collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144301 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก ชั่วบาป  : รีดนาทาเร้น

        อธิบาย  : 
การรีดนาทาเร้นก็เพื่อประโยชน์มหาศาล จึงต้องตั้งใจใช้วิธีการถึงที่สุด !  ปัจจุบันที่พูดถึงนักเลงคุมเรือ หรือ อันธพาลที่คุมคิวรถ เหล่านี้ถือว่าเป็นพวกรีดนาทาเร้นทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ชี้บ่งเฉพาะที่เป็นเอกชนจึงจะเรียกว่ารีดนาทาเร้น แม้แต่ชนชั้นคอปกขาวชนขั้นกลางก็ทำธุรกิจเช่นนี้ ที่เรียกว่าโจรใส่สูท ทำธุรกิจขูดรีดประชาชน โดยใช่ช่องโหว่ของกฏหมาย รวมทั้งพวกที่เรียกว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ด้วย ไม่ใช่เฉพาะพวกนักเลงหัวไม้

        นิทาน  : จงหงมีพระสวรรค์ทางวาจา การขีดเขียนก็เก่ง ทั้งยังคล่องตัวกับทางอำเภอ รู้จักที่นาและสำมะโนครัว ชี้ได้ถูกต้อง เขาสามารถทำให้นาของชาวบ้านจำนวนมาก ฉับพลันกลายเป็นผู้ไร้ที่ทำกิน  ดังนั้นเขาจึงมีที่ดินจำนวนมาก ประชาชนที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขารู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา ถ้าหากพูดออกมาในตอนเช้า ตอนเย็นก็จะมีเจ้าหน้าที่มาหาถึงบ้านเพื่อเก็บส่วยนา จางหงมีความสามารถที่จะขจัดประชาชน ถ้าหากมีข้าราชการผู้ใหญ่มาเยือนก็มักจะเรียกเขามาถามไถ่เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน ข้าราชการผู้ใหญ่ที่มาเยือนก็จะจับมือจับไม้กับเขาได้ สุดท้ายก็สามารถฟังเขาบงการได้ แต่ละวันเขาจะสอนข้าราชการผู้ใหญ่ว่า จะทำอย่างไรจึงจะสามารถรีดเงินจากประชาชน พอรีดเงินมาได้ ข้าราชการก็แบ่งเงินเป็น 2 ก้อน ตัวจางหงจะเอาไปถึง 70 %  ในตอนนั้น ผู้ตรวจการท่านถังกง เป็นผู้มีสะอาดรู้เรื่องราวนี้ดี จึงส่งคนมีฝีมือบู๊ที่แข็งแรงคนหนึ่งมาจับเขา ผูกมัดตัวส่งมาสอบสวนที่อำเภอ ขณะที่แก้มัดอยู่นั้น นายจางหงใช้ทองจำนวนมากติดสินบน แต่ข้าราชการฝ่ายบู๊ไม่ยอมรับสินบน เขาจึงวางแผนหลบหนี ทางการติดตามไม่ทันค้นหาจนทั่วก็ไม่พบไร้ร่องรอย ทันใดนั้นท้องฟ้าทางทิศตะวันออกก็ผ่าเปรี้ยงขึ้นอย่างน่าตกใจ แล้วจางหงก็ถูกสายฟ้าผ่าตาย ท้องไส้แตกทะลักอวัยวะภายในไหลออกมากอง ทุกคนเห็นแล้วก้ไม่มีใครอยากเข้าไปเก็บศพ แม้กระทั่งหมาป่า หมูป่าก็ยังไม่เข้าใกล้ เพราะกลิ่นเหม็นมาก ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก ชั่วบาป  :  บังคับคนดีให้ชั่ว

        อธิบาย  :
  ใช้อิทธิพลบังคับลูกชาวบ้านที่ดี เพื่อให้พวกเขาเป็นบ่าวไพร่นางบำเรอเป็นทาส ชาติปัจจุบันเป็นบ่าวไพร่ก็เพราะอดีตชาติก่อกรรมชั่วล้วนเป็นคนทำบาปเกินจำนวนหนึ่งพันแปดร้อยครั้งมาก่อน แต่ก็มีที่ไม่ใช่บ่าวไพร่ เดิมทีเป็นลูกชาวบ้านดี ๆ แต่ถูกพวกมีอิทธิพลบีบบังคับทำให้พวกเขากลายเป็นบ่าวไพร่ นี่แหละคือบังคับคนดีให้ชั่ว !  ตลอดจนเอาหญิงสาวไปขายตัว ถือเป็นสิบชั่วโทษมหันต์ อภัยไม่ได้เลย

        นิทาน  :  ที่เมืองเจียงโจว นายโจวเสียมกับซิซุ้น เป็นเพื่อนกัน ซิซุ้นจนมากมีบุตรชายคนเดียว เมื่อเขาตายไปจึงยกลูกชายให้โจวเสียมดูแลโจวเสียมก้เอาลุกชายของซิซุ้นไปเป็นบ่าวไพร่มาใช้งาน ถ้าไม่พอใจเล็กน้อยก็จะตบตีจนบาดเจ็บ  มีวันหนึง โจวเสียมได้พบซิซุ้นที่ถนน โจวเสียมตกใจถามว่า  "เจ้าไม่ใช่ตายไปแล้วหรือ ทำไมจึงมาโลกมนุษย์ล่ะ ! "  ซิซุ้นตอบว่า "ข้ามาดูแลลูกชายของข้า แล้วมาเร่งบังคับเจ้าด้วย"  โจวเสียมได้ยินแล้วตกใจจนเหงื่อกาฬไหลเหมือนฝนตก ภายหลังกลับมาถึงบ้านก็ตายทันที

        อธิบาย  : มักเคยเห็นบ้านเศรษฐีจะมีญาติที่ยากจนไม่มีที่พึ่งมาขออาศัย พอพวกเขาเข้ามาอยู่ก็จะเรียกพวกเขาใช้เหมือนบ่าวไพร่ ทั้งยังตะคอกดุด่า สิ่งนี้ก็เป็นข้อห้ามของท่านไท่ชั่งด้วย !  อย่างไรก็ตามในระยะแรกเริ่ม กว่าครึ่งก็มักมีจิตใจอาทรช่วยเหลือญาติพี่น้อง ตอนหลังก็มาทำเรื่องรังแกบังคับญาติ การทำเช่นนี้ไม่เพียงไม่มีบุญ ยังเป็นการบั่นทอนบุญ อย่างนี้จะไม่น่าเสียใจหรอกหรือ ?.

        นิทาน  : ที่มณฑลเจ้อเจียงมีกองคลัง ทุกปีจะรับสมัครพนักงานมาดูแลโดยรับจากบ้านที่มีอันจะกินในเมืองหางโจว พนักงานกูแลการเบิกจ่ายหรือเก็บเข้า ก็มีคนหนึ่งที่ถูกเลือกให้มาทำหน้าที่ดูแลคลัง เป็นเพราะได้เบียดบังเงินของทางการไปมาก ไม่สามารถชดใช้คืน ผู้ว่าการหวังจึงไปจับเอาลูกเมียมาที่ทำการ เขาก็ยังไม่มีเงินมาใช้คืน ผู้ว่าหวังจึงเรียกคนนำเอาเรือลำเล็กแล้วให้ลูกเมียของเขาลงไปในเรือที่ทะเลสาบซีหู เพื่อให้มาคอยต้อนรับผู้คนที่มาเที่ยวทะเลสาบซีหู เงินเดือนที่ได้รับก็เก็บเข้าทางการ ต่อมาภายหลังลูกหลานของผู้ว่าหวังตกต่ำลง บ้างก็ไปเป็นโสเภณี

         อธิบาย  : มีพ่อแม่บางคนถึงกับไม่มีความกลัวบาป ไม่ละอายใจ ทำเรื่องไม่สมควรยอมขายลูกให้ไปเป็นบ่าวไพร่ ถ้าเป็นเราจะทนได้ไหมถ้าคนที่ดีมีเงินทองอยากทำกุศลก็ควรรีบเข้าช่วยเหลือ เป็นการปกป้องลูกของชาวบ้าน แบบนี้จะได้บุญกุศลมากนะ !  ถ้าหากไม่สามารถทำได้ก็อย่าไปทำเรื่องอัปยศพวกเขา ถึงแม้จะไม่ถูกขายไปให้คนอื่น แต่ก็ไม่เสียทีเราได้จริงใจแล้ว  ผู้ดีหรือไพรเป็นเรื่องไม่แน่นอน เพียงเพราะลูกคนจนถูกขายให้กับคนรวย จึงได้ชื่อว่าไพร่ ที่จริงก็ยังเป็นคนดีอยู่ ! ปัจจุบันคนมักรักของ ๆ ตัว ดุจไข่มุกในฝ่ามือ ให้เขากินดีใส่ดี แต่กับบ่าวไพร่เพียงเรื่องไม่พอใจเล็ก ๆ ก็ถึงกับทุบตี  ให้เขากินเลวใส่หยาบ ให้หิวหนาว  พวกเขาก็เป็นลูกมีพ่อแม่เหมือนกัน ทำไมจึงไม่ยุติธรรมนักเล่า !  คงไม่ได้คิดกระมังว่า คนรวยก็กลายเป็นคนจนได้ คนจนก็เปลี่ยนเป็นคนรวยได้ !  แม้แต่ธรรมแห่งฟ้า ก็ยังรู้จักใครบ้างที่สามารถรับประกันว่าคนดีไม่เปลี่ยนเป็นคนเลว และคนเลวจะไม่เปลี่ยนเป็นคนดีหรอกหรือ ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก ชั่วบาป  :  โป้ปดคนโง่

อธิบาย   :
ใช้แผนการร้ายหลอกลวงคนโง่เขลาให้เข้ามาสู่กับดัก เรียกว่าโป้ปด ยิ่งกระทำกับคนโง่แล้วยิ่งน่าสงสาร โดยที่คนโง่ก็ไม่สามารถแก้แค้นแต่ในความลีลับกลับมีคนช่วยแก้แค้นแทน ทางด้านคนโง่แล้วกลับไม่ได้รับอันตรายอะไร แต่ผู้กระทำเสียอีกจะได้รับความเสียหายเอง !  ในโอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝานกล่าวว่า  "ยากจน ร่ำรวยอำนาจไม่แน่นอน" ไร่นาสาโถบ้านช่องเจ้าของไม่มีกำหนด มีเงินก็ซื้อไม่มีเงินก็ขาย คนที่ซื้อที่ดินบ้านช่องของคนอื่น ควรที่จะรู้หลักธรรมอันนี้ว่า คนที่ขายทรัพย์สินอาจจะไม่มีกิน หรือเป็นหนี้สิน หรือเจ็บป่วยล้มตาย หรือแต่งงานแล้วฟ้องร้องแย่งชิงทรัพย์ เพราะว่ามีค่าใช้จ่ายร้อยแปด เพราะฉะนั้นจึงขายทรัพย์สินร้อยแปด คนที่ซื้อทรัพย์สินของเขา ควรที่จะอะลุ่มอะล่วยให้เขาได้มาก เพื่อให้ทรัพย์สินที่เขาขายมีราคามีค่างวด ถึงแม้พอเปลี่ยนมือเงินที่ได้ก็หมดไป แต่ก็พอที่เขาจะจัดการเรื่องร้ายได้ ! หหากคนที่รวยแต่ไม่มีเมตตา แต่ก็ชอบใช้แผนร้ายหลอกลวงคนทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาเดือดร้อนต้องการใช้เงิน ก็แสดงท่าทางเหมือนไม่คิดจะซื้อ จึงต่อรองราคาต่ำจนไร้ค่า หลังจากถ่ายโอนกันแล้วก็พยายามผ่อนให้โดยไม่ยอมจ่ายเสียครั้งเดียว หรือซื้อเขาในราคาสูง แต่กำหนดระยะเวลาผ่อนให้ที่เล็กน้อย คนที่ขายทรัพย์สินได้เงินย่อยก็ใช้จนหมด จนเขาไม่สามารถทำเรื่องราวให้จบสิ้นได้ เพราะการเทียวไปเทียวมาก็มีค่าใช้จ่ายจนเหลือไม่ถึงครึ่ง  ส่วนคนรวยที่ซื้อก็ภูมิอกภูมิใจว่า ตนเองได้ใช้แผนการณ์ดี หารู้ไม่ว่า ธรรมแห่งฟ้าตอบคืนดีนัก บางทีก็ตอบสนองกับตัวเขาเอง มีบ้างก็มีเคราะห์ภัยกับลูกหลานคนส่วนใหญ่หลง ไม่รู้ว่าเรื่องเกิดขึ้นได้อย่างไร ?.   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก ชั่วบาป  :  โลภละโมบไม่เบื่อ

อธิบาย  :
โลภไม่เบื่อโดยไม่รู้ตัว ละโมบในการกิน อุปมาเหมือนคนใจโลภ ก็เหมือนปากกับของกิน ซึ่งไม่มีหยุดนิ่ง ไม่มีที่สุด ! ท่านเหลาจื่อว่า "โทษใดก็ไม่มีมากกว่าความอยาก เคราะห์ใดก็ไม่มีมากกว่าไม่รู้จักพอ" คนที่รู้จักพอถึงแม้จะจบต่ำต้อยก็สบาย คนที่ไม่รู้จักพอ แม้จะร่ำรวยก็วิตกทุกข์ ความโลภของชาวโลกที่แสวงหา รอจนกว่าหมดเวาระแล้ว ที่สุดก็มลายหมดสิ้น !  เหตุผลอันนี้ไม่ต้องพูดกันอีก แต่ก็จบลงที่เคราะห์ภัยและโทษบาปยิ่งสรุปได้ยาก

นิทาน  : ในสมัยถัง รัชสมัยไท่จงฮ่องเต้ นายหยวนไต้ รองราชเลขา ขณะที่ได้ตำแหน่งเสนาบดี เขาปล่อยปละตามใจลูกชายให้รีดภาษีคนอื่น ได้รับสินบน พวกขุนนางทางเมืองหลวง และเมืองอื่นก็กระทบกระเทือน เริ่มแรกก็ย้ายพวกจงรักภักดี พวกซื่อสัตย์ ต่อไปก็โลภหากินกับกฏหมายเถื่อนในบ้านของหยวนไต้ เสพสุขสุรุ่ยสุร่าย แม้แต่ฮ่องเต้ยังเทียบไม่ได้เลย ฮ่องเต้ก็มักจะตักเตือนให้เขาระมัดระวัง ประหยัดบ้าง แต่เขาไม่ยอมเปลี่ยน ! ทำตัวฟุ้งเฟ้อเหมือนเดิม ต่อมาฮ่องเต้ทรงพิโรธ จึงมีคำสั่งจับหยวนไต้ และสั่งประหารชีวิตตลอดจนลูกเมียของเขาด้วย เขาถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด นับจำนวนมากมายก่ายกอง ฮ่องเต้แจกจ่ายให้แก่ข้าราชการต่าง ๆ กระทั่งหัวเมืองต่าง ๆ ก็ได้รับ แม้กระทั่งพริกไทย มีมากถึง 8 ร้อยตัน และอื่น ๆ นับไม่หมด

คติพจน์  : นับแต่โบราณมา คนที่เป็นเสนาบดี ไม่มีหรอกที่ตายเพราะหิวโหย แต่กลับมาตายที่ทรัพย์ศฤคาร ช่างน่าหัวเราะเสียเหลือเกิน ! 

นิทาน  : สมัยหมิง นายลี่หมิง ชาวเมืองเจียชิง มณฑลเจ้อเจียง ได้กาล้ำค่าใบหนึ่ง  เศรษฐีเฉาหน่วยใช้เงินถึง 20 เจียะ ของข้าวสารไปแลกเปลี่ยนกาวิเศษ แต่ลี่หมิงไม่รับปาก และก็เอาไปให้อู๋หนีฮุยดู  อู๋หนี่ฮุยให้ข้าวสารถึง 100 เจียะ ลี่หมิงก็ตอบตกลงแลกเปลี่ยน  แต่นายหลิวจู๋ก็เสนอลี่หมิงว่า "ฉันมีแผนการอันหนึ่ง สามารถทำให้เธอได้ประโยชน์มหาศาล ถ้าหากเธอเอากาวิเศษนี้ไปบรรณาการแก่หัวหน้าขันทีจางให้เขาเห็นพ้อง นำเอาตราสารเกลือของเมืองเจียชิงให้เธอไปควบคุมการค้าขาย เธอก็จะได้ประโยชน์นับร้อยเท่า"  นายลี่หมิงตอบรับ  นายหลิวจู๋ก็ช่วยติดต่อผู้เกี่ยวข้องทำเรื่องจนสำเร็จ ได้เงินมากถึงสามพันกว่าตำลึง หลิวจู๋แบ่งเป็น 3 ส่วน แบ่งให้ลี่หมิง 1 ส่วน ลี่หมิงได้ตราสารเกลือ นั่งเรือกลับบ้าน ขณะจะข้ามแม่น้ำก็เรือเกิดล่มตราสารเกลือเปปียกน้ำเสียหาย ขณะนั้นผู้ว่าเมืองเจียชิงนายหยางจี่จง ส่งคนออกมาติดตามจับสารตราเกลือ ในที่สุดลี่หมิงก็ถูกจับเข้าคุกและตายในคุก ส่วนหลิงจู๋ต้องขายทรัพย์สินทั้งหมดมาชดใช้ให้กับตราสารเกลือ โบราณว่า "ชาวโลกอยู่ไม่ถึงร้อยปี ทำแผนบาปพันปี" ทำไมคนจึงโลภไม่เบื่อเช่นนี้หนา !  หรือคิดวางแผนให้กับลูกหลานหารู้ไม่ว่า "ถ้าลูกหลานสู้ฉันไม่ได้ เอาเงินไปทำไม ?. ถ้าลูกหลานเก่งกว่าฉัน ก็จะเอาเงินไปทำไม ?." ท่านชูกวางในสมัยฮั่นเคยพูดว่า "ข้าเป็นเฒ่าฟั่นเฟือนหรือ ?. ไม่วางแผนให้ลูกหลานหรอกหรือ ?.  ข้ามีที่นาไร่สวน เพียงลูกหลานต้องวิริยะไถหว่าน ก็เพียงพอที่จะกินอยู่ได้ หากเพิ่มให้ลูกหลานมากเกินเลย จะเป็นการสอนลูกหลานให้ขี้เกียจ ผู้ปราดเปรื่องมีทรัพย์สินมาก ก็จะทำลายอุดมการณ์ได้ ผู้โง่เขลาที่มีทรัพย์สินมากก็จะยิ่งเพิ่มโทษบาป คนที่ร่ำรวยมักถูกชาวบ้านกล่าวโทษ ถึงแม้ข้าจะไม่มีความรู้สอนลูก ก็ไม่หวังเพิ่มพูนโทษบาปแก่ลูกหลาน และเป็นเป้ากล่าวโทษของชาวบ้าน !" คำพูดดังกล่าวจะเห็นว่า ท่านซือหม่าอุน มีโอวาทสอนครอบครัวให้สั่งสมบุญกุศลมากกว่าสั่งสมเงินทอง พวกเราทำไมไม่อ่านให้ขึ้นใจและปฏิบัติตามเล่า ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก ชั่วบาป  :  แช่งชักว่าตนถูก

อธิบาย   : 
กล่าวต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สาบานหรือแช่งชักโดยอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า เหตุผลของเขาถูกต้อง การสามารถสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยไม่จำเป็นต้องทำใบฏีกาหรือเขียนเป็นหนังสือ เมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้งกัน แล้วก็ฟั่นเฟือนร้องเรียกเชิญพระเชิญเจ้า เหล่านี้ล้วนเป็นการกระทำแช่งชักทั้งนั้น !  ในบทสาบานก็พูดเอาไว้ว่า "ขณะที่คนกำลังสบถสาบานอยู่นั้น คนรอบข้างก็จะแช่งชักเขา แล้วผีชั่วร้ายก็จะถือโอกาสเข้ากระทำเสกเคราะห์ภัยทันที ถ้าหากไม่ศรัทธาตั้งใจสำนึกบาป อัญเชิญเทพเจ้าลงมาแก้ไขแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถขจัดเคราะห์ภัย ของการสาบานได้เลย" เพราะฉะนั้นจึงแช่งชักสาบานไปใยเล่า ?.

นิทาน   :  ในสมัยหมิง รัชสมัยปีแรกของฮ่องเต้หวั่นลี่ นายหวังเจ๋อ คนบ้านนอกเมืองซีฮัวกับชาวบ้านที่ชำระภาษี กำลังถกเถียงถึงจำนวนเงินภาษีที่ค้างชำระอยู่นั้น นายหวังเจอก็สบถสาบานต่อเจ้าศาลหลักเมืองว่า ตนเองเป็นฝ่ายถูก ในคืนนั้น ขณะนอนหลับอยู่ที่วัดหยางซ่านซื่อ ดึกดื่นทันใดก็ได้ยินเสียงตะโกนให้หลีกทาง จึงลุกขึ้นมาตรวจดู เห็นข้าราชการคนหนึ่งยืนได้แสงคบไฟ ศรีษะใส่หมวกสวมเสื้อสีแดง รอบข้างยังมีองครักษ์รายล้อมหลายนาย ข้าราชการคนนั้นก็ออกคำสั่งด้วยเสียงอันดัง ชายฉกรรจ์ 2 นาย ที่ถือดาบก็วิ่งไปที่นายหวังเจ๋อ ถึงตอนนี้ นายหวังเจ๋อรีบหยิบจานฝนหมึกขว้างไปที่ชายฉกรรจ์ แต่ถูกดาบในมือของชายฉกรรจ์แทงเข้าที่ปากและหน้าผาก มีโลหิตไหลออกมา ภิกษุในวัดต่างตกใจตื่นลุกขึ้นสอบถาม แต่ก็ไม่เห็นใครสักคนจึงรู้ว่าเมื่อครู่ที่นายหวังเจ๋อพบนั้น ก็เป็นเจ้าศาลหลักเมืองนั่นเอง !  วันรุ่งขึ้น นายหวังเจ๋อก็ใส่เสื้อนักโทษไปที่ศาลเจ้าหลักเมือง เพื่อสารภาพผิด ขอให้ศาลเจ้าหลักเมืองอภัยโทษ เมื่อมองดูรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าก็ช่างเหมือนกับบุคคลที่เห็นในฝันนั้น และในศาลเจ้ารูปองครักษ์ด้านขวาก็ถือดาบด้วย ปรากฏว่ายังมีหมึกสีดำเปื้อนเป็นรอยบนตัวให้เห็นเลย ! เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนรอยแผลที่ปากและที่หน้าผากนายหวังเจ๋อจึงหาย แต่รอยดาบยังคงอยู่ชัดเจน

อธิบาย   :  ต้องรู้จักเรื่องราวและหลักธรรม เดิมทีก็มีทั้งคดและตรง หากหลักธรรมเป็นตรง (ถูกต้อง) ในสังคมที่วิเคราะห์ก็ยากที่จะทำให้มันหายสาปสูญ พอนานวันเข้าก็จะเข้าใจได้เอง จะต้องไปถือสาคนให้ลำบากไปทำไม ?. ถ้าหากหลักธรรมคด (ผิด) ตนเองให้ย้อนสำรวจดู ก็จะรู้สึกว่าไม่ถูกต้องแล้วยังกล้าที่จะแช่งชักต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือกล่าวหาผู้อื่นเล่า ?. นับอะไรกับเรื่องราวต่าง ๆ ก็ควรที่จะคล้อยตามหลักธรรมไปทำเสีย สงบเสงี่ยมรักษาตนถึงจะถูก แล้วยังจะกล้าสบถสาบานต่อพระเจ้าอีก ก็จะถูกผีเทพโกรธเอาหรือไม่ก็ถูกฟ้าลงโทษ เพราะฉะนั้น จะไม่หักห้ามระมัดระวังหรือ ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ติดสุราลวนลาม

อธิบาย   : 
ผู้ชอบดื่มสุราและเมาอยู่เป็นนิจ มักละเมิดหลักธรรมและลวนลาม สุราสามารถทำให้คนลวนลาม ถ้าคนติดสุราจนเป็นนิสัยแล้ว สิ่งที่เขาได้ัรับความเสียหายก็จะใหญ่หลวงนัก ! เมื่อดูผู้อาวุโสที่ตักเตือนห้ามปรามดื่มสุราแล้วก็รู้ว่า เป็นความกังวลที่คนโบราณใส่ใจจริง ๆ เราลองดูบทกวีเกี่ยวกับสุราก็จะรู้ว่า คนสมัยก่อนฝากความรักที่กินความหมายลึกซึ้ง ถ้าดูในบทจริยธรรม มารยาทที่ยกย่องสรรเสริญการดื่มระหว่างอาคันตุกะกับเจ้าภาพที่ต่างถ้อยทีถ้อยคารวะกัน จุดมุ่งหมายคือการป้องกันเสียมารยาทหลังการดื่มสุรา แต่ชาวโลกที่ชื่นชอบการดื่มสุราและไม่มีการหยุดยั้งพอดี จะเห็นได้จากร่งการเอนไปล้มมา จริยธรรมเสียหาย มีการดุด่าเสียงดัง บ้างก็ล้มนอนตามถนนผิดกฏหมาย ถ้านานวันเข้าใจ ธรรมก็สูญเสีย ทำให้บัณฑิตเสียชื่อเสียง คนที่ทำราชการอาจสูญเสียตำแหน่งการงาน ถ้าเป็นชาวไร่ชาวนาก็ทำให้ไร่นาเสียหาย  พ่อค้าก็เสียหายเงินทุน และที่ร้ายแรงก็ทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดและตายไป เช่นนี้แล้วจะไม่ทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดใจหรอกหรือ ?.  ท่านฝันหลูกงกล่าวในบทโอวาทสอนลูกว่า "ห้ามเจ้าไม่ให้ติดการดื่ม สุราแรงหาใช่รสชาติดี สามารถระมัดระวังให้จิตหนักแน่น ก็จักมลายร้ายคลายหายไป" ท่านเฉาเยว้ชวงกล่าวว่า "บ่มจิตไม่โลภจิตเมาน้ำ สร้างตัวต้องตัดห้ามน้ำล้มละลาย" โดยเฉพาะยังเป็นบ่อเกิดของการลวนลามทางเพศ ส่วนใหญ่เริ่มต้นจากสุรา เพราะฉะนั้น ในข้อห้ามหนึ่งในสี่ข้อ ๆ สุราเป็นข้อที่หนึ่ง (ในหนังสือข้อห้ามบุคคลชั้นประถมเรียก สุรา  รสชาติ  รูปงาม  สระบนเนินสูง  (สระบนดาษฟ้า ถือเป็นสี่ข้อห้าม)  คนที่เมาสุรา ความคิดที่ดีงามก็หายไป ความคิดชั่วก็ลูกโชติช่วงขึ้น พอส่างเมาก็จะไม่กล้าทำเรื่องที่ทำ และก็ไม่กล้าพูดในคำที่ไม่กล้าพูด พอเมาแล้วอะไร ๆ ที่ไม่กล้าก็กล้าทำ เพราะฉะนั้น เวลาดื่มสุราแล้วสามารถกำหนดยับยั้งได้ ก็จะยกย่องน้ำสุราเป็นอมฤต หรือน้ำลืมมิตร  หรือดื่มสุราแล้วไม่สามารถยับยั้งได้ ก็ควรเห็นสุราดุจมารอรชร หรือพิษหวาน  สุรายังเป็นฟืนไฟของความใคร่ คนที่ดื่มสุราตามอารมณ์แล้วไม่ปล่อยตามอารมณ์ใคร่มีน้อยมาก ! ขณะที่ไฟราคะกำลังโชติช่วงอารมณ์ความใคร่เสพกามกำลังลุกอยู่ก็ยังยากที่จะหักห้ามได้เลย  นับอะไรกับการปล่อยอารมณ์ดื่มสุราตามใจแล้ว จะไม่เพิ่มไฟราคะให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นหรอกหรือ !  โดยเฉพาะเมาสุราภายหลังอิ่มอาหารแล้วไปมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้อวัยวะภายในกระทบกระเทือนชอกช้ำ ด้วยเหตุนี้ ทำให้เจ็บป่วยไม่น้อยเลย !  การกระทำเช่นนี้ควรกำหราบถึงจะถูก ยิ่งมีบางคนหลังเมาสุราก็ทำเรื่องลวนลามลามก ด้วยเหตุนี้อาจได้รับความอัปยศจนสูญเสียชีวิต ถึงตอนนี้คิดได้ก็สายเสียแล้ว ช่วยไม่ทันเสียแล้ว !  สิ่งที่น่าหัวเราะก็คือ ในวงสุรามักขัดแย้งกันจะเอาชนะความกลัวเสียศักดิ์ศรีจนบางครั้งเกิดการชกต่อยตลอดจนหน้ามืดฆ่าแกงกันก็เป็นได้มนุษย์เราที่อยู่กันในสังคม จะต้องรู้จักผ่อนปรนในทุก ๆ เรื่องราวจึงจะถูก นับอะไรระหว่างเพื่อนฝูงที่ยินดีพบปะกันและดื่มกินด้วยกันและก็มาออกหมัดกันเช่นนี้  นี่แหละคือความหึกเหิมชั่วขณะหนึ่ง ถึงแม้จะเอาชนะได้ก็ใช่ว่าจะมีเกียรติยศ คนที่แพ้ก็ใช่ว่าจะอัปยศดอสูเลย !  แพ้แล้วก็ไม่เสียหายอะไร ชนะก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ก็เหมือนนักเดินหมากรุกที่พูดว่า "ชนะแล้ว ถึงแม้เป็นเรื่องน่ายินดี หรือแพ้แล้วก็เป็นเรื่องน่าดีใจ ! " คนที่ดื่มสุราหากไม่รู้จักหลักธรรมนี้ ถือว่าเป็นคนเลอะเทอะ ถ้าหากคิดเอาชนะถ่ายเดียวจึงจะยอมยุติ หรือทะเลาะกันจนไม่เมาไม่เลิก  คนแบบนี้ช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริง ๆ !  ยังมีอีกประเภทหนึ่งที่ชอบคุยโวว่าตนดื่มสุราได้มากไม่มีใครเทียบได้ แบบนี้คิดว่าเท่ห์ หารู้ไม่ว่า เป็นผู้ไม่รู้จักคุณธรรม ชื่อเสียงเกียรติยศ ฯลฯ  เหล่านี้สู้คนอื่นไม่ได้นะ !  เอาแต่ดื่มสุราได้มากมาชนะผู้อื่น อย่างนี้ถือว่าผิดไปไกลเลย !  ยังมีอักคนประเภทหนึ่ง คุยโววางกฏกติกาการดื่มสุราไว้เสียเคร่งครัด โดยไม่คิดว่าสุราใช้เป็นประโยชน์เพื่อเชื่อมสัมพันธ์มิตรภาพ ควรที่ปล่อยตามใจผู้ดื่มที่เหมาะสมกับตนก็ยุติ ทำไมต้องลำบากไปบีบบังคับผู้อื่นให้ดื่มมาก ๆ จนเป็นการทำร้ายสุขภาพไป ?.  ภาษิตว่า "ให้เข้มงวดกับเสือร้าย" แต่อาตมาว่า "ให้เข้มงวดกับสุราดุจเสือร้ายเหมือนกัน ! " ถ้าในวงสุรามีคนแบบนี้อยู่แล้วก็ควรทีจะหลบหลีกเสียแต่เนิ่น ๆ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก ชั่วบาป  : ติดสุราลวนลาม - ความบาปของสุรา 35 ข้อ

ในมหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ ได้บรรยายถึงความบาปของสุราไว้ถึง 35 ข้อ


1. ผลาญทรัพย์สินในปัจจุบันหมดไป เพราะเหตุเวลาเมาสุราใจไม่ได้กำหนดถึงการใช้จ่าย จึงเป็นเหตุให้ผลาญทรัพย์ไม่มีกำหนด
2. เป็นบ่อเกิดแห่งโรคต่าง ๆ
3. เป็นรากเหง้าของการฟ้องร้องคดีความ
4. ผิวกายแดงกล่ำเหมือนม้าโคที่ไม่มียางอาย
5. เมาแล้วกระโดดโลดเต้นด่าทอ ชื่อเสียนอกบ้าน ทำให้ผู้คนเบื่อหน่าย ไม่นับถือเขา
6. ปกปิดปัญญา
7. ของที่ควรจะได้ก็ไม่ได้ ของที่ได้มาแล้วกลับสูญหาย
8. เมาแล้วหาเรื่องพูดออกมาทุกเรื่อง หายเมาแล้วก็คิดเสียใจ
9. กิจการต่าง ๆ เสียหายทำไม่สำเร็จ
10 . เมาสุราเป็นบ่อเกิดของความโศกเศร้า  เพราะในเวลาเมาทำความผิดไว้มาก พอหายเมาก็ให้รู้สึกอับอายโศกเศร้า
11. ร่างกายอ่อนแอไม่มีกำลัง
12. สุขภาพทรุดโทรม สีหน้าดูไม่ดี
13. ไม่รู้จักต้องเคารพบิดา
14. ไม่รู้จักต้องเคารพมารดา
15. ไม่รู้จักต้องเคารพนักพรต
16. ไม่รู้จักเคารพพราหมณ์
17. ไม่รู้จักเคารพลุงป้าน้าอาผู้ใหญ่ เพราะเวลาเมาปราาทเลอะเลือน จึงแยกแยอะไม่ถูก
18. ไม่เคารพพระพุทธะ
19. ไม่เคารพพระธรรม
20. ไม่เคารพพระสงฆ์ 
21. คบคนชั่วเข้าแก๊งก่อเรื่อง
22. ทำตัวห่างไกลบัณฑิตคนดี
23. กลายเป็นผู้ทุศีล
24. เป็นผู้ไม่มีใจละอายบาป
25. กับอารมณ์ทั้งหก พอใจ โกรธ เสียใจ สบายใจ รักชั่ว ไม่สามารถบังคับได้
26. ปล่อยตามความใคร่ไม่รู้จักยับยั้ง
27. เป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน ทุกคนไม่อยากพบเห็นเขา
28. ญาติพี่น้องกับเหล่าบัณฑิตละทิ้งเขา
29. ทำแต่เรื่องไม่ดี
30. ละทิ้งธรรมดี
31. ไม่เป็นที่เชื่อถือของคนมีปัญญา เพราะเวลาเมาปล่อยตามอารมณ์
32. ห่างไกลนิพพาน
33. ปลูกเหตุแห่งความชั่ว
34. เมื่อตัวตาย ตกสู่ทางทุกข์สามแพร่ง จนถึงนรก
35. ถ้าได้เกิดเป็นคน ประสาทมักจะแปรปรวนบ้าคลั่ง

หลังการเมาสุรา ก็มักมีความผิดต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้น จึงดื่มสุราไม่ได้ !

นิทาน   : 
ที่มณฑลฟูเจี้ยน มีนักศึกษาแซ่หลิว ปกติจะมีระเบียบ วินัยดี เขามีนักเรียนจำนวนมาก ยามปกติที่เขาสอนนักเรียน ก็จะสอนให้นักเรียนรักษาศีล มีอยู่วันหนึ่ง พอเขาดื่มจนเมาแล้วก็แย่งโสเภณีกับเพื่อน พอส่างเมาแล้วรู้สึกสำนึกผิดมาก จึงอับอายทีจะไปเจอนักเรียนของเขา ดังนั้นจึงปิดประตูตรึกตรองเงียบ ๆ อยู่ 3 วัน แล้วก็รวบรวมเขียนบันทึกถึงผลเสียของสุราตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นการตักเตือนตนเองและก็เพื่อไว้เป็น "สูตรร้อยสำนึก" ยังมีนักศึกษาอีกคนหนึ่งที่มณฑลเจ๋อเจียง แซ๋แหย้ เป็นคนที่กตัญญูต่อพ่อแม่มาก รักเพื่อนรักพี่น้อง วันหนึ่งหลังเมาสุราแล้วก็ทะเลาะกับน้องชายต่างก็ด่าทอกันตอนที่บิดาออกมาตักเตือนว่ากล่าว เขากลับพูดวาจาไม่เคารพบิดา 2-3 คำ พอรุ่งเช้าตื่นขึ้น ภรรยาก็เล่าเรื่องขณะตอนเมาสุรา เมื่อเขาฟังแล้วรู้สึกเสียใจมาก จึงรีบเข้าไปหาบิดาที่ห้องก้มกราบร้องไห้ คุกเข่ารอให้บิดาอภัยโทษ อารมณ์โกรธของบิดาจึงค่อยหายไป

อธิบาย  :  โอ้ ! นักศึกษา 2 คนนี้ จิตใจเดิมเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ถ้าหากไม่เป็นเพราะเมาสุราแล้วยังจะทำเลอะเทอะหรือ ถ้าหากเป็นคนทำเรื่องร้ายแรงอันธพาลมาก่อน หลังเมาสุราจะไม่ทำเรื่องที่ยิ่งเลวร้ายขนาดหนักหรอกหรือ สุราได้ชื่อว่าเป็นธารพิษ เป็นเรื่องจริง ! 

คติพจน์   :  คนโบราณว่า "สุราเป็นตัวสัมผัสตัวหนึ่ง ถ้าหากสัมผัสกับเรื่องดี ก็จะสำเร็จในเรื่องที่ดี  ถ้าสัมผัสในเรื่องชั่วก็จะสำเร็จในเรื่องชั่ว สุราก็คือตัวการก่อเหตุปัจจัยดีชั่ว ถ้าก่อกระทำเรื่องดี ก็สำเร็จดี ถ้าก่อกระทำชั่วก็สำเร็จชั่ว พูดถึงสุราตัวสุราเองไม่สามารถกำหนดดีชั่วของคน หากแต่คนเท่านั้นที่กำหนดดีชั่วของตนเอง ! " เพระฉะนั้น คำว่าประหยัด นำมาพูดเรื่องสุราแล้วจะประหยัดได้อย่างไร ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป  :  สายเลือดทะเลาะกัน

อธิยาย   :   
พ่อลูกพี่น้องสายเลือดสนิทกันที่สุด เมื่อเกิดทะเลาะเบาะแว้งก็แย่งชิงกัน ในสมัยราชวงศ์ถัง ท่านจางกงอี่ (ในหนังสือร้อยขันติ) มีอายุยืนยาวอยู่ร่วมกันถึงเก้าชั่วคนได้ ก็เพราะมีขันติตัวเดียวเท่านัน การทะเลาะเบาะแว้งก็เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถอดทนมีขันติระหว่างสายเลือด  พ่อลูก  พี่น้อง  ถ้าหากมัวถามหาเหตุผล พอฝ่ายใดขาดเหตุผลก็ไม่ยอมกันแล้ว มันก็จะทำร้ายอารมณ์ ถ้าทำร้ายอารมณ์มันก็ไม่มีเหตุผลแล้วใช่ไหม ?. เพราะฉะนั้น ระหว่างสายเลือดมันจะทะเลาะเบาะแว้งกันได้อย่างไร การทะเลาะกันมักจะเกิดจากผู้หญิงเป็นต้นเหตุ ผู้หญิงมักจะคอยใส่ไฟอยู่ตรงกลาง เนื่องจากผู้หญิงจิตใจมักไม่ยุติธรรม เป็นคนที่มักระแวงขี้อิจฉา และที่พวกเธอเรียกขานว่า คุณปู่  คุณย่า  คุณอา  คุณลุง  ระหว่างสะใภ้ด้วยกัน ล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่อยู่ร่วมกันแบบจอมปลอม คือเรียกขานอย่างเสียไม่ได้ ซึ่งก็ไม่มีเยื่อใยตามสัมพันธ์ธรรมชาติ เพราะฉะนั้น จึงทำร้ายความรักได้ง่าย ๆ จนเกิดสภาพทะเลาะเบาะแว้งได้ง่าย ๆ เพียงแค่ถูกกลาวหาครั้งสองครั้งก็จะสะสมความโกรธแค้นเอาไว้  ดังนั้น  ในครอบครัวจึงเปลี่ยนแปลงและเกิดเรื่องบ่อย ๆ นอกเสียจากผู้มีความมั่นคงในความสัมพันธ์อย่างมากและมีความเข้าใจอย่างมาก จึงจะสามารถสำรวจชัดแจ้งละเอียดอ่อน ไม่ฟังเสียงตอแหลของพวกผู้หญิงแล้ว ครอบครัวก็จะเกิดสมานฉันท์ปรองดองกันดี จะให้เกิดสายเลือดทะเลาะกันได้อย่างไร ?.   

นิทาน   :  ในสมัยหมิง เมืองฝู่เจียง นายเจิ้นเหลียน เขามีครอบครัวใหญ่มาก ๆ ไม่เคยแบ่งครัวเป็นเวลานาน 200 ปี เพราะฉะนั้น ที่อยู่ของเขาจึงเรียกว่าหมู่บ้าน และมีสมญานามว่า บ้านซื่อสัตย์ ขณะที่ดำรงตำแหน่ง "ไท้โช้ว" ฮ่องเต้ได้ประธานป้ายว่า "เป็นบ้านที่หนึ่งใต้หล้า" เมื่อฮ่องเต้หมิงไท่จู่ขึ้นครองราชย์แล้วก็ให้มีรับสั่งให้นายเจิ้นเหลียนเข้าเฝ้า แล้วก็รับสั่งถามว่า "บ้านของเจ้ามีเวลาทำครัว มีคนรับประทานอาหารกี่คน ?." นายเจิ้นเหลียนตอบว่า "มีหนึ่งพันคนเศษ" ฮ่องเต้เอ่ยว่า "เป็นบ้านที่หนึ่งใต้หล้าจริงหรือ !" ขณะนั้นมเหสีหม่าฮองเฮาซึ่งอยู่หลังม่านได้ยินแล้วก็พูดกับฮ้องเต้ว่า "ใต้ฝ่าบาทมีใต้หล้าเป็นบุคคลเดียวที่ดำเนินเรื่องจนสำเร็จ บัดนี้ บ้านของเจิ้นเหลียนมีตั้งกว่าหนึ่งพันคน ถ้าหากมาดำเนินเรื่องเข้าคงจะพิชิตใต้หล้าได้ง่ายกระมัง ?." ฮ่องเต้ได้ฟังคำพูดของหม่าฮองเฮาแล้วก็ให้รู้สึกตกใจ จึงถามนายเจิ้นเหลียนว่า "เจ้ามีวิธีการอะไร ทำให้เครือญาติรักใคร่ปรองดองกัน ?" นายเจิ้นเหลียนจึงทูลฮ่องเต้ได้อย่างแยบคลายว่า "หม่อมฉันไม่มีวิธีอะไร เพียงแต่ไม่ฟังคำพูดของภรรยาเท่านั้น ! " ฮ่องเต้ได้ยินแล้วก็ทรงพระสรวนขึ้นมาโดยไม่รู้พระองค์ ขณะนั้นทางเหอหนานได้นำสาลี่หอมมาถวายวังหลวง ฮ่องเต้ไท่จู่จึงพระราชทานสาลี่ไป 2 ผล  นายเจิ้นเหลียนนำสาลี่เทินบนศรีษะ และเดินออกจากวัง ฮ้องเต้สั่งให้คนติดตามไปดู หลังจากนายเจิ้นเหลียนกลับถึงบ้านก็เอาสาลี้ให้คนในบ้านแล้วก็หันไปทางทิศที่ประทับของฮ่องเต้แล้วก้มกราบขอบพระคุณแล้วก็ใช้น้ำตุมใหญ่ 2 ใบ ทุบผลสาลี่ให้แหลกละเอียดผสมลงในน้ำ เหตุนี้เองคนในบ้านจึงได้ทานสาลี่ที่ฮ้องเต้ประทานให้ เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเรื่องราวนี้แล้วก็ทรงพอพระทัยมาก ต่อมาก็มาขุนนางที่คิดจะทำลายบ้านตระกูลเจิ้น กล่าวหาว่าเขาคิดกบฏ  ฮ่องเต้จึงตรัสว่า  "บ้านตระกูลเจิ้นไม่มีคนแบบนี้ นี่เพราะคนอื่นกล่าวหาใส่ร้ายเขา !" ต่อมาฮ่องเต้ไท่จู่ก็มีราชโองการ สั่งให้ตระกูลเจิ้น คัดเอาชายที่อายุเกิน 30 ปี เข้าเมืองหลวง และก็มอบตำแหน่งราชการให้ ผู้อาวุโสบ้านตระกูลเจ้น นายเจ็นอิงเดินทางมาเมืองหลวง พอเข้าเฝ้าเพื่อขอบพระคุณฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไท่จู่ก็เดินมาที่ประตูเทียนฟ้าและเขียนอักษร 3 ตัวว่า  "บ้านซื่อสัตย์กตัญญู" มอบให้แก่เขา แล้วยังลงตามหาลัญจกรข้างบนของตัวอักษรด้วยพระองค์เองเชียวนะ ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ชายไม่ซื่อภักดี

อธิบาย   : 
ชายไม่ภักดีหนักแน่นในความดีงาม  การทำสุดความสามารถเรียกว่าจงรักภักดี และสิ่งที่กระทำถูกต้องเรียกว่าซื่อสัตย์ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐฉลาดกว่าสัตว์ทั้งหลาย และความเป็นมนุษย์นี้ผู้ชายมีคุณค่า ถึงแม้เกิดเป็นชายทั้งฉลาดและมีคุณค่าแต่กลับทุจริตคดโกง ไม่สามารถทำตามศักยภาพของตนให้ถึงที่สุดได้แต่กับโหดร้าย ได้ชื่อว่าไม่ซื่อสัตย์จงรักภักดี

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ฝั้นเหวินกง (ฝั้นจงอัน) บิดาเสียตั้งแต่อายุได้ 2 ขวบ พอเติบโตขึ้นเขาก็ตั้งตนตั้งตัวหมั่นเพียร เล่าเรียนทั้งกลางวันและกลางคืน เขามักนั่งนิ่งตรึกตรอง เขาศึกษาเล่ารเรียนเป็นเวลาถึง 6 ปี ก็มีความเชี่ยวชาญในคัมภีร์ทั้งหก พออายุได้ 20 ปี เขาก็สอบได้ตำแหน่งจิ้นสือ เป็นหัวหน้าหน่วยราชการแถบเหอตง เขาทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ภักดีและโปร่งใส เขาปกครองครอบครัว ๆ ก็ไม่วุ่นวาย เขาชอบใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ แต่กับการบริจาคให้กับผู้ยากไร้บรรเทาทุกข์แล้วเขาจะไม่ลังเลทำสุดกำลัง ดังนั้น นามของฝั้นจงอันไม่เพียงขจรกระจายแค่ชั่วครั้งเท่านั้น แต่ยังเป็นที่กล่าวขานกันมานับร้อย ๆ ชาติ เพราะฉะนั้น "ลูกผู้ชาย" ถ้าเอามาเทียบกับฝั้นจงอันแล้ว สามารถกล่าวได้ว่า ไม่ขายหน้าเลย ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก ชั่วบาป  :  หญิงไม่อ่อนน้อม

อธิบาย   : 
ผู้หญิงที่ไม่อ่อนโยนลุมันละไมย ในคัมภีร์จริยธรรม (ลี่จี้) ว่า "ผู้ชายนำผู้หญิง  ผู้หญิงตามผู้ชาย"  และกล่าวว่า "ผู้หญิงเมื่อยังเด็กตามบิดาพี่ชาย  เมื่อออกเรือนแล้วให้ตามสามี  เมื่อสามีตายแล้วให้ตามบุตรชาย" โอวาทตระกูลหยวนว่า  "หน้าที่ของภรรยา คือดูแลการกินดื่มของบ้านกับเสื้อผ้าของพิธีกรรม หากว่าผู้หญิงมีปัญญาฉลาดเฉลียวก็ต้องช่วยเหลือสามี เกื้อหนุนสามีในส่วนที่บกพร่อง หากว่าดุร้ายข่มเหงสามี ยุ่งเกี่ยวเรื่องนอกบ้าน ก็เหมือนไก่ตัวเมียที่ร้องเหมือนนกในตอนเช้า ปากมากลิ้นยาวเหมือนนกแก้ว  การที่ครอบครัวไม่เจริญ ก็จะเริ่มต้นจากตรงนี้เอง

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ภรรยาของนายเฉินเลี้ยง นาวโห้ว นางเป็นคนอ่อนน้อมละมุนละไมย ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ นางก็จะเรียนสามีให้ทราบก่อนค่อยไปทำ นางดูแลบ้านด้วยวิธีการเยี่ยมยอด นางจะไม่ดุด่าตีบ่วไพร่ ถ้าบรรดาลูก ๆ มีที่จะดุว่าบ่าวไพร่ นางก็จะห้ามปรามลูก ๆ ว่า  "ความสูงต่ำของคน ถึงแม้จะมีความแตกต่าง แต่คุณสมบัติ กิริยามารยาท มีคุณค่าอย่างเดียวกัน !" เมื่อนายเฉินเลี้ยงเกิดโทสะขึ้น นางก็จะใช้วาจาดีตักเตือนอยู่ข้าง ๆ เพื่อให้สามีหายโกรธ  ใจคอสบาย  ถ้าหากลูก ๆ ทำผิด นางก็จะไม่คอยปิดบังให้  นางมักพูดว่า "การที่ลูกไม่ดี ล้วนเกิดจากมารดาคอยปกป้องปกปิด ตลอดจนลูกได้ทำผิดมีโทษ บิดาล้วนไม่รู้เรื่องเลย !" ต่อมาลูกของนาง 2 คน เฉินอี  และ เฉินอิ่ง  ล้วนเป็นมหาราชบัณฑิตที่มีชื่อเสียงในสมัยซ่ง มีตำแหน่งราชการสูงมาก หลังจากมรณภาพแล้วยังได้รับการนับถือตั้งบูชาในศาลเจ้าด้วย

คจิพจน์   :  เคล็ดลับสร้างบุญ จื่อเซียวกล่าวว่า "ไม่ว่าผู้หญิงหรอผู้ชาย ที่บำเพ็ญกุศลไม่แตกต่างกัน แต่เพราะผู้หญิงไม่มีเรื่องมาก ถ้าหากสามารถประพฤติ "สามตามสี่คุณธรรม" ได้ ก็นับเป็นผู้หญิงที่ดี ถ้าหากมีการบำเพ็ญกุศล ก็ให้ไปบอกให้พ่อแม่สามีไปบำเพ็ญก็จะดีกว่า  เพราะว่าพ่อแม่มีเรื่องกุศล 3 อย่าง ลูกสะใภ้ก็แบ่งไปหนึ่งอย่าง  ถ้าสามีก็มีการบำเพ็ญกุศลสองอย่าง  ภรรยาแบ่งไปหนึ่งอย่าง  ถ้าหากภรรยาได้บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว บุญกุศลที่ได้ก็เหมือนกับสามี ถ้าหากบุญกุศลที่ภรรยาทำได้บอกกล่าวล่วงหน้า จะมีคุณค่ามากกว่าบุญกุศลที่ภรรยาไปทำตามลำพังมากมายนัก  ระหว่างพี่สาวน้องสาว และสะใภ้ด้วยกัน หากมีการทำกุศล ทั้งเขาและเราต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน บุญกุศลนี้ ก็นับว่าเสมอเท่ากัน ที่สำคัญต้องเกิดใจปิติไปร่วมกันทำ ต้องไม่เกิดอิจฉาเลยนะ !  ถ้าหากผู้หญิงสามารถทำตัวอ่อนโยนละมุนละไมย ช่วยสามีสั่งสอนลูก ให้ถึงที่สุดของหน้าที่ และถ้าเชื่อมั่นในเหตุต้นผลกรรม ทานเจ สวดมนต์ ปัจจุบันกายใจก็สงบสุข ลูกหลานเจริญ ก่อนสิ้นลมก็จะได้รับการชักนำจากพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปสู่แดนสุขาวดี เพราะฉะนั้น ผู้หญิงเพียงบำเพ็ญอยู่บ้านอย่างเงียบ ๆ ไม่ค่อยออกไปเตร่รอบ ๆ อยู่ข้างนอก แบบนี้ก็จะไม่เสียเวลาอันมีค่าไปเปล่า ๆ และก็สามารถลดคำครหา นินทาจากผู็อื่น ถ้าหากลูกหลานเจ็บป่วย และต้องภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง และต้องเสียเงินเสียทองไปกับงานดังกล่าวมากมายแล้วทำไมยามปกติไม่บำเพ็ญกุศล ปล่อยชีวิตด้วยตนเองเล่า ก็จะได้รับการคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอง เพราะฉะนั้น เรื่องของครอบครัว ก็หวังให้เหล่าผู้หญิงบำเพ็ญกุศล สร้างบุญและส่งเสริมซึ่งกันและกัน ขยันทำไปเรื่อย ๆ !"

Tags: