collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144214 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                 คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  ให้ตนตรงอบรมผู้อื่น

        อธิบาย  :  ต้องให้ตนเองซื่อตรงก่อน แล้วค่อยไปตักเตือนอบรมผู้อื่น ร่วมกันมีใจที่ดีงาม ร่วมกันไปทำเรื่องที่ดีงาม ที่กล่าวกันว่า "จะทำให้คนอื่นซื่อตรง ต้องให้ตนเองซื่อตรงก่อน" "กายตนตรงไม่สั่งก็ทำ" หากคนสามารถทำให้ตนตรงได้แล้ว ไม่มีไม่สามารถทำให้คนอื่นตรงหรอก !เพราะว่าเมื่อคน ๆ หนึ่งสามารถทำให้ตนประพฤติตรงได้ ทุกคนก็รู้จักเคารพเขา แล้วหากคนรู้จักหลักธรรมของการเคารพนับถือแล้ว ก็หมายความว่าในใจเขาก็สามารถรับการอบรมได้นะ !  ในใจคนที่สามารถอบรมได้ ใช้ความตั้งใจจริง ค่อย ๆ ไปประทับใจเขา เพียงแค่ผลักก็สามารถเคลื่อนหมุน เพียงแค่หนึ่งขยับ ก็สามารถเผยปรากฏ ไม่มีหรอกที่เขาจะไม่คล้อยตาม แต่ถ้าเอาความซื่อตรงของเขาไปกระแทกเปิดเผยความไม่ซื่อตรงของผู้อื่น จะกลายเป็นการตำหนิที่หยาบกระด้าง เขาก็ไม่ยินยอมที่จะรับการสอน กับจะโต้ตอบรุนแรงกับเธอมากขึ้น การหักหาญแย่งชิงความถูกผิด จะกลับกลายเป็นการทำลายล้างใจที่ดีงามไป ! ซึ่งเป็นนิสัยป่วยของคนรักดีในปัจจุบัน แต่ละครั้งที่อบรมเขามักออกตัวรุนแรงไป และก็ยึดติดว่าตนถูกไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่รู้จักใช้วิธีที่ดีที่ง่าย ๆ อย่างนี้ ต้องหักห้ามนิสัยป่วยอย่างขมขื่นทรมาน ! เพราะฉะนั้น การตนตรงก็ต้องใจตรงก่อน เพราะใจเป็นนายของกาย และเป็นรากฐานการกระทำทั้งหมด ถ้าใจไม่บรรลุรู้ ใจที่คิดเหลวไหล และอารมณ์ก็จะเกิดขึ้น เมื่อใจคิดเหลวไหลและอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วหลักธรรมที่เห็นก็ไม่เข้าใจชัดแจ้งได้ ความถูกผิดก็จะสับสนฟั่นเฟือนไป เพราะฉะนั้นการักษาใจ ต้องให้ได้บรรลุรู้ เมื่อบรรลุรู้แล้ว ความคิดเหลวไหลอารมณ์ตรึกคิดก็จะละลายเป็นจริงใจไป ! นี่คือวิถีทางของใจตรง !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  ให้ตนตรงอบรมผู้อื่น

นิทาน  ๑  :  ในสมัยซ่ง ซือหม่ากวง เป็นคนซื่อตรงและจริงใจต่อคน ตอนที่เขาอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ประเพณีนิสัยของชาวลั่วหยาง ถูกเขาอบรมจนเปลี่ยนแปลงไปไม่มีใครที่ไม่เคารพชื่นชมเขา ชาวเมืองรู้สึกละอายที่พูดถึงเรื่องเงินทองผลประโยชน์ ทุก ๆ คนมีทัศนคติของความซื่อสัตย์สุจริต มความละอายที่ีจะทำชั่ว และรู้จักระวังตักเตือนตน ไม่กล้าทำความชั่ว เมื่อคนหนุ่มคิดจะทำงานสักชิ้นหนึ่ง ก้จะช่วยกันตักเตือนซึ่งกันและกัน จนพูดกันติดปากว่า "ยังไง ๆ ก็อย่าทำเรื่องชั่วนะ กลัวว่าถ้าซือหม่ากวงรู้เรื่องเข้าจะแย่ ! "

นิทาน ๒   :  ในสมัยฮั่น มีคนชื่อ เฉินสือ เป็นคนตรงมีอัธยาศัยดีกับทุกคน ทำงานก็ซื่อตรง ในหมู่บ้านถ้าเกิดเรื่องทะเลาะกันก้จะเชิญเฉินสือมาช่วยตัดสิน ที่สุดว่าใครถูกใครผิด เฉินสือก็จะตัดสินได้ถูกต้อง ทั้งยังอธิบายเหตุผลของการทำผิดจนทำให้ทุกคนจำนน ไม่มีคำโต้แย้ง พอนาน ๆ ไปก็มีคำคมว่า "ให้ทางอำเภอลงโทษตีก้นดีกว่า อย่างเสีย ก็อย่าให้เฉินสือขึ้นบัญชีพูดจุดเสียเลย ! "  มีอยู่คืนหนึ่ง ขโมยเข้าบ้านซ่อนตัวอยู่บนขื่อ เฉินสือรู้แล้วก็ลุกขึ้นจุดเทียน เรียกลูกหลานในบ้านมาอบรม เฉินสือพูดว่า "เป็นคนต้องพากเพียร คนที่ไม่ดีก็อย่ากล่าวหาว่าเขาไม่ดี เป็นเพราะเขทำเรื่องเลวบ่อย ๆ จนเคยตัวเป็นนิสัย ถ้าแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็จะเหมือนเจ้าขโมยบนขื่น ! " เจ้าขโมยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ จึงกระโดดลงมาจากขื่อ ยอมรับโทษจากเฉินสือ เฉินสือจึงพูดจาดียิ้มแย้มกับเขา แล้วอบรมตักเตือนเขาให้เขาแก้ไขให้ดี  อย่าได้ทำเช่นนี้อีก ทั้งยังให้ผ้าต่วนกับเขา 2 ชิ้น แล้วส่งเสริมให้เขาแก้ไขความผิด รู้เ็จ็บที่ทำผิด การกระทำของเฉินสือมีอิธิพลต่อคนทั้งอำเภอ จากนั้นมาก็ไม่มีขโมยอีกเลย

นิทาน ๓  :  ในสมัยอู๋ไต้ ฝังอิ่งป๋อ เป็นผู้ว่าราชการเมืองชิงเหอ มารดาของอิ่งป๋อเป็นคนมีความรู้ ทั้งเป็นคนเห็นอกเห็นใจรู้หลักธรรม ที่เมืองเป่ยคิว มีแม่บ้านคนหนึ่ง ยกตัวอย่างที่ลูกไม่กตัญญู มีคดีมาถึงผู้ว่าราชการ มารดาของอิ่งป๋อพูดกับอิ่งป๋อว่า "ประชาชนยังไม่เข้าใจหลักธรรม ไม่รู้จริยธรรม อย่าลงโทษพวกเขาให้เกินเลย"  แล้วมารดาของอิ่งป๋อก็พูดกับแม่บ้านที่บอกว่าลูกไม่กตัญญู  ให้พาลุกมาที่จวนผู้ว่า ให้นางมาทานข้าวด้วยกัน  เวลาผ่านไป 10 วัน ลูกที่ไม่กตัญญูก็พูดกับแม่ว่า "คุณแม่ ! ฉันผิดไปแล้ว ฉันจะแก้ไขกตัญญูต่อท่านแน่นอน เรากลับบ้านกันเถอะ ! " มารดาของอิ่งป๋อก็พูดว่า "เด็กคนนี้ภายนอกดูเหมือนละอายใจ แต่ภายในยังไม่รู้สึดละอายใจจริง ๆ ! " ดังนั้นจึงให้สองคนแม่ลูกอยู่ต่อไปอีก 20 วัน ตอนนี้ลูกของนางก็ลงไปคุกเข่าก้มกราบสำนึกผิด เขาโขลกจนหน้าผากเลือดไหล แม่ของเด็กก็พลอยน้ำตาไหล จึงยอมขอท่านผู้ว่าราชการอนุญาตให้สองคนแม่ลูกกลับบ้าน ต่อมาลูกของนางเป่ยคิว ก็กลายเป็นลูกกตัญญูที่ขึ้นชื่อ     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  สงสารผู้หม้ายกำพร้ายากไร้ เคารพอาวุโสห่วงใยผู้เยาว์

อธิบาย  :  การสงสารคนกำพร้าโดยเฉพาะเด็กกำพร้า ต้องเลี้ยงดูเขาอย่างเต็มที่ และให้เขามีอาชีพมีความสำเร็จในชีวิต การเวทนาแม่หม้ายก็ต้องปกป้องคุ้มครองเธอให้ถึงที่สุด ให้เธอได้ชื่อว่าเป็นหญิงหม้ายที่บริสุทธิ์ การเคารพผู้มีอายุมากกว่า หรือผู้เฒ่า ให้พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูและมีความสงบสุข การรักใคร่ห่วงใยผู้เยาว์ ต้องให้การศึกษาแะคุ้มครอง  ชีวิตคนที่อับโชคที่สุดก็คือ ลูกกำพร้าและหญิงหม้าย โดยเฉพาะถ้ายากจนด้วยก็ยิ่งน่าสงสาร เกรงว่าชีวิตจะดำรงอยู่ได้ยาก เพราะฉะนั้น การบริจาคเพื่อให้พวกเขาอยู่ได้ในสังคมแล้ว ต้องช่วยเหลือเด็กกำพร้าและหญิงหม้ายเป็นอันดับแรก พ่อแม่ของเด็กกำพร้าก็ดี  สามีของแม่หม้ายก็ดี  เชื่อว่าวิญญาณของพวกเขาในปรโลก คงณุ้สึกขอบพระคุณเป็นแน่แท้  ผู้เฒ่าและผู้เยาวว์ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ หากยากจนหรือเจ็บป่วยก็ยิ่งเป็นทุกข์  จะให้ชีวอตเขาดำรงอยู่ได้ก็ใช่ว่าจะง่ายนัก เพราะฉะนั้น ในอดีตโบราณอริยราชา เช่น โจวเหลินอ๋อง การปกครองของพระองค์จึงให้ความสำคัญที่จุดนี้แม้แต่อุดมการณ์ของท่านขงจื่อ ยังเคยกล่าวเอาไว้ว่า "ให้ผู้เฒ่สุข ผู้เยาว์ดูแล" อันนี้เป็นเพราะเหตุอันใดหรือ  จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้จิตดีงามได้เผยออกมาได้ง่าย
เมื่อมีจิตดีงามแล้ว เรื่องดี ๆ ที่จะทำก็มีมาก ซึ่งปกติก็ยากที่จะทำได้สมบูรณ์  สำหรับคนที่ไม่มีแรงทรัพย์ ก็ต้องใช้แรงกายไปทำดีที่สุด แต่สำหรับผู้มีแรงทรัพย์ก็ควรทำสุดเวทนาสงสาร  การเคารพอาวุโสห่วงใยผู้เยาว์ก้เช่นเดียวกัน อย่าเพียงแต่พูดว่า "ฉันสงสารอยู่ในใจก็พอแล้ว" อันนี้ถือว่าไม่รับผิดชอบและเป็นการผลักภาระ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  สงสารผู้หม้ายกำพร้ายากไร้ เคารพอาวุโสห่วงใยผู้เยาว์

        นิทาน  ๑.  ในสมัยโจว ขณะที่เมืองฉีเข้าตีเมืองหลู่ ที่นอกเมืองก็มีหญิงชาวหลู่คนหนึ่ง ในมืออุ้มเด็กคนหนึ่ง และจูงเด็กอีกมือหนึ่ง ขณะหนีเอาชีวิตรอดนางจึงวางเด็กที่อุ้มลง และไปอุ้มเด็กที่จูงอยู่แทน นายทหารเมืองฉีเห็นเข้าก็สงสัย จึงเข้าไปถามนาง ๆ ตอบว่า "เด็กที่อุ้มเป็นบุตรของพี่ชาย  แต่เด็กที่วางลงเป็นลูกแท้ ๆ ของฉัน" ทหารเมืองฉีก็ถามต่อไปอีกว่า "ทำไมจึงทิ้งลูกของตัวเองแล้วไปอุ้มลูกของพี่ชายเล่า"  นางตอบว่า "ลูกกับแม่เป็นความรักส่วนตัว แต่หลานกับอาถือเป็นสัจจะส่วนรวม หากฉันละเมิดสัจจะส่วนรวมและลำเอียงเห็นแก่ความรักส่วนตัวแล้ว ลูกกำพร้าของพี่ชายก็จะจบลง จึงเป็นสิ่งที่ฉันไม่ยอมทำ" เมื่อนายทหารเมืองฉีได้ฟังวาจาเช่นนั้น จึงพูดว่า "พวกเมืองหลู่ยังมีหญิงที่ถือสัจจะเช่นนี้ แล้วเจ้าเมืองหลู่จะเป็นเช่นใด" พูดจบจึงถอยทหารกลับไป ไม่ตีเมืองหลู่อีก เมื่อเจ้าเมืองหลูได้ยินเรื่อนี้ จึงปูนบำเหน็จรางวัลแก่หญิงผู้นั้น  พร้อมกับยกย่องให้เธอ "คุณอาสัจจะแห่งเมืองหลู" การที่หญิงเมืองหลู ยอมสละความรักส่วนตัวเพื่อช่วยชีวิตลูกชายของพี่ชายที่เป็นลูกกำพร้า เพียงคำพูดของนางที่สามารถรักษาเมืองหลูให้ปลอดภัยได้ หยุดการสงครามได้ครั้งหนึ่ง แล้วพวกหนุ่มชายฉกรรจ์ล่ะ ถ้าหากประเทศชาติตกอยู่ในอันตราย ไม่เพียงละเมิดสัจจะแล้วยังกลัวตายหนีเอาชีวิต เมื่อมาเห็นคุณอาสัจจะแห่งหลู จะรู้สึกละอายบ้างไหม ?.

        นิทาน  ๒.  หยางต้าเหนียน อายุ ๒๐ ปี ก็สอบได้ตำแหน่งจอหงวน ได้ร่วมงานกับโจวอู๋ และ จูเอี๋ยน ซึ่งทั้งสองก็มีอายุมากแล้ว อยู่ในวัยชรา หยางต้าเหนียนมักจะดูแคลนและชอบทำอัปยศพวกเขา โจวอู๋คิดจะตักเตือนหยางต้าเเหนียนว่า "เธออย่าได้ข่มเหงคนแก่เลย สักวันหนึ่งเธอก็ต้องแก่เหมือนกัน!" จูเอี๋ยนแกว่งศรีษะพูดกับโจวอู๋ว่า "อย่าไปพูดกับเขาเลย อย่าไปพูดกับเขาเลย เดี๋ยวจะถูกเขาเย้ยหยันเอาอีก"  ปรากฏว่าหยางต้าเหนียก็ตายในขณะที่ยังหนุ่มอยู่  มีคำกล่าวว่า "เคารพแก่ก็ได้แก่" ควรรู้ว่าคนแก่ผ่านประสบการณ์มามาก มีชีวิตอยู่จนแก่ชราได้ถือว่าเป็นหนึ่งในห้าบุญวาสนา จึงมีคุณค่าที่คนหนุ่มสาวจะต้องเอาอย่างมาเคารพผู้อาวุโส  จะไปดูแคลนคนแก่ได้อย่างไร แต่ชาวโลกมักเห็นว่าคนแก่ตาลาย เดินเหินไม่คล่อง ถ้าไม่เบื่อหน่ายก็จะข่มเหง จะมีใครยอมเคารพปรนนิบัติคนแก่เล่า  เมื่อมาเห็นหยางต้าเหนียนที่เหงคนแก่แล้วตายเร็วเป็นตัวอย่าง ก้หวังว่าพวกหนุ่มสาวจะกลับใจแก้ไขสำนึกผิดมีน้ำใจ เมื่อพบคนแก่ต้องมีความเป็นธรรม ถ้าเช่นนี้ตนเองก็จะมีอายุยืน อย่าได้ข่มเหงคนแก่เป็นอันขาด เพราะจะถูกตัดทอนอายุขัยและบุญวาสนาของตนเองนะ ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                       คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล

                     คัมภีร  :  ไม่ทำร้ายหนอนหญ้าต้นไม้

        อธิบาย  :  ถึงแม้หนอนจะตัวเล็ก ๆ หรือต้นหญ้าต้นไม้ที่ไม่มีอารมณ์ก็ไม่ควรทำร้าย คนในปัจจุบันชอบทำร้ายชีวิตและสิ่งต่าง ๆ ตามชอบใจ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ มีวิญญาณ มีอารมณ์ มีชีวิต  สิ่งเหล่านี้ล้วนมีพุทธจิต ชาวหยูก็มีกล่าวไว้ "ต้นไม้ที่กำลังเติบโตไปตัดมันไม่ได้" เป็นโอวาท นับอะไรกับหนอนซึ่งเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่มีความรู้สึก ต้นไม้ไม่มีความรู้สึก เราก็ไปทำร้ายตามอำเภอใจไม่ได้  ในพระสูตรบรรลุสมบูรณ์พูดไว้ว่า "อะไรที่มีเลือดลม ต้องมีความรู้สึก สิ่งที่มีความรู้สึก ต้องเหมือนเป็นร่างเดียวกัน" ในศุรางคมสูตรก็ว่าไว้ "ตถาคตเจ้าตรัสเป็นประจำว่า สรรพสิ่งที่สำเร็จเป็นรูปในจักรวาลล้วนเปลี่ยนแปลงออกมาจากใจเราเอง เหตุและผลทั้งปวงที่เกิดมาในโลกนี้ ตลอดจนถึงฝุ่นเล็ก ๆ ล้วนเป็นผลที่ใจนี้สร้างขึ้น ตลอดจนหญ้า ๑ ต้น ใบไม้ ๑ ใบ ใยหนึ่งเส้น ปมหนึ่งปม ติดตามถึงต้นมูลแล้ว ล้วนมีองค์จิตทั้งนั้น"  ตัวอย่างพี่น้องเถียนจิน ที่คิดจะแบ่งต้นไม้หน้าบ้าน ต้นไม้ได้ยินก็เหี่ยวเฉาทันที จึงสะเทือนใจพี่น้องเถียนจิน เลยเลิดคิดแบ่งแยก ต้นจือได้ยินก็ฟื้นชีวิตทันที แล้วจะพูดว่าต้นไม้ไม่รู้ได้หรือ จุดมุ่งหมายที่ท่านไท่ชั่งห้ามปรามก็ต้องการให้คนกระทำต่อสิ่งที่มีอารมณ์ทั้งหลายก็ดี กับสิ่งที่ไม่มีอารมณ์ทั้งหลายก็ดี ต้องบ่มเลี้ยงใจให้มีเมตตานั่นเอง

        นิทาน  ๑.  ในสมัยพุทธองค์ ขณะที่พุทธองค์กำลังบรรยายธรรมอยู่ ที่บ่อน้ำมีคงาคกตัวหนึ่ง ชอบกระโดดขึ้นมาอยู่ข้างบ่อน้ำ ตั้งใจฟังธรรม ก็ให้บังเอิญเจ้าคางคกก็ถูกไม้เท้าของคนที่มาฟังธรรมกระแทกตาย เนื่องจากตั้งใจฟังธรรมจึงมีอานิสงค์มาก เพราะฉะนั้น เมื่อคางคกตายแล้วก็ไปปฏิสนธิบนดาวดึงษ์ได้เป็นถึงท่านท้าวสักกเทวราช เมื่อพุทธองค์บรรยายธรรมก็ลงมาฟังธรรมอีก ภายหลังฟังธรรมแล้วก็บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน อันเป็นอริยบุคคลอันดับแรกของสาวกยาน คางคกเป็นสัตว์เล็ก ๆ ก็ยังสามารถไปถึงขั้นอริยบุคคลได้ จะเห็นได้ว่า สัตว์เล็ก ๆ เช่น หนอน ก็จะไปทำร้ายไม่ได้

        นิทาน  ๒.  สมัยก่อนมีผู้ออกบวชคนหนึ่ง บำเพ็ญยังไม่ได้มรรคผล ดังนั้น การได้รับการอุปัฏฐากจากสองคนพ่อลูก จิงเต๋อ ก็ว่างเปล่า ภายหลังเมื่อตายแล้วเขาก็กลายเป็นจำพวกเห็ดชนิดหนึ่ง ในสวนดอกไม้ของบ้านจิงเต๋อ ไปเป็นผักหญ้าให้ครอบครัวจิงเต๋อรับประทาน พอคนอื่นคิดจะไปเด็ด ทำเท่าไรก็เอาไม่ได้  ซึ่งเห็ดหญ้าชนิดนี้เป็นต้นเล็กมาก เป็นเพราะมีเหตุปัจจัยเป็นพิเศษเช่นนี้ ตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า ถึงแม้จะเป็นต้นหญ้าที่ไม่มีอารมณ์ ก็ไม่ควรไปทำร้ายนะ               

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล

                     คัมภีร  :  ไม่ทำร้ายหนอนหญ้าต้นไม้

นิทาน   ๓  :  ที่เมืองหันโจว มีหญิงนางหนึ่ง นางมีนิสัยโหดร้าย ทุกครั้งที่เห็นมดเดินข้างเตาไฟ ก็จะเอาไฟไปเผา ไม่รู้เผามดไปจำนวนมากมายเท่าใด และมักชอบเอาขี้เถ้าไปยัดรูของไส้เดือน นางเพิ่งคลอดลูกชายคนหนึ่งยังกินนมอยู่ มีวันหนึ่งนางมีธุระออกไปข้างนอก พอกลับมาถึงบ้าน เห็นบนเตียงมีกระจกสีดำใหญ่ นางตกใจมาก พอมองดูอีกที ที่แท้ก็เป็นลูกชายของนาง ลูกชายถูกฝูงมดกัดตายแล้ว นางเสียใจมาก ไม่นานก็ตายตามกันไป

นิทาน   ๔  :  ที่เมืองไท่อั่งโจว มีคนหนึ่งชื่ออู๋อี่ คืนหนึ่งเขาฝันเห็นชายฉกรรจ์ 2 คน ใส่เสื้อสีเขียวมาขอร้องให้เขาช่วยเหลือ พออู๋อี่ ตื่นขึ้นมาก็พูดว่า  "ต้องมีอะไรถูกฆ่าแน่ ๆ ! ฟ้าสางแล้ว เขาก็ออกไปเดินรอบ ๆ เห็นมีชายหลายคนถือขวานและเลื่อย เตรียมจะโค่นต้นเทิงเงิน 2 ต้นที่เพิ่งซื้อมา  อู๋อี่จึงเข้าใจรู้ทันทีถึงความฝันเมื่อคืน จึงรีบเอาเงินออกมาซื้อต้นไม้เทิงเงิน 2 ต้น ต้นเทิงเงินจึงรอดพ้นจากการถูกโค่นไป 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                          คัมภีร์  :  ต้องสงสารผู้เคราะห์ร้าย ยินดีกับผู้ทำดี

อธิบาย   :  คนที่เคราะห์ร้าย มักเป็นผู้ที่ทำชั่วจึงเป็นผู้กวักภัยเคราะห์มาหา ควรให้ความสงสารกับบุคคลพวกนี้ ตักเตือนชักนำเขา อบรมเขา เพื่อให้เขาสามารถแก้ไขความชั่ว มุ่งสู่ความดี เปลี่ยนเคราะห์ร้ายเป็นบุญวาสนา  สำหรับคนดี ก็มักเป็นผู้ที่ทำความดีเสมอ ๆ จึงกวักบุญวาสนามาหา เราก็ควรยินดีกับเขา ส่งเสริมเขา ผลักดันเขา เพื่อให้เขายิ่งทำดีมากขึ้น  คุณเหอหลงกู กล่าววา "คนที่เริ่มทำชั่วแรก ๆ นั้น เป็นเพราะความคิดของเขาคลาดเคลื่อนไปแล้วก้ไม่สามารถยับยั้งได้ แม้หลังจากทำชั่วไปแล้วก็ตาม ก็ยังมีจิตสำนึกดีที่ยังไม่มอดดับ ซึ่งก็ยังพอแก้ไขฉุดช่วยได้  ชาวโลกที่กีดกันคนที่ทำชั่ว ก็เหมือนการปิดกั้นศัตรูอย่างนั้น ถึงแม้พวกเขาขอแก้ตัวกลับใจใหม่เป็นคนใหม่ ก็มักไม่ได้รับการตอบรับจากผู้อื่น จึงหมดกำลังใจไปแก้ไขเปลี่ยนแปลง"  การทำความดีสร้างกุศล ทุกคนก็สามารภคิดได้ แต่คนที่มัวยังถือสาแบ่งแยกชนชั้น อย่างคนที่มีความรู้ความสามารถ ก็หวังว่างานดี ๆ ต้องเป็นตนเท่านั้นที่ทำ
คนที่ด้อยกว่าก็ไม่คาดหวังที่จะได้งานดี ๆ  คือต้องให้ผู้อื่นทำเช่นนี้ ทำให้เกิดการสร้างสถานการณ์เพื่อทำลายงานดี ๆ ของคนอื่น อย่างเป็นเป็นความชั่วของตนเอง  เป็นการทำร้ายจิตใจของตนเองด้วย กับคนอื่นแล้วไม่มีการสูญเสียอะไร โดยไม่รู้ว่า ถ้าคนอื่นมีความคิดดี มีเรื่องดี แล้วเขาสามารถผลักดันส่งเสริมเขา ชมเชยเขา จนทำให้เขาทำได้สำเร็จสวยงาม เช่นนี้แล้วความดีของผู้อื่นก็เป็นความดีของตนด้วย อย่างนี้ซิจึงเป็นบุญกุศลที่เหลือคณานับ

        จากปุถุชนสู่อริยชน เป็นวิถีแห่งกุศลทั้งมวล การบังเกิดจิตโพธิเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุด ใจโพธิก็เป็นเหมือนเมล็ด เพราะสามารถให้กำเนิดกุศลธรรม ใจกุศลจึงเป็นเนื้อนาบุญ เพราะทำให้เวไนยสัตว์เจริญกุศลธรรม ใจโพธิเหมือนน้ำที่สะอาด เพราะสามารถชำระล้างความกังวลในใจของเวไนยสัตว์  ใจโพธิเหมือนไฟดวงใหญ่ ที่สามารถเผาไหม้ความเห็นผิดได้  ต้องรู้ว่าเรื่องดีทั้งหลายเกิดจากหนึ่งความคิดที่ชอบความสบายของพวกเรา แต่เมื่อใจที่ดีทั้งหลายเผยปรากฏออกมาหมด ก็คือผลแห่งโพธิที่สมบูรณ์ของพวกเราที่สำเร็จ

นิทาน  ๑  :  นางอูหลิงอี๊ จับขโมยที่เข้ามาในบ้านได้ ที่แท้เจ้าขโมยก็เป็นเด็กข้างบ้าน  อูหลิงอี๊พูดกับเขาว่า "เจ้าถูกความจนบีบบังคับจึงมาเป็นขโมย ฉันจะให้เธอหนึ่งหมื่นเป็นต้นทุนในการดำเนินชีวิต แล้วก็อย่าได้ทำชั่วอีกเลย !   พอเจ้าขโมยได้เงินก็จะออกไป อูหลิงอี๊เรียกเขากลับมาว่า "เจ้าเป็นคนจนแบกเงินมากมายกลับบ้าน ก็กลัวว่าจะถูกเจ้าหน้าที่สอบถาม เจ้าอยู่ที่บ้านจนกว่าจะเช้าก่อนค่อยไป"  เรื่องนี้อูหลิงอี๊ไม่เคยพูดให้ใครฟัง จนกระทั่งลูกหลานเขาสอบได้จินสือติดต่อกัน คนอื่นว่าเขาเป็นคนชอบสงสาร ตักเตือนแนะนำ อบรมคนชั่ว จึงได้รับผลตอบสนอง ! 

นิทาน  ๒  :  ในสมัยฮั่น  มีคนหนึ่งชื่อ หลงท่ง  ชอบยกย่องคนอื่น ทำความดี ซึ่งล้วนพูดเกินจริง คนอื่นให้รู้สึกแปลกใจ จึงถามหาสาเหตุ  หลงท่งตอบว่า "ปัจจุบันคนดีมีน้อย  คนชั่วมีมาก  อยากคิดแก้ไขวัฒนธรรมที่ไม่ดีได้ ต้องเพิ่มงานธรรมตนเอง หากไม่ไปทำเต็มที่ไปยกย่องคนอื่น ไปยกย่องงานธรรมของคนอื่น ยกย่องว่าเขาทำดีแล้ว คนที่คิดจะทำดีก็จะลดน้อยลง ถ้าการยกย่องชมเชยคนสัดก 10 คน ถ้ามีผิดพลาดไป 5 คน  ก็ยังมีอีก 5 คนไม่ผผผิด ก็ยังทำให้ได้ใจของคนทำดี เขาจะได้เพิ่มความพากเพียรของการทำดียิ่งขึ้น  อย่างนี้ก็ใช้ได้แล้วล่ะ"  โอวาทของท่านกอบฟูจื่อ ก็เคยกล่าวว่า  "ขอให้ฟ้ากำเนิดคนดี ขอให้คนทำดีเสมอ ขอให้ปากพูดดีเสมอ"  คุณหลงท่งอาจพูดได้ว่าเข้าใจโอวาทนี้เป็นอย่างดี และก็ขยันไปทำ มีประโยชน์ต่อใจธรรมของคนมากเลย !               

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                        คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                          คัมภีร์  :  ช่วยเหลือผู้คับขัน  ฉุดช่วยผู้อยู่ในอันตราย

อธิบาย   :  เมื่อพบคนที่อยู่ในภาวะคับขัน เช่น เจ็บป่วยต้องการยารักษา หรือคนที่หิวโหย  หนาวสั่น  ต้องการอาหาร  เสื้อผ้า  ก็ควรที่จะใจกว้างช่วยเหลือทันที  หรือกรณีตกอยู่ในอันตราย เช่น เกิดภัยธรรมชาติ  ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย  อัคคีภัย  หรืออุบัติเหตุ  เราก็ควรเข้าไปช่วยเหลือตามความสามารถ ไปดูแลขจัดภัยให้เขาพ้นอันตราย   หากพบคนตกทุกข์อยู่ในอาการวิตก  คับขัน  แม้ใช้เพียงคำพูดที่ดีก็อาจฉุดช่วยเขาได้ บุญกุศลเช่นนี้ส่งผลถึงบรรพชนและคุ้มครองถึงลูกหลานได้ ควรรู้ไว้ว่า ผลักเขาทีหนึ่งกับพยุงเขาทีหนึ่งก็คือมือคู่นี้  การให้ร้ายกับการสรรเสริญผู้อื่น ก็คือปากอันนี้ เพราะฉะนั้น พยุงคนด้วยมือดีกว่า อย่าใช้ปากทำร้ายคน ถ้าหากทำได้ก้อย่าได้ถามถึงกาลข้างหน้า กาลข้างหน้าย่อมดีแน่นอน  การช่วยชีวิตคน ตนเองสิ้นเปลืองไม่มากเท่าไร แต่
เป็นเพราะเขาเป็นคนมีกินมีใช้สมบูรณ์ จึงไม่รู้จักความหิวและความหนาวทุกข์ทรมานเป็นอย่างไร เข้าใจว่าไม่มีอะไรจึงไม่ให้ความสนใจ เมื่อมีอาหารก็ไม่ใส่ใจที่จะไปช่วยเหลือคนจน รอจนกระทั่งพวกเขาหิวโหยจนล้มป่วย จึงยอมรับเป็นเวลาที่จะต้องเข้าไปช่วยแล้ว แบบนี้ก็หมดหวัง ได้แต่ลืมตาปริบ ๆ ดูพวกเขาตาย แม้แต่คนที่มีกระใจเดินผ่านมาเห็นเข้า ก็ได้แต่เวทนาถอนหายใจเท่านั้น กับคนทั่วไป ไม่ใช่เรื่องของตน เดินหลีกไปไกล ๆ จะต้องรู้ว่า คนที่กำลังหิวเจ็บป่วยง่าย เมื่อเจ็บป่วยก็ไม่มีแรงไปหากิน อย่างนี้ยิ่งหนาวก็ยิ่งอาการหนัก เพราะฉะนั้น การช่วยเหลือผู้หิวโหยต้องยิ่งเร็วยิ่งดี แรก ๆ ก็หมดข้าวคนละไม่กี่ขีด ก็สามารถทำให้เขาฟื้นคืนกำลัง ถ้าเป็นคนรวยการใช้จ่าย คืนหนึ่งก็ช่วยชีวิตได้ถึง 10 ชีวิต  ถ้ารวมพลังกันมาก การช่วยเหลือก็จะง่าย ๆ หากหาบ้านว่าง ๆ สักหลังหนึ่ง มีอาหาร เสื้อผ้า เก็บเอาไว้ก็จะช่วยให้คนหิวและไม่มีที่นอน ต้องทนทุกข์หนาวสั่นอยู่ข้างนอก การเลี้ยงเขาแบบนี้ทำให้สุขภาพของเขาฟื้นขึ้นมาได้ง่าย โดยเฉพาะในหน้าหนาว ยิ่งจำเป็นมาก แบบนี้จะช่วยให้พ้นจากการตาย จากการอดตายและหนาวได้มากทีเดียว

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”