collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144126 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

              คัมภีร์  :  ยังมีเทพเจ้าดาวเหนือสามองค์  อยู่เหนือศีรษะมนุษย์  บันทึกชั่วบาป  คอยตัดอายุขัย

อธิบาย   :  นี่เป็นการพูดถึงร่างกายของมนุษย์ อิริยาบถเดินหยุด นั่งนอน  ล้วนมีเทพเจ้าคอยตรวจสอบ เป็นเทพเจ้าสามองค์ ซึ่งเป็นดาวเทพเจ้าของกลุ่มดาวเหนือ จะลอยอยู่เหนือศีรษะของมนุษย์ คอยบันทึกการกระทำว่าทำบาปชั่วอะไรบ้าง กรรมที่ทำมีหนัก มีเบาแล้วนำมาตักทอนอายุขัย  พูดถึงอายุขัยของมนุษย์ ๑๒ ปี เรียกว่าหนึ่งรอบ (อิจี่) หนึ่งร้อยวันเรียกว่า  อิช้วน  ดาวเทพทั้งสามจะคอยควบคุมอายุขัยของคนว่าสั้นหรือยาว  เทพเจ้าดาวเหนือจะคอยควบคุมความดีความชั่วของคน ในพระสูตรเหตุปัจจัยว่า "ปราณของดาวเจ็ดดวงรวมกันเป็นดาวหนึ่งดวง อยู่เหนือศีรษะของคนประมาณ ๓ นิ้ว หากคนนั้นเป็นคนที่ทำความดี บนศีรษะจะมีแสงสว่าง ถ้าหากคนนั้นทำความชั่ว แสงที่ออกมาจะเป็นแสงสีเทา ถ้าหากเป็นคนที่ทำมหากุศล แสงบนศีรษะยิ่งสว่างไสว  ถ้าเป็นคนทำความชั่วมาก แสงบนหัวจะไม่มีเลย  แสงชนิดนี้จะมองไม่เห็นตัวแสง เทพเจ้าจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน

นิทาน   :  ในสมัยราชวงศ์ถัง มีขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ โหลวซือเต๋อ  ได้รับความพอใจจากฮ่องเต้ถังเกาจงมาก เขาจึงได้สนองพระเดชพระคุณต่อราชสำักมาก ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่โหลวซือเต๋อลุกจากที่นอน ก็พบดาวเทพพูดกับเขาว่า "เธอได้พลาดฆ่าชีวิตคนไป ๒ ชีวิต  โทษครั้งนี้ควรตัดอายุขัย  ๑๒ ปี  แสงบนศีรษะเธอใกล้จะดับลงแล้ว"  โหลวซือเต๋อ รู้สึกว่าดวงวิญญาณมึนงงไปบ้าง เพราะเหตุนี้เขาจึงบอกแ่ก่คนรอบข้างของเขาว่า "ตลอดชีวิตการทำงานของข้าจะระมัดระวังมาก แต่เพราะพลาดจนทำให้ชีวิตคน ๒ คนต้องตายไป ตอนนี้ก็จะให้ข้าตายเร็วขึน ๑๒ ปี ต่อมาไม่นาน  เขาก็ตายจากไปจริง ๆ

สรุป   :  ท่านจางหงจิ้งกล่าวว่า  "ตลอดชีวิตของโหลวซือเต๋อ ก็ทำงานเพื่อคนอื่น เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่อง เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่สำคัญต่อราชสำนัก แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นความผิดจนถูกตัดขัยไป ๑๒ ปี แล้ว  นับประสาอะไรกับบุคลทั่วไป ไม่รู้ว่าได้ทำวิบากกรรมอะไรเอาไว้มากมายแค่ไหน ขอให้ดูโหลวซือเต๋อเป็นตัวอย่าง จะไม่พยายามระมัดระวังเลยหรือ ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

              คัมภีร์  :  ยังมีเทพอีกสามตนอยู่ในกายคน เมื่อถึงวัน แกชิง ก็ขึ้นทูลพระเจ้าเบื้องบน รายงานความชั่วบาปของมนุษย์

อธิบาย   : 

        มีเทพสามตนที่อยู่ในกายคน ไม่ว่าจะเป็น ใจ ปาก ความคิด และ คำพูด  ไม่อาจจะปิดบังเทพทั้งสามได้  พอถึงวันแกชิง ก็คือวันที่พระเจ้าจะตัดสินความดีความชั่วของคน เทพทั้งสามนี้ก็ขึ้นไปที่ทำการของพระเจ้า รยงานความดีความชั่วของคนตามความเป็นจริงพูดถึงใจคน  ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ก็อยู่ในความควบคุมของเทพ  เทพสีฟ้าด้านบนชื่อ เผิงจี  สถิตอยู่บนศีรษะของคน เทพตนนี้ทำให้คนคิดคำนึงมาก  มีความอยากมาก  ทำให้คนตาลาย หน้ามืด ผมร่วง    เทพสีขาวกลางตัวชื่อ เผิงเจ๋อ  สถิตอยู่ในท้องของคน เทพตนนี้ทำให้คนชอบดื่มกินแล้วลืมงานมาก  และก็ทำให้ชอบความชั่ว  เทพสีเลือดทางตอนล่างของตัวชื่อ เผิงเฉียว  สถิตอยู่ที่ขาของคน เทพตนนี้ทำให้คนชอบกามารมณ์  ชอบฆ่าคน  ทำให้คนอยู่ไม่เป็นสุข  การกระทำของเทพ  ๓ ตนนี้ มีจุด
มุ่งหมายทำให้คนตายเร็วขึ้น จะได้ไปกินของที่เขานำมาเซ่นไหว้ เพราะฉะนั้นในวันแกชิง ตอนคนกำลังหลับสนิท ก็จะนำพาเจตภูตของคนขึ้นไปหาพระเจ้า ไปรายงานความชั่วบาปของคน เพราะฉะนั้น   เวลา ใจ ปาก ความคิด และ คำพูดของคนเพียงขยับความเคลื่อนไหว เทพทั้งสามจะได้ยินชัดเจน   คนในปัจจุบันไม่รู้จักสำรวจตนเอง ไม่รู้จักกดข่มตนเอง ไม่ทำให้จิตใจใสสะอาด มักน้อยในกามารมณ์  ท่านเฉินจื่อ ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เขียนกลอนไว้ว่า " ไม่เฝ้าวันแกชิง ไม่สงสัย ให้ใจนี้พึ่งธรรมเป็นนิจ พระเจ้าก็รู้การกระทำตน ต่อให้สามเทพพูดเหลวไหล"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
              คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

               คัมภีร์  :  ในวันสิ้นเดือน เทพแห่งเตาไฟก็เช่นกัน

อธิบาย   :  วันสุดท้ายของปฏิทินจันทรคติเช่น  เทพแห่งเตาไฟก็เหมือนกัน วันนี้เป็นการพูดถึงครอบครัวของมนุษย์ การกระทำของมนุษย์ล้วนอยู่ในการเฝ้ามองของเทพ เทพแห่งเตาไฟจะควบคุมชะตากรรมของคนทั้งบ้าน เพราะฉะนั้น จึงเรียกผู้บัญชาการ ไม่ว่าชายหญิงเฒ่าวัยในบ้าน ที่ทำบาปไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เทพเตาไฟจะตรวจสอบหมด พอถึงวันสิ้นเดือน ก็จะขึ้นไปรายงสนสองเทพ คือ สุริยันจันทรา ทั้งยังไปบันทึกความผิดลงในสมุด การกระทำของชาวโลกรู้เพียงความสุขเฉพาะหน้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องถามว่าเทพเจ้าแห่งเตาไฟคอยจดความผิดหรือไม่

นิทาน   :  แถวเมืองจุ่นจวิน มีนักศึกษาคนหนึ่ง แต่ละครั้งที่เมาสุราเขาก็จะลวนลามสาวใช้ในบ้าน สาวใช้รู้สึกอับอาย ก็จะแข็งขืนต่อการลวนลาม ด้วยเหตุนี้เธอก็จะหาโอกาสหลบหนีจากเจ้านาย  ขณะนั้น  พอดีเป็นวันสิ้นเดือนพอดี นักศึกษาคนนั้นกำลังนอนถึง ตี ๔  ภรรยาเขาตื่นขึ้นมาเรียกเขาให้ตื่นแล้วก็เล่าให้ฟังว่า "เมื่อครู่ฉันได้เห็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง  บนศรีษะสวมหมวกทรงสี่เหลี่ยม กายสวมเสื้อสีดำ ทรงม้าวิ่งไปทั่ว พกสมุดติดตัวแล้วก็มุ่งมาทางฉัน ชี้มาที่ฉันแล้วก็ขีดลงในสมุดจากนั้นก็วิ่งออกไป ฉันฟังไม่ชัดเจนและก็ไน่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับฉัน เพียงรู้สึกว่านาเกรงขาม ฉันก็ตกใจตื่นขึ้นมา" นักศึกษาคนนี้ฟังภรรยาเขาพูดเช่นนี้ ทำให้รู้สึกขนลุกซู่ซ่านเข้าไปในกระดูก แล้วก็พูดกับภรรยาว่า เทพเจ้าองค์นี้คงจะเป็นเทพเจ้าแห่งเตาไฟ  ต่อมาภายหลังเขาก็แต่งงานให้กับสาวใช้ให้กับผู้อื่นไป หลังจากนั้นก็พูดกับภรรยาเขาว่า "เมื่อก่อนโน้นที่เธอได้ฝันว่าเทพเตาไฟชี้มือมาที่เธอนั้น เป็นเพราะฉันเมื่อก่อนชอบลวนลามสาวใช้คนนี้ แต่เป็นเพราะเธอแข็งขืนต่อต้านจึงรอดตัว ไม่คิดว่าวันนี้เทพเจ้าก็มาตักเตือน ฉันคิดว่าเรื่องนี้แม้จะยังไม่สำเร็จล่วงละเมิด แต่ในใจก็มีบาปบันทึกแล้ว เพราะฉะนั้นจึงถูกเทพเจ้าเตาไฟ  จดบันทึกลงสมุดเพื่อรายงานเบื้องบน เมื่อก่อนนีฉันไม่กล้าบอกกับเธอ เป็นเพราะกลัวเธอจะระแวงและกลัว่าเธอจะทำสาวใช้คนนี้เดือดร้อน วันนี้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ของสาวใช้ประการหนึ่ง  และแสดงถึงความผิดที่ฉันได้ล่วงละเมิดไปแล้วอีกประการหนึ่ง เป็นการสำนึกผิดต่อเธอด้วย ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

              คัมภีร์  :  ผู้มีความผิด มหันต์ตัดขัยหนึ่งรอบ  ลหุตัดขัยร้อยวัน

อธิบาย   :  ใครก็ตามที่เคยทำความผิดมาแล้ว ก็ยากที่จะหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเทพเจ้าได้ คนที่ทำความผิดไว้มากก็จะถูกตัดอายุขัยหนึ่งรอบ คือ ๑๒ ปี   คนที่ทำผิดเล็กน้อยก็จะถูกตัดอายุขัยครั้งละหนึ่งร้อยวัน อันนี้เป็นการกำหนดบทลงโทษ ประโยคนี้มีความหมายคือ ตลอดชีวิตของคน ไม่ว่าจะเป็นกาย ใจ หรือครอบครัว ทุกหนแห่งล้วนมีเทพเจ้าคอยตรวจสอบ จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้คนระมัดระวัง ภายหลังคนปฏิสนธิขึ้นในครรภ์แล้ว  ช่วงอายุขัยจะเพิ่มหรือลดล้วนมีบันทึกไว้แล้ว ท่านไท่ซั่งได้บัญชาให้เทพเจ้าทั้งหลายว่า "พวกท่านที่เข้าตรวจสอบความดี ความชั่วของคน ต้องกำหนด ๓ วันพูดหนึ่งครั้ง ๑๐วันกราบทูลครั้งหนึ่ง  ๑๐๐ วัน หนึ่งสรุปยอดครั้งหนึ่ง หากเป็นการทำความดีสร้างกุศล คน ๆ นี้ก็สามารถที่จะยึดอายุให้ยาวขึ้น หากเป็นการทำชั่วก็ให้ตัดทอนอายุขัยทันที" เพราะฉะนั้น  โทษเบาโทษหนัก ก็ตัดทอนร้อยวันหรือหนึ่งรอบ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากนะ !

นิทาน  ๑   :  ในสมัยราชวงศ์หมิง มีพระภิกษุนิกายเทียนไถ คือ พระธรรมาจารย์หวังปี้หยู ในสมัยหนุ่มเขาสามารถสอบบรรจุรับราชการได้ จึงถูกส่งไปเป็นนายอำเภอชินจิน เขาเป็นผู้รักษาศีลมาแต่เด็กแล้ว เขาจะไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ลักขโมย  ไม่ละเมิดกาม  ไม่พูดหลอกลวง ศีล ๔ ข้อนี้เขารักษามาตลอด จนกระทั่งเข้ารับราชการเขาก็เลิกรักษาศีล ต่อมาเขาได้รับคำสั่งให้เ้ข้าเฝ้า  เขานั่งเรือมาในระหว่างทาง ขณะที่เรือแวะพักที่ทะเลสาบบู่หู วิญญาณถูกยมทูตพาไปยังยมโลก เขาเห็นเจ้ายมบาลนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ ข้าง ๆ มียมทูต ๒ ตนอยู่ซ้ายขวา เจ้ายมบาลเรียกชื่อของเขา และก็ดุใส่เขาว่า "หวังปี่หยู อายุขัยของเจ้าจบลงแค่เดือน ๘ เมื่อปีก่อนเท่านั้น แต่ที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ ก็ด้วยแรงกุศลที่ถือศีลเจมา แล้วทำไมตอนนี้จึงเลิกเสียเล่า" เจ้ายมบาลพูดจบก็สั่งให้ยมทูตนำสมุดบันทึกให้หวังปี่หยูดู  หวังปี่หยูเห็นชื่อเขาและบันทึกรายการของวันเดือนปีต่าง ๆ แต่พอถึงเดือน ๘ ปีกลาย ก็จบลง เขาเห็นแล้วก็ก้มกราบยมบาลว่า "ตอนรับราชการไม่มีความสะดวกในการกินเจ เลยเลิกถือศีลเจ อันนี้เป็นเพราะจำใจ"  เจ้ายมบาลว่า "เจ้าพูดพอมีเหตุผลบ้าง แต่อายุขัยของเจ้าหมดแล้ว" พูดจบก็สั่งให้ยมทูตนำเขาเข้าไปในนรก ตอนนี้ผีร้ายต่าง ๆ ก็รุมเข้ามา ทำท่าจะเข้ามาจับอย่างนั้น ขณะนั้นยมทูตที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของยมบาลก็พูดขึ้นว่า "หากไม่เป็นไรก็เอาเรื่องต่างๆ ที่หวังปี่หยูเลิกถือศีลมาสำรวจดูบ้าง" ไม่นานนัก เหล่าสมุนยมทูตกนำเอาหีบใหญ่ ๆ ๒ หีบยกมา ล้วนเป็นงานที่หวังปี่หยูทำภายหลังรับราชการ ไม่ว่าจะเป็นจดหมาย หรือบทความ หรือข้อเขียนต่าง ๆ ในแต่ละวัน ล้วนปรากฏมีปราณกระเพื่อมขึ้นมา บ้างสีเขียว สีดำ สีแดง สีขาว แตกต่างกัน เจ้ายมบาลสั่งให้แยกเป็นพวก ๆ แล้วตรวจสีเขียวกับสีดำก่อน วางไว้กองหนึ่ง ต่อไปตรวจสีขาวแล้ววางไว้อีกกองหนึ่ง ตรวจดูสีแดงแล้วไว้ที่เดียวกัน  ตอนนี้สีเขียวอันตธานหายไป สีดำก็หดเล็กจนเหลือแค่ตะเกียบอันหนึ่ง ส่วนสีแดงกลับปรากฏเด่นชัดขึ้น หวังปี่หยูเห็นกองสีแดงชัดเจน ที่แท้เป็นบทวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร คัมภีร์ปฏิสนธิดี เมื่อสมุนยมทูตตรวจเสร็จ ตอนนี้น้ำเสียงของเจ้ายมบาลนุ่มนวลขึ้นจึงพูดกับยมทูตซ้ายมือว่า "เอ้อ ! เจ้ายังรู้จักสั่งสมบุญกุศล พอมีเหตุผลให้มีชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ทำลายอวัยวะของเขาให้กายสังขารเขาอยู่ได้ ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ !  พูดจบก็ให้สมุนยมทูต เข้ามาควักลูกตาสองข้าง แล้วเอาวางไว้บนหัวเสาบนบัลลังก์ แวตาก็ยังแวววับส่องได้รอบ ๆ ตอนนี้หวังปี่หยูนึกขึ้นได้ "ตาของฉันถูกควักออกไป จะมองเห็นได้อย่างไร" แค่พริบตาเขาก็เป็นลมล้มลง ยมบาล ยมทูตก็หายวับไป ต่อมาก็มีใครตบหลังเขาเบา ๆ พูดว่า "หวังปี่หยู เดินเถอะไปได้แล้ว ! " แพล็บเดียวเขาก็ล้มลงตกใจตื่นขึ้นมา วันรุ่งขึ้นตาเขาก็บอดทั้งสองข้าง  ดังนั้น  เขาจึงละทิ้งครอบครัวไปปฏิบัติธรรม ต่อมาเขาก็บรรลุธรรม ตาทั้งสองก็กลับมองเห็นได้อีก หวังปี่หยูก็ออกจาริกไปทั่ว เห็นสัจธรรมประจักษ์แจ้ง บำเพ็ญวิถีมหาเมตตา จึงมีชีวิตต่อมาอีก ๑๒ ปี   จากชีวะประวัติของหวังปี่หยู นอกจากปราชอริยเจ้าแล้ว คนต้องรู้ว่าแต่ละวันไม่มีหรอกที่ไม่ทำผิด หากสามารถหันกลับแก้ไขเปลี่ยนแปลง ก็สามารถแก้ไขความผิดได้ มิฉะนั้นแล้วเหตุที่ก่อไว้อยู่ไม่ไกลนักหรอกทั้งวิบากกรรมที่สร้างเพิ่มอีกในภายหลัง แม้จะมีบุญตอบสนองที่มีมากหรือลูกหลานมีมากก็ตามเถอะ เมื่อลมหายใจขาดผึงลง อะไร ๆ ก็เอาติดตัวไปไม่ได้ มีแต่เวรกรรมที่ตนทำเอาไว้ติดตามตัวไป ตอนนั้นก็จะเห็นเจ้ายมบาลตรวจสอบก็ทุกข์ลำบากเสียแล้ว สมบัติเอาไปได้ไหม ลูกหลานรับหนี้แทนเธอได้ไหม เราต้องคิดใคร่ครวญให้ดี ๆ !

นิทานที่  ๒   :  ในสมัยราชวงศ์ซ่ง นางหูจงสิ้ง  มีฐานะร่ำรวยและชอบบริจาคมาก แต่พออายุได้ ๓๕ ปี เขาก็ล้มป่วยกะทันหัน การเจ็บป่วยทรุดหนักจนอันตราย ทั้งตนเองก็พูดถึงเรื่องยมโลก เขาได้พบกับเพื่อนเก่า ๆ หลายคนถามเขาว่า "ท่านผู้มีพระคุณ ! ทำไมท่านจึงมาถึงที่นี่เล่า ! เพื่อนเก่า ๆ ต่างพากันช่วยก้มคำนับต่อยมทูตตนหนึ่งเพื่อไต่ถาม ยมทูตพูดว่า "หูจงสิ้ง คนนี้เดิมทีมีดวงชะตาเป็นผู้อดอยากเพราะว่าเขาเป็นผู้ชอบช่วยเหลือคนอื่น เพราะฉะนั้น จึงตั้งตัวได้และจะมีอายุขัยถึง ๕๙ ปี แต่ว่าตนเองไม่จุดธูป นอนดึก  บุ,กุศลหมดสิ้นแล้วตอนนี้" เพื่อนเก่ายังพูดว่า "ไม่จุดธูปเพราะใจไม่เคารพฟ้าดิน นอนดึกเพราะมีใจหมกมุ่นในกาม ทำไมจึงว่าเป็นเรื่องที่ผิดเล็ก ๆ " พอพวกเขาได้ยิน ต่างพากันตกใจมองมาทางหูจงสิ้งแล้วพุดว่า "ผู้มีบุญกุศลเช่นหูจงสิ้ง เป็นเพราะแค่เรื่อง ๒ เรื่องก็ถูกตัดอายุขัย แล้วคนทั่ว ๆ ไปจะปล่อยปละละเลยตนเองได้หรือ"  ต่อมาไม่นานนัก หูจงสิ้งก็ตายไป

สรูป   :  ควรรู้ว่าอายุขัยเป็นสิ่งที่คนได้มาด้วยยาก มักถูกตัดอายุขัยไปโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นท่านไท่ชั่งจึงสอนหลักธรรมเหล่านี้ให้ฟังก็เพื่อตักเตือนชาวโลก ต้องสนใจระมัดระวังความคิดของตน อย่าได้คิดผิดไปนิดเดียว บุญวาสนาที่สามารถเสวยได้ก็จะหลุดลอยไป ท่านไท่ชั่งมีมหาเมตตาต่อชาวโลกเสียจริงเลย   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ
                                     
            คัมภีร์  :   ความผิดมากน้อยมีมากถึงร้อย อยากมีอายุยืนต้องหลีกเลี่ยงเอย

อธิบาย  :  เรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นโทษบากเป็นเวรกรรม ทั้งบาปมาก บาปน้อย  มีเป็นร้อย ๆ เรื่อง คนที่คิดจะมีอายุให้ยืนยาวก็ต้องหลบเื่ิลี่ยงเวรกรรมเหล่านี้  ท่านไท่ชั่งจะสอนคนให้หลีกเลี่ยงการทำความผดไว้ก่อน บอกด้วยว่ามีมากมายเป็นร้อยเรื่อง  ก็มีการยกตัวอย่างไว้บ้างในคัมภีร์เริ่มต้นจาก  "อะไรไม่ถูกต้องไม่กระทำ"  ถึง  "ตายก็ยังเกินเลย"  บาปกรรมที่ทำดังกล่าวมาแล้วในตอนต้นที่พูดถึงการตัดทอนอายุขัย ซึ่งสอนคนให้ณุ้จักระมัดระวัง พอมาถึงตอนนี้ก็มาพูดถึงการมีชีวิตยืน เป็นการสอนคนให้รู้จักนิยมชมชอบ กล้าหาญที่จะแก้ไขความผิดหันมาทำความดี ถึงแม้จะเป็นความผิดเล็ก ๆ น้อยๆ ก็ไม่กล้าทำ อย่างนี้ก็ต้องอายุยืนยาวเป็นผลตอบแทน  โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม ล้วนต้องสั่งสมบุญกุศล อบรมตนเองด้วยคุณธรรมเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐาน ถ้านำเอาหลักปฏิบัติของท่านขงจื่อมีหลัก "สี่ตรงร้อยกระทำ"  ในพุทธธรรมมี "บารมีหก"  ทางลัทธิเต๋ามี "สามพันบุญแปดร้อยกุศล"  เหล่านี้ล้วนเป็นการสั่งสมบุญกุศล หลบเลี่ยงบาปทั้งสิ้น ดังนั้น  การที่จะคิดสั่งสมบุญกุศลเพื่อแก้บาป ก็ต้องเรียนรู้ถึงธรรมอันสูงสุด หากจะเรียนรู้ถึงธรรมอันสูงสุด ก็ต้องมีความเข้าใจแจ่มแจ้งในใจตน เพราะว่าใจคือองค์ธรรม  และธรรมก็คือกิริยาของใจ หากคนสามารถสำรวตรวจตราใจเพ่งจิต จนเห็นองค์ธรรมกลมสว่างจนปรากฏตรงหน้า เป็นกิริยาที่ไม่มุ่งหวังไม่กระทำ ก็สำเร็จได้เอง ไม่ต้องอาศัยบารมีอะไรก็จะสามารถหลุดฉับพลันถึงฝั่งโน้น นี่ถ้าไม่ใช่บำเพ็ญจนใจโปร่งใสแล้ว จะสามารถทำให้ความคิดต่าง ๆ ห่างหายไปฉับพลันได้หรือ ฝุ่นกิเลสไม่อาจเปรอะเปื้อนได้ มูลใจอิสระ ตั้งใจไม่เกิดแน่นอน เพราะฉะนั้น คนที่บำเพ็ญจนองค์ธรรมสว่าง ไม่ทำให้กายสังขารไปถ่วงจิตเดิมไม่ถูกสภาวะภายนอกมาทำให้ใจจริงของตนสับสน สามารถตอบรับกับสรรพสิ่งตามกลไกลสัมพันธ์ ก็จะมีหลักธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับเหลืออยู่นี่ก็คือการเข้าถึงธรรมอันสูงสุด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
              คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ
                                     
            คัมภีร์  :   ความผิดมากน้อยมีมากถึงร้อย อยากมีอายุยืนต้องหลีกเลี่ยงเอย

นิทาน   :  มีเทพธิดานางหนึ่งนามว่า  หยางเจิ่นเจี้ยน  นางบำเพ็ญบารมีอีกไม่นานนักก็จะได้สัจจะแล้ว  แต่พระเจ้าติเตียนนางว่าตอนยังเป็นเด็ก พ่อแม่ของนางกำลังเตรียมเงินจะไปเสียภาษี  หยางเจิ่นเจี้ยน เห็นเข้า นางก็เลือกเอาเหรียญที่กลมและดีที่สุด แค่ 2 อีแปะเท่านั้นเก็บซ่อนไว้ นี่เรียกว่าเก็บซ่อนของทางการ เพราะฉะนั้น  พระเจ้าจึงมีบัญชาทำโทษให้นางต้องอยู่ในโลกมนุษย์อีกหนึ่งปี พระจื่อชวีหยวนจวิน กับ เหมาจวิน  ซึ่งสถิตอยู่ที่ประสาทชิงชวี มีหน้าที่ตรวจสอบกำหนดความได้เสียเรื่องราวต่าง ๆ ของเทพเซียนใต้หล้า เพียงรอบตัวก็ลบเทพเซียนออกไปถึง ๔๗  คน  หลังจากลบออกไปแล้วก็ตรวจสอบใหม่ มีแค่  ๒  คน  ที่ผ่านได้และถูกเขียนชื่อบนกระดาน นี่ก็คือพวกเขายังมีใจใคร่อยากในกามแล้วมาบำเพ็ญสัจจะ อย่างนี้จึงมีความผิดแล้ว อย่าว่าเก็บซ่อนเงินแค่ ๒ อีแปะ  ที่เป็นความผิดเล็กน้อยมาก โดยเฉพาะการบำเพ็ญของเซียนอยู่ที่ผลความดีความชั่วที่เทียบปริมาณกันแล้ว ยังถูกกล่าวโทษตำหนิติเตียนอย่างเข้มงวด นับประสาอะไร  กับคนที่ทำผิดตามอำเภอใจ โดยไม่รู้จักหลีกเลี่ยง
        ในสมัยราชวงศ์หมิง  โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน  มีวิธีแก้ไขความผิดพูดไว้ละเอียดอยู่  หากยังมีความก้าวหน้้าก็เอาเป็นตัวอย่างไปแก้ไขได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   
                                     
            คัมภีร์  :   เป็นธรรมให้เดินหน้า  ไม่ใช่ธรรมให้ถอย

อธิบาย  :   จะทำเรื่องสักอย่างหนึ่ง ต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจะลงมือทำว่าเรื่องที่จะทำมีหลักธรรมหรือไม่ ถ้าถูกหลักธรรมก่อนเดินหน้าทำต่อไป ถ้าไม่ถูุกหลักธรรมก็ให้ถอยเลิกทำเสีย  ข้อความตอนนี้คือ เริ่มจากคำนี้จนถึง ทำความดีสามร้อยกุศล  เป็นหลักการสำคัญที่ท่านไท่ชั่งเหลาจวิน ให้กระทำความดีเพื่อสั่งสมบุญกุศล เป็นการสอนให้คนน้อมนำไปปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติได้ก็เป็นการกวักบุญวาสนามาเป็นผลตอบสนอง ธรรมก็เหมือนถนนใหญ่ เป็นไปตามหลักธรรมฟ้า เข้ากับใจคน ต้องเป็นทางเรียบและตรงจึงเป็นทางธรรม หากเป็นการฝืนหลักธรรมฟ้า ขัดใจคร ทิ่มแทงติดขัดนั่นไม่ใช่ธรม  ในคัมภีร์ตั้งแต่คำว่า "ไม่ใช่เดินทางชั่ว"...จนถึง...ให้เขาไม่นึกเสียใจ"  ล้วนเป็นทางธรรมทั้งสิ้น แลก็เป็นการสร้างกุศลซึ่งเป็นบทที่สี่ทั้งบท และตั้งแต่ "หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง...จนถึง...ฆ่าเฒ่าฆ่างูไร้เหตุ ซึ่งเป็นทางชั่วบาป จัดเอาไว้ในบทที่หกคือชั่วบาป
        เป็นธรรมให้เดินหน้า ไม่ใช่ธรรมให้ถอย  คำ  "ให้"  นี้แสดงถึงความหนักแน่นมีกำลัง เพราะว่าความผิดความถูกอยู่ที่ความคิดที่รู้จักแยกแยะ จะเดินหน้าหรือถอยก็ให้ตัดสินทันที จึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ต้องตัดสินใจให้แน่วแน่ลงไปเลย ห้ามมีใจที่ลังเลไม่แน่ใจ เพียงแค่ความคิดที่เปลี่ยนเท่านั้นก็จะตกอยู่ในกำมือมาร จึงจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอ ทุกเรื่องต้องระมัดระวัง สมมุติคนในบ้านไม่เห็นตามความคิดของตนเอง จะเกิดความกังวลไหม จะมีชีวิตที่สุขสบายหรือไม่ เกิดความโลภหรือไม่ ถ้ารายได้เข้าบ้านไม่มาก รู้จักไปหาวิะ๊หาเงินหรือไม่ ถ้าเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกันจากไป เราจะเกิดเบื่อหน่ายท้อถอยหรือไม่ เหล่านี้เป็นต้น ล้วนทำให้สูญเสียธรรมทางใจไป แล้วก้เข้าสู่ทางไม่ใช่ธรรม เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรปล่อยปละดูแคลน
        คำว่า "ธรรม"  ในคัมภีร์ทางสายกลาง (จงหยง) ของท่านขงจื่อที่กล่าวไว้ว่า "โองการฟ้าคือจิต คล้อยตามจิตเรียกว่าธรรม" ธรรมนี้ก็อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการพูด หรือนิ่งเฉย หรือเคลื่อนไหว หรือเงียบ ล้วนเป็นธรรมทั้งสิ้น  เพียงต้องเข้าใจหลักธรรมของมันให้ถูกต้อง พอนำไปปฏิบัติก็มีความก้าวหน้าชาญชัย คุณธรรมโบราณก็กล่าวไว้ "มหาธรรมอยู่ตรงหน้า มองไปเห็นยาก  อยากเห็นองค์แท้ของมหาธรรม ไม่ห่างจากรูปเสียงวาจา"  ในคัมภีร์เต๋า (ต้าเต๋อจิง) กล่าวว่า "คนในระดับสูงได้ฟังเต๋า ก็มานะปฏิบัติตาม (บทที่๔๑)" คัมภีร์มองภายใน (เน้ยกวงจิง) กล่าวว่า "รู้ธรรมง่ายเชื่อธรรมยาก เชื่อธรรมง่าย ปฏิบัติธรรมยาก" อวตํสกสูตร (ฮั่วเอวียนจิง) กล่าวว่า " ศรัทธาเพื่อธรรม คือแม่บุญ เจริญเลี้ยงรากกุศลทั้งปวง ขจัดตัดสงสัย หลุดพ้นตะข่ายนทีรัก แนะนำนิพพานธรรมสูงสุด" เพราะว่าองค์ธรรมของทุก ๆคน บริบูรณ์พออยู่แล้ว ถึงแม้จะจมปลักอยู่ในกามคุณนานาชนิด ถ้าหากยอมเอาใจย้อนแสงส่องตน เช่นนี้แล้วภายในจะเป็นจริงหรือปลอม จะปกปิดสักนิดก็ไม่อยู่ นี่แหละที่เรียกว่า "หลักธรรมฟ้าองค์ธรรมไม่หยุด" ถ้าหากสามารถขยายทำให้มันเต็มเปี่ยม ถึงแม้จะผ่านไปเป็นหมื่นกัป หรือเกิดสักพันครั้ง มันก็จะไม่ร่วงตกอีก เพราะฉะนั้น หากมนุษย์สามารถรู้จักปฏิบัติเข้าเป็นที่หนึ่ง ก็จะหลุดพ้นปุถุชนสู่อริยชน ก็คงไม่ยากใช่ไหม  !  นี่เป็นสัจจริงนะ  !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   
                                     
            คัมภีร์  :   เป็นธรรมให้เดินหน้า  ไม่ใช่ธรรมให้ถอย

นิทาน ๑   :  สมัยก่อนมีชาวนาคนหนึ่ง ถูกเสือดัดเอาจนบาดเจ็บสาหัส พอมีคนพูดถึงเสือกัดคน ทุกคนฟังแล้วก็มีการหวาดกลัว แต่ชาวนาคนนี้ถึงกับมีสีหน้าถอดสี ซึ่งไม่เหมือนกับคนทั่วไป การที่เสือกัดคน ทุกคนก็พอที่จะเข้าใจถึงอันตรายของมัน แต่สำหรับคนที่เคยผ่านประสบการณ์มาจะเข้าใจลึกซึ้งกว่า ดังนั้นเมื่อมีผู้พูดถึงเสือกัดคน คนทั่วไปก็พากันหวาดกลัวเท่านั้น แต่สำหรับชาวนาผู้นี้แล้ว เขาจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการกัดของเสือเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นหน้าตาก็จะถอดสีเมื่อได้ยินคนพูดถึงเสือ

นิทาน  ๒  :  ในสมัยฮั่น  มีมหาบัณฑิตนามว่า  กวนหนิง และ ฮั่วอิน  ทั้งสองทำไร่อยู่ด้วยกัน กวนหนิงขุดดินพบก้อนทองอยู่หลายครั้ง เขาก็ไม่สนใจแม้จะมองดู  แต่ฮั่วอินเก็บมันขึ้นจากดิน แล้วโยนออกไปข้างทาง ต่อมาเกิดสงคราม กวนหนิงจึงย้ายหนีสงครามไปอยู่ที่เหลียวตง ท่านกงซุนตู้แห่งเหลียวตง ให้ความนับถือต่อกวนหนิงมาก กวนหนิงก็วางตนเฉย ท่านกวนหนิงอาศัยอยู่ที่บนเขา และก็มีหลายคนติดตามขึ้นไปอยู่บนเขาด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง วัวของคนใกล้เคียงเขาไปย่ำเหยียบนาของกวงหนิงเสียหาย กวนหนิงจึงจูงวัวออกไปเลี้ยงตามทุ่งหญ้า ทางเจ้าของวัวรู้เข้าจึงรู้สึกขายหน้า ก็มาขอโทษกวนหนิง บริเวณที่กวนหนิงอาศัยอยุ่ชักจะมีผุ้คนพากันมาอยู่มากขึ้น กวนหนิงจึงเปิดการอบรม อบรมคนแถวนั้นให้รู้จักจริยธรรม รรู้จักรักษาตนให้ซื่อสัตย์สุจริตและมีความละอาย หากผู้ที่มาขอพบไม่ได้มาเพื่อเข้าอบรม เขาก็จะไม่ให้พบหน้า จากการอบรมของกวนหนิง ไม่นานนักก็แพร่กระจายไปทั่วเหลียวตง ชาวบ้านที่ได้รับการอบรมก็มีคุณธรรมสูง จนมีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงนิสัยอันไม่ดีของชาวบ้านได้ แต่ละครั้งที่กวนหนิงได้พบหน้ากับกงซุนตู้ ก็จะพูดคุยกันแต่เรื่องคุณธรม เรื่องทางโลกเขาจะไม่พูดถึงกันเลย  กงชุนตู้เห็นความเป็นนักปราชญ์ของกวนหนิง เป็นเวลายาวนานถึง ๓๗ ปี ต่อมากิตติศัพท์ได้ยินไปถึงราชสำนัก ทางราชสำนักจึงมีราชโองการให้กลับมาที่เมืองหลวง โดยทางเรือ เดินสมุทร พอดีกเิดลมพายุ เรือใกล้จะจมลง ชาวเรือต่างร้องขอฟ้าช่วย ส่วนกวนหนิงก็ได้แต่นั่งนิ่งเฉยกล่าวว่า "ข้ากวนหนิงตลอดชีวิตเคยทำผิดครั้งหนึ่งคือไม่ได้สวมหมวกในตอนเช้า เข้านอนดึกมี ๓ ครั้ง ครั้งหนึ่งเข้าห้องส้วมไม่ได้สวมหมวก ที่ทำผิดมาตลอดก็มีเพียงเท่านี้ !"  (คงเป็นกฏระเบียบของลัทธิขงจื่อ)  เรือลำอื่น ๆ ที่แล่นมาด้วยกันล่มจมหมด  มีแต่เรือของกวนหนิงที่นั่งมาเพียงลำพังลำเดียวที่ไม่จม เมื่อมาถึงราชสำนัก ทางราชสำนักจะแต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ เขาไม่ยอมรับ แม้แต่ท่านฮั่วอิน จะยกตำแหน่งของตนให้  เขาก็ปกิเสธไม่ยอมรับ  กวนหนิงมีชีวิตถึง  ๘๔ ปี ม้านั่งไม้กับบริเวณที่คุกเข่าล้วนทะลุเป็นรูแล้ว เพราะกวนหนิงไม่ได้ใช้นานถึง  ๕๐ ปีเลยทีเดียว  ญาติหรือเพื่อนบ้านที่ยากจนไม่มีข้าว กวนหนิงก็จะแบ่งปันให้เพื่อจุนเจือพวกเขา ถ้ากวนหนิงได้พบลูกหลานของชาวบ้าน ก็จะพูดหลักกตัญญูแก่พวกเขา  ถ้าพบคนที่เป็นน้องเขา ก็จะพูดหลักความรักในสายเลือด หากพบกับผู้ทำราชการก้พุดถึงเรื่องจงรักภักดีให้ฟัง หน้าตาของกวนหนิงไม่เพียงน่านับถือ แม้แต่วาจาก็นิ่มนวล ถ้าหากสามารถชักจูงคนมุ่งสู่ความดี ก็จะสามารถกล่อมเกลาคนได้มากทีเดียวนะ  !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   
                                     
            คัมภีร์  :   ไม่ดำเนินทางชั่ว  ไม่แอบรังแกข่มแหง

อธิบาย  :  สถานที่ที่ไม่ดี อาทิเช่น บ่อนการพนัน  โรงอาบอบนวด ซ่องโสเภณี ดิสโก้เทค  ร้านคาราโอเกะ เป็นต้น  สถานที่เหล่านี้ต้องถือว่าเป็นทางชั่ว  จะต้องหลบเลี่ยงไม่ไป ในสถานที่มืดสลัว คนอื่นมองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน  หรือในที่ลับตาซึ่งง่ายต่อการทำชั่ว สถานที่เหล่านี้คือ เขตแบ่งระหว่างความดีความชั่ว ต้องรู้จักหักห้ามใจไม่ก้าวล่วงเข้าไป และก็ไม่ยอมข่มเหงรังแกใครเป็นอันขาด คัมภีร์สองคำนี้ บอกให้รู้จักหลบเลื่องแล้ว ที่สำคัญก็คือ ตักเตือนคน ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการทำดี "ไม่ดำเนินทางชั่ว"  เป็นความสง่าผ่าเผยของจิตใจ ถึงแม้จะเป็นทางชั่วเล็ก ๆ  เช่น ร้านคาราโอเกะ มีความผิดเล็กน้อยก็ตามถ้าตัดขาดได้ไม่ไปเสีย ทางชั่วใหญ่ เช่นบ่อนการพนัน โรงอาบอบนวด โสเภณี  เราก็รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดี แน่นอนยิ่งต้องละเว้น ในที่ลับตาไม่มีคนเห็นก็เป็นที่ทำชั่วได้ง่าย ถ้าในใจเราสามารถปัดกวาดให้สะอาดโปร่งใส ถึงเห็นจะอยู่ในห้องที่ผู้อื่นไม่เห็น นอกจากตนเอง เราก็จะไม่ยอมทำเรื่องชั่วร้ายเป็นอันขาดได้แล้ว ยิ่งในที่แจ้งก็ไม่ต้องพูดถึง ถ้าทำได้เช่นนี้แล้วมาทำบุญสร้างกุศล มาทำเรื่องดีงามต่าง ๆ ได้ก็จะทำได้ตลอดไม่ติดขัด  เราต้องรู้ว่าบุญวาสนามาจากการให้ทดแทนคุณ หากใจเราคิดแสวงหาบุญวาสนา แม้เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นทางชั่วแล้วนะ ! เพราะฉะนั้น การจะสร้างบุญวาสนาให้กับลูกหลาน จึงไม่ควรที่จะอธิษฐานขอให้ลูกหลานมีบุญวาสนา เช่น สะสมที่ดินสร้างบ้านใหญ่โต ผูกพันจับแต่งงาน ดิ้นรนยื้อแย่ง ซื้อเกียรติยศ  เหล่านี้เป็นการทำแทนลูกหลาน ช่วยหาบุญวาสนาให้ ต้องรู้ว่ารูปลักษณ์การสร้างบุญวาสนา หากมองภายนอกแล้ว ถึงแม้จะดูเงียบ ๆ เฉย ๆ แต่ก็สามารถทำให้ลูกหลานยืนยาวและเจริญนาน  ถ้ารูปแบบการสร้างบุญวาสนาดูภายนอกเห็นเป็นเอิกเกริกฟู่ฟ่า การตอบสนองบุญวาสนาของลูกหลานก็จะสั้นลง
        การมีชื่อเสียงเกียรติยศ ถ้ามีชื่อแท้จริงสมลักษณะก็ไม่เป็นไร คือดีจริงมีคุณสมบัติจริง  หากใจอยากให้ดังทั่วเมือง ให้คนตีร้องป่าวประกาศ อย่างนี้เป็นทางชั่ว เพราะฉะนั้น ควรรู้จักถนอมชื่อไม่ใช่เป็นการสร้างชื่อสร้างภาพ หากรู้จักเรียนวรรณกรรม มีสมบัติผู้ดี เตือนให้ระมัดระวังการรับการให้ พึงใส่ใจความสง่าผ่าเผย  เช่นนี้ถือเป็นการถนอมชื่อ ถ้าวิ่งเต้นให้มีชื่อในบอร์ด เบ่งอำนาจอิทธิพลแสดงความหยิ่งยโส  ออกกีริยาไพร่สามัญ อย่างนี้เป็นการสร้างชื่อ เพราะฉะนั้น  ผู้ที่ถนอมชื่อจะปรากฏความนิ่งเงียบสงบและดูเป็นมงคล ส่วนคนที่สร้างชื่อก็เห็นอึกทึกครึกโครม ดูกะเร่อกะร่า !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

นิทาน ๑  :  ในสมัยหมิง มีคนชื่อหยางจื่อ เป็นชาวอำเภออู๋ เมืองเจียงซู เป็นข้าราชการตำแหน่งช่างชู คืนหนึ่งเขาก็ฝันว่า เขาไปเที่ยวสวนแห่งหนึ่ง แล้วก็เด็ดผลไม้ติดมือมาสองผล กินเข้าไป พอตื่นขึ้นมาก็ให้รู้สึกเจ็บใจตัวเองแล้วพูดว่า "นี่แสดงว่ายามปกติฉันขาดความซื่อสัตย์ เห็นแก่ได้ รู้สึกไม่ลึกซึ้งดี จึงเป็นเหตุให้ฉันต้องขโมยผลลี้ของคนอื่นกิน" ด้วยเหตุนี้เขาจึงลงโทษตนเอง โดยไม่กินข้าวอยู่หลายวัน

นิทาน  ๒  :  เมื่อก่อนโน้นมีสามเณรรูปหนึ่งอายุ ๘ ปี นามว่า เหมี่ยวหยวน  เขามีภิญญาาได้มรรคผลแล้ว ครั้งหนึ่งเขาลอยเข้าไปในราชวัง ฮองเฮาต้องการอุ้มเขา สามเณรเหมี่ยวหยวนไม่ยอม จึงทูลฮองเฮาว่า " อุ้มหม่อมฉันไม่่ได้ ฮองเฮาไม่ควรเข้ามาใกล้หม่อมฉันหม่อมฉันออกบวชแล้ว"  ฮองเฮาก็ตรัสว่า " เจ้ากับลูกชายข้าเล็กเท่ากัน ให้ข้าอุ้มเจ้าหน่อยจะเป็นไรไป" เหมี่ยวหยวนทูลว่า "เราเอาเรื่องมิตรไมตรีมาเปรียบเทียบ ก้อย่่างที่ฮองเฮาตรัสเมื่อครู่นี้ แต่มิตรไมตรีเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ  ก็เหมือนเชื้อไฟเล็ก ๆ ขนาดดาวก็สามารถเผาผลาญป่ากว้าวใหญ่ไพศาล ถ้าเปรียบเหมือนหยดน้ำ ก็ยังสามารถผ่านซึมขุนเขาใหญ่โตได้ อะไรที่เป็นเรื่องอารมณ์ ก้เริ่มจากทีละน้อย จากเล็กก็กลายเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญาก็จะหลบหลีกการติเตือนสงสัย นี่ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าป้องกันเรื่องเล็กไว้ก่อน

นิทาน ๓  :  ในสมัยฮั่น นายหยางจิ้น เป็นผุ้ว่าราชการเมืองตงไหล มีครั้งหนึ่งผ่านมาที่อำเภอที่ตนปกครอง นายอำเภอหวังมี่่ ก็เป็นบุคคลที่เขาคัดเลือก ตกกลางคืน นายอำเภอหวังมี่ ก็นำเอาทองคำเข้ามาหานายหยางจิ้น หวังมี่พูดว่า "ค่ำมืดอย่างนี้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้" หยางจิ้นว่า "ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ารู้ข้ารู้ ทำไมจึงพูดว่าไม่มีใครรู้" หวังมี่ได้ยินแล้วรู้สึกอับอายมาก  ต่อมาหยาง
จิ้นได้เลื่อนขึ้นเป็นถึงซันกง

นิทาน  ๔  :  แพทย์เหอเติ้ง เป็นหมอที่มีวิชาสูง เขามีผู้ป่วยแซ่ซุนคนหนึ่ง ป่วยมานานแล้ว  ภายหลังที่แพทย์เหอเติ้งไปดูไข้ที่บ้านหลายครั้งแล้ว ภรรยาผู้ป่วยจึงพูดกับเหอเติ้งว่า "สามีฉันป่วยมานาน เงินทองก็ใช้จนหมดแล้ว ฉันยอมอุทิศกายเป็นค่าหมอค่ายา"เหอเติ้งฟังแล้วก็พูดกับเธออย่างจริงจังว่า "คุณนายชุนทำไมจึงพูดเช่นนี้ แต่ขอให้สบายใจได้อย่ากังวล ฉันจะรักษาคุณชุนอย่างเต็มที่ ถ้าหากฉันถือโอกาสลวนลามเธอ อย่างนี้ทำให้ข้านี้ต้องเป็นคนต่ำทรามไปตลอด คุณนายจะสูญเสียความเป็นกุลสตรี ถึงแม้เราจะหลบพ้นการด่าทอของคนอื่นได้ แต่ต้องรู้ว่า หลบสายฟ้าได้ยากนัก !  ต่อมาเหอเติ้งก็มีความฝัน ฝันว่าตนเองได้รับราชการตำแหน่งใหญ่ มีเทพธิดาองค์หนึ่งพูดกับเข่าว่า เหอเติ้ง เจ้ารักษาคนช่วยเหลือคนมีบุญกุศลโดยเฉพาะภายใต้การตกอับของผู้อื่น ไม่ลวนลามหญิงชาวบ้าน ดังนั้น พระเจ้าจึงประทานตำแหน่งแก่เจ้ากับเงินอีก ๕ หมื่นพวง เหมือนกับในฝันไม่ผิดเพี้ยน  !

Tags: