนั้นจึงมักยกย่องให้พี่น้องเป็นแขนขา ในพี่น้องถ้ามีความเจ็บไข้หรือลำบากเพราะเกี่ยวพันกัน ควรที่จะช่วยเหลือดูแลกัน จึงไม่มีเหตุผลใดที่แขนขาจะมาชกต่อยแย่งชิงกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องคิดอยู่เสมอว่า พี่น้องคลานตามกันมา จึงเหมือนเป็นร่างเดียวกัน เหมือนเนื้อติดกับกระดูกที่แยกกันได้ยาก หากเข้าใจเหตุผล เวลามีเรื่องเข้าใจผิดจนทะเลาะกัน ก็จะต้องอดทน มีขันติธรรมหยุดทะเลาะกัน กับเงินทองก็จะเห็นไม่สำคัญ อาจารย์เซ็นฝาเจียง ได้เขียนกลอนไว้บทหนึ่งว่า "ร่วมต้นแตกกิ่งต่างเจริญ วาจาอย่าล่วงเกินทำร้ายน้ำใจ พบครั้งหนึ่งก็แก่ลงทุกครั้งไป
มีโอกาสใดจะได้เป็นพี่น้องกัน พี่น้องร่วมชายคาอดทนไว้ อย่าเพราะไร้สาระทะเลาะกัน ลูกที่เกิดมาก็พี่น้องกัน สมานฉันท์เป็นตัวอย่างลูกหลานดู"   โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝานว่า  "พ่อรักลูก พี่รักน้อง เป็นส่วนของพ่อแม่ อย่าไปตำหนิลูก และน้องว่าต้องคล้อยตาม ถ้าอย่างนั้นผู้เป็นลูกหรือเป็นน้อง ที่จริงควรรักพ่อและพี่ของตน ก็ไม่ควรไปตำหนิพ่อหรือพี่ที่ไม่เมตตารักตน เพียงแต่ละฝ่ายต้องทำส่วนของตนให้ดีที่สุด ถ้าอย่างนั้นนิสัยที่ชอบกล่าวหาเขาก็จะไม่มีเอง แต่ต้องเคร่งครัดต่อคนในบ้านหรือบ่าวในบ้าน ที่ถ่ายทอดคำพูด เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด คำพูดของลูกเมียมักจะมีใจเห็นด้วย ถึงแม้จะฟังก็เหมือนไม่ฟัง เช่นนี้แล้วคำพูดที่เห็นด้วยระหว่างพ่อลูกพี่น้องก็จะไม่มี ถึงแม้จะมี ก็ไม่เท่าให้เป็นเรื่องได้ !"  ท่านหวังหยางหมิงเคยพูดว่า "กษัตริย์ซุ่นสมัยโบราณ ที่สามารถอบรมเรียกช้างมาช่วยไถนา เคล็บลับก็คือ ไม่มองจุดด้อยของช้าง เพราะฉะนั้น ระหว่างสายเลือด ควรพูดโดยมีน้ำใจเยื่อใย ไม่ควรใช้เหตุผลมาพูด ถ้าไม่ยึดเหตุผลก็จะทำร้ายน้ำใจ ถ้าเน้นการทำร้ายน้ำใจ ก็หาใช่เหตุผลไม่ !    ท่านเฉินจื่อในสมันซ่ง มีคนถามเขาว่า "ฉันมีเรื่องเรียนพี่ชาย ฉันก็ได้ใช้เหตุผลของน้องจนถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับความยินดีจากพี่ชาย ควรมีใจเคารพนับถือ โดยเฉพาะต้องมีความจริงใจถึงจะใช้ได้ ไม่ใช่มีใจที่จะกดข่ม  แล้วไประบายทุกข์กับผู้อื่น"  คนนั้นก็ถามต่อไปว่า  "ถ้าอย่างนั้นพี่ชายควรปฏิบัติต่อน้องอย่างไรบ้าง"  เฉินจื่อตอบว่า "ผู้เป็นพี่ชาย ควรรักใคร่ต่อน้องชาย จึงจะเป็นหลักธรรมของพี่ชาย"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  ให้รักญาติมิตร

นิทาน  ๑ :  ในสมัยฮั่น มีคนชื่อเถียนจิน มีพี่น้อง 3 คน  พ่อแม่ก็ตายจากกันแล้ว พี่น้อง 3 คนก็ปรึกษากัน แบ่งมรดก 3 ส่วนเท่า ๆ กัน แต่ละคนได้หนึ่งส่วน แม้แต่ต้นไม้จื่อที่อยู่หน้าบ้านก็จะผ่าเป็น 3 ส่วน พูดแล้วก็แปลก ภายหลังที่พี่น้องตกลงกันแล้ว ต้นไม้ต้นนี้ก็เหี่ยวเฉาลง เถียนจินเห็นเข้ารู้สึกตกใจกลัว จึงพูดกับน้องทั้งสองว่า "แม้แต่ต้นไม้พอได้ยินว่าจะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน เพราะมันก็ตรอมใจเหี่ยวเฉา หรือว่าเรา 3 คนยังสู้ต้นไม้ไม่ได้"  เถียนจินพูดแล้วพูดอีก อดไม่ได้จึงร้องไห้ขึ้นมา ด้วยเหตุนี้พี่น้อง 3 คนจึงตกลงใจไม่แบ่งต้นไม้จื่อแล้ว พูดแล้วก็แปลก ต้นไม้นี้พอได้ยินว่าพี่น้องเถียนจินจะไม่แยกมันแล้ว ก็ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว ด้วยเหตุนี้พี่น้องทั้งสามคนจึงเข้าใจไม่คิดแบ่งมรดก พี่น้องอยู่รวมกันอย่างมีความสุข คนละแวกบ้านยกย่องว่า "พี่น้องเถียนจินเป็นบ้านกตัญญู"  ควรรู้ว่าพี่น้องเป็นหนึ่งในสัมพันธ์สวรรค์ นับพ่อลูกกับสามีภรรยา จัดไว้เป็นวินัยสาม เพราะฉะนั้น คนโบราณจึงยกพี่น้องเหมือนแขนขา หมายความว่าแขนขานั้นอยู่แยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันก็แยกสลาย แยกสลายจะโดดเดี่ยวอับเฉา  อับเฉาแล้วก็ใกล้จะดับสิ้นลง

นิทาน ๒  :  ซือหม่ากวง เป็นมหาอำมาตย์สมัยซ่ง มีพี่ชายชื่อซือหม่าคัง อายุแปดสิบปี  ซือหม่ากวงปฏิบัติต่อพี่ชายเหมือนปฏิบัติต่อบิดา และก็จะดุแลพี่ชายเหมือนเด็กทารก ทุกครั้งที่รับประทานอาหาร พอทานไปได้สักครู่ ซือหม่ากวงก็จะถามว่า "พี่ชาย ! พี่ต้องทานให้อิ่มนะ ไม่งั้นเดี๋ยวก็จะหิวนะ  !"  ถ้าอากาศเริ่มเย็น เขาก็จะลูบหลังพี่ชายพูดว่า "พี่ชาย ใส่เสื้อผ้าหนาพอไหม  !  ระวังหน่อยนะอากาศหนาวแล้วนะ ! "

นิทาน ๓  :  โจวเหวินซ้ง มีนิสัยรักญาติมิตร พี่ชายเขาชอบดื่มสุรา และก้อาศัยอยู่กับโจวเหวินซ้งด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่ชายดื่มสุราจนมึนเมา แล้วก็จะไปทุบตีโจวเหวินซ้ง บ้านเคียงข้างได้ยิน พวกเขารู้สึกไม่พอใจถึงความไม่ชอบธรรมของพี่ชาย จึงด่าว่าพี่ชายของโจวเหวินซ้งว่า "น้องของคุณดีกับคุณเช่นนี้ คุณกินของเขา ดื่มของเขา อยู่กับเขา พอดื่มสุราเมาแล้วยังจะตีเขาอีก คุณนี่เป็นพี่ชายอะไร มีสำนึกจิตอันดีงามหรือไม่ ! " แต่ทว่าโจวเหวินซ้งกลับไม่พอใจคนข้างบ้าน รู้สึกโกรธมากจึงพูดกับคนข้างบ้านว่า "พี่ชายไม่ได้ตีฉันเลย ! ทำไมพวกท่านจึงต้องมากีดกันความรักระหว่างพี่น้องของเราด้วยละ"

นิทาน ๔  :  ในสมัยซ่ง มีพี่น้อง 2 คน  เจิ้นเต๋อกุ่ย  กับ  เจิ้นเต๋อจาง ทั้งสองรักใคร่กันมาก ทั้งสองเรียนหนังสือด้วยกัน กลางคืนก็นอนด้วยกัน เต๋อจางมีนิสัยตรงแข็ง  เป็นคนไม่ค่อยประนีประนอม มักทำให้คนอื่นแค้น พวกแค้นก็วางแผนทำลายเต๋อจาง ดังนั้นจึงถูกทางอำเภอตัดสินลงโทษประหาร ทางอำเภอก็จะส่งเจ้าหน้าที่มาจับตัวที่บ้านเต๋อจาง  เต๋อกุ่ยรู้ว่าน้องชายถูกใส่ร้าย จึงรู้สึกทุกข์เวทนา จึงแกล้งพูดกับน้องชายว่า "ที่จริงพวกเขาต้องการใส่ร้ายฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับน้อง ฉันจะไปที่อำเภอไปรับโทษเอง พูดแล้วก็ไปที่อำเภอ  เต๋อจางรีบตามไป  พี่น้องพบกันระหว่างทางกอดกันร้องไห้ ต่างแย่งกันไปรับโทษประหาร เต๋อกุ่ยก็เตรียมแผนถ่วงน้องชายไว้ หลบไปที่อำเภอตอนมืดค่ำ วันรุ่งขึ้น ไม่เห็นพี่ชายจึงตามไป ไปถึงที่ประหาร เต๋อกุ่ยตายอยู่ในคุกแล้ว เต๋อจางเห็นศรีษะพี่ชาย เสียใจร้องไห้จนเป็นลมไปถึง 4 ครั้ง เต๋อจางจัดการเผาศพพี่ชายแล้ว ก็เก็บกระดูกพี่ชายกลับบ้านจัดการฝัง ทั้งยังเฝ้าสุสานอยู่หลายปี แต่ละครั้งที่เต๋อจางร้องไห้ และก็ไม่กินอะไร ลูกของเต๋อกุ่ยยังเล็กมาก เต๋อจางเลี้ยงลูกพี่ชายเหมือนลูกของตน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
               คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  ให้รักญาติมิตร

นิทาน ๕ :  ในสมัยเว่ยจิ้ง ที่เมืองไป่ยฉี มีคนชื่อ พู่หมิง ระหว่างพี่น้อง เพียงแย่งมรดกจึงมีคดีความมาหลายปี ต่างฝ่ายก็มีพยาน ในที่สุดคดีก็มาถึงศาลเมืองซิงเหอ ผู้ว่าราชการชูควน ผู้ว่าซูเรียกพู่หมิงสองคนพี่น้องขึ้นศาล แล้วก็ตักเตือนพวกเขาว่า "ในโลกนี้ที่หาได้ยากก็คือความเป็นพี่น้อง ที่หาได้ง่ายก็คือดินไร่นา ถ้าหากได้ที่ดินไร่นามาแล้วสูญเสียพี่น้อง พวกเธอใจจะรู้สึกอย่างไร"  ผู้ว่าพูดแล้วพูดอีก พูดจนน้ำตาไหล คนที่มาฟังที่จะเป็นพยานก็ถูกความจริงใจของผู้ว่าประทับใจจนน้ำตาร่วง พี่น้องพู่หมิง ๒ คน ก้มลงกราบยอมรับผิด จากนี้ไปทั้งสองจะผ่อนปรนเคารพกัน  ไม่แย่งชิงมรดกกันอีกแล้ว

นิทาน ๖ :  คุณอูเถี่ยเจียว กล่าวว่า  "ที่เหวยอิน มีข้าราชการคนหนึ่ง เขามีลูกชายสองคน ทั้งสองคนไม่ค่อยลงรอยกันตั้งแต่เล็กแล้ว แต่ละปีพบหน้ากันน้อยมาก ต่อมาพี่ชายป่วยหนักจึงเรียกคนไปตามน้องชายมาที่ข้างเตียง เขาจับมือน้องชายแล้วพูดว่า "ฉันแต่งงานอายุ ๑๙ ปี  ตอนเป็นหนุ่มก็ไม่ได้ความรักจากลูกเมีย พออายุ ๓๘ พ่อแม่ก็จากไป เพราะฉะนั้นในบั้นปลายก็ไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ ตลอดชีวิตอยู่ด้วยนานที่สุดคือเราพี่น้อง ๒ คน แต่เรา ๒ คน ก็เข้ากันไม่ค่อยได้ วันนี้จะเริ่มรู้สึกสำนึกผิดและเข้าใจ อย่างไรก็ตาม ชีวิตนี้ของฉันก็ใกล้จบลงแล้ว คนที่ได้ฟังก็ควรมีความรู้สึกประทับใจบ้าง"

อธิบายเพิ่ม : ปัจจุบันการแย่งชิงมรดก จนไม่นึกถึงความสัมพันธ์ของแขนขามีมากมายนัก ! พี่น้องคลานตามกันมายังเป็นแบบนี้ นับประสาอะไรกับน้องต่างแม่ยิ่งรุนแรงขึ้น ถ้าพี่น้องร่วมท้องยังแย่งมรดกกัน พี่น้องที่ห่างกันออกไปยิ่งมิร้ายแรงยิ่งขึ้นหรอกหรือ จะมีใครเหมือนจางสือซ่วนบ้างไหม คนโบราณว่า "เย็นชากับพี่น้องก็เหมือนเย็นชากับบรรพชนนะ ! " ถ้าหากต้นไม้มีการสูญเสียของลำต้นและรากแล้ว กิ่งใบก็สูญเสียไปด้วย นี่คือหลักธรรมของการลืมต้นสายธาร พวกเราควรตรึกตรองให้มาก !

สรุป : ใครก็ตามถ้าเคารพนับถือ หรือข่มเหงรังแกพี่น้องตนเอง เมื่อเทียบกับการเคารพนับถือหรือข่มเหงรังแกคนแล้ว จะมีบุญหรือเคราะห์ตามสนองเพิ่มมากถึงสิบเท่าเชียวนะ ! ถ้าหากเคารพนับถือพ่อแม่ตนเอง หรือขัดขืนข่มเหงพ่อแม่ตนเอง สิ่งที่ได้รับผลตอบสนองจะเพิ่มเป็นร้อยเท่า หลัดธรรมเช่นนี้พวกเราต้องจดจำให้ดี ค่อยตักเตือนระมัดระวังตนเอง !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                 คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  ให้ตนตรงอบรมผู้อื่น

        อธิบาย  :  ต้องให้ตนเองซื่อตรงก่อน แล้วค่อยไปตักเตือนอบรมผู้อื่น ร่วมกันมีใจที่ดีงาม ร่วมกันไปทำเรื่องที่ดีงาม ที่กล่าวกันว่า "จะทำให้คนอื่นซื่อตรง ต้องให้ตนเองซื่อตรงก่อน" "กายตนตรงไม่สั่งก็ทำ" หากคนสามารถทำให้ตนตรงได้แล้ว ไม่มีไม่สามารถทำให้คนอื่นตรงหรอก !เพราะว่าเมื่อคน ๆ หนึ่งสามารถทำให้ตนประพฤติตรงได้ ทุกคนก็รู้จักเคารพเขา แล้วหากคนรู้จักหลักธรรมของการเคารพนับถือแล้ว ก็หมายความว่าในใจเขาก็สามารถรับการอบรมได้นะ !  ในใจคนที่สามารถอบรมได้ ใช้ความตั้งใจจริง ค่อย ๆ ไปประทับใจเขา เพียงแค่ผลักก็สามารถเคลื่อนหมุน เพียงแค่หนึ่งขยับ ก็สามารถเผยปรากฏ ไม่มีหรอกที่เขาจะไม่คล้อยตาม แต่ถ้าเอาความซื่อตรงของเขาไปกระแทกเปิดเผยความไม่ซื่อตรงของผู้อื่น จะกลายเป็นการตำหนิที่หยาบกระด้าง เขาก็ไม่ยินยอมที่จะรับการสอน กับจะโต้ตอบรุนแรงกับเธอมากขึ้น การหักหาญแย่งชิงความถูกผิด จะกลับกลายเป็นการทำลายล้างใจที่ดีงามไป ! ซึ่งเป็นนิสัยป่วยของคนรักดีในปัจจุบัน แต่ละครั้งที่อบรมเขามักออกตัวรุนแรงไป และก็ยึดติดว่าตนถูกไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่รู้จักใช้วิธีที่ดีที่ง่าย ๆ อย่างนี้ ต้องหักห้ามนิสัยป่วยอย่างขมขื่นทรมาน ! เพราะฉะนั้น การตนตรงก็ต้องใจตรงก่อน เพราะใจเป็นนายของกาย และเป็นรากฐานการกระทำทั้งหมด ถ้าใจไม่บรรลุรู้ ใจที่คิดเหลวไหล และอารมณ์ก็จะเกิดขึ้น เมื่อใจคิดเหลวไหลและอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วหลักธรรมที่เห็นก็ไม่เข้าใจชัดแจ้งได้ ความถูกผิดก็จะสับสนฟั่นเฟือนไป เพราะฉะนั้นการักษาใจ ต้องให้ได้บรรลุรู้ เมื่อบรรลุรู้แล้ว ความคิดเหลวไหลอารมณ์ตรึกคิดก็จะละลายเป็นจริงใจไป ! นี่คือวิถีทางของใจตรง !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  ให้ตนตรงอบรมผู้อื่น

นิทาน  ๑  :  ในสมัยซ่ง ซือหม่ากวง เป็นคนซื่อตรงและจริงใจต่อคน ตอนที่เขาอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ประเพณีนิสัยของชาวลั่วหยาง ถูกเขาอบรมจนเปลี่ยนแปลงไปไม่มีใครที่ไม่เคารพชื่นชมเขา ชาวเมืองรู้สึกละอายที่พูดถึงเรื่องเงินทองผลประโยชน์ ทุก ๆ คนมีทัศนคติของความซื่อสัตย์สุจริต มความละอายที่ีจะทำชั่ว และรู้จักระวังตักเตือนตน ไม่กล้าทำความชั่ว เมื่อคนหนุ่มคิดจะทำงานสักชิ้นหนึ่ง ก้จะช่วยกันตักเตือนซึ่งกันและกัน จนพูดกันติดปากว่า "ยังไง ๆ ก็อย่าทำเรื่องชั่วนะ กลัวว่าถ้าซือหม่ากวงรู้เรื่องเข้าจะแย่ ! "

นิทาน ๒   :  ในสมัยฮั่น มีคนชื่อ เฉินสือ เป็นคนตรงมีอัธยาศัยดีกับทุกคน ทำงานก็ซื่อตรง ในหมู่บ้านถ้าเกิดเรื่องทะเลาะกันก้จะเชิญเฉินสือมาช่วยตัดสิน ที่สุดว่าใครถูกใครผิด เฉินสือก็จะตัดสินได้ถูกต้อง ทั้งยังอธิบายเหตุผลของการทำผิดจนทำให้ทุกคนจำนน ไม่มีคำโต้แย้ง พอนาน ๆ ไปก็มีคำคมว่า "ให้ทางอำเภอลงโทษตีก้นดีกว่า อย่างเสีย ก็อย่าให้เฉินสือขึ้นบัญชีพูดจุดเสียเลย ! "  มีอยู่คืนหนึ่ง ขโมยเข้าบ้านซ่อนตัวอยู่บนขื่อ เฉินสือรู้แล้วก็ลุกขึ้นจุดเทียน เรียกลูกหลานในบ้านมาอบรม เฉินสือพูดว่า "เป็นคนต้องพากเพียร คนที่ไม่ดีก็อย่ากล่าวหาว่าเขาไม่ดี เป็นเพราะเขทำเรื่องเลวบ่อย ๆ จนเคยตัวเป็นนิสัย ถ้าแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็จะเหมือนเจ้าขโมยบนขื่น ! " เจ้าขโมยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ จึงกระโดดลงมาจากขื่อ ยอมรับโทษจากเฉินสือ เฉินสือจึงพูดจาดียิ้มแย้มกับเขา แล้วอบรมตักเตือนเขาให้เขาแก้ไขให้ดี  อย่าได้ทำเช่นนี้อีก ทั้งยังให้ผ้าต่วนกับเขา 2 ชิ้น แล้วส่งเสริมให้เขาแก้ไขความผิด รู้เ็จ็บที่ทำผิด การกระทำของเฉินสือมีอิธิพลต่อคนทั้งอำเภอ จากนั้นมาก็ไม่มีขโมยอีกเลย

นิทาน ๓  :  ในสมัยอู๋ไต้ ฝังอิ่งป๋อ เป็นผู้ว่าราชการเมืองชิงเหอ มารดาของอิ่งป๋อเป็นคนมีความรู้ ทั้งเป็นคนเห็นอกเห็นใจรู้หลักธรรม ที่เมืองเป่ยคิว มีแม่บ้านคนหนึ่ง ยกตัวอย่างที่ลูกไม่กตัญญู มีคดีมาถึงผู้ว่าราชการ มารดาของอิ่งป๋อพูดกับอิ่งป๋อว่า "ประชาชนยังไม่เข้าใจหลักธรรม ไม่รู้จริยธรรม อย่าลงโทษพวกเขาให้เกินเลย"  แล้วมารดาของอิ่งป๋อก็พูดกับแม่บ้านที่บอกว่าลูกไม่กตัญญู  ให้พาลุกมาที่จวนผู้ว่า ให้นางมาทานข้าวด้วยกัน  เวลาผ่านไป 10 วัน ลูกที่ไม่กตัญญูก็พูดกับแม่ว่า "คุณแม่ ! ฉันผิดไปแล้ว ฉันจะแก้ไขกตัญญูต่อท่านแน่นอน เรากลับบ้านกันเถอะ ! " มารดาของอิ่งป๋อก็พูดว่า "เด็กคนนี้ภายนอกดูเหมือนละอายใจ แต่ภายในยังไม่รู้สึดละอายใจจริง ๆ ! " ดังนั้นจึงให้สองคนแม่ลูกอยู่ต่อไปอีก 20 วัน ตอนนี้ลูกของนางก็ลงไปคุกเข่าก้มกราบสำนึกผิด เขาโขลกจนหน้าผากเลือดไหล แม่ของเด็กก็พลอยน้ำตาไหล จึงยอมขอท่านผู้ว่าราชการอนุญาตให้สองคนแม่ลูกกลับบ้าน ต่อมาลูกของนางเป่ยคิว ก็กลายเป็นลูกกตัญญูที่ขึ้นชื่อ     

Tags: