collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144220 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  สร้างข่าวใส่ร้ายทำลายเขา

อธิบาย   :  สร้างคำพูดไม่ดีเป็นการกระทำชั่ว แล้วใส่ร้ายป้ายสีเพื่อทำลายเขาตามอำเภอใจ แม้ผู้อื่นจะทำผิดมาแล้ว เราควรหาวิธีช่วยปกป้องเขาด้วย ถ้าคนไม่มีความผิดกลับสร้างข่าวลือใส่ร้าย ทำลายเขา ความชั่วร้ายแบบนี้ยิ่งกว่าอาวุธหรือเสือสุนัขจิ้งจอกเสียอีก  ลองคิดดูซิเมื่อคนไม่มีโทษบาป แต่ถูกอันธพาลสร้างข่าวใส่ร้าย คนที่เขาไม่รู้เรืองก็จะพูดร้ายตามด้วย คนที่ได้ฟังข่าวก็แยกไม่ออกว่าใครถูกใครผิด ทำให้คนดีกับคนชั่ว คลุกเคล้ากันจนแยกไม่ออก บางครั้งก็กระทบกับหน้าที่การงาน บางครั้งกำลังจะได้ตำแหน่งหรือเลื่อนขั้นก็พลอยพลาดหวัง มันเป็นความเจ็บปวดสาหัสของบัณฑิตทีเดียว !
        พุทธพจน์ว่า   :  การสร้างบาปใส่ร้าย ตายไปแล้วตกนรกอาวุธมีดและถอนลิ้น และยามมีชีวิตก็ถูกฆ่าทำร้ายได้ง่าย ตลอดจนร่างกายทุพลพาธเป็นผลกรรมตอบสนอง "  กลอนโบราณว่า "คำติฉินนินทาไม่ควรฟัง ฟังแล้วก่อภัยพิบัติ ราชาฟังข้าบาทต้องสำเร็จโทษ พ่อฟังลูกต้องตัดสิน สามีภรรยาฟังลูกต้องแยก พี่น้องฟังต้องจาก เพื่อนฝูงฟังก็เหินห่าง ญาติ ๐ ฟังก็ตัดขาด ร่างกายสูงเจ็ดฟุต อย่าฟังเจ้าเจ้าลิ้นสามนิ้ว บนลิ้นมีธารมังกรฆ่าคนไม่มีเลือด"  ผลภัย
ของการติฉินนินทาร้ายแรงขนาดนี้ เมื่อฟังคนติฉินนินทาร้ายแรงขนาดนี้ เมื่อฟังคนติฉินนินทาแล้วจะไม่ระวังแยกแยะหรอกหรือ ?.

นิทาน   :  นายเฉินเหลียงหมอสมัยหมิง พูดว่า "เมื่อก่อนตอนได้ไปราชการไปตรวจการที่อำเภอกงอัน มีคนแซ่ไป่ยเป็นอาจารย์ไปสอนที่เมืองหลวง ภรรยาเขาชอบทำกุศล เคยเอาชื่อของเขาเขียนบนบทความและก็บริจาคเงินให้กับนางชีหนึ่งตำลึง โดยให้ใช้ด้ายปอยาวหนึ่งโยชปักบทความบนธงทิว ก็ให้บังเอิญภรรยานายพงเพื่อนร่วมงานของอาจารย์ไป่ย มาเยี่ยม เห็นข้อความบนธงทิวก็ตกใจพูดว่า "ข้าราชการครูไปมาหาสู่กับนางชี เกรงว่าจะกระทบงานของข้าราชการ" ภรรยาอาจารย์ไป่ยได้ยินก็เชื่อว่าเป็นจริงว่า จากนี้ไปอนาคตข้าราชการของสามีคงจบสิ้นแล้ว ใจคอไม่สบาย รอคอยสามีกลับจากสอบไม่ติดกลับมา เขาจึงเอาผ้าปอมาทำเสื้อและตัดธงทิ้ง ภรรยารู้สึกเสียใจมากจึงแขวนคอฆ่าตัวตาย
        พอดีข้าได้ยินเรื่องนี้เข้าจึงไปถามนายอำเภอ ๆ จึงเล่าเรื่องให้ฟัง ข้ารู้สึกสงสารอาจารย์ไป่ยที่พบโศกนาฏกรรมของภรรยา !  ต่อมาสำนักศึกษากำลังพิจารณาตำแหน่งอาจารย์ เขาพูดกับเขาว่า "อาจารย์ไป่ยกับภรรยาเพื่อนร่วมงานเกิดมีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นภรรยาเขาจึงไม่พอใจและมักทะเลาะกันบ่อย ๆ อาจารย์ไป่ยโกรธมากจึงบังคับภรรยาฆ่าตัวตาย บาปกรรมอันนี้ ฟ้าดินก็ไม่เก็บไว้" ข้าจึงเล่าเรื่องอาจารย์ไป่ยที่รู้มาให้ทางสำนัก ท่านหลินกงฟังแล้วรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย ระหว่างการพิจารณาตัดสินไม่ได้อยู่นั้น ข้าก็พูดกับท่านหลินกงว่า "ไม่รู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ไป่ย ท่านเชื่อใคร ถ้าหากคนนี้เป็นบัณฑิตตรง เรื่องที่เขาเล่าก็เชื่อได้ ถ้าเขาไม่ใช่บัณฑิตตรงก็ขอให้ท่านตรวจสอบให้รอบคอบอีกที"  เจ้าพูดถูก ! จึงเอาพู่กันขึ้นมาลบรอยขีดบทความของอาจารย์ไป่ยออก ต่อมาอาจารย์ไป่ยได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ของกั๊วจื่อหลัน แล้วข้าก็ไปเป็นผู้ตรวจการเมืองฟูเจี้ยน เป็นประธานตรวจสอบเมืองฟูเจี้ยน" ต่อมาได้พบท่านหลินกงที่ฟูเจี้ยน หลินกงชี้ไปที่ข้างบ้านแล้วพูดกับข้าว่า "เจ้าของบ้านสกุลอู๋ เคยรับตำแหน่งเป็นอาจารย์ที่อำเภอกงอัน เป็นเพราะเขานินทาใส่ร้ายอาจารย์ไป่ย เป็นคนจิตใจไม่ตรง เป็นเพราะข้าได้ฟังคำพูดของเจ้าแล้ว จึงกระจ่างแจ้ง ต่อมาอาจารย์อู๋เลื่อนไปสอบที่เจียงซีและก็ถูกเพื่อนร่วมงานนินทาใส่ร้าย จึงถูกออกจากราชการ เขาจึงกลับบ้านเกิด ระหว่างทางผ่านทะเลสาบเซินหยางเกิดเรือพลิกคว่ำจมน้ำตาย เดี๋ยวนี้ทางบ้านก็ตกต่ำมาก 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  กล่าวร้ายเขายกตนตรง

อธิบาย   :  นินทากล่าวร้ายคนดี แล้วยกย่องตนเองว่าเป็นคนตรง บัณฑิตผู้ตั้งตนปฏิบัติต่อโลก ต้องทำให้ตนเองตรงไม่เลวร้าย แม้แต่น้อยจึงนับว่าตรงจริง เมื่อตนเองยังไม่สามารถปฏิบัติตัวให้ตรงได้แล้ว กล่าวร้ายผู้อื่นทั้งยังยกย่องตนเองเป็นคนตรง คนเช่นนี้มโนธรรมของเขาตายไปแล้ว ยังยกตนว่าตรงได้อย่างไร คนที่ตรงจริงเขาจะมีใจภักดีอย่างยิ่ง วาจาที่ควรพูดเขาก็จะพูด ๆ แล้วทำให้ผู้อื่นรู้จักแก้ไข แต่คนที่กล่าวร้ายทำลายเขา ทำให้ชื่อเขามัวหมองการปลดปล่อยอารมณ์โกรธของตนเองแถมยังเข้าใจตนเองว่าเป็นคนตรง คนแบบนี้น่าแค้นนัก !  ท่านเหลาจื้อว่า "ความฉลาดที่สุดต้องสามารถเป็นคนที่ตรวจได้ชัดเจนลึกซึ้ง กลับไม่มีอารมณ์เหมือนคนเป็นคนที่เอาตนเองถล่มจมสู่สภาพที่อับจน นี่หมายถึงคนที่ชอบเสียดสีเหน็บแนมวิพากษ์วิจารน์คนอื่น" คุณเฉินอี้ฉวนพูดว่า "บัณฑิตปฏิบัติต่อผู้อื่น ควรจะมีความผิดไปแสวงหาความไม่ผิด ไม่ควรจะไม่มีความผิดแล้วไปแสวงหาความผิด ! หากต้องการแสวงหาเพื่อตนเอง นั่นคือกลับกันพอดี" โอ้ ! คนในโลกก่อวจีกรรมนับไม่หมด เพราะฉะนั้นท่านไท่ชั่งจึงเข้มงวดห้ามแล้วห้ามอีก ! 

นิทาน   :  ในสมัยหมิง องครักษ์หวังอุ้ย ได้รับการสนับสนุนจากอูเซียนซิ่วเป็นมหาดเล็ก หวังอุ้ยถือโอกาสที่อูเซียนทำความผิดครั้งหนึ่งจึงแอบถวายรายงานฟ้องฮ่องเต้จิ่งตี้ เพื่อใส่ร้ายอูเซียน เพื่อแสดงตนเองว่าเป็นคนซื่อตรง แต่ขณะนั้นอูเซียนได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้มาก ฮ้องเต้จึงเรียกอูเซียนเข้าเฝ้าแล้วเอารายงานของหวังอุ้ยให้กับเขา อูเซียนคุกเข่ากราบขอรับโทษ ฮ่องเต้ว่า "ข้ารู้จักเจ้าดี เจ้าก็ไม่ต้องเสียใจเพราะเหตุนี้" หลังจากอูเซียนถอยออกมาแล้ว หวังอุ้ยก็เข้าไปถามเขาว่า "พระองค์ตรัสอะไรกับท่านบ้าง" อูเซียนไม่ตอบ หวังอุ้ยก็ถามอีก อูเซียนจึงยิ้มพูดว่า คนแก่มีอะไรไม่ถูก ก็ขอให้บอกกับข้าต่อหน้า ข้าต้องยอมรับฟังแน่ ๆ เธอทำไมต้องอดทนไปทูลความผิดของข้าต่อฮ่องเต้เล่า ?."  เสร็จแล้วก็เอารายงานที่แอบถวายส่งให้เขาดู หวังอุ้ยหวาดหวั่นตกใจมากจนไม่มีที่จะมุดหน้า อูเซียนก็หัวเราะและยังปลอบประโลมเขา !   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ด่าเทพเจ้ายกตนดี

อธิบาย   :  การลบหลู่ด่าทอเทพเจ้า แล้วยกย่องตนดี  คุณธรรมโบราณว่า  : "ฉลาดซื่อตรงเรียกเทพเจ้า"  บัณฑิตปฏิบัติต่อเทพเจ้าล้วนมีใจเคารพนับถือเกรงกลัว  แต่พวกอันธพาลกล้าที่จะลบหลู่เหยียดหยามและก็ยกตนว่าตรงไม่ร้าย สามารถให้ผีเทพยอมตนได้ กลับไม่รู้ว่าเมื่อใจตนไหวเกิดความคิด เห็นแก่ตัววางแผนร้ายก็ถูกผีเทพจับตามองนานแล้ว เป็นการกวักเอาวินาฏกรรมด้วยตนเอง

นิทาน   :  เจิ้นเจียงมาร้านขายเค้ก วันหนึ่งเจ้าของสกุลอู ลูกชายเป็นฝีดาษไป เจ้าของร้านจึงเขียนคำร้องเตรียมจะไปที่ศาลหลักเมือง เพื่อฟ้องร้องเทพฝีดาษ แต่ภรรยาเขาก็แย่งคำร้อง แล้วเผาที่หน้าหิ้งบูชาเทพเจ้า คืนนั้นเจ้าของร้านก็ฝันว่า ตนเองถูกยมทูตพาไปยมโลก ศาลเจ้าหลักเมืองพูดกับเขาว่า "เทพเจ้าที่บ้านบอกข้าว่าเจ้าได้เขียนคำร้องจะฟ้องร้องเทพฝีดาษ เทพฝีดาษไปทำอะไรเจ้าหรือ ?."  เถ้าแก่อูพูดว่า  "เทพฝีดาษมาทวงเครื่องเซ่นไหว้จากฉัน ฉันไม่ได้ตอบตกลง เทพฝีดาษจึงเอาลูกจ้าถึงตาย !" ไม่นานนัก ไม่นานนัก เทพฝีดาษก็มาที่ท้องพระโรงแล้วรายงานต่อศาลเจ้าหลักเมืองว่า "ชะตาของลูกชายเขาขาดไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทพน้อยอย่างข้าเลย !" เทพศาลเจ้าหลักเมืองจึงตัดสินว่า "เห็นแกประชาชนไม่รู้ ก็มอบให้นายอำเภอเมืองหยางลงโทษ  ตีเขา ๒๐ ไม้  เจ็บป่วย ๑ เดือน  เป็นการสั่งสอน"  ขณะนั้นหยางจูถึงเป็นนายอำเภออยู่ วันรุ่งขึ้น เถ้าแก่อูขณะเปิดประตูร้านก็ให้พอดีนายอำเภอหยางผ่านมา โดยไม่ได้เจตนาก็ไปทำร่มที่เจ้าพนักงานถืออยู่ขาด ด้วยเหตุนี้เถ้าแก่อูจึงถูกนายอำเภอทำโทษโบย ๒๐ ไม้ หลังจากนั้นเถ้าแก่อูก็ล้มป่วยนอนเตียงนานถึงหนึ่งเดือน จึงจะหาย

อธิบาย   :  ต้องรู้ไว้ว่ากฏหมายบ้านเมืองกับฝีดาษ สนับสนุนกันอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าทำผิดได้โทษจากผีเทพ ก็จะได้โทษจากบ้านเมืองด้วย ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ละทิ้งธรรม ทำชั่ว

อธิบาย   :  ละทิ้งธรรมหกที่ต้องน้อมปฏิบัติ กลับไปฝึกฝนทำชั่วหกประการ  คุณเหวยสือสี ในสมัยโจวกล่าวว่า "ราชามีธรรม ข้าบาทจงรักภักดี  บิดาเมตตาบุตรกตัญญู  พี่รักใคร่น้องเคารพ  นี่คือธรรมหก 

        ต่ำต้องขีดขวางสูงศักดิ์  ผู้น้อยข่มเหงผู้ใหญ่   ญาติห่างละเว้นสนิทสนม   มีคนใหม่ละเว้นคนเก่า   เล็กกลับเพิ่มใหญ่   เสพกามกลับขาดน้ำใจ  นี่คือทำชั่วหก

        ถ้าคนเราละทิ้งธรรมหกและไปทำชั่วหก  ก็เป็นการกวักหาภัยเคราะห์เร็วยิ่งขึ้น"  ในซูจิงว่า "คุณความดีเสริมสิริมงคล ความชั่วกวักภัยอันตราย"  หมายความว่า ถ้าคล้อยตามธรรมก็จะเป็นสิริมงคล  ถ้าขัดขืนธรรมก็จะก่อเกิดภัยอันตราย  ยังกล่าวอีกว่า  "คล้อยตามฟ้าเจริญ  ขืนฟ้าดับสลาย"  ผู้ฝึกคล้อยตามธรรมก็จะภักดีกตัญญู เป็นอริย เป็นปราชญ์  คนขืนทำชั่วก็จะโหหดเหี้ยม กลายเป็นโจร  การทิ้งธรรม ทำชั่วก้อยู่แค่หนึ่ง ขณะความคิดนั้น ก็ตัดสินใจว่า เป็นภัยเคราะห์หรือบุญวาสนา  แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน  จะไม่ระมัดระวังหรอกหรือ ! 

นิทาน   :  ที่อำเภอเหวินอันเมืองปาโจว ชาวเมืองนายเซียวฟงจื่อ มีนิสัยกล้าหาญแข็งแรงมาก เขากับนายหลิวลิ่วและหลิวซี พร้อมพรรคพวกรวมตัวเป็นแก๊งโจร  ปล้นจี้ไปทั่ว  ทั้งยังสะสมสมุนแบ่งสายพวกโจรไปโจมตีเมือนเหอหนาน เมื่อเขาโจมตีเมืองปี่หยางได้ เขาก็พากันขุดที่ฝังศพของบรรพชนชาวเจียวฮวงทั้งหมด แถมพูดว่า "ถ้าสามารถฆ่าเจียวฮวงด้วยมือตนเองได้ ก็จะขอบคุณใต้หล้าได้ ! "  ไม่นานนัก ลูกน้องของเซียวฟงจื่อ ถูกกองทหารไล่ตีจนพ่าย เขาก็หันไปปล้นที่ลิ่วอัน  หลู่จิง  ทหารก็ไล่ตามตี  เซี่ยวฟงจื่อหนีจนตรอก ก็ไปแย่งใบอนุญาตบวชพระ จึงโกนหัวเป็นพระปลอม แต่ก็ถูกจับได้ เขาถูกแร่เนื้อทำเป็นลูกชิ้น ส่วนหลิวลิ่วกับหลิวชีก็หนีไปที่กงโจว เขาไปอยู่ป่า บังเอิญเกิดพายุ ทรัพย์ที่ปล้นถูกทำลายหมด

อธิบาย   :  ต้องรู้ว่าการฝืนทำชั่วมี ๒ แบบ  แบบที่ ๑ คือข้าบาทและลูก  ฝืนทำชั่วต่อราชบิดา  อีกแบบคือเป็นโจรที่ทำร้ายประชาชน  เรื่องราชาบุตรเคยพูดไปแล้ว ในบทนี้จึงูดแต่โจร จุดมุ่งหมายให้คนเคารพคล้อยตามธรรม เพื่อรักษาตนรักษาครอบครัว ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เมินญาต  คบคนนอก

อธิบาย   :  หันหลังเมินญาติที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง แล้วไปคบหาเอาใจคนนอกสกุลมาเป็นญาติพี่น้อง การเมินญาติคบคนนอก ไม่ใช่มีเพียงด้านเดียวเท่านั้น อย่างเช่นข่มเหงบิดบังพ่อแม่ตนเอง แต่แอบเอาของไปให้บ้านภรรยา ปฏิบัติต่อพ่อแม่ตัวเองกับพี่ชายน้องชายตนเองก็ถือสาหาความ กับเพื่อนคนข้างนอกก็ใจกว้าง  มีน้ำใจแต่ไม่เป็นห่วงญาติตนว่าจะยากจนลำบากหรือไปเอาหรือรับคนอื่นมาเป็นคนในสกุล คนที่ตนเองควรสนิทสนมกลับหมางเมินออกห่าง !  ท่านขงจื่อว่า "ไม่รักพ่อแม่ของตนเองไปรักคนอื่นเสียกว่า เป็นการฝืนคุณธรรม  ไม่เคารพพ่อแม่ตนเองไปเคารพผู้อื่น เรียกว่าฝืนจริยธรรม" ปัจจุบันมีคนหมางเมินเหินห่างพ่อแม่ไปหาคนนอก ไม่ใช่เป็นเพราะบุญคุณ ความแค้นหรือลำเอียงเห็นแก่ตัว หากแต่เริ่มจากน้ำใจที่เย็นชา แปรเปลี่ยนจนเกิดการแบ่งแยก อย่างนี้เป็นการฝืนคุณธรรม จริยธรรม นับว่าร้ายแรงมาก ถือเป็นบาปหนัก ผลตอบสนองก็จะร้ายแรงนะ ! 

นิทาน   :  โจวฉงไปเข้าสอบหลายครั้งก็ยังสอบไม่ได้ จึงไปหาท่านเจ้าเจียง ไปกราบโจวจีเป็นบิดา ทุกวันจะคลุกอยู่กับลูก ๆ ของโจวจี ใช้ชื่ออำพรางว่าเป็นคนของโจวจี พอถึงปีรุ่งขึ้น โจวฉงที่อาศัยชื่อนี้ไปสอบได้เป็นจี่เหยิน  จากนั้นมาก็ไม่กลับบ้านอีกเลย บิดาของเขาเขียนกลอนมาด่าว่าลูกชายจนโจวฉงรู้สึกอับอายจนตาย 

นิทาน   :  ในสมัยหมิง นายไป่ยซี เพราะไม่มีลูกของตนเอง จึงไปอุ้มลูกคนฆ่าสัตว์มาเป็นลูก เขาไม่เอาหลานของตนมาสืบสกุลรับมรดก ต่อมาเมื่อไป่ยซีตายไปแล้ว ที่บ้านเขาก็บังเอิญมีแขกคนหนึ่งมาขอพักที่บ้านเขา กลางคืนแขกก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้าออก  จึงลุกขึ้นมาแอบมองจากช่องแตกของฝาผนังเห็นมีคนทั้งหญิงชาย เป็นคนหลายรุ่นเดินวนไปวนมาเหมือนหาอาหาร เหมือนว่าหิวมานาน ไม่มีของกิน ต่อมาก็ยังมีเห็นอีกคนหนึ่ง ที่แหนบมืดฆ่าสัตว์ไว้ เดินเข้ามาไม่นานนัก เหมือนกับว่าเขาได้กินอิ่มท้องจนยื่นตึง แล้วก็เดินออกไป  แต่พวกหญิงชายคนหลายรุ่นล้วนแอบอยู่ที่ใต้โต๊ะพูดว่า "แย่แล้ว ! พวกเราไม่มีอะไรจะกินแล้ว โอ้ !  ทำไมทุกข์อย่างนี้ "  พูดจบพวกเขาก็เดินโซเซออกไปจากบ้าน
        วันรุ่งขึ้น ฟ้าสว่างแล้ว แขกคนนี้ก็ถามคนใช้ว่า "เมื่อคืนที่บ้านทำอะไรกันหรือ ?" คนใช้พูดว่า "เมื่อค่ำวานนี้ เจ้าของบ้านฉันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ"  แขกผู้นี้จึงเข้าใจเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ว่า คนที่มีมีดคนนั้นเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเจ้าของบ้าน แต่พวกหญิงชายหลายรุ่นเหล่านั้น คือบรรพบุรุษของสกุลไป่ยนั้นเอง แขกคนนั้นถอนหายใจแล้วก็จากบ้านสกุลไป่ยไป

~~~ จบเล่ม 3 ~~~   ~~~~~ โปรดติดตามเล่ม 4 ตอนจบ.~~~~~ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                                      คำนำ

        คัมภีร์กั้นอิ้งเพียน หรือ คัมภีร์กรรมสนอง เล่มที่ ๔ นี้เป็นเล่มจบสมบูรณ์ สำหรับท่านที่ติดตามอ่านจากเล่ม ๑ จนถึงเล่ม ๔ ท่านก็พอจะเข้าใจถึงถ้อยคำที่ท่านศาสดาศาสนาเต๋าหรือศาสนาธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เมื่อท่านธรรมาจารย์จิ้งคงได้กรุณาบากบั่นอธิบายแต่ละถ้อยคำและได้ยกตัวอย่างนิทานที่เกิดขึ้นจริง เพื่อเป็นพยานหลักฐานยืนยันต่อถ้อยคำของท่านเหลาจวิน ถึงแม้จะเป็นคัมภีร์ต่างศาสนากันก็ตาม แต่เป็นเพราะความมีสาระของคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน ที่เน้นให้ประชาชนมีหลักในการปฏิบัติบำเพ็ญทั้งทางกาย วาจา และใจ ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากเหตุต้นผลกรรมของทางพุทธศาสนาเลย   แต่ที่สำคัญของศาสนานี้ก็คือ นอกจากละเเว้นการทำความชั่วแล้ว แม้จะเป็นความชั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ต้องละเว้นไม่ให้ทำ และส่งเสริมให้ทำความดี แม้จะเป็นความดีเพียงเล็กน้อยก็ตามเพราะเป็นการสั่งสมบุญวาสนา ในตอนท้ายของคัมภีร์ ท่านไท่ซั่งจะกล่อมเกลาให้คนที่เคยทำชั่วให้รู้สึก แก้ไข ท่านยังกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า หากใจเริ่มใฝ่ดีเท่านั้น แม้ว่ายังไม่ทันได้ลงมือกระทำความดีเลยเทพดี ๆ ก็จะคอยติดตาม ตรงกันข้าม หากใจคิดใฝ่ชั่ว แม้ว่ายังไม่ทันลงมือทำชั่วเลย เทพชั่วก็ติดตามเสียแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่เคยทำชั่วมาก่อนแล้วสำนึกผิด แล้วแก้ไขเสียไม่ทำชั่วอีก แล้วลงมือทำไปเรื่อย ๆ โชคลาภมงคลก็จะเผยปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์ ภัยพิบัติที่เดิมต้องได้รับก็จะอันตรธานหมดไป มีบุญวาสนาเข้ามาแทนที่
        เพราะฉะนั้น คนดีคนชั่วไม่ได้ขึ้นอยู่กับยากดีมีจนแต่อย่างไร ขึ้นอยู่ว่าตนจะเลือกทางไหน ไม่ว่าทางไหนก็จะเป็นกรรมสนองทั้งนั้น  คัมภีร์นี้จึงเหมาะทั้งคนอัจฉริยะและคนธรรมดาที่ต้องถือปฏิบัติทั้งสิ้น
        ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ถ้าท่านได้อ่านจบแล้ว ต่อไปก็อ่านเฉพาะตัวคัมภีร์อย่างเดียววันละหนึ่งเที่ยว เพื่อเตือนสติให้ใฝ่ดีอยู่เสมอก็เชื่อได้เลยว่า ท่านจะประสบแต่บุญวาสนา มีงานมงคลล้นเหลือ เคราะห์ภัยหลีกหาย  ครอบครัวจะมีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น จะมีลูกหลานดี ๆ ให้ชื่นชม  ยิ่งท่านมีจิตศรัทธาบริจาคไม่ว่าจะเป็นแรงกายก็ดี  พูดจาดี ๆ ตักเตือนคน  หรือท่านที่มีกำลังทรัพย์ช่วยพิมพ์เพื่อให้แจกจ่ายได้กว้างไกล ก็จะเป็นการคุ้มครองบุญวาสนาให้ยาวนานยิ่งขึ้น 
        สุดท้าย  ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ทางพุทธสถานเหลียงเต๋อถัง จะจัดพิมพ์รวมเป็นเล่มเดียว และเป็นปกแข็งในโอกาสหน้า เพื่อให้หนังสือเล่มนี้คงอยู่ได้นานเท่านานสืบไป หากท่านมีใจศรัทธาจะร่วมสร้างหนังสือเล่มนี้ ก็สามารถติดต่อได้ตามที่อยู่ด้านหน้า จึงเรียนมาเพื่อทราบ

                          ด้วยความเคารพ

                            ธรรมบัญชา

                     ๑๘  กรกฏาคม  ๒๕๔๙

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

        ไท่ซั่งกล่าวว่า  ภัยพิบัติบุญวาสนาไร้ทวาร สุดแต่คนกวักหา บาปบุญตอบสนอง เหมือนเงาตามตัว ด้วยฟ้าดินมีเทพเจ้าปกครอง อิงการกระทำหนักเบาของมนุษย์ เพื่อลงโทษตัดขัย ตัดขัยให้ยากจนประสบทุกข์ลำบากบ่อย ผู้คนก็รังเกียจ ต้องโทษวิบัติตามมา มงคงโชคลาภดับหาย ดาวร้ายภัยตามขัยสิ้นก็ตาย  ยังมีเทพเจ้าดาวเหนือสามองค์ อยู่เหนือศรีษะมนุษย์ บันทึกชั่วบาปคอยตัดอายุขัย ยังมีเทพอีกสามตนอยู่ในตัวคน เมื่อถึงวันแกชิง (ทุก ๆ ๖๐ วันจะมีวันแกชิง ๑ วัน หนึ่งรอบ = ๑๒ ปี)  ขึ้นทูลพระเจ้าเบื้องบนรายงานความชั่วบาปของมนุษย์ในวันสิ้นเดือน เทพแห่งเตาไฟก้เช่นกัน ผู้มีความผิดมหัน
ต์ตัดขัยหนึ่งรอบ  ลหุตัดขัยร้อยวัน  ความผิดมากน้อยมีมากถึงร้อย อยากมีอายุยืนต้องหลีกเลี่ยงเอย  เห็นธรรมให้เดินหน้า ไม่ใช่ธรรมให้ถอย  ไม่ดำเนิน
ทางชั่ว  ไม่แอบรังแกข่มแหง  สั่งสมบุญกุศล  ใจเมตตาต่อสัตว์  จงรักภักดีกตัญญู  ให้รักญาติมิตร  ให้ตนตรงอบรมผู้อื่น  สงสารผู้หม้ายกำพร้ายากไร้  เคารพอาวุโส  ห่วงใยผู้เยาว์  ไม่ทำร้ายหนอนหญ้าต้นไม้  ต้องสงสารผู้เคราะห์ร้าย  ยินดีกับผู้ทำ  ช่วยเหลือผู้คับขัน  ฉุดช่วยผู้อยู่ในอันตราย  เห็นเขาได้ดีเหมือนตนได้ดี  เห็นเขาสูญเสียเหมือนตนสูญเสีย  ไม่โพนทนาความชั่วเขา  ไม่โอ้อวดความดีตน  หยุดยั้งเรื่องชั่วเผยแผ่เรื่องดี  ให้มากรับน้อย  รับอัปยศไม่แค้น  รับความรักดุจความหวาดกลัว  ทำคุณไม่หวังผลตอบ  ให้เขาไม่นึกเสียใจ  ที่ว่าเป็นคนดี  คนให้ความเคารพ  ธรรมแห่งฟ้าคุ้มครอง  งานที่ทำก็สำเร็จ  เป็นเทพเซียนปรารถนาได้  อยากเป็นเทพเซียนดิน  ต้องทำความดีสามร้อยกุศล 
       
         หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง  กระทำละเมิดธรรม  ถือชั่วว่าสามารถ  ทนทำชั่วร้ายได้  แอบทำร้ายคนดี  ข่มแหงราชาพ่อแม่ลับหลัง  หยิ่งยโสครูบา  ละทิ้งหน้าที่  หลอกคนไม่รู้  ลวงเพื่อนร่วมเรียน  ใส่ร้ายล่อลวง  โจมตีวงศ์ตระกูล  อันธพาลไม่การุณย์  ป่าเถื่อนตามอารมณ์  ถูกผิดไม่ถูกต้อง  เข้าหาชั่วหันหลังดี  กดขี่เอาชอบ  ประจบนายพอใจ  รับคุณไม่รู้  บ่มแค้นไม่หยุด  ดูแคลนประชาชน  ก่อกวนการปกครอง  ระวังคนชั่ว  ลงทัณฑ์ผู้บริสุทธิ์  ฆ่าคนชิงทรัพย์ใช้เล่ห์แย่งตำแหน่ง  เข่นฆ่าผู้ยอมแพ้  ขับคนดีไล่ปราชญ์  รังแกกำพร้าข่มแหงหม้าย  ละกฏรับสินบน  เอาตรงว่าคด  เอาคดว่าตรง  โทษเบาเป็นหนัก  เห็นประหารเพิ่มโทสะ  รู้ผิดไม่แก้  รู้ดีไม่ทำ  โยนผิดให้คนอื่น  ปิดบังวิชา  ใส่ร้ายอริยปราชญ์  ทำร้ายคุณธรรม  ยิงนกล่าสัตว์  คุ้ยหนอนทำนกตกใจ  อุดรูทำลายรัง  ทำร้ายครรภ์ทุบไข่

        อยากให้เขาเสียหาย  ทำลายความสำเร็จของเขา  ให้เขาอันตรายตนสุข  ลดเขาประโยชน์ตน  เอาชั่วไปแลกดี  ดีตนทำลายส่วนรวม  ขโมยผลงานเขา  ปิดบังความดีเขา  เปิดโปงความชั่วเขา  เปิดเผยความลับเขา  ผลาญทรัพย์สินเขา  พรากสายเลือดเขา  แย่งของรักเขา  ช่วยเหลือเขาำทำชั่ว  อวดอำนาจข่มขู่  ทำอัปยศเพื่อชัยชนะ  ทำลายไร่นาเขา  ทำลายการแต่งงานเขา  พอรวยก็ยิ่งยโส  หลบเลี่ยงไม่ละอาย  เหมาเอาคุณป้ายความผิด  โยนเคราะห์ขายชั่ว  ซื้อยศจอมปลอม  หน้าเนื้อใจเสือ  ขัดขวางความดีเขา  ปิดบังความชั่วตน  ใช้อิทธิพลข่มขู่  ทำลายฆ่าป่าเถื่อน  ตัดผ้าไร้เหตุ  ฆ่าสัตว์ไร้จริยธรรม  ทิ้งขว้างธัญพืช  เคี่ยวเข็ญประชาชน  ทำลายครอบครัวเขาเพื่อชิงทรัพย์สิน  ปล่อยน้ำวางเพลิงเพื่อทำลายประชาชน  ทำลายแผนการณ์ให้เขาล้มเหลว  ทำลายเครื่องมือไม่ให้เขาใช้  เห็นเขาได้หวังเขาฉิบหาย  เห็นเขาร่ำรวยอยากให้เขาล้มละลาย  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน  เป็นหน้เขาหวังให้เขาตาย  ขอร้องเขาไม่ได้ก็แค้นเกิดสาปแช่ง  เห็นเขาล้มเหลวก็ว่าเขาทำชั่ว  เห็นเขาไม่สมประกอบก้หัวเราะใส่  เห็นเขาสามารถควรยกย่องกลับทับทม  ใช้มนต์ดำฝังรูป  ใช้ยาฆ่าต้นไม้  โกรธแค้นครูอาจารย์  ขัดต่อพ่อพี่

        ใช้แรงขู่เข็ยเอา  ชอบรุกรานชอบแย่งชิง  ปล้นจนร่ำรวย  ใช้เลห็หาก้าวหน้า  ให้รางวัลลงโทษไม่เสมอกัน  เสพสุขเกินเลย  ทารุณผู้ใต้บังคับ  ข่มขู่เขาหวาดกลัว  โทษฟ้าโทษคน  ว่าลมด่าฝน  ยุแหย่ให้สู้ความ  เที่ยวเข้าร่วมแก๊ง  ฟังเมียพูดปด  ฝ่าฝืนโอวาทพ่อแม่  ได้ใหม่ลืมเก่า  ปากอย่างใจอย่าง  โลภแอบอ้างทรัพย์  ฉ้อโกงตบตาหน่วยบน  สร้างข่าวใส่ร้ายทำลายเขา   ใส่ร้ายเขายกตนตรง  ด่าเทพเจ้ายกตนดี  ทิ้งธรรมทำชั่ว  เมินญาติคบคนนอก  ชี้ฟ้าดินเป็นพยานทั้งที่ชั่ว  ท้าพระเจ้าตรวจสอบ  ทำทานแล้วเสียดาย  ยืมทรัพย์ไม่คืน  ไม่เจียมตนหานอกลู่  ใช้จนสุดอำนาจ  เสพกามเกินเลยหน้าซื่อใจอำมหิต  ให้ของกินสกปรกเขา  ใช้ทางมารหลอกประชาชน  มาตราชั่งตวงวัดโกง  ปลอมปนสินค้า  รีดนาทาเร้น  บังคับคนชั่วให้ดี  โป้ปดคนโง่  โลภละโมบไม่เบื่อ  แช่งชักว่าตนถูก  เมาสุราลวนลาม  สายเลือดทะเลาะกัน  ชายไม่ซื่อภักดี หญิงไม่อ่อนน้อมตาม  บ้านไม่กลมเกลียว ไม่นับถือสามีคุยข่มอวดดี  อิจฉาตาร้อน  ไม่ดีต่อบุตรภรรยา  ไร้จริยาต่อผู้ปู่แม่ย่า  ดูถูกวิญญาณบรรพชน

        ขัดขืนคำสั่งเบื้องบน  ทำสิ่งไร้ประโยชน์  คับแค้นนอกใจ  สบถตนสาปแช่งผู้อื่น  ลำเอียงชังลำเอียงรัก  ก้าวข้ามบ่อน้ำเจ้าที่่  ข้ามอาหารข้ามคน  ฆ่าลูกทำแท้ง  ชอบแอบทำชั่ว  วันเซ่นสรวงร้องรำ  ด่าทอเช้าตรู่วันพระ  ถ่มถุยหนักเบาทิศเหนือ  ร้องเพลงร้องไห้หน้าพระ  จุดธูปจากเตา  ใช้ฟืนสกปรกหุงหา  เปลือยกายกลางคืน  ประหารวันตรุษสาร์ท  ถ่มน้ำลายดาวตก  ชี้รุ้งชี้สามแสงบ่อย  จ้องอาทิตย์จันทร์นาน  ล่าสัตว์เผาป่าฤดูใบไม้ผลิ  ด่าทอทิศเหนือ  ตีงูฆ่าเต่าไร้สาเหตุ

        อันบาปต่าง ๆ นี้  เทพเจ้าตามดูหนักเบา หักขัยตามรอบ  ขัยสิ้นก็ตาย  หนี้เหลือจากตาย  ตกทอดบุตรหลาน  พวกอันธพาลเอาเงินเขา  ผลชั่วตกถึงลูกเมีย  คนในบ้านรับไป  จนกว่าถึงที่ตาย  หากยังไม่ตาย  ก็มีภัยจากน้ำภัยโจรของหายเจ็บป่วย  คดีความตอบสนองจนเท่าค่าที่โกงมา  ใส่ความฆ่าคนก็ถืออาวุธฆ่าตอบ  เงินทองได้มาไม่ถูกต้อง  ดุจเนื้อเน่าแก้หิวเหล้าพิษแก้กระหาย  ไม่เพียงไม่อิ่มความตายก็มาถึง  หากใจเริ่มใฝ่ดี  ดีแม้ยังไม่ทำ  เทพดีก็ตามมา  หากเริ่มใฝ่ชั่ว  ชั่วแม้ยังไม่ทำ  เทพชั่วก็ตามมา  ผู้เคยทำชั่ว  ภายหลังสำนึกแก้ไข  ชั่วทั้งหลายไม่ทำ  ความดีทั้งปวงถือปฏิบัติ  นาน ๆ ไปย่อมได้มงคลโชคลาภ  ดังว่าเปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนา

        ดังนั้น ผู้มงคล  วาจาดี  มองดี  ทำดี  วันหนึ่งมีสามดี สามปีฟ้าย่อมส่งบุญวาสนา  ผู้อุบาทว์  วาจาชั่ว  มองชั่ว  ทำชั่ว วันหนึ่งมีสามชั่ว สามปีฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติ ยังจะไม่พยายามปฏิบัติหรือ ! 

                   ~~~ จบ ~~~                                       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ชี้ฟ้าดินเป็นพยานทั้งที่ชั่ว ท้าพระเจ้าตรวจสอบ

อธิบาย   :  เพื่อแสดงตนว่าไม่ได้ทำผิด ทั้ง ๆ ที่ได้ก่อกรรมทำชั่วเอาไว้ ยอมที่แสดงโดยกล้าชี้ฟ้าดินเป็นพยาน กล้าที่จะทำเรื่องต่ำช้าโดยทำให้พระเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบ ทั้งนี้เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามมั่นใจต่อคำสัญญา ฟ้าดินไม่มีลำเอียง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ซื่อตรง การตอบสนองเรื่องโชควาสนาหรือเคราะห์ภัยต่าง ๆ ก็เหมือนเรื่องการสะท้อนกลับของเสียง บางครั้งเราระมัดระวัง นับถือกลัวเกรงพระเจ้าอยู่แล้ว ยังมิวายได้รับโทษอยู่เลย นับประสาอะไรกับการชี้ฟ้าดินดึงพระเจ้ามาเล่นด้วย แถมให้มาเป็นพยานเรื่องที่ตนเองทำชั่วเอาไว้ อย่างนี้มิเป็นการเหยียดหยามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฟ้าดินหรอกหรือ !  พระเจ้าจะช่วยคนทำชั่วได้หรือ !  การกระทำของคนเยี่ยงนี้ เท่ากับเป็นการเร่งให้เคราะห์ภัยมาเร็วยิ่งขึ้นนั่นเอง ! 

นิทาน   :  บ้านของตระกูลจาง คนในบ้านไม่รักใคร่กลมเกลียวระหว่างพ่อลูก  พี่น้อง  ระหว่างสะใภ้ด้วยกัน  ก็มีขอขัดแย้งกันบ้าง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็จะร้องอ้างฟ้าดินหรือชี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตน เมื่อถึงคราวแยกครอบครัวแบ่งมรดกยิ่งรุนแรงมากขึ้น ต่างคนต่างแช่งชักหักกระดูกฝ่ายตรงข้ามจากนั้นมา บ้านตระกูลจางก็มีผีร้ายคอยกลั่นแกล้งทำโน่นทำนี่ ผู้คนในบ้านต่างล้มป่วย เพียงในเวลาไม่กี่ปี ผู้คนในบ้านตระกูลจางก็ตายกันเกลี้ยง

คติพจน์   :  ในสมัยหมิง มีพระมหาเถระอาวุโสเหลียนฉือไต้ซือ กล่าวว่า  "คนทั่วไปมักจะบนบาน เช่น ขอลูกชาย  ขอให้อายุยืน  ขอให้พ้นเคราะห์  ขอให้สอบได้ตำแหน่ง  ขอโชคลาภฯ เป็นต้น  ก็จะต้องบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าสมหวังก็จะฆ่าเป็ด ไก่ หมู มาเซ่นไหว้เป็นการตอบแทน การบนบานชนิดนี้เรียกว่าบนบานบาป  มีแต่โทษวิบากไมใ่มีกุศล  แม้แต่บนว่าจะถวายเสื้อทรง  ธงตุงสร้างศาลเจ้า  ถวายเครื่องสักการะ  เหล่านี้ล้วนเหมาะตบแต่งสถานธรรมให้ดูน่าเลื่อมใสเท่านั้น   ขอให้เหล่าเวไนยควรมีใจเก็บความคิดนั้นไว้ ต้องมีใจบังเกิดความเคารพนบนอบ เกรงกลัว ไม่ควรเจาะใจคิดเอาแต่บุญวาสนาตอบสนองตนเอง  เพราะว่ามหาเมตตาเกิดความเสมอภาคจึงได้ชื่อว่าพระพุทธะ ซื่อตรงไม่เอนเอียงจึงได้ชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นคนที่เห็นแก่ตัว หวังบุญวาสนาตอบสนองต่อตนเอง จะมีเหตุผลหรือที่ฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะประทานบุญวาสนาเพียงเพราะเห็นแก่สินบนลาภสักการะ ?.  ถ้าอ้างตามเหตุผลแล้วตนต้องทำสุดใจคือ ทำความดีทั้งหลายอย่างมากมาย ภักดีกตัญญูมีสัจจะต่อเพื่อน  รักพี่รักน้อง  สงสารคนจน รักคนชรา  ช่วยเหลือบรรเทาเคราะห์  งดเว้นการฆ่าสัตว์  ปลดปล่อยชีวิตอันเป็นบุญกุศลลับ ให้ความสะดวกต่อทุกอย่าง  สุดแต่ความสามารถตามพลังของตนที่จะทำได้ ทำไปจนสุดความสามารถบุญกุศลที่ทำแบบนี้ ก็จะซาบซึ้งต่อฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะประทานบุญวาสนามาให้เอง ถ้าไม่ยอมทำดีแล้ว เพียงแค่บนบานด้วยใจที่แบ่งแยก อย่างนี้จะเป็นสภาพใจที่ต่ำทราม เป็นเรื่องชั่ว  และก็เป็นการสบประมาทต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย !  จึงบอกกล่าวให้ชาวโลกรู้ไว้ควรจะมีหลักธรรมแห่งสัจจะ ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำทานแล้วเสียดาย

อธิบาย   :  ภายหลังการให้ทานแล้วรู้สึกเสียดาย เรื่องการให้บริจาค เป็นการสร้างกุศลที่รวดเร็ว แต่ต้องมีความยินดี มีความสบาย มีความสุขกับกุศล โดยไม่เบื่อหน่ายจึงจะก้าวหน้า แม้นว่ากำลังเงินของตนจะไม่เพียงพอก็ตามก็ต้องมีใจยินดีในการบริจาค การกระทำเช่นนี้เป็นการขจัดความตระหนี่ถี่เหนียวของใจ เพื่อไม่ให้ใจดำริขึ้นแต่แรกต้องห่อเหี่ยวดับไป ยังไม่ทันได้บริจาคทานก็คิดเสียดายก่อน จึงทำให้หมดโอกาสการบริจาคทานไป ถ้าหากบริจาคทานแล้วเกิดเสียดาย ก็จะไม่ไปบริจาคอีก ใจคอแบบนี้เหมือนความกรุณาถูกปล้นทำร้ายธรรม นี่ก็เป็นรากเหง้าของใจที่ป่วย ท่านไท่ชั่ง จึงไม่เขียนเรื่องทำความดีโดยบริจาคของคนด้านนี้ แต่ชี้ให้เห็นถึงคนที่บริจาคแล้วนึกเสียดายว่ามีโทษบาปอย่างไร เป็นเพราะอริยเจ้าสรรเสริญก็คือการแก้ไขความผิดเป็นคนดี และน่าเบื่อที่สุดก็คือ ผู้ที่ทำดีไม่ตลอด !  เมื่อศึกษาค้นคว้าของใจแรกเริ่มของเขาที่ภายหลังให้ทานแล้วรู้สึกเสียดาย เป็นคนที่ไม่จริงใจที่ยินดีต่อการทำดีเป็นเพียงแค่ชั่ววูบที่ดีใจ อยากได้ชื่อดี และก็หวังได้แต่บุญเท่านั้น เพราะฉะนั้นพอเริ่มต้นก็ผิดเสียแล้ว ทำอย่างไรจึงไม่รู้สึกเสียดาย ?. หากมีความจริงใจที่จะบริจาค เป็นผู้ที่ฝึก "ทั้งเขาและเราล้วนว่าง"  ก็คือ ภายในไม่พบตัวฉันผู้ให้บริจาค ภายนอกไม่เห็นตัวเขาผู้รับบริจาค ท่ามกลางไม่เห็นทรัพย์สินสิ่งของที่บริจาค ทำได้แบบนี้ก็ย่อมไม่เกิดทำทานแล้วเสียดาย ถ้าหากให้ทานแล้วนึกเสียดาย คนที่ทำดีจะต้องใส่ใจ จริงใจไปพิจารณาตนเองที่บังเกิดใจจะทำความดี ! 

นิทาน   :  นายหูหยาเป็นผู้ยินดีในการให้ทาน หน้าบ้านจะมีขอทานเต็มไปหมด เขามักพูดกับคนทั่วไปว่า "ทรัพย์สินในโลกนี้เป็นสิ่งไม่แน่นอน วันนี้ร่ำรวยแล้ว วันข้างหน้าก็เปลี่ยนเป็นคนจนแล้ว เหมือนวงกลมที่เคลื่อนไหว !  ถ้าหากไม่ให้ทานสักวันหนึ่ง ฉันก็ไม่มีความสุขวันหนึ่ง !" ผู้คนในสมัยนั้นก็มีคำคมพูดกันว่า "ไม่เป็นเศรษฐีเหมือนนายค่วนซิ่ง ขอเป็นยาจกเหมือนนายหูหยา"  (นายค่วนซิ่ง เป็นเศรษฐีที่ตระหนี่ต่อการให้ทาน)  ต่อมานายหูหยาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงซั่งซุ ลูกหลานของเขายิ่งร่ำรวยมาก

นิทาน   :  นายซีไป่ซันยากจนมาก  บังเอิญเห็นนักพรตคนหนึ่งกำลังบริจาคอยู่หน้าร้านค้าร้านหนึ่ง ไม่มีร้านค้าให้ทาน นายซีไป่ซันก็คลำหาที่เอว ในถุงเงินเหลือเพียงอีแปะเดียว ก็ให้ทานแก่นักพรตไป คืนวันนั้นก็ฝันเห็นนักพรต ช่วยขจัดเนื้องอกที่หน้าผากเขาพอตื่นขึ้นมาก็ปรากฏว่า เนื้องอกบนหน้าผากหลุดออก  หนึ่งอีแปะของซีไป่ซัน ยังทำให้เขาพ้นทุกข์จากโรคจะเห็นได้ว่า การให้ทานไม่ใช่อยู่ที่เงินจำนวนมากน้อย  หากแต่อยู่ที่จริงใจให้ทาน !  ชาวโลกควรจริงใจ ขยันทำดีให้ทาน ไปเตือนชาวบ้านช่วยกันทำก้อาจจะช้าไปแล้ว นับประสาอะไรกับการให้ทานแล้วนึกเสียดายเล่า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ยืมทรัพย์ไม่คืน

อธิบาย   :  หยิบยืมทรัพย์สินสิ่งของผู้อื่น เมื่อตนมีแล้วไม่ยอมคืน การหยิบยืมเป็นเรื่องปกติ ไม่มีแล้วช่วยเหลือสงเคราะห์เร่งด่วน นับเป็นเรื่องที่ดี การยืมของเขา ๆ ก็เป็นผู้มีพระคุณต่อเรา ถือไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แล้วจะอาศัยอิทธิพลแข็งกร้างคดโกงไม่ยอมคืนหรือต้องรู้หลักธรรมที่ว่า ถ้ายังมีหนี้เก่า ตายแล้วก็ต้องยังชดใช้เขา โทษเบาก็ไปเป็นบ่าวไพร่ ถ้าโทษหนักก็ไปเกิด เป็นวัว เป็นควาย เป็นหมาบ้านเขา เป็นการชดใช้หนี้ที่ตัวเองติดเขา  ถ้าหยิบยืมข้าวของคนอื่น ควรใส่ใจถนอมดูแล การยืมของคนอื่นเป็นเรื่องเสียไม่ได้จึงไปยืมเขา เมื่อยืมมาแล้วใช้แล้วก็ต้องรีบนำไปคืน ทำแบบนี้ผู้อื่นจะได้สบายใจด้วย ตลอดจนการยืมเงินก็ต้องใช้คืนเขาให้หมด  คนปัจจุบันยืมเงินเขาแล้วไม่ให้ กลับไม่คิดว่าเงินนี้ไม่ใช่ของตัวแม้จะเก็บไว้ แต่สุดท้ายก็ต้องให้เขา เก็บไว้กลับจะเป็นภาระหนี้เพิ่มเสียอีก แบบนี้จะดีสำหรับตนเองอย่างไร ?.  ขอให้พวกเราคิดให้ดี ๆ

นิทาน   :  ในสมัยชิง รัชสมัยฮ่องเต้คังซี ในฤดูใบไม้ร่วง มีชาวปักกิ่ง บ้านนายจางหยวน ได้เลี้ยงล่อไว้ตัวหนึ่ง มันสามารถวิ่งได้ 200 ลี้ต่อวัน แต่เจ้าล่อตัวนี้ชอบเตะคนและกัดคนด้วย มีแต่นายจางหยวน 3 คนพ่อลูกที่สามารถขี่ได้  ส่วนคนอื่นมันจะไม่ยอมให้ขี่เลย มีอยู่คราวหนึ่ง มีคนแซ่หยางอยากยืมล่อขี่สักหน่อย พูดแล้วก็แปลก เจ้าล่อตัวนี้ก็ยอมที่จะให้นายหยางขี่โดยดี จนกระทั่งกลับ ในคืนนั้นนายหยางก็ฝันว่า มีคนใส่เสื้อสีดำพูดกับเขา ว่า "ฉันคือเจ้าล่อที่อยู่ในบ้านจางหยวน ชาติที่แล้วฉันยืมเงินคุณไปสามร้อยยังไม่ได้ใช้คืน ในชาติปัจจุบันฉันควรชดใช้คืนคุณ แต่เมื่อวานนี้ฉันวิ่งมาทั้งหมดสองร้อยแปดสิบลี้แล้ว ฉันจึงมาขอร้องให้คุณช่วยขี่ฉันอีกยี่สิบลี้ ก็จะเป็นการหมดหนี้กัน !"  นายหยางจึงถามว่า แล้วเธอเป็นหนี้บ้านตระกูลหยางเขาเท่าไหร่ละ ?" คนใส่เสื้อดำก็ทำหน้าอมทุกข์แล้วพูดว่า "มากๆๆ จนพูดไม่ถูก"  หลังจากนายหยางตื่นแล้วก็ไปยืมล่อบ้านจางหยวนมาขี่อีก วิ่งไปได้ระยะทางไกลพอสมควร ทันใดเจ้าล่อก็กระโดดขึ้นมา จนทำให้นายหยางตกลงมา นายหยางคำนวนระยะทางดูก็ได้ประมาณยี่สิบลี้ จึงพูดกับเจ้าล่อด้วยความรู้สึกที่จริงใจว่า "ฉันเข้าใจถึงเหตุอาการที่เธอไม่ยอมให้ขี่อีก"  แต่ว่าระยะทางก็ห่างจากบ้านฉันถึงสิบลี้ถ้าหากฉันไม่ขี้เจ้าแล้วฉันจะกลับบ้านได้อย่างไร ?  เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้ฉันขี่เธอกลับถึงบ้าน แล้วฉันก็จะไปซื้อหญ้าด้วยเงินสิบอีแปะให้เธอกินดีไหม ?.  เจ้าล่อยืนอยู่ตั้งนานแล้วก็ยอมให้เขาขี่กลับบ้าน หลังจากนั้นนายหยางก็แกล้งที่จะขี่มันอีก แต่พอเข้าใกล้อานบนหลังมันเท่านั้น เจ้าล่อก็จะเตะเขา และกัดเขาด้วย ทั้งยังร้องเสียยาวไม่หยุดด้วย ! 

อธิบาย   :  คุณจูไจ้อันพูดว่า "คนเป็นหนี้เพราะยากจน แต่บางคนรวยก็ยังเป็นหนี้"  คนจนเป็นหนี้เพราะไม่มีปัญญาใช้หนี้  ถ้าพูดตามหลักวินัยสูตร ถ้ามีความจริงใจคิดอยากจะใช้หนี้แล้ว แบบนี้ก็จะไม่มีบาป แต่กับคนที่มีเงิน แต่ไม่ยอมใช้หนี้ถ้าไม่เป็นเพราะใช้อิทธิพลข่มขู่ก็ต้องเป็นผู้สูญเสียมโนธรรมหลักธรรมฟ้ามืดมัว แน่นอน ! ต้องรู้ว่าการเป็นหนี้แล้วไม่ใช้คืนก็ต้องชดใช้หนี้เขาทุก ๆ ชาติไปจนกว่าหนี้จะหมดค่อยยุติกัน !   

Tags: