collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144139 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก ชั่วบาป  :  แช่งชักว่าตนถูก

อธิบาย   : 
กล่าวต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สาบานหรือแช่งชักโดยอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า เหตุผลของเขาถูกต้อง การสามารถสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยไม่จำเป็นต้องทำใบฏีกาหรือเขียนเป็นหนังสือ เมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้งกัน แล้วก็ฟั่นเฟือนร้องเรียกเชิญพระเชิญเจ้า เหล่านี้ล้วนเป็นการกระทำแช่งชักทั้งนั้น !  ในบทสาบานก็พูดเอาไว้ว่า "ขณะที่คนกำลังสบถสาบานอยู่นั้น คนรอบข้างก็จะแช่งชักเขา แล้วผีชั่วร้ายก็จะถือโอกาสเข้ากระทำเสกเคราะห์ภัยทันที ถ้าหากไม่ศรัทธาตั้งใจสำนึกบาป อัญเชิญเทพเจ้าลงมาแก้ไขแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถขจัดเคราะห์ภัย ของการสาบานได้เลย" เพราะฉะนั้นจึงแช่งชักสาบานไปใยเล่า ?.

นิทาน   :  ในสมัยหมิง รัชสมัยปีแรกของฮ่องเต้หวั่นลี่ นายหวังเจ๋อ คนบ้านนอกเมืองซีฮัวกับชาวบ้านที่ชำระภาษี กำลังถกเถียงถึงจำนวนเงินภาษีที่ค้างชำระอยู่นั้น นายหวังเจอก็สบถสาบานต่อเจ้าศาลหลักเมืองว่า ตนเองเป็นฝ่ายถูก ในคืนนั้น ขณะนอนหลับอยู่ที่วัดหยางซ่านซื่อ ดึกดื่นทันใดก็ได้ยินเสียงตะโกนให้หลีกทาง จึงลุกขึ้นมาตรวจดู เห็นข้าราชการคนหนึ่งยืนได้แสงคบไฟ ศรีษะใส่หมวกสวมเสื้อสีแดง รอบข้างยังมีองครักษ์รายล้อมหลายนาย ข้าราชการคนนั้นก็ออกคำสั่งด้วยเสียงอันดัง ชายฉกรรจ์ 2 นาย ที่ถือดาบก็วิ่งไปที่นายหวังเจ๋อ ถึงตอนนี้ นายหวังเจ๋อรีบหยิบจานฝนหมึกขว้างไปที่ชายฉกรรจ์ แต่ถูกดาบในมือของชายฉกรรจ์แทงเข้าที่ปากและหน้าผาก มีโลหิตไหลออกมา ภิกษุในวัดต่างตกใจตื่นลุกขึ้นสอบถาม แต่ก็ไม่เห็นใครสักคนจึงรู้ว่าเมื่อครู่ที่นายหวังเจ๋อพบนั้น ก็เป็นเจ้าศาลหลักเมืองนั่นเอง !  วันรุ่งขึ้น นายหวังเจ๋อก็ใส่เสื้อนักโทษไปที่ศาลเจ้าหลักเมือง เพื่อสารภาพผิด ขอให้ศาลเจ้าหลักเมืองอภัยโทษ เมื่อมองดูรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าก็ช่างเหมือนกับบุคคลที่เห็นในฝันนั้น และในศาลเจ้ารูปองครักษ์ด้านขวาก็ถือดาบด้วย ปรากฏว่ายังมีหมึกสีดำเปื้อนเป็นรอยบนตัวให้เห็นเลย ! เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนรอยแผลที่ปากและที่หน้าผากนายหวังเจ๋อจึงหาย แต่รอยดาบยังคงอยู่ชัดเจน

อธิบาย   :  ต้องรู้จักเรื่องราวและหลักธรรม เดิมทีก็มีทั้งคดและตรง หากหลักธรรมเป็นตรง (ถูกต้อง) ในสังคมที่วิเคราะห์ก็ยากที่จะทำให้มันหายสาปสูญ พอนานวันเข้าก็จะเข้าใจได้เอง จะต้องไปถือสาคนให้ลำบากไปทำไม ?. ถ้าหากหลักธรรมคด (ผิด) ตนเองให้ย้อนสำรวจดู ก็จะรู้สึกว่าไม่ถูกต้องแล้วยังกล้าที่จะแช่งชักต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือกล่าวหาผู้อื่นเล่า ?. นับอะไรกับเรื่องราวต่าง ๆ ก็ควรที่จะคล้อยตามหลักธรรมไปทำเสีย สงบเสงี่ยมรักษาตนถึงจะถูก แล้วยังจะกล้าสบถสาบานต่อพระเจ้าอีก ก็จะถูกผีเทพโกรธเอาหรือไม่ก็ถูกฟ้าลงโทษ เพราะฉะนั้น จะไม่หักห้ามระมัดระวังหรือ ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ติดสุราลวนลาม

อธิบาย   : 
ผู้ชอบดื่มสุราและเมาอยู่เป็นนิจ มักละเมิดหลักธรรมและลวนลาม สุราสามารถทำให้คนลวนลาม ถ้าคนติดสุราจนเป็นนิสัยแล้ว สิ่งที่เขาได้ัรับความเสียหายก็จะใหญ่หลวงนัก ! เมื่อดูผู้อาวุโสที่ตักเตือนห้ามปรามดื่มสุราแล้วก็รู้ว่า เป็นความกังวลที่คนโบราณใส่ใจจริง ๆ เราลองดูบทกวีเกี่ยวกับสุราก็จะรู้ว่า คนสมัยก่อนฝากความรักที่กินความหมายลึกซึ้ง ถ้าดูในบทจริยธรรม มารยาทที่ยกย่องสรรเสริญการดื่มระหว่างอาคันตุกะกับเจ้าภาพที่ต่างถ้อยทีถ้อยคารวะกัน จุดมุ่งหมายคือการป้องกันเสียมารยาทหลังการดื่มสุรา แต่ชาวโลกที่ชื่นชอบการดื่มสุราและไม่มีการหยุดยั้งพอดี จะเห็นได้จากร่งการเอนไปล้มมา จริยธรรมเสียหาย มีการดุด่าเสียงดัง บ้างก็ล้มนอนตามถนนผิดกฏหมาย ถ้านานวันเข้าใจ ธรรมก็สูญเสีย ทำให้บัณฑิตเสียชื่อเสียง คนที่ทำราชการอาจสูญเสียตำแหน่งการงาน ถ้าเป็นชาวไร่ชาวนาก็ทำให้ไร่นาเสียหาย  พ่อค้าก็เสียหายเงินทุน และที่ร้ายแรงก็ทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดและตายไป เช่นนี้แล้วจะไม่ทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดใจหรอกหรือ ?.  ท่านฝันหลูกงกล่าวในบทโอวาทสอนลูกว่า "ห้ามเจ้าไม่ให้ติดการดื่ม สุราแรงหาใช่รสชาติดี สามารถระมัดระวังให้จิตหนักแน่น ก็จักมลายร้ายคลายหายไป" ท่านเฉาเยว้ชวงกล่าวว่า "บ่มจิตไม่โลภจิตเมาน้ำ สร้างตัวต้องตัดห้ามน้ำล้มละลาย" โดยเฉพาะยังเป็นบ่อเกิดของการลวนลามทางเพศ ส่วนใหญ่เริ่มต้นจากสุรา เพราะฉะนั้น ในข้อห้ามหนึ่งในสี่ข้อ ๆ สุราเป็นข้อที่หนึ่ง (ในหนังสือข้อห้ามบุคคลชั้นประถมเรียก สุรา  รสชาติ  รูปงาม  สระบนเนินสูง  (สระบนดาษฟ้า ถือเป็นสี่ข้อห้าม)  คนที่เมาสุรา ความคิดที่ดีงามก็หายไป ความคิดชั่วก็ลูกโชติช่วงขึ้น พอส่างเมาก็จะไม่กล้าทำเรื่องที่ทำ และก็ไม่กล้าพูดในคำที่ไม่กล้าพูด พอเมาแล้วอะไร ๆ ที่ไม่กล้าก็กล้าทำ เพราะฉะนั้น เวลาดื่มสุราแล้วสามารถกำหนดยับยั้งได้ ก็จะยกย่องน้ำสุราเป็นอมฤต หรือน้ำลืมมิตร  หรือดื่มสุราแล้วไม่สามารถยับยั้งได้ ก็ควรเห็นสุราดุจมารอรชร หรือพิษหวาน  สุรายังเป็นฟืนไฟของความใคร่ คนที่ดื่มสุราตามอารมณ์แล้วไม่ปล่อยตามอารมณ์ใคร่มีน้อยมาก ! ขณะที่ไฟราคะกำลังโชติช่วงอารมณ์ความใคร่เสพกามกำลังลุกอยู่ก็ยังยากที่จะหักห้ามได้เลย  นับอะไรกับการปล่อยอารมณ์ดื่มสุราตามใจแล้ว จะไม่เพิ่มไฟราคะให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นหรอกหรือ !  โดยเฉพาะเมาสุราภายหลังอิ่มอาหารแล้วไปมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้อวัยวะภายในกระทบกระเทือนชอกช้ำ ด้วยเหตุนี้ ทำให้เจ็บป่วยไม่น้อยเลย !  การกระทำเช่นนี้ควรกำหราบถึงจะถูก ยิ่งมีบางคนหลังเมาสุราก็ทำเรื่องลวนลามลามก ด้วยเหตุนี้อาจได้รับความอัปยศจนสูญเสียชีวิต ถึงตอนนี้คิดได้ก็สายเสียแล้ว ช่วยไม่ทันเสียแล้ว !  สิ่งที่น่าหัวเราะก็คือ ในวงสุรามักขัดแย้งกันจะเอาชนะความกลัวเสียศักดิ์ศรีจนบางครั้งเกิดการชกต่อยตลอดจนหน้ามืดฆ่าแกงกันก็เป็นได้มนุษย์เราที่อยู่กันในสังคม จะต้องรู้จักผ่อนปรนในทุก ๆ เรื่องราวจึงจะถูก นับอะไรระหว่างเพื่อนฝูงที่ยินดีพบปะกันและดื่มกินด้วยกันและก็มาออกหมัดกันเช่นนี้  นี่แหละคือความหึกเหิมชั่วขณะหนึ่ง ถึงแม้จะเอาชนะได้ก็ใช่ว่าจะมีเกียรติยศ คนที่แพ้ก็ใช่ว่าจะอัปยศดอสูเลย !  แพ้แล้วก็ไม่เสียหายอะไร ชนะก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ก็เหมือนนักเดินหมากรุกที่พูดว่า "ชนะแล้ว ถึงแม้เป็นเรื่องน่ายินดี หรือแพ้แล้วก็เป็นเรื่องน่าดีใจ ! " คนที่ดื่มสุราหากไม่รู้จักหลักธรรมนี้ ถือว่าเป็นคนเลอะเทอะ ถ้าหากคิดเอาชนะถ่ายเดียวจึงจะยอมยุติ หรือทะเลาะกันจนไม่เมาไม่เลิก  คนแบบนี้ช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริง ๆ !  ยังมีอีกประเภทหนึ่งที่ชอบคุยโวว่าตนดื่มสุราได้มากไม่มีใครเทียบได้ แบบนี้คิดว่าเท่ห์ หารู้ไม่ว่า เป็นผู้ไม่รู้จักคุณธรรม ชื่อเสียงเกียรติยศ ฯลฯ  เหล่านี้สู้คนอื่นไม่ได้นะ !  เอาแต่ดื่มสุราได้มากมาชนะผู้อื่น อย่างนี้ถือว่าผิดไปไกลเลย !  ยังมีอักคนประเภทหนึ่ง คุยโววางกฏกติกาการดื่มสุราไว้เสียเคร่งครัด โดยไม่คิดว่าสุราใช้เป็นประโยชน์เพื่อเชื่อมสัมพันธ์มิตรภาพ ควรที่ปล่อยตามใจผู้ดื่มที่เหมาะสมกับตนก็ยุติ ทำไมต้องลำบากไปบีบบังคับผู้อื่นให้ดื่มมาก ๆ จนเป็นการทำร้ายสุขภาพไป ?.  ภาษิตว่า "ให้เข้มงวดกับเสือร้าย" แต่อาตมาว่า "ให้เข้มงวดกับสุราดุจเสือร้ายเหมือนกัน ! " ถ้าในวงสุรามีคนแบบนี้อยู่แล้วก็ควรทีจะหลบหลีกเสียแต่เนิ่น ๆ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก ชั่วบาป  : ติดสุราลวนลาม - ความบาปของสุรา 35 ข้อ

ในมหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ ได้บรรยายถึงความบาปของสุราไว้ถึง 35 ข้อ


1. ผลาญทรัพย์สินในปัจจุบันหมดไป เพราะเหตุเวลาเมาสุราใจไม่ได้กำหนดถึงการใช้จ่าย จึงเป็นเหตุให้ผลาญทรัพย์ไม่มีกำหนด
2. เป็นบ่อเกิดแห่งโรคต่าง ๆ
3. เป็นรากเหง้าของการฟ้องร้องคดีความ
4. ผิวกายแดงกล่ำเหมือนม้าโคที่ไม่มียางอาย
5. เมาแล้วกระโดดโลดเต้นด่าทอ ชื่อเสียนอกบ้าน ทำให้ผู้คนเบื่อหน่าย ไม่นับถือเขา
6. ปกปิดปัญญา
7. ของที่ควรจะได้ก็ไม่ได้ ของที่ได้มาแล้วกลับสูญหาย
8. เมาแล้วหาเรื่องพูดออกมาทุกเรื่อง หายเมาแล้วก็คิดเสียใจ
9. กิจการต่าง ๆ เสียหายทำไม่สำเร็จ
10 . เมาสุราเป็นบ่อเกิดของความโศกเศร้า  เพราะในเวลาเมาทำความผิดไว้มาก พอหายเมาก็ให้รู้สึกอับอายโศกเศร้า
11. ร่างกายอ่อนแอไม่มีกำลัง
12. สุขภาพทรุดโทรม สีหน้าดูไม่ดี
13. ไม่รู้จักต้องเคารพบิดา
14. ไม่รู้จักต้องเคารพมารดา
15. ไม่รู้จักต้องเคารพนักพรต
16. ไม่รู้จักเคารพพราหมณ์
17. ไม่รู้จักเคารพลุงป้าน้าอาผู้ใหญ่ เพราะเวลาเมาปราาทเลอะเลือน จึงแยกแยอะไม่ถูก
18. ไม่เคารพพระพุทธะ
19. ไม่เคารพพระธรรม
20. ไม่เคารพพระสงฆ์ 
21. คบคนชั่วเข้าแก๊งก่อเรื่อง
22. ทำตัวห่างไกลบัณฑิตคนดี
23. กลายเป็นผู้ทุศีล
24. เป็นผู้ไม่มีใจละอายบาป
25. กับอารมณ์ทั้งหก พอใจ โกรธ เสียใจ สบายใจ รักชั่ว ไม่สามารถบังคับได้
26. ปล่อยตามความใคร่ไม่รู้จักยับยั้ง
27. เป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน ทุกคนไม่อยากพบเห็นเขา
28. ญาติพี่น้องกับเหล่าบัณฑิตละทิ้งเขา
29. ทำแต่เรื่องไม่ดี
30. ละทิ้งธรรมดี
31. ไม่เป็นที่เชื่อถือของคนมีปัญญา เพราะเวลาเมาปล่อยตามอารมณ์
32. ห่างไกลนิพพาน
33. ปลูกเหตุแห่งความชั่ว
34. เมื่อตัวตาย ตกสู่ทางทุกข์สามแพร่ง จนถึงนรก
35. ถ้าได้เกิดเป็นคน ประสาทมักจะแปรปรวนบ้าคลั่ง

หลังการเมาสุรา ก็มักมีความผิดต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้น จึงดื่มสุราไม่ได้ !

นิทาน   : 
ที่มณฑลฟูเจี้ยน มีนักศึกษาแซ่หลิว ปกติจะมีระเบียบ วินัยดี เขามีนักเรียนจำนวนมาก ยามปกติที่เขาสอนนักเรียน ก็จะสอนให้นักเรียนรักษาศีล มีอยู่วันหนึ่ง พอเขาดื่มจนเมาแล้วก็แย่งโสเภณีกับเพื่อน พอส่างเมาแล้วรู้สึกสำนึกผิดมาก จึงอับอายทีจะไปเจอนักเรียนของเขา ดังนั้นจึงปิดประตูตรึกตรองเงียบ ๆ อยู่ 3 วัน แล้วก็รวบรวมเขียนบันทึกถึงผลเสียของสุราตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นการตักเตือนตนเองและก็เพื่อไว้เป็น "สูตรร้อยสำนึก" ยังมีนักศึกษาอีกคนหนึ่งที่มณฑลเจ๋อเจียง แซ๋แหย้ เป็นคนที่กตัญญูต่อพ่อแม่มาก รักเพื่อนรักพี่น้อง วันหนึ่งหลังเมาสุราแล้วก็ทะเลาะกับน้องชายต่างก็ด่าทอกันตอนที่บิดาออกมาตักเตือนว่ากล่าว เขากลับพูดวาจาไม่เคารพบิดา 2-3 คำ พอรุ่งเช้าตื่นขึ้น ภรรยาก็เล่าเรื่องขณะตอนเมาสุรา เมื่อเขาฟังแล้วรู้สึกเสียใจมาก จึงรีบเข้าไปหาบิดาที่ห้องก้มกราบร้องไห้ คุกเข่ารอให้บิดาอภัยโทษ อารมณ์โกรธของบิดาจึงค่อยหายไป

อธิบาย  :  โอ้ ! นักศึกษา 2 คนนี้ จิตใจเดิมเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ถ้าหากไม่เป็นเพราะเมาสุราแล้วยังจะทำเลอะเทอะหรือ ถ้าหากเป็นคนทำเรื่องร้ายแรงอันธพาลมาก่อน หลังเมาสุราจะไม่ทำเรื่องที่ยิ่งเลวร้ายขนาดหนักหรอกหรือ สุราได้ชื่อว่าเป็นธารพิษ เป็นเรื่องจริง ! 

คติพจน์   :  คนโบราณว่า "สุราเป็นตัวสัมผัสตัวหนึ่ง ถ้าหากสัมผัสกับเรื่องดี ก็จะสำเร็จในเรื่องที่ดี  ถ้าสัมผัสในเรื่องชั่วก็จะสำเร็จในเรื่องชั่ว สุราก็คือตัวการก่อเหตุปัจจัยดีชั่ว ถ้าก่อกระทำเรื่องดี ก็สำเร็จดี ถ้าก่อกระทำชั่วก็สำเร็จชั่ว พูดถึงสุราตัวสุราเองไม่สามารถกำหนดดีชั่วของคน หากแต่คนเท่านั้นที่กำหนดดีชั่วของตนเอง ! " เพระฉะนั้น คำว่าประหยัด นำมาพูดเรื่องสุราแล้วจะประหยัดได้อย่างไร ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก  ชั่วบาป  :  สายเลือดทะเลาะกัน

อธิยาย   :   
พ่อลูกพี่น้องสายเลือดสนิทกันที่สุด เมื่อเกิดทะเลาะเบาะแว้งก็แย่งชิงกัน ในสมัยราชวงศ์ถัง ท่านจางกงอี่ (ในหนังสือร้อยขันติ) มีอายุยืนยาวอยู่ร่วมกันถึงเก้าชั่วคนได้ ก็เพราะมีขันติตัวเดียวเท่านัน การทะเลาะเบาะแว้งก็เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถอดทนมีขันติระหว่างสายเลือด  พ่อลูก  พี่น้อง  ถ้าหากมัวถามหาเหตุผล พอฝ่ายใดขาดเหตุผลก็ไม่ยอมกันแล้ว มันก็จะทำร้ายอารมณ์ ถ้าทำร้ายอารมณ์มันก็ไม่มีเหตุผลแล้วใช่ไหม ?. เพราะฉะนั้น ระหว่างสายเลือดมันจะทะเลาะเบาะแว้งกันได้อย่างไร การทะเลาะกันมักจะเกิดจากผู้หญิงเป็นต้นเหตุ ผู้หญิงมักจะคอยใส่ไฟอยู่ตรงกลาง เนื่องจากผู้หญิงจิตใจมักไม่ยุติธรรม เป็นคนที่มักระแวงขี้อิจฉา และที่พวกเธอเรียกขานว่า คุณปู่  คุณย่า  คุณอา  คุณลุง  ระหว่างสะใภ้ด้วยกัน ล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่อยู่ร่วมกันแบบจอมปลอม คือเรียกขานอย่างเสียไม่ได้ ซึ่งก็ไม่มีเยื่อใยตามสัมพันธ์ธรรมชาติ เพราะฉะนั้น จึงทำร้ายความรักได้ง่าย ๆ จนเกิดสภาพทะเลาะเบาะแว้งได้ง่าย ๆ เพียงแค่ถูกกลาวหาครั้งสองครั้งก็จะสะสมความโกรธแค้นเอาไว้  ดังนั้น  ในครอบครัวจึงเปลี่ยนแปลงและเกิดเรื่องบ่อย ๆ นอกเสียจากผู้มีความมั่นคงในความสัมพันธ์อย่างมากและมีความเข้าใจอย่างมาก จึงจะสามารถสำรวจชัดแจ้งละเอียดอ่อน ไม่ฟังเสียงตอแหลของพวกผู้หญิงแล้ว ครอบครัวก็จะเกิดสมานฉันท์ปรองดองกันดี จะให้เกิดสายเลือดทะเลาะกันได้อย่างไร ?.   

นิทาน   :  ในสมัยหมิง เมืองฝู่เจียง นายเจิ้นเหลียน เขามีครอบครัวใหญ่มาก ๆ ไม่เคยแบ่งครัวเป็นเวลานาน 200 ปี เพราะฉะนั้น ที่อยู่ของเขาจึงเรียกว่าหมู่บ้าน และมีสมญานามว่า บ้านซื่อสัตย์ ขณะที่ดำรงตำแหน่ง "ไท้โช้ว" ฮ่องเต้ได้ประธานป้ายว่า "เป็นบ้านที่หนึ่งใต้หล้า" เมื่อฮ่องเต้หมิงไท่จู่ขึ้นครองราชย์แล้วก็ให้มีรับสั่งให้นายเจิ้นเหลียนเข้าเฝ้า แล้วก็รับสั่งถามว่า "บ้านของเจ้ามีเวลาทำครัว มีคนรับประทานอาหารกี่คน ?." นายเจิ้นเหลียนตอบว่า "มีหนึ่งพันคนเศษ" ฮ่องเต้เอ่ยว่า "เป็นบ้านที่หนึ่งใต้หล้าจริงหรือ !" ขณะนั้นมเหสีหม่าฮองเฮาซึ่งอยู่หลังม่านได้ยินแล้วก็พูดกับฮ้องเต้ว่า "ใต้ฝ่าบาทมีใต้หล้าเป็นบุคคลเดียวที่ดำเนินเรื่องจนสำเร็จ บัดนี้ บ้านของเจิ้นเหลียนมีตั้งกว่าหนึ่งพันคน ถ้าหากมาดำเนินเรื่องเข้าคงจะพิชิตใต้หล้าได้ง่ายกระมัง ?." ฮ่องเต้ได้ฟังคำพูดของหม่าฮองเฮาแล้วก็ให้รู้สึกตกใจ จึงถามนายเจิ้นเหลียนว่า "เจ้ามีวิธีการอะไร ทำให้เครือญาติรักใคร่ปรองดองกัน ?" นายเจิ้นเหลียนจึงทูลฮ่องเต้ได้อย่างแยบคลายว่า "หม่อมฉันไม่มีวิธีอะไร เพียงแต่ไม่ฟังคำพูดของภรรยาเท่านั้น ! " ฮ่องเต้ได้ยินแล้วก็ทรงพระสรวนขึ้นมาโดยไม่รู้พระองค์ ขณะนั้นทางเหอหนานได้นำสาลี่หอมมาถวายวังหลวง ฮ่องเต้ไท่จู่จึงพระราชทานสาลี่ไป 2 ผล  นายเจิ้นเหลียนนำสาลี่เทินบนศรีษะ และเดินออกจากวัง ฮ้องเต้สั่งให้คนติดตามไปดู หลังจากนายเจิ้นเหลียนกลับถึงบ้านก็เอาสาลี้ให้คนในบ้านแล้วก็หันไปทางทิศที่ประทับของฮ่องเต้แล้วก้มกราบขอบพระคุณแล้วก็ใช้น้ำตุมใหญ่ 2 ใบ ทุบผลสาลี่ให้แหลกละเอียดผสมลงในน้ำ เหตุนี้เองคนในบ้านจึงได้ทานสาลี่ที่ฮ้องเต้ประทานให้ เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเรื่องราวนี้แล้วก็ทรงพอพระทัยมาก ต่อมาก็มาขุนนางที่คิดจะทำลายบ้านตระกูลเจิ้น กล่าวหาว่าเขาคิดกบฏ  ฮ่องเต้จึงตรัสว่า  "บ้านตระกูลเจิ้นไม่มีคนแบบนี้ นี่เพราะคนอื่นกล่าวหาใส่ร้ายเขา !" ต่อมาฮ่องเต้ไท่จู่ก็มีราชโองการ สั่งให้ตระกูลเจิ้น คัดเอาชายที่อายุเกิน 30 ปี เข้าเมืองหลวง และก็มอบตำแหน่งราชการให้ ผู้อาวุโสบ้านตระกูลเจ้น นายเจ็นอิงเดินทางมาเมืองหลวง พอเข้าเฝ้าเพื่อขอบพระคุณฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไท่จู่ก็เดินมาที่ประตูเทียนฟ้าและเขียนอักษร 3 ตัวว่า  "บ้านซื่อสัตย์กตัญญู" มอบให้แก่เขา แล้วยังลงตามหาลัญจกรข้างบนของตัวอักษรด้วยพระองค์เองเชียวนะ ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ชายไม่ซื่อภักดี

อธิบาย   : 
ชายไม่ภักดีหนักแน่นในความดีงาม  การทำสุดความสามารถเรียกว่าจงรักภักดี และสิ่งที่กระทำถูกต้องเรียกว่าซื่อสัตย์ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐฉลาดกว่าสัตว์ทั้งหลาย และความเป็นมนุษย์นี้ผู้ชายมีคุณค่า ถึงแม้เกิดเป็นชายทั้งฉลาดและมีคุณค่าแต่กลับทุจริตคดโกง ไม่สามารถทำตามศักยภาพของตนให้ถึงที่สุดได้แต่กับโหดร้าย ได้ชื่อว่าไม่ซื่อสัตย์จงรักภักดี

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ฝั้นเหวินกง (ฝั้นจงอัน) บิดาเสียตั้งแต่อายุได้ 2 ขวบ พอเติบโตขึ้นเขาก็ตั้งตนตั้งตัวหมั่นเพียร เล่าเรียนทั้งกลางวันและกลางคืน เขามักนั่งนิ่งตรึกตรอง เขาศึกษาเล่ารเรียนเป็นเวลาถึง 6 ปี ก็มีความเชี่ยวชาญในคัมภีร์ทั้งหก พออายุได้ 20 ปี เขาก็สอบได้ตำแหน่งจิ้นสือ เป็นหัวหน้าหน่วยราชการแถบเหอตง เขาทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ภักดีและโปร่งใส เขาปกครองครอบครัว ๆ ก็ไม่วุ่นวาย เขาชอบใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ แต่กับการบริจาคให้กับผู้ยากไร้บรรเทาทุกข์แล้วเขาจะไม่ลังเลทำสุดกำลัง ดังนั้น นามของฝั้นจงอันไม่เพียงขจรกระจายแค่ชั่วครั้งเท่านั้น แต่ยังเป็นที่กล่าวขานกันมานับร้อย ๆ ชาติ เพราะฉะนั้น "ลูกผู้ชาย" ถ้าเอามาเทียบกับฝั้นจงอันแล้ว สามารถกล่าวได้ว่า ไม่ขายหน้าเลย ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก ชั่วบาป  :  หญิงไม่อ่อนน้อม

อธิบาย   : 
ผู้หญิงที่ไม่อ่อนโยนลุมันละไมย ในคัมภีร์จริยธรรม (ลี่จี้) ว่า "ผู้ชายนำผู้หญิง  ผู้หญิงตามผู้ชาย"  และกล่าวว่า "ผู้หญิงเมื่อยังเด็กตามบิดาพี่ชาย  เมื่อออกเรือนแล้วให้ตามสามี  เมื่อสามีตายแล้วให้ตามบุตรชาย" โอวาทตระกูลหยวนว่า  "หน้าที่ของภรรยา คือดูแลการกินดื่มของบ้านกับเสื้อผ้าของพิธีกรรม หากว่าผู้หญิงมีปัญญาฉลาดเฉลียวก็ต้องช่วยเหลือสามี เกื้อหนุนสามีในส่วนที่บกพร่อง หากว่าดุร้ายข่มเหงสามี ยุ่งเกี่ยวเรื่องนอกบ้าน ก็เหมือนไก่ตัวเมียที่ร้องเหมือนนกในตอนเช้า ปากมากลิ้นยาวเหมือนนกแก้ว  การที่ครอบครัวไม่เจริญ ก็จะเริ่มต้นจากตรงนี้เอง

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ภรรยาของนายเฉินเลี้ยง นาวโห้ว นางเป็นคนอ่อนน้อมละมุนละไมย ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ นางก็จะเรียนสามีให้ทราบก่อนค่อยไปทำ นางดูแลบ้านด้วยวิธีการเยี่ยมยอด นางจะไม่ดุด่าตีบ่วไพร่ ถ้าบรรดาลูก ๆ มีที่จะดุว่าบ่าวไพร่ นางก็จะห้ามปรามลูก ๆ ว่า  "ความสูงต่ำของคน ถึงแม้จะมีความแตกต่าง แต่คุณสมบัติ กิริยามารยาท มีคุณค่าอย่างเดียวกัน !" เมื่อนายเฉินเลี้ยงเกิดโทสะขึ้น นางก็จะใช้วาจาดีตักเตือนอยู่ข้าง ๆ เพื่อให้สามีหายโกรธ  ใจคอสบาย  ถ้าหากลูก ๆ ทำผิด นางก็จะไม่คอยปิดบังให้  นางมักพูดว่า "การที่ลูกไม่ดี ล้วนเกิดจากมารดาคอยปกป้องปกปิด ตลอดจนลูกได้ทำผิดมีโทษ บิดาล้วนไม่รู้เรื่องเลย !" ต่อมาลูกของนาง 2 คน เฉินอี  และ เฉินอิ่ง  ล้วนเป็นมหาราชบัณฑิตที่มีชื่อเสียงในสมัยซ่ง มีตำแหน่งราชการสูงมาก หลังจากมรณภาพแล้วยังได้รับการนับถือตั้งบูชาในศาลเจ้าด้วย

คจิพจน์   :  เคล็ดลับสร้างบุญ จื่อเซียวกล่าวว่า "ไม่ว่าผู้หญิงหรอผู้ชาย ที่บำเพ็ญกุศลไม่แตกต่างกัน แต่เพราะผู้หญิงไม่มีเรื่องมาก ถ้าหากสามารถประพฤติ "สามตามสี่คุณธรรม" ได้ ก็นับเป็นผู้หญิงที่ดี ถ้าหากมีการบำเพ็ญกุศล ก็ให้ไปบอกให้พ่อแม่สามีไปบำเพ็ญก็จะดีกว่า  เพราะว่าพ่อแม่มีเรื่องกุศล 3 อย่าง ลูกสะใภ้ก็แบ่งไปหนึ่งอย่าง  ถ้าสามีก็มีการบำเพ็ญกุศลสองอย่าง  ภรรยาแบ่งไปหนึ่งอย่าง  ถ้าหากภรรยาได้บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว บุญกุศลที่ได้ก็เหมือนกับสามี ถ้าหากบุญกุศลที่ภรรยาทำได้บอกกล่าวล่วงหน้า จะมีคุณค่ามากกว่าบุญกุศลที่ภรรยาไปทำตามลำพังมากมายนัก  ระหว่างพี่สาวน้องสาว และสะใภ้ด้วยกัน หากมีการทำกุศล ทั้งเขาและเราต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน บุญกุศลนี้ ก็นับว่าเสมอเท่ากัน ที่สำคัญต้องเกิดใจปิติไปร่วมกันทำ ต้องไม่เกิดอิจฉาเลยนะ !  ถ้าหากผู้หญิงสามารถทำตัวอ่อนโยนละมุนละไมย ช่วยสามีสั่งสอนลูก ให้ถึงที่สุดของหน้าที่ และถ้าเชื่อมั่นในเหตุต้นผลกรรม ทานเจ สวดมนต์ ปัจจุบันกายใจก็สงบสุข ลูกหลานเจริญ ก่อนสิ้นลมก็จะได้รับการชักนำจากพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปสู่แดนสุขาวดี เพราะฉะนั้น ผู้หญิงเพียงบำเพ็ญอยู่บ้านอย่างเงียบ ๆ ไม่ค่อยออกไปเตร่รอบ ๆ อยู่ข้างนอก แบบนี้ก็จะไม่เสียเวลาอันมีค่าไปเปล่า ๆ และก็สามารถลดคำครหา นินทาจากผู็อื่น ถ้าหากลูกหลานเจ็บป่วย และต้องภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง และต้องเสียเงินเสียทองไปกับงานดังกล่าวมากมายแล้วทำไมยามปกติไม่บำเพ็ญกุศล ปล่อยชีวิตด้วยตนเองเล่า ก็จะได้รับการคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอง เพราะฉะนั้น เรื่องของครอบครัว ก็หวังให้เหล่าผู้หญิงบำเพ็ญกุศล สร้างบุญและส่งเสริมซึ่งกันและกัน ขยันทำไปเรื่อย ๆ !"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก ชั่วบาป  :  บ้านไม่กลมเกลียว

อธิบาย  :  สามีภรรยาไม่ถูกกัน

คติว่า  :  บ้านกลมเกลียวสรรพเรื่องก็เจริญ
โบราณว่า  "สามีภรรยากลมเกลียวกันแล้วบ้านก็เจริญ" ถ้าหากผู้หญิงไม่ได้เรียนหนังสือไม่เข้าใจเหตุผล หากมีตรงไหนไม่ถูกต้อง สามีก็ต้องอธิบายให้ชัดเจน แก้ไขชักนำเธอต้องไม่ปล่อยตามใจนาง และก็ไม่ควรโกรธหรือต่อว่า แต่ถ้าสามีเจอะภรรยาที่แข็งกระด้าง ร้ายกาจ อาจจะถูกนางข่มเหงรังแก แต่ถ้าเป็นภรรยาที่อ่อนโยนสมถะ แล้วกระทำป่าเถื่อนรุนแรง การที่รังแกคนดี แต่กลัวคนร้ายกาจ การตอบสนองของสามีเป็นเช่นนี้หรือ ?. ก็ถือเป็นสามีที่โง่เขลา รักใคร่เมียน้อย ทำอัปยศเมียหลวง หรือไปหลงนางโลมแล้วมาข่มเหงภรรยา ทั้งยังตบตีอีกด้วย สามีเช่นนี้มักไม่ได้ตายดีนะ ! 

นิทาน   :  นายกู่ไค้จะมีมารยาทกับภรรยาเขาอย่างมาก เขามักออกไปทำธุระแต่เช้าและกลับมาก็มืดค่ำแล้วภรรยาเขาจะเห็นหน้าเขาก็น้อยมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง นายกู่ไค้ป่วยหนักนอนอยู่บนเตียง ภรรยาเข้ามาดูเขาที่เตียง กู่ไค้ก็สั่งให้คนรับใช้ช่วยพยุงเขาขึ้นมาแล้วก็สวมหมวกใส่เสื้อคลุม แล้วก็ถามสารทุกข์สุกดิบกับภรรยา หลังจากคำนับต่อกันแล้วจึงเรียกภรรยากลับไปที่ห้อง

อธิบาย   :  ถ้าเราวิเคราะห์จากตรงนี้แล้ว ระหว่างสามีภรรยาจะไร้มารยาทต่อกัน แม้แต่สักครู่หนึ่งได้อย่างไร ถ้าหากสามีภรรยาปฏิบัติต่อกันด้วยมารยาทแล้ว มีหรือระหว่างสามีกับภรรยาจะไม่กลมเกลียวกัน !  แล้วการที่จะมีมารยาทต่อกันนั้นมันยากนักหรือ !  เพียงทำให้ได้กลมเกลียวโดยมีพิธี จะรักใคร่กันโดยเคารพต่อกันก็พอเพียงแล้วเอย !   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก ชั่วบาป  :  ไม่นับถือสามี

อธิบาย  : 
ภรรยาไม่นับถือสามี โบราณว่า "สามีนั้นคือฟ้าของภรรยา" สามีเป็นคนที่ภรรยาพึ่งพิงตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นภรรยาจะไม่นับถือสามีได้อย่างไร ภรรยาที่ไม่นับถือสามี ไม่ใช่ภรรยาโหด ก็เป็นภรรยาล้มละลาย การใช้วาจาร้ายด่าทอสามี หรือแช่งชักสามี หารู้ไม่ว่าผู้หญิงที่ลงมาเกิด ส่วนใหญ่เพราะชาติที่แล้วได้สร้างบาปเป็นเหตุ ถ้าหากยังจะรังแกสามี ตายแล้วก็ตกสู่ทางสามแพร่งนรกนา !  โดยเฉพาะสามีเพิ่งตายใหม่ ซากกระดูกยังไม่ทันเย็นก็คิดจะหาสามีใหม่ จงมองดูลูก ๆ ที่เกิดจากสามีเหมือนคนเดินร่วมทาง ทำไมนะพอสามีตายก็ยังไม่รู้สึกเสียใจเลย แล้วตอนสามีมีชีวิตอยู่นั้นเธอจะนับถือสามีหรือ ?.
นิทาน   :  นายตู้จือเป็นคนที่ใจเสาะอ่อนแอ ภรรยาของเขานางจาง จึงดูแลเขาตลอดมา เมื่อแก่ตัวลงเขาก็เจ็บป่วยเป็นประจำ ภรรยาก็ไม่ดูแลเขาเลย พูดแล้วก็แปลก นางจางกลับตายก่อนนายตู้จือ หลังจากบรรจุศพนางจางแล้วโลงศพก็แตกออกทันที นางจางกลายเป็นงูเหลือม เลื้อยไปตามพื้นเข้าไปในป่า
อธิบาย   : โอ !  ที่โบราณว่า "สามีนั้นคือฟ้าของภรรยา" เพราะฉะนั้นการดูแลสามีก็เหมือนการดูแลฟ้านะ !  หรือว่าฟ้าก็จะดูแคลนได้ ! ขอคนที่เป็นภรรยาตรึกคิดให้ดี ๆ นะ !  วิธีการที่ภรรยานับถือสามีไม่มีอะไรเทียบเท่า  จารีตปรนนิบัติสามีและการอบรมสั่งสอนลูก เรื่องทั้งสองเป็นเรื่องสำคัญมากดังที่พูดกันว่า "หญิงเหล็กไม่มีสองสามี" หญิงหม้ายรักษาจารีตเพื่อสามี แม้แต่ผีเทพก็จะนับถือหล่อน ตัวอย่างในสมัยหมิง บัณฑิตหวงกวงในสงครามจิงคัง ภรรยาเขานางเอ็งและลูกสาว 2 คนถูกจับ นางเอ็งต้องการหนีความอัปยศอดสู จึงหาโอกาสหลบหนีพร้อมลูกสาว แล้วไปกระโดดน้ำตาย นางเอ็งกระทำสุดจารีตเพื่อสามีเช่นนี้ จึงเป็นที่เทิดทูนมานานนับหมื่นปี แม้ปัจจุบันที่เมืองฉิน ข้างแม่น้ำเหวยเหอ ในศาลเจ้ายังตั้งป้ายวิญญาณนางเอ็งให้ผู้คนมาบูชา  อีกเรื่องหนึ่ง บิดาของนายโอวหยางซิว สมัยซ่ง เสียชีวิตตอนเขามีอายุ 4 ขวบ มารดาเจิ้นฮูหยินก็รักษาจารีตเพื่อสามี ชีวิตมีความลำบากมาก นอกจากต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวแล้ว ยังต้องสอนหนังสือลูกด้วยตนเอง ทนทุกข์ยากลำบาก ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้โอวหยางซิว มุ่งมานะต่อการเรียนมาก ในที่สุดก็กลายเป็นมหาอำมาตย์ที่สามารถในสมัยซ่ง ส่วนนางเจิ้นฮูหยินก็ได้รับการสถาปนาเป็นท่านผู้หญิงรัชเหย่ก๊ก และอุ้ยก๊ก คดีทั้งสองเกี่ยวกับการนับถือสามีเป็นแบบอย่างให้กับผู้ที่เป็นภรรยาเขา ควรที่จะเอาเรื่องนี้เป็นแบบอย่างให้พากเพียรเองเถิด !

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”