collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144125 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป  คัมภีร์   :  ใช้ฟืนสกปรกหุงหา

อธิบาย   :  การใช้ฟืนที่สกปรกมาก่อไฟหุงหาอาหารการกิน
ถึงแม้ไม้จะถูกไฟไหม้อยู่ข้างใต้ แต่ไอของมันก็จะพุ่งขึ้นมา ถ้าเป็นไม้ที่สกปรกนำมาเผา ทำให้กลิ่นไอที่สกปรกพวยพุ่งออกมา เป็นการทำผิดต่อเทพเจ้าเตา จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ และยิ่งเอาไม้สกปรกมาหุงหาอาหาร ถ้าเอาอาหารนั้นมาบูชาพระหรือเทพเซ่นไหว้บรรพชนล้วนเป็นการทำผิดทั้งนั้น นอกจากนี้ควันไฟที่เกิดจากเผาไหม้สกปรกพุ่งขึ้นท้องฟ้า เทพเจ้าเห็นแล้วจะโกรธง่าย เพราะฉะนั้นจึงไม่สมควรใช้ไม้สกปรกมาหุงหาอาหาร ! 

นิทาน   :  ในปีที่เจ็ดพระเจ้าเจิ้งเหอ สมัยซ่ง นายลี่ปาเกิดเป็นโรคเรื้อน ป่วยอยู่ 3 ปี เขาได้กินยาสารพัดก็ไม่มีผล เนื่องจากก่อนที่นายลี่ปาจะเจ็บป่วย เขาได้สวดมหาธรณีสูตร ของพระโพธิสัตว์กวนอิม 3 พันกว่าจบ มีอยู่วันหนึ่ง ก็บังเอิญพระภิกษุรูปหนึ่งมาหา พระเอายาเม็ดหนึ่งให้ลี่ปากิน สามารถรักษาโรคให้หายได้ แต่นายลี่ปากลับเก็บเม็ดยานั้นเอาไว้ ไม่ยอมกินทันที ในคืนนั้น นายลี่ปาก็ฝันถึงพระภิกษุที่เอายามาให้เมื่อตอนกลางวันพูดกับเขาว่า "ข้าคือพระโพธิสัตว์กวนอิม  เพราะเจ้ามักใช้ฟืนสกปรกหุงหาอาหาร ดังนั้นจึงกระทบกับผีเทพเข้า เพราะฉะนั้น จึงเป็นโรคเรื้อนนี้ แต่เพราะเจ้าได้สวดมนต์ธารณีสูตรถึง 3 พันกว่าจบ  วันนี้จึงประทานยาเจ้าหนึ่งเม็ดเพื่อปลดทุกข์ ทำไมเจ้าไม่ยอมกินล่ะ"  พอลี่ปาตื่นขึ้นมาก็รีบกินยาเม็ดนั้น เวลาผ่านไป 7 วัน หนังที่แตกเก่าก็ลอกหลุดออก ผมเผ้าขนคิ้วก็งอกขึ้นมาใหม่ การใช้ฟืนสกปรกหุงหาอาหารจะกระทบทำผิดต่อเทพเจ้า ดังนั้นจึงควรงดเว้น ตลอดจนใช้กิ่งก้านของไม้หลิวมาเป็นฟืนจุดไฟก็จะกระทบทำผิดต่อเทพเจ้าเตา อันนี้เป็นข้อห้ามในศาสนาเต๋า ควรที่จะต้องรับรู้เอาไว้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป  :  เปลือยกายกลางคืน 

อธิบาย   :  ตกกลางคืนชอบเปลือยกายล่อนจ้อน
บัณฑิตคนตรง ในที่ ๆ มีคนเห็นก็ยังระมัดระวังไม่ทำอุจาด ในที่มืดที่ลับตา ก็ยังต้องเคารพกลัวเกรงผีเทพด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในห้องที่ลับตาไม่มีคนเห็น ก็ต้องรักษาความเคารพเอาไว้เหมือนอยู่ต่อหน้าเทพเจ้า โดยเฉพาะในที่มืดเป็นสถานที่ของผีเทพเพราะฉะนั้นจึงไม่มีที่ไหนที่ไม่มีผีเทพอยู่ ตกกลางคืนเป็นช่วงเวลามืด ยิ่งเป็นเวลาที่เทพมักไปมาหาสู่กันตลอด ทำไมไม่ระมัดระวังจะหาเรื่องใส่ตัวให้ได้เคราะห์ภัยหรือ ?

นิทาน   :  สมัยก่อนที่เมืองเฟิงโจว มีบุตรสาวของขุนนางคนหนึ่งแต่งงานไปไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็ม ไม่รู้สาเหตุอันใดชอบพูดส่งเดช และแก้ผ้าเดินทั่วโดยไม่รู้สึกอาย ไปหาหมอมาหลายคน ไปไหว้พระถามเจ้ามาทั่ว ก็ไม่สามารถรักษาเธอให้หาย ตอนนี้เองบังเอิญท่านอริยเจ้าจางกลับเข้าเมืองหลวง ขุนนางผู้นี้จึงไปเชิญท่านอริยเจ้าจางช่วยเหลือ อริยเจ้าจางใช้ให้ลูกศิษย์ใช้ยันต์มารักษา แต่ก็ไม่บังเกิดผลอะไร เธอยังคงแก้ผ้าพลุ่งพล่านไปทั่วเหมือนเดิม ดังนั้น ท่านอริยเจ้าจางจึงไปดูด้วยตนเอง เชิญขุนพลเทพให้มาปรากฏ พอท่านเจ้าเพิ่งมาถึง ผู้หญิงคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงพูดขึ้นว่า "เจ้าหญิงแม่บ้านคนนี้ กล้าที่จะแก้ผ้าในเวลากลางคืน กระทำผิดต่อเทพฟ้า นี่คือโทษตัดหัว !  แต่ด้วยเชิญอริยเจ้ามาด้วยตนเอง ตอนนี้ก็จะอภัยให้เจ้าก่อน !" พอหญิงแม่บ้านพูดจบ ก็ล้มลงกับพื้นทันที แล้วโรคก็หายไป

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก ชั่วบาป  :  ประหารวันตรุษสาร์ท

อธิบาย   :  ในวันตรุษสาร์ทต่าง ๆ
การดำเนินการลงโทษประหารชีวิตหรือโบยตนักโทษ ในวันตรุษสาร์ท จะเป็นวันที่เทพเจ้าจดบันทึกบาปบุญของคนในโลก เพราะฉะนั้นในวันตรุษสาร์ทเหล่านี้ ชาวโบกควรที่จะย้อนสำรวจ  ไม่ทำบาป  ให้สร้างบุญกุศล  จึงจะเหมาะสมกับท่านไท่ซั่งเมตตาโปรดเวไนย หากฝ่าฝืนทำตามอารมณ์ ทำการประหารในวันตรุษสาร์ท ก็จะทำร้ายบรรยากาศแห่งความละมุนละไมยของฟ้าดิน ที่สำคัญคือทำลายบุญวาสนาของบ้านตนเองนะ !  ในรัชสมัยถังเกาจูงปีที่สาม  ได้มีกโอกาสำหนดว่าเดือนอ้าย  ห้า  เก้า  สามเดือน  และวันสิบเจแต่ละเดือน  ให้ขุนนางทุกระดับห้ามลงโทษและรัชสมัยก่อนหน้าก็กำหนดว่าวันที่หนึ่งของแต่ละเดือนห้ามลงโทษประหาร  กับการฆ่าสัตว์  เป็นการให้ทานที่พระราชาและประชาชนต่างเมตตาต่อสัตว์ ปัจจุบันข้าราชการผู้ใหญ่ต่างก็เข้าใจการให้ทานชีวิตแบบนี้ รู้ความหมายลึกซึ้งในเรื่องนี้ดี

นิทาน   :  สมัยถัง ขุนนางโต้วเกวยเป็นลูกผู้พี่ของมเหสีของพระเจ้าเกาจูงต้ามู่ เป็นผู้ว่าเมืองลั้วโจว มีนิสัยเหี้ยมแข็งกร้าวชอบฆ่าคน ดังนั้นจึงฆ่าประชาชนและบัณฑิตไปไม่น้อย เมื่อถึงเวลาพิพากษา ซึ่งก็เป็นวันที่ทางราชสำนักให้งดเว้นลงโทษ เขาก็ไม่ยอมที่จะหยุด เขายังได้ทำร้ายราชเลขาอุ้ยหวินฉีในปีที่ 2 พระเจ้าเจินกวน  โต้วเกวยก็เกิดโรคเจ็บป่วยหนักมาก ทันใดก็พูดขึ้นว่า "มีคนส่งแตงมาให้ !"  คนรอบข้างตอบว่า  "ไม่มี"  โต้วเกวยก็พูดอีกว่า "มีซิเป็นเตงดีเสียด้วย" คนรอบข้างก็ตอบว่า "ไม่มีนะ !"  อีกครู่หนึ่งโต้วเกวยแสดงอาการตกใจจ้องมองพูดว่า "ไม่ใช่แตง เป็นหัวคน มันมาทวงชีวิตข้า ! " พอโต้วเกวยพูดจบก็ตายไป วันตรุษสาร์ทหาใช่เป็นวันห้ามฆ่าประหารเท่านั้น แม้แต่ลงโทษเฆี่ยนตีนักโทษก็ไม่ได้ มิฉะนั้น เวลารับเคราะห์ภัยกับมงคลก็จะต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะฉะนั้นไม่ว่าข้าราชการ หรือรัฐบาลคงรระวังงดเว้น !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก ชั่วบาป  :  ถ่มน้ำลายดาวตก  ชี้รุ้งชี้สามแสงบ่อย  จ้องอาทิตย์ จันทร์นาน

อธิบาย   :  การถ่มน้ำลายใส่ดาวตก ชี้นิ้วไปที่รุ้งผู้รุ้งเมีย  ชี้นิ้วไปที่ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์  และดวงดาวบ่อย ๆ และจ้องอาทิตย์จ้องจันทร์นาน ๆ
การที่ดวงดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เรียกว่าสามแสง ซึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรกับคน แต่กลับมีคนชอบถ่มน้ำลายใส่ดาวตก นั่นคือการกระทำของคนไม่มีปัญญา บ้างก็ชี้ดาวตกว่าเป็นพวกปีศาจ และการถ่มน้ำลายใส่ก็ถือว่าชนะเขา การพูดไม่มีสาระเช่นนี้เป็นการพูดใส่ร้ายของคนบ้านนอก ความจริงประชาชนขาดคุณธรรมที่พูดเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ฟ้าจึงเปลี่ยนแปลงเป็นปรากฏการณ์เพื่อตักเตือนชาวโลก เพราะฉะนั้น ดาวตกคืออุกาบาตที่ตกใส่ลงมาเป็นเพราะประชาชนขาดคุณธรรมกวักหามา จะไปถ่มน้ำลายได้อย่างไร ?.  สีแดงขาวคือรุ้งผู้  เขียวขาวคือรุ้งเมีย เป็นปรากฏการณ์หยินหยางของฟ้าดินที่เกิดไอน้ำขึ้น ในคัมภีร์ซีจิงกล่าวว่า "ถ้ารุ้งปรากฏขึ้นทิศตะวันอก ก็ไม่มีใครกล้าชี้นิ้ว !"  แกนนักษัตรเคลื่อนย้ายในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง กล่าวไว้ว่า "ดาวสลายเป็นรุ้งผู้"  ดังนั้นรุ้งจึงเป็นไอที่เหลือของนักษัตรที่ปรากฏเป็นสีให้เห็น ท่านขงจื่อที่นิพนธ์คัมภีร์ กตัญญูชุนฉิว ขณะกำลังจะจบลงก็ภาวนาวิงวอนไปยังดาวเหนือ เหตุนี้รุ้งแดงผู้จึงปรากฏขึ้นเป็นบทแกะสลักหยกเหลือง ใครพูดว่ารุ้งมิใช่ไอที่เหลือของนักษัตรเล้า?. ดังนั้นการชี้รุ้งทำไมจึงไม่มีโทษเล่า ?.  ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวเป็นฟ้าเบื้องบนใช่ส่องตรวจโลกเพือแสดงธรรม ! :ท่านไท่ชั่งกล่าวว่า "ถ้าเห็นดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  ดาวเหนือ  ดาวใต้  ก็ต้องก้มหัวนิ่ง ขอให้คุ้มครอง  อภัยโทษที่ผิด  ไม่อาจทำอาการดูถูก จะได้ไม่ประสบเคราะห์ !"  คัมภีร์ในศาสนาเต๋า สอนคนให้เซ่นไหว้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ว่า "แต่ละปีวันที่หนึ่ง  เดือนยี่  ให้เซ่นไหว้ดวงอาทิตย์  วันที่ 15 เดือนแปด เซ่นไหว้ดวงจันทร์  ให้เตรียมธูป ดอกไม้ อาหารเจไปบูชา  เพื่อภาวนาเป็นการตอบแทนคุณของดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  แบบนี้สามารถเพิ่มบุญวาสนาและอายุขัยได้"  เพราะฉะนั้น จะชี้นิ้วบ่อย ๆ หรือจ้องมองนานได้หรือ ?

นิทาน   :  นายโจวหง กล่าวว่า ที่บ้านนอก มีครั้หนึ่งชาวบ้านหลายคนมาดื่มสุรากัน ทุกคนต่างมองเห็นว่าดวงอาทิตย์สว่างจ้าผิดปกติ ทุกคนก็ชี้นิ้วไป ทันใดนั้น ลมฝนก็เทลงมา ปรากฏมีรูปร่างประหลาดคล้ายลิงลงมาจากฟ้า ตาของมันมีแสงเรืองทั้งสองข้าง ทุกคนตกใจกลัวจนหมอบคลาน ผ่านไปครู่เดียว เจ้าตัวประหลาดก็จากไป ถึงตอนนี้ในรูหูของทุกคนเต็มไปด้วยดินโคลน ทุกคนในเหตุการณ์ตกใจเกินขีดจนเจ็บป่วยโรคจิต

นิทาน   :  มหาอำมาตย์ไฉจิง ในสมัยซ่ง สามารถจ้องดวงอาทิตย์โดยตาไม่ลาย มีคนพูดว่า "นี่เป็นปรากฏการณ์พิเศษ !"  อย่างไรก็ตามไฉจิงถือว่าตยมีพลังตาดีที่กล้าจ้องสู้ดวงอาทิตย์ คนที่เข้าใจหลักธรรมก็เข้าใจว่า ในใจของเขาไม่มีพระราชาอยู่ในสายตา !  สุดท้ายไฉจิงก็กบฏจึงถูกลงโทษประหาร 

นิทาน   :  นายซุนจิ่ง สมัยหยวน มีความเศร้าโศกมากเมื่อบิดาเสียชีวิต  เขาเดินเท้าเปล่าในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ บิดาของเขายังไม่ได้ทำการฝัง เขาพาศพบิดาบิดาลงเรือกลับบ้านข้ามแม่น้ำ ขณะนั้นเกิดลมพายุรุนแรงมาก ท้องฟ้ามืดครึ้ม ซุนจิ่งจึงคุกเข่าวอนขอต่อดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และดวงดาว  ไม่นานนักลมก็สงบลง ดวงอาทิตย์ก็สว่างขึ้น  ซุนจิ่งมีความกตัญญูต่อมารดาเลี้ยงมาก เมื่อมราดาเลี้ยงเป็นฝีหนองเขาจะใช้ปากดูดเอาหนองออกจากฝี ต่อมามราดาเลี้ยงก็ตาบอด ซุนจิ่งก็วอนขอต่อดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และดวงดาว หลังจากนั้นก็เอาลิ้นเลียที่ดวงตาของมารดาเลี้ยง ปรากฏว่าดวงตาของมารดาเลี้ยงกลับมองเห็นได้อีก หลังจากมารดาเลี้ยงตายลงได้สิบวัน ขณะที่จะลงฝัง ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูฝน ๆ ตกไม่หยุด ซุนจิ่งร้องไห้ตลอดคืน จนฝนหยุดตก ม้องฟ้า เมฆเปิดเห็นดวงอาทิตย์ พอเตรียมตัวจะลงฝังก็ตกค่ำเสียแล้ว ไม่มีแสงเลย  ซุนจิ่งจึงร้องไห้อีก ปรากฏว่าดวงดาวบนท้องฟ้าก็ทอแสงสว่างไสว ซึ่งบังเอิญคืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด ไม่มีดวงจันทร์  ทันใดก็ปรากฏฉายแสงสว่างไสวประดุจกลางวัน จากเรื่องที่เล่ามา เมื่อมาพิจารณา ไม่เพียงว่าดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  ดวงดาว  กลับมีพระคุณส่องแสงให้กับโลก โดยเฉพาะทันทีที่วอนขอก็สามารถได้รับการตอบสนองทันที !  เพราะฉะนั้น ทั้งสามแสงจากดวงอาทิตย์  จันทร์  ดาว  ผู้คนจะไปชี้โดยส่งเดชได้อย่างไร ยิ่งการจ้องมองเป็นการละเมิดบาปที่หนักด้วย   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ล่าสัตว์เผาป่าฤดูใบไม้ผลิ

อธิบาย   :  การเผาป่าล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิ  การยิงสัตว์บิน  ไล่จับสัตว์วิ่ง
เป็นบทห้ามชัดเจนของท่านไท่ซั่ง ยิ่งการเผาป่าล่าสัตว์เป็นการทำลายชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนยิ่งเป็นบาปหนัก โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิ จึงเป็นการละเมิดฟ้าที่ประทานชีวิต แล้วกลับมาทำลายชีวิตอย่างโหดเหี้ยมสุด ๆ เช่นนี้ แม้แต่ในฤดูอื่นก็ใช่ว่าจะเผาป่าล่าสัตว์ได้ก็หาไม่

นิทาน   :  ในสมัยถัง นายหลิวม้อเอ๋อกับลูกชายตายพร้อมกัน ในวันเดียวกัน คนบ้านใกล้เรือนเคียงแ่ฉีก็ป่วยตาย และพื้นคืนชีพมาใหม่ เขาพูดกับคนทั่วไปว่า ตนเองได้ไปยมโลก ได้เห็นหลิวม้อเอ๋อกับลูกชายถูกต้มอยู่ในหม้อน้ำเดือด ต้นจนเนื้อหนังหลุดร่อนเหลือแต่กระดูกขาว ๆ ผ่านไปอีกนาน คนทั้งสองก็กลับมาสู่สภาพเดิม แล้วก็ถูกจับต้มอีกจนเนื้อหนัง่อนหมด เวลาผ่านไปอีกนานก้กลับมาสู่สภาพเดิม แล้วก็ถูกทำโทษลงไปต้มใหม่ครั้งแล้วครั้งเลา ลงโทษอยู่แบบนี้ไม่สิ้นสุด !  ยมบาลกล่าวว่า "นายหลิวม้อเอ๋อกับลูกชายมีอาชีพเผาป่าล่าสัตว์ จึงต้องรับกรรมตอบสนองเช่นนี้ ! "

อธิบาย   :  ควรจะรู้ว่าสรรพสัตว์ล้วนมีพุทธจิต จะทำลายชีวิตส่งเดชไม่ได้ การล่าสัตว์ก็ทำไม่ได้ มิหนำซ้ำยังปล่อยไฟเผาป่าอีก ทำให้สัตว์อื่น ๆ พลอยถูกเผาไหม้ไปด้วย แม้แต่ตัวหนอน  ตัวแมลง  ก็ไม่รอดพ้นถูกเผาเรียบ ! ด้วยเหตุที่การทำลายสูงมากจึงเป็นสิ่งที่คนทนไม่ได้ ! ในบันทึกจริยธรรมมีรายละเอียดกำหนดไม่ให้เผาป่าล่าสัตว์ ท่านไท่ซั่งกล่าวตอกย้ำห้ามอีก เพราะทำลายชีวิตจำนวนมากมายนัก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ด่าทอทิศเหนือ

อธิบาย   :   หันหน้าด่าไปทางทิศเหนือ  การถ่มถุยน้ำลายสั่งขี้มูก เป็นเรื่องเล็กธรรมดา แต่การถ่มถุยไปทางทิศเหนือก็มีโทษบาปอยู่แล้ว
ซึ่งก็ได้กล่าวมาแล้ว ยิ่งด่าทอไปทางทิศเหนือยิ่งบาปหนัก คนโง่ที่ไม่มีปัญญาที่ถูกโทสะพาไป ไม่รู้จักหักห้ามจิตใจ ไม่มีสติยั้งคิดที่บันดานโทสะออกไป วจีกรรมของคนมี 4 ชนิด การด่าทอว่าร้ายบาปหนักสุด ในพุทธสูตรว่า ปุถุชนมีโลภ โกรธ หลง 3 พิษ ซึ่งรุนแรงมาก ไฟโทสะมีสภาพเผาผลาญกว้างขวางคือเมื่อเกิดโกรธแค้นก็จะมีปัจจัยชั่วทำให้เกิดอุปสรรค เพราะฉะนั้น เวลาพูด เมื่อบันดาลโทสะอกจากปาก ก็จะทำร้ายใจคน ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด ประดุจถูกมีดเฉียน จึงเกิดทุกข์กังวลสุดประมาณ !  ถึงแม้กายยังไม่ได้ทำบาป ถ้าหากไม่ระวังปากตนเองก็ตกสู่ทางบาปได้นา !"

นิทาน   :  มีแม่บ้านคนหนึ่งที่เมืองซินอัน มีนิสัยแข็งกร้าว ตนเองไม่มีบุตรก็อิจฉาเมียน้อยที่มีบุตร  ทุกวันยามใกล้ค่ำ นางก็จะด่าทอไปทางทิศเหนือ ค่ำวันหนึ่งนางก็ด่าทอสาปแช่งไปทางทิศเหนือ ทันใดก็มีดาวตกลงมาที่พื้นขนาดเท่าถาดใบหนึ่ง เสียงดังเหมือนฟ้าผ่า นางตกใจกลัวจนล้มเจ็บลงท้องก็บวมขึ้น ๆ เหมือนคนมีท้อง รอจนใกล้คลอดปวดท้อง 7 วัน มันก็ยังคลอดไม่ออก ที่จริงในท้องนางไม่มีทารก !  หลังจากที่นางสำนึกผิดแล้วโรค
จึงหาย

อธิบาย   :  น่าจะรู้ฤทธิ์เดชของเทพเจ้า ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีนะ !  ทำไมจึงพูดแต่ทิศเหนือ นั้นก็เน้นถึงความสำคัญว่าเป็นทิศที่มีพระเจ้าสถิดอยู่ ทำไมคนถึงไม่รู้จักคอยระลึกว่า ทุกแห่งหนล้วนมีเทพเจ้าอยู่ทั้งนั้น เมื่อมีใจเกรงกลัว จะเพิ่มการบำเพ็ญย้อนสำนึกตรวจบารมีดูบ้าง !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ตีงูฆ่าเต่าไร้สาเหตุ

อธิบาย   :  ไม่มีสาเหตุอะไรก็ไปตีงูฆ่าเต่า อริยเจ้าสนองชาติกล่าวว่า "ชีวิตทั้งปวงฆ่าไม่ได้ ยิ่งเต่าและงูเป็นพวกปีศาจอย่างหนึ่ง
อดีตชาติที่สนองกับเทพเจ้าดาวเหนือ (ไปย๋จี๋เจินอู่เสียนเทียนซั่งตี้) เราจะเห็นใต้บาทของเทพเจ้าเจินอู่จะมีงูและเต่า (ไปดูได้ที่รูปของท่าน)  เพราะฉะนั้นจะฆ่าโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้ ถ้าทำอาจได้รับกรรมตอบสนองรุนแรง"  เพราะฉะนั้นคนที่เมตตาจะช่วยเหลือปล่อยชีวิต ! 

นิทาน   :  ชาวนาแถบเมืองเหย่โจว พากันวิดน้ำในสระจนแห้งเพื่อจับปลา แต่ก็มีเต่าจำนวนมาก พวกเขาแคะเอาเนื้อเต่าออกหมด แล้วส่งกระดองเต่าไปขายที่เมืองเจียงหลิง ดังนั้นจึงได้กำไรมาแยะ หลังจากกลับมาบ้าน ทั่วตัวเกิดเป็นฝีเจ็บปวดร้องครวญคราง คนได้ยินก็ให้สงสาร พวกเขาต้องใช้น้ำอ่างใหญ่แล้วใช้มือนวดถูในน้ำจึงค่อยทุเลาอาการเจ็บ ทำอยู่เช่นนี้จนกระดูกโผล่ออกมาเหมือนกระดองเต่า เนื้อหนังร่อนแตกจนตาย

นิทาน   :  มีเศรษฐีคนหนึ่ง ข้าง ๆ บ้านที่อยู่มีต้นไม้แห้งเฉาต้นหนึ่ง เศรษฐีเตรียมให้คนโค่นทิ้ง ในคืนนั้นเขาก็ฝันเห็นคนหนึ่งนำคนมาหลายคนมาร้องขอ ขอให้เศรษฐีชลอเวลาสักระยะหนึ่งก่อน รอให้พวกเขาย้ายออกก่อนค่อยโค่นทิ้ง หลังจากเศรษฐีตื่นจากฝัน ก็ใช้ให้คนไต่ขึ้นบนดูบนต้นไม้ ปรากฏว่าบนต้นไม้มีงูจำนวนมากพันกันเป็นกลุ่ม เศรษฐีใช้ให้คนจุดไฟเผาต้นไม้จนงูตายกันหมด ไม่นานนักที่บ้านของเศรษฐี พอตกดึกก็มีคนเห็นลูกไฟลอยเข้าไปในบ้าน พอคนในบ้านลุกขึ้นมาดูก็ไม่เห็นมีอะไรเลย สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก จนทุกคนรู้สึกเฉย ๆ  คืนหนึ่งสาวใช้ในบ้านไม่ระวังใช้ฟืนเผาไฟจนเกิดไฟลุกไหม้ขึ้น ไฟไหม้บ้านขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่มีใครลุกขึ้นมาดับไฟ ต่างคิดว่าเหมือนสภาพแล้ว ๆ มา จึงนอนต่อหลับสนิท เมื่อรู้สึกตัวอีกที คิดจะหนีก็หนีไม่ทันเสียแล้ว  คนทั้งบ้านถูกไฟเผาตายเรียบหมด

นิทาน   :  บิดาของนายหลิวเอี้ยน เป็นผู้ตรวจราชการเมืองหูโจว มีคนขึ้นมาจากเหวไปย่ขิง เขาเอาเต่ามาให้บิดาตัวหนึ่ง เป็นเต่าตัวใหญ่มาก แล้วพูดว่า "ถ้าทานเนื้อมันแล้วจะมีอายุยืนถึงพันปีเชียวนะ !"  บิดาก็นำเอาเต่าตัวนี้แอบไปปล่อยไว้ที่เดิม ภายหลังเมื่อบิดาของหลิวเอี้ยวถึงแก่กรรมไปแล้ว หลิวเอี้ยวได้เป็นตุลาการเมืองฝังโจว ได้เกิดอุทกภัยฉับพลัน น้ำท่วมหลายฟุต หลิวเอี้ยวไม่มีทางหนีน้ำได้เลย ก็ให้มีเต่าตัวหนึ่งมานำทางพาไปจนถึงที่ตื้น ดังนั้นคนทั้งบ้านจึงพ้นจากอุทกภัยได้ ในคืนนั้นก็มีคนใส่อาภรณ์ขาวคนหนึ่งมาบอกเขาว่า "ข้าคือคนที่บิดาท่านปล่อยชีวิตที่เหวไปย่ขิง เป็นเต่าตัวใหญ่ ข้ามาที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณที่บิดาท่านช่วยชีวิตเอาไว้ !"

นิทาน   :  ในสมัยถัง ท่านอริยเจ้าซุน ครั้งหนึ่งเดินอยู่ในป่าเห็นชาวบ้านกำลังรุมตีงูเขียวตัวหนึง ดังนั้นจึงขอซื้องูตัวนั้นจากชาวบ้าน แล้วก็ปล่อยมันไป ไม่นานนัก ก็มีคนหนุ่มคนหนึ่งมาต้อนรับให้ไปถึงวันแห่งหนึ่ง คนทรงอาภรณ์สีแดงออกมาต้อนรับอริยเจ้าซุน และกล่าวว่า "เมื่อวานลูกน้อยประสบภัย โชคดีที่ท่านเมตตาช่วยชีวิต ดังนั้นจึงส่งลูกคนโตไปต้อนรับท่านเข้าวัง เพื่อแสดงความขอบคุณ"  เมื่ออริยเจ้าซุนเข้าถึงวังลึกก็ให้มีเจ้าจอมนางหนึ่งพาลูกน้อยใส่อาภรณ์เขียวออกมาออกมาพบและกราบไหว้ขอบคุณอริยเจ้าซุน ราชานาคราชขอให้อริยเจ้าซุนอยู่ในเมืองบาดาลถึง 3 วัน  และขอนำอาหารอย่างดีมาต้อนรับพร้อมกับให้แพรไหมมุกต่าง ๆ แก่อริยเจ้าซุน อริยเจ้าซุนปฏิเสธไม่รับทั้งหมด เพียงขอรับตำรับยาทิพย์ 30 ขนานมาสู่โลก เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ เวลานี้ตำรับยายังใช้กันมาถึงปัจจุบัน.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  : อันทำบาปต่าง ๆ เทพเจ้าตามดูหนักเบา หักขัยตามรอบ ขัยสิ้นก็ตาย หนี้เหลือจากตาย ตกทอดบุตรหลาน

อธิบาย   :  โทษบาปต่าง ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว เทพเจ้าตุลาการสอบตามกรรมโทษบาปที่หนักเบา
นำมาหักอายุขัยของเขา โทษบาปหนักก็จะหักอายุขัยหนึ่งรอบมีสิบสองปี โทษบาปเบาก็หักขัยหนึ่งร้อยวัน ถ้าโทษบาปหักตามอายุขัยจนหมดแล้ว นั่นก็หมายความว่า กำหนดอันตรายของเขามาถึงแล้ว แม้ตายแล้วแต่โทษบาปยังเหลืออยู่ก็ให้ลูกหลานรับเคราะห์ไป อันโทษต่าง ๆ ดังกล่าวจากบทที่แล้วมาจนถึงโทษฆ่าเต่าตีงู เป็นต้น เทพเจ้าตุลาการกล่าวไว้ชัดเจน ก็ต้องรับกรรมสนองตามความเป็นจริง ในพุทธสูตรกล่าวว่า "กรรมเกิดจากใจ รูปใจที่ปรากฏเป็นการกระทำของแรงกรรม แรงกรรมอาศัยใจสร้างขึ้นจนสำเร็จขเป็นลักษณะ ใจที่ถูกแรงกรรมเผยปรากฏสภาวะชนิดต่าง ๆ เหมือนเงาที่ติดตามกาย !"  ใจที่แยกถูกผิดชั่วดีก็เหมือนเสียงที่สะท้อนกลับ การตอบสนองมากหรือน้อยแตกต่าง แต่ก็ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ตลอดจนเคราะห์ภัยตกทอดถึงลูกหลาน ดังที่พูดกันเป็นประจำถึงสามภพกันเลย ! สรุปคือที่ไกลออกไปก็อยู่ที่ลูกหลาน ที่สนองใกล้คือกับตนเอง แต่ก็เป็นความจริง เพราะว่านับตั้งแต่ชาวโลกมีใจที่เปลี่ยนแปลงชั่วร้ายหลอกลวงก็สั่งสมกรรมชั่วมากเหลือเกิน จนทำร้ายจิตใจของพระเจ้าที่ให้กำเนิดดี ละเมิดฝ่าฝืนจิตปกป้องของบรรพชน ดังนั้น จึงทำความลำบากให้กับลูกหลานจนขาดผู้สืบสกุลที่เป็นผลตอบสนองบางคนก็โยนไปเป็นเรื่องของดวงชะตา บางคนก็ผลักไปเป็นเรื่องของบรรยายกาศ โอ้ ! มหาบารมีฟ้าดินเรียกว่ากำเนิด แม้แต่ต้นหญ้าใบไม้  สัตว์ปีก  สัตว์น้ำ ฟ้าดินก็ยังไม่ยอมให้มันสูญพันธุ์ นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่มีญาณเหนือสรรพสัตว์ ฟ้าดินมีหรือที่จะทนทำร้ายลูกหลานของพวกเขา เพราะฉะนั้น หากมนุษย์ไม่ก่อโทษบาปที่หนักถึงที่สุด ก็จะไม่ดับสิ้นลูกหลานหรอกนะ !  อย่างไรก็ตาม เมื่อการลงโทษบาปแล้วยังมีโทษเหลืออยู่ก็ต้องตกทอดไปให้ลูกหลาน เป็นหลักธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล ! 

นิทาน   :  หยางสู้ขุนนางใหญ่สมัยซุย พยายามกดดันแนะนำให้พระเจ้าซุยเหวินตี้ขจัดองค์รัชทายาทหยางหย่ง และผลักดันแก้ไขให้หยางกว่างเป็นองค์รัชทายาทแทน ก็คือพระเจ้าซุยเอี้ยงจึงทำให้ประเทศเกิดวิกฤต บุตรชายของหยางสู้คือ หยางหยวนกั่น กลับถูกพระเจ้าซุยเอี้ยงที่ตนสู้อุตส่าห์สนับสนุนให้เป็นองค์รัชทายาทแทน จนขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าซุยเอี้ยง สั่งประหารทั้งครอบครัว ขุนนางผู้มีคุณในการก่อตั้งราชวงศ์ถัง คือ อวี๋สื้อเจ๋อ (ได้รับประราชทานสกุลให้แซ่ลี่ เพราะว่าพระเจ้าถังเกาจงคิดจะขจัดมเหสีหวังฮองเฮา แล้วแต่งตั้งบู๋เจียวอี้ (คือจักรพรรดินี บู๋เสกเทียน) ขึ้นมาเป็นมเหสี บรรดาขุนนางต่างพากันคัดค้านพระเจ้าถังเกาจง จึงถามความเห็นของอวี๋สื้อเจ๋อ ขุนนางอวี๋สื้อเจ๋อเคยถูกพระเจ้าถังไท้จงปลดออกก็มีความแค้นในใจอยู่แล้ว จึงทูลตอบพระเจ้าถังเกาจงว่า "เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในราชสำนัก พระองค์สามารถดำเนินการได้ตามพระทัย"  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าถังเกาจงจึงตั้งพระนางบู๋ขึ้นเป็นฮองเฮา การกระทำเช่นนี้เป็นสาเหตุให้ราชวงศ์ถังถูกกำจัดสิ้น ในที่สุดหลานชายของอวี๋สื้อเจ๋อ คือ อวี๋จิ้งก็ถูกพระนางบู๋เสกเทียนฆ่าตาย  คดีทั้งสองเรื่องที่ยกมาแสดงก็เน้นให้รู้ว่าโทษบาปที่ตนเองทำเอาไว้ได้ตกทอดถึงลูกหลาน ซึ่งเป็นความจริงที่คนพึงสังวร ดังคติกล่าวว่า "เจ้าเริ่มจากสิ่งนี้ก็สิ้นสุดจากสิ่งนี้" ออกจากที่นั่นก็คืนกลับไปที่นั่นเป็นการตอบสนอง ดังนั้นการใส่ร้ายป้ายสีจึงทำไม่ได้แน่นอน แต่คนในปัจจุบันมักมองสิ่งที่เห็นเฉพาะหน้า เห็นคนทำชั่วจำนวนมากไม่ยักจะเป็นอะไร ก็ได้แต่ต่อว่าฟ้าไม่มีตา เห็นคนทำชั่วแต่ครอบครัวกลับมั่งมีศรีสุขก็เลยพูดว่า "ทำชั่วได้ดีมีถมไป" ควรรู้ไว้ว่าในคัมภีร์อี้จิงกล่าวไว้ว่า "บ้านที่สั่งสมความดี ต้องมีงานมงคลล้น บ้านที่สั่งสมความไม่ดี ต้องมีภัยเคราะห์ล้น" อันเป็นหลักธรรม ตามหลักธรรมนี้มีคำว่า "ล้น" ซึ่งก็เก็บความหมายกว้าง หลังจากชีวิตตัวเองก็หมายถึงลูกหลานใช่ไหม หาใช่เพียงการตอบสนองต่อตนเองในปัจจุบันเท่านั้น ดังที่พระเจ้าตรัสว่า "ภัยเคราะห์ล้นตกทอดลูกหลาน" มีความมุ่งหมายตักเตือนไม่ให้คนทำชั่ว แต่ให้ทำดี ถ้าหากลูกหลานกตัญญู  ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญจิต  สั่งสมบุญบารมี  เพื่อไถ่บาปที่คนรุ่นก่อนได้สร้างเวรกรรมความชั่วเอาไว้ได้ และยังช่วยลดหนี้โทษของตนเองได้ด้วยก็จะสามารถหมุนเปลี่ยนเคราะห์ภัยให้เป็นบุญวาสนาได้นา !  นี่เป็นเรื่องที่ท่านไท่ซั่งกับพระเจ้าคาดหวังลึก ๆ ไว้นา !   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  พวกอันธพาลเอาเงินเขา  ผลชั่วตกถึงลูก เมียคนในบ้านรับไปจนกว่าถึงที่ตาย  หากยังไม่ตาย ก็มีภัยจากน้ำภัยโจรของหาย  เจ็บป่วย  คดีความตอบสนอง จนเท่าค่าที่โกงมา

อธิบาย   :  การใช้อิทธิพลอำนาจเพื่อโกงเงินเขา
ส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อลูกเมีย ที่ไหนได้ท่านเทพเจ้าตุลาการ ก็จะคิดบัญชีกับลูกเมียและคนในบ้าน เพื่อตอบสนองต่อความโลภชั่ว เพื่อให้โทษสนองนั้นเสมอกัน หากว่าความชั่วมันเต็มพอดีกับอายุขัยก็ถึงที่ตาย หากตัวยังไม่ตายเพราะโทษบาปนั้นบางเบาก็ไม่ถึงที่ตาย แต่ก็จะมีภัยจากน้ำ  ไฟ  ขโมยโจรเข้าปล้น  หรือไม่ก็มีของหาย  เจ็บป่วยค่ายาค่าหมอ  หรือมีคดีความต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้น เพื่อให้ได้ค่าเสมอกับเงินที่โกงมา บทความข้างต้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว เพียงอยากจะอธิบายขยายความถึงภัยเคราะห์ที่อันธพาลโกงมา อันธพาลในที่นี้มีความหมายกว้าง มิใช่เพียงพวกเกเรที่เห็นอยู่ตามตรอกซอกซอย  อันธพาลที่อยู่ในคราบของคนสวมใส่สูทเสื้อนอกชนชั้นปกครอง เจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายที่ใช้อิทธิพลนอกกฏหมายและในกฏหมาย แผนโกงทั้งสลับซับซ้อนและไม่ซับซ้อนเหล่านี้ ถือเป็นอันธพาล  เพราะอันธพาลคืออำนาจที่ไม่ชอบธรรม โทษบาปชนิดนี้เป็นโทษบาปที่ไร้จริยธรรมที่สุด โดยเฉพาะคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงใช้อำนาจได้ จึงเตือนมาด้วยความเคารพ !  ส่วนใหญ่การโกงเขามา จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ลูกเมียและคนในครอบคัวได้มีชีวิตที่อยู่สุขสบาย แต่หารู้ไม่ว่าเทพเจ้าตุลาการก็กำลังคิดบัญชีกับลูกเมียและคนในบ้านเพื่อตอบแทนความโลภชั่วของเขา ผลได้มันไม่สมกับความเสียหายใช่ไหม ?. เอาความรักความห่วงใยของเนื้อหนังไปแลกกับเงินทองที่ไร้รักห่วงใย แบบนี้มันสมควรแล้วหรือ แม้ตนเองก่อกรรมชั่วจนเต็มอายุขัย คววามตายก็มาถึง แล้วจะเอาเงินทองนั้นมาทำอะไร ?. หากคิดจะเอาเงินทองมาเป็นสินบนในนรก คิดหรือว่าจะใช้ได้ ถึงตอนนั้นมีใครบ้างที่ยังปล่อยวางไม่ได้ ?.  มีแต่จะพูดว่ามันสายเกินไป แล้วอีตอนที่ยังไม่มาถึงสภาพตอนนี้ ทำไมไม่คิดเสียแต่เนิ่น ๆ หากโทษบาปที่บางเบาไม่ต้องถึงตายก็จะพบกับอุปสรรคภัยเคราะห์ต่าง ๆ หรือไม่ก็ลูกหลานไม่ดีเกเรเกตุงไม่เอาถ่าน ช่วยล้างผลาญเงินทองที่เขาโกงมาจนกว่าจะหมด ควรรู้ว่าคนที่โกงเงินเขามา ในอำนาจมืดก็จะมีพลังอำนาจมาแย่งชิงเงินทองของเขาอีกต่อหนึ่ง เพราะฉะนั้นเงินทองที่ได้มา ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเหลือนา !  ทั้งยังต้องผจญหวาดผวากับเคราะห์ภัยจากน้ำไฟโจรปล้น หรือมีของหายจนกลุ้มอกกล้มใจเคียดแค้น โรคภัยไข้เจ็บก็รุมเกันเข้ามา เจ็บป่วยทรมานหรือมีคดีความฟ้องร้องเสียเงินเสียทองจนหมดตัวก็ได้ บ้างก็มีลูกหลานเกเรทำเรื่องชั่วอับอายวงศ์ตระกูล ตนเองขาดทุนเปล่า ๆ ไม่ได้ชื่นชมเสพสุข ทั้งยังมีหนี้เวรมากมายไม่มีความสุขเลย ล่มจมไม่จบ  ในที่สุดเงินทองที่โกงเขามา คิดแล้วไม่เพียงแต่หนาวใจ ยังท้อแท้หมดใจ

นิทาน   :  ในสมัยพระเจ้าถังเสียงจง ขุนนางสิงโซ่วได้รับโองการให้ไปตรวจราชการที่เมืองซินหลอ หลังเสร็จภารกิจ ตอนขากลับพักชั่วคราวที่เฟวยซัน ได้เห็นพ่อค้าตั้งร้อยคนบรรทุกสินค้าเต็มหลายลำเรือ มูลค่าหลายแสนหมิง ขุนนางสิงโซ่วสั่งให้ลูกน้องแอบเข้าโจมตีฆ่าพ่อค้าตายทั้งหมดแล้วก็แย่งชิงสินค้าของพวกเขา เวลาผ่านไปจนกระทั้งลูกชายของเขา นายสิงโซ่วกับนายหวังหงวางแผนกบฏ จึงถูกราชสำนักลงโทษประหาร ลูกหลานสักคนก็ไม่มีเหลือเลย !  นายอุ้ยกงกันมีตำแหน่งเมืองข่วนโจว อาศัยอำนาจของขุนนางโกงเงินมาได้จำนวนมาก จนกระทั่งปลดเกษียณ ขณะนั่งเรือเดินทางกลับบ้าน เรือโดนพายุล่ม ทรัพย์สินเงินทองที่ตนได้มาทั้งหมดก็จมลงสู่น้ำ เหลือแต่ชีวิตรอดมาเท่านั้น !  ขุนนางหลี่ซื่อ เป็นผู้ตรวจราชการเมืองฉือโจว รีดไถประชาชนได้เงินจำนวนมาก ล่องเรือบรรทุกเงินทองมาเต็มเรือ ระหว่งทางเกิดไฟไหม้เรือจนทรัพย์สินถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น เหลือแต่เรือกับคนที่ไม่เสียหาย ในสมัยซ่ง ขุนนางกังฉินชื่อติงเหว่ย ถูกราชสำนักเนรเทศไปถึงจูเอี้ยน ระหว่างทางถูกโจรปล้นสะดมเอาทรัพย์สินไปจนหมดไม่นานนักขุนนางติงเหว่ยก็ตายไป ขุนนางหม่าย่าง มีใจละโมบมากกินตำแหน่งตุลาการเมืองเสฉวน เกิดการจลาจลหลิวกันสงบลงแล้ว หม่าย่างก็ออกมาค้นหาเงินทองในบ่อน้ำที่ตนซ่อนเอาไว้ แต่ค้นหาเท่าใดก็หาไม่พบเลย !  เงินทองที่เขามีอยู่ทั้งหมดสูญหายไป นายหูอิ่งกุ้ยกับหลูอิฉิ สองคนช่วยกันหลอกลวงลูกชายขุนนางคนหนึ่ง ไปเล่นการพนัน วางแผนโกงทรััพย์สินของบ้านเขา ทันใดนั้นตาข้างหนึ่งของหูอิ่งกุ้ยก็บอด ขาข้างหนึ่งของหลูอิฉิก็แตกหัก ทั้งสองกลายเป็นคนทุพลภาพ ยากลำบากไปตลอดชีวิต คนใจโหดเหี้ยมที่ละโมบโกงเงินเขาจนร่ำรวย แต่ลูกชายกลับไม่เอาถ่านชอบเล่นล้างผลาญสำมะเลเทเมา ทุกวันก็ได้แต่พูดส่งเดช จึงเกิดคดีความกับชาวบ้าน เวลาไม่ถึง 10 ปี เงินทองในบ้านก็ใช้จนเกลี้ยง จากนั้นชีวิตความเป็นอยู่ก็ลำบาก ลูกหลานไม่เจริญก้าวหน้า คดีทั้งหมดที่กล่าวมา ล้วนโกงกินเงินทองของเขามาทั้งนั้น มักจะได้รับเคราะห์ภัย เป็นการแสดงให้เห็นถึงผลกรรมตอบสนอง จนกว่าเงินทองจำนวนที่โกงเขามาจะเสมอกัน ในเรื่องดังกล่าวที่สาหัสสากรรจ์กว่าเพื่อนก็เรืองของสิงโซ่วทั้งคนทั้งบ้านถูกตัดหัว !  โลกนี้มีเรื่องเข้าใจยากมากมาย มีแต่ฟ้าเท่านั้น ไม่มีหรอกที่จะไม่ตอบสนองคนทำเรื่องชั่ว ไม่ว่าคนจะฉลาดใช่เล่ห์เหลี่ยมชนิดไหน แต่ฟ้าก็สามารถตอบสนองได้เหมาะสม ! ทำไมนะคนถึงไม่รู้จักกลัวอีก !     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  ใส่ความฆ่าคนก็ถูกอาวุธฆ่าตอบ

อธิบาย   :  ใส่ความเพื่อจะฆ่าคนก็มักถูกอาวุธฆ่าตอบเช่นกัน
ในบทที่แล้วพูดถึงการโกงเงินเขา มาในบทนี้ก็ใส่ความหาเรื่องฆ่าเขา เรื่องที่เกิดขึ้นเช่นนี้ก็สืบเนื่องจากละโมบฆ่าเพื่อเงินทองของเขา แต่เอาไม่ได้ก็เลยใส่ความเขาเพื่อฆ่าเขา การหาเรื่องใส่ความฆ่าคนมีประมาณ  7 อย่าง
ที่ 1.  ข้าราชการฝ่ายตุลาการ เพราะได้รับสินบน จึงโหดเหี้ยมใส่ความหาเหตุเพื่อสั่งลงโทษประหารนักโทษ
ที่ 2.  นำกองทหารออกศึก หัวหน้าหรือขุนพลที่นำพาทหารถือโอกาสฆ่าคนเพื่อปล้นสะดมแล้วเอามาเป็นความดีความชอบ
ที่ 3.  นายแพทย์สั่งยา นายแพทย์โลภเงินอยากกำไรมาก จึงจ่ายยาคุณภาพต่ำหรือเป็นยาปลอม หรือสั่งยาผิดคนไข้ตาย แล้วก็ยืนยันว่าไม่ใช่ความผิดของตน
ที่ 4.  ฆ่าทำแท้งเพื่อประหยัดรายจ่าย เห็นเป็นเด็กทารกหญิงจึงฆ่าเสีย เกิดจากความใคร่เสพกามจนตั้งครรภ์ จึงทำแท้งเสีย
ที่ 5.  ข้าราชการเลว ข่มเหงหลอกลวงข้าราชการผู้ใหญ่ อ้างอิทธิพลหลอกลวงฆ่าคน หลอกลวงเงินทองใส่ร้ายฆ่าคน
ที่ 6.  ใช้ฮวงจุ้ยทำร้ายคน มีอาชีพซื้อฮวงจุ้ย แล้วเคลื่อนย้ายหลุมฝังศพเขาเพื่อทำลายเขา โดยก่อให้เกิดเคราะห์ภัย
ที่ 7.  เป็นครูอาจารย์ที่เลว ครูเลวไม่ชอบสอนหนังสือเป็นการทำร้ายลูกหลานชาวบ้าน คือครูทำลายศิษย์ ทำให้ลูกชาวบ้านชั่วเลวไปทั้งชีวิต
        การใส่ความทำร้ายฆ่าคนทั้ง 7 อย่าง แม้ว่าจะไม่เหมือนกัน แต่ก็เป็นการฆ่าแบบใส่ร้ายเขา ซึ่งก็มีผลอย่างเดียวกัน โทษบาปชนิดนี้ ฟ้าจะไม่มีการอภัยบาป จักต้องได้รับโทษจากฟ้าดิน แม้จะพูดว่าฆ่าคน แต่ที่แท้เป็นการฆ่าตัวเอง

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง มีพระธรรมาจารย์เซนรูปหนึ่ง สมัยหนุ่ม ๆ ดื่มสุราจนมึนเมา และในระหว่างกำลังแก่งแย่งเงินทองกับผู้อื่น ชกต่อยฝ่ายตรงข้ามรุนแรงจนถึงแก่ความตาย เป็นเพราะกลัวความผิดจึงหลบหนีไปอยู่ที่อื่น ต่อมาเขาสำนึกผิดได้จึงออกบวชบำเพ็ญด้วยความยากลำบาก ในที่สุดเขาบรรลุสว่างใจพบจิตสำเร็จเป็นมหาธรรมาจารย์เซน ท่านขึ้นอาสนะบรรยายธรรมต่อหน้าลูกศิษย์หลายร้อยคนเป็นประจำเสมอมา  วันหนึ่งขณะที่ท่านมีอายุ 70  ในเช้าวันหนึ่ง หลังจากท่านอาบน้ำชำระะกายแล้ว ก็ขึ้นบนอาสนะแล้วกล่าวกับหมู่คนทั้งหลายว่า "พวกเธอจงอยู่ในความสงบ อย่าพูดจากัน ให้ฟังเรื่องราวในอดีตของอาตมาเมื่อ 40 ปีก่อน"  พวกเขานั่งจนถึงเวลาเที่ยงก็ให้มีทหารคนหนึ่งเดินทางมาถึงวัด ทันใดเขาก็ยกคันธนูขึ้นคิดจะยิงฆ่าพระธรรมาจารย์ พระธรรมาจารย์เฒ่าก็พนมมือไหว้ไปที่ทหารผู้นั้นแล้วกล่าวว่า "ภิกษุเฒ่ารอท่านอยู่ที่นี่นานมากแล้ว !" ทหารผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจพูดว่า "ข้ากับท่านไม่รู้จักกัน แต่พอพบหน้าท่านทำไมก็คิดอยากฆ่าท่านเสีย ?.  ข้าเองก็ไม่รู้เหตุผลกลใดเลย ! "  พระธรรมาจารย์เฒ่าจึงกล่าว "เป็นหนี้เงินก็ชดใช้เงินยุติธรรมดีแล้ว ขอเชิญลงมือ อย่าต้องเสียเวลาเลย !" แล้วก็หันมาพูดกับหมู่ชนว่า "หลังจากอาตมาตายแล้ว พวกเธอจงเชื้อเชิญท่านผู้นี้รับประทานอาหาร หากพวกเธอกล่าวว่าเขาเพียงคำเดียวก็จะเป็นการละเมิดต่อฟ้า ฝ่าฝืนอาจารย์  ไม่ใช่ลูกศิษย์ของอาตมา !"  ทหารผู้นั้นได้ยินคำพูดของธรรมาจารย์แล้วก็ยิ่งเพิ่มความสงสัย จึงคาดคั้นเอาความจริงจากพระธรรมาจารย์ให้ได้ พระธรรมาจารย์จึงพูดว่า "เพราะท่านได้กลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น อาตมายังอยู่ในชาติปัจจุบัน เพราะฉะนั้นจึงยังจำเรื่องราวได้" ดังนั้น พระธรรมาจารย์จึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทหารผู้นั้นฟัง ทหารผู้นี้อ่านหนังสือไม่ออก ทันใดก็พูดกับพระธรรมาจารย์ด้วยเสียงอันดังว่า "แค้นตอบสนองกันเมื่อไรจะสิ้นสุด เคราะห์กรรมพันผูกหาใช่บังเอิญ สู้แก้กรรมกับอาจารย์ดีกว่า ตอนนี้ สู้ตั้งมั่นไปสู่สุขาวดี"  หลังจากพูดจบ ทั้งที่มือยังถือคันธนูอยู่ก็ยืนนิ่งละสังขาร ดังนั้น พระธรรมาจารย์จึงลงจากอาสนะ แล้วก็โกนผมให้กับทหารผู้นั้น แล้วก็ตั้งธรรมฉายาให้พร้อมกับเปลี่ยนใส่จีวร จากนั้นก็ยกเขาเข้าเก็บในตู้พระ  จากนั้น พระธรรมาจารย์ก็ขึ้นนั่งบนอาสนะกล่าวอำลากับหมู่ชน แล้วก็เข้าสมาบัติดับขันธ์

อธิบาย   :  สร้างหนี้กรรมฆ่าคนเมื่อ 40 ปีก่อน แล้วชดใช้หนี้กรรมหลัง 40 ปี การชดใช้หนี้ดูเหมือนช้าไปหน่อย แต่การใช้หนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม โชคดีที่ทั้งสองคนล้วนเป็นคู่กรรมใหญ่ จึงต้องมาเผชิญหน้าบนเส้นทางสายแค้น เดิมทีเป็นความชั่วร้ายที่เผชิญหน้ากัน แต่ก็ได้แก้เหตุปัจจัยดี ทหารที่ตายลงจากชาติก่อน กดดันคนที่เป็นหนี้ชีวิตเขาจนต้องออกไปบำเพ็ญปฏิบัติธรรม จนกระทั่งก็ประจักษ์แจ้งบรรลุธรรม แล้วพระธรรมาจารย์ก็รอคอยเจ้ากรรมนายเวรที่เขาเป็นหนี้ชีวิตในที่สุดเวรกรรมก็ได้รับการแก้เงื่อนปมความแค้น ทั้งสองฝ่ายซึ่งฝ่ายหนึ่งบำเพ็ญจนบรรลุธรรม และอีกฝ่ายหนึ่งก็บรรลุธรรมฉับพลัน เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่พบเห็นได้น้อยมาก อาจนานเป็นพันปีจึงมีเกิดขึ้นสักเรื่องหนึ่ง ถ้าหากพระธรรมาจารย์เซ็นไม่ได้บรรลุธรรมจริง และถ้าทหารผู้นี้ไม่เป็นผู้ถึงพร้อมยิ่ง ก็คงไม่ยอมปล่อยสิทธิของเจ้าหนี้หรอก นั่นก็คือ การฆ่าคนก็คือการฆ่าตนเอง มันชัดเจนมากอยู่แล้ว การใส่ความเพื่อฆ่าคนมี 7 อย่าง ดังกล่าวมาแล้ว ควรงดเว้นห้ามทำเด็ดขาด อย่าได้โหดเหี้ยม ก่อคดีโหดเลย !     

Tags: