collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144056 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ร้องเพลงร้องไห้หน้าเตา

อธิบาย   : 
การร้องเพลงหรือร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้าเตา  ในคัมภีร์พระเจ้าหวงตี้กล่าวว่า "ที่เตาไฟไม่ควรร้องเพลงร่ายกลอนร้องไห้  แช่งชัก  ด่าทอ  หรือตะโกนร้อง" การร้องเพลงร้องไห้ ไม่ว่าจะเศร้าสร้อยหรือดีอกดีใจ เป็นการกระทำที่ดูแคลนต่อเทพเจ้าทั้งนั้น จะต้องถูกตัดทอนทรัพย์สินและอายุขัย คนปัจจุบันเวลาอยู่ที่ศาลยุติธรรม ก็ไม่กล้าจะส่งเสียงร้องเอะอะ โวยวาย  หรือพูดจาส่งเดช แต่อยู่ต่อหน้าเทพเจ้ากลับกล้าทำสิ่งไร้มรายาทไม่มีสัมมาคารวะเล่า ? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนควรหลีกเลี่ยงนะ !  การลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิก็คือบุญวาสนากับเคราะห์ภัยเท่านั้นเอง ดังได้พูดมาแล้วในบทที่แล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก  ชั่วบาป  :  จุดธูปจากเตา

อธิบาย   :  คนมักง่ายบางทีก็เอาธูปไปจุดจากเตา
อ้างจากลัทธิเต๋าสายเทียนซือกล่าวว่า  "ขี่เถ้าใต้เตา เรียกกันว่ามูลมังกร" เพราะฉะนั้นไม่ควรเอาธูปไปจุดจากเตา ในคัมภีร์คำสอนที่พูดถึงข้อห้ามจุดธูป ไม่ใช่แค่เรื่องเดียว อาทิเช่นการใช้กระดาษที่สกปรกเปรอะเปื้อนเป็นเชื้อเพลิงมาจุดไฟเตากระดาษเงินกระดาษทอง เรียกว่าเงินทองเวรกรรม การเผาเงินทองเวรกรรมนี้มีกองสูงเป็นภูเขาที่สูงซัน ที่ขุนเขาตะวันออกแม้แต่ท่านพญายม ฟ้าดินก็ยังไม่ยอมรับเลย !  เช่น การบูชาพระเจ้าไปย่จี๋เจินอู่ ในฤดูร้อนไม่ให้ใช้ผลลี้จือ  ในฤดูหนาวไม่ให้ใช้ผลทับทิม  ถ้ามีการอันเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ใช้ธูปที่ทำจากเนย  นอกจากนี้ธูปไม้จันเรียกว่า ธูปอาบชำระ ดอกไม้เหย่จี่เรียกว่าดอกไม้กาล  ดอกกิมท้งเรียกว่าดอกไม้ผี  ดอกไม้เหล่านี้จำเป็นต้องห้ามใช้ เป็นเพราะไม่สนใจห้ามใช้จึงเป็นการทำผิดหลบหลู่ ทำไมจึงไม่ทำตามคำสอนที่กำหนดไว้  ในคัมภีร์ที่รวบรวมต่าง ๆ ก็กล่าวไว้ เพราะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว จึงจะสามารถเข้าใจเหตุผล เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ จึงสามารถชี้นำเข้าถึงหลักธรรมจริงได้  โดยเฉพาะการถวายธูปหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะต้องอาศัยความหอมของดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา พุทธองค์ตรัสว่า ตถาคตดับขันธ์แล้ว หากยังมีคนนำธูปเทียนดอกไม้มาบูชาไตรรัตน์ ใช้น้ำสะอาดล้างของที่บูชาให้สะอาด และใช้ใจที่เคารพหน้าพระกล่าวสักคำว่ามโนพุทธะ ถ้าคน ๆ นี้ตกสู่ทางสามแพร่งก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย !" ท่านเจินหมิงซูกล่าวว่า "ธูปหอมได้ชื่อว่าพ้นจากสกปรกแล้ว จึงใช้นำมาจุดถวาย" ในบันทึกกันทงกล่าวว่า "ความเหม็นสาบของมนุษย์ มันพวยพุ่งไปข้างบนสูงถึงสี่แสนลี้ ถ้าหากผู้สะอาดบนสวรรค์ไม่มีที่ไม่เบื่อความเหม็นสาบของมนุษย์หรอก ! แต่เพราะได้รับการฝากฝังจากพุทธองค์ พุทธองค์มีโองการให้เทวดาของชั้นฟ้าต่าง ๆ ต้องปกปักดูแลพุทธธรรม พุทธะจึงมีชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ บรรดาเทวดาชั้นฟ้าต่าง ๆ จึงไม่กล้าที่จะไปมาสู่มนุษย์ เพราะฉะนั้น ในพุทธธรรมธูปหอมจึงอยู่ในเรื่องของพุทธเจ้าถือเป็นที่หนึ่ง"  ในอวตังกสูตรกล่าวว่า "ฟ้าชั้นดาวดึงส์ในตำหนักกุศลธรรม มีธูปชนิดหนึ่งเรียกว่า ธูปสะอาดศักดิ์สิทธิ์  ถ้าหากได้จุดธูปขดหนึ่งของธูปสะอาดศํกดิ์สิทธิ์แล้วละก็สามารถอบอวลไปถึงบรรดาชั้นฟ้าต่าง ๆ ทำให้เหล่าเทวดาทุกชั้นฟ้าจะระลึกถึงพุทธะ ก็จะเข้าถึงสมาธิการสวดพุทธะ"  ดังนั้น ถ้าหากใช้ไฟจากเตาไฟมาจุดธูปจะไม่งดเว้นหรอกหรือ ?

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง นายโจวไคซังสามารถสวดอวตังสกะสูตรได้ และก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งสามารถสวดวัชรปรมิตาสูตรได้ ก็ให้บังเอิญคนทั้งสองตายลงกระทันหัน ท่านพญายมก็ขอให้นายโจวไคซันสวดอวตังสกสูตรให้ฟัง ทั้งยังเคารพเขาอย่างยิ่ง แล้วก็ขอให้พระภิกษุสวดวัชรปรามิตาสูตร แต่ใจของพญายมไม่สู้เคารพเขานัก หลังสวดจบแล้ว พญายมก็พูดว่า "เจ้าทั้งสองเพราะการสวดพระสูตรมีบุญกุศล จึงได้ต่ออายุคนละ 24 ปี แต่โจวไคซันต้องเพิ่มการเคารพมากขึ้น และภายภาคหน้าเขาก็ไม่ต้องมายมโลกอีก !" พระภิกษุผู้สวดวัชรปารามิตาสูตร รู้สึกละอายใจ ดังนั้น จึงถามที่อยู่ของโจวไคซันเพื่อไปเยี่ยมเยือน ภายหลังฟื้นคืนชีพแล้วพระภิกษุรูปนี้จึงไปที่เมืองหลู่โจวเพื่อเยี่ยมนายโจวไคซัง เพื่อถามถึงสาเหตุ ?  นายไคซันกล่าวว่า  "แต่ละครั้งที่ฉันจะสวดมนต์ จะต้องสวมเสื้อที่สะอาด ใช้น้ำหอมพรมห้องให้สะอาด แล้วก็ใช้หินกระทบไฟเอาไฟมาจุดธูป หรือไม่ก็ใช้ไม้ปั่นไฟเอาไฟมาจุดธูป เวลากล่าวปณิธาน ให้เคารพใจตนเองก่อน เมื่อเริ่มสวดก็ให้เคารพเหมือนอยู่ต่อหน้าพุทธองค์จริง ๆ ไม่กล้าที่จะยโสดูถูก ! ถ้าหากไม่มีไฟสะอาดก็ไม่กล้าที่จะเอาไฟอื่น ๆ มาจุดธูป" พระภิกษุผู้สวดวัชรปรามิตาสูตรจึงกล่าวขอบคุณเขาว่า อาตมามิบาป !  ทุกครั้งที่อาตมาจะสวดมนต์ มักจุดธูปปจากเตาไฟ แค่จุดไฟอาตมาก็ไม่เคารพอย่างมากแล้ว !"  ควรรู้เป้าหมายของการจุดธูป คือการแสดงความเคารพของใจตน เพราะฉะนั้นต้องมีความสะอาดหมดจดจึงจะจุดธูปได้ ยิ่งเป็นไม้สกปรกในเตาไฟนำมาจุดธูป การเคารพก็กลายเป็นการลบหลู่ไป !  เพราะฉะนั้น ท่านไท่ซั่งจึงสั่งห้ามจุดธูปจากเตาไฟ    

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก  ชั่วบาป  คัมภีร์   :  ใช้ฟืนสกปรกหุงหา

อธิบาย   :  การใช้ฟืนที่สกปรกมาก่อไฟหุงหาอาหารการกิน
ถึงแม้ไม้จะถูกไฟไหม้อยู่ข้างใต้ แต่ไอของมันก็จะพุ่งขึ้นมา ถ้าเป็นไม้ที่สกปรกนำมาเผา ทำให้กลิ่นไอที่สกปรกพวยพุ่งออกมา เป็นการทำผิดต่อเทพเจ้าเตา จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ และยิ่งเอาไม้สกปรกมาหุงหาอาหาร ถ้าเอาอาหารนั้นมาบูชาพระหรือเทพเซ่นไหว้บรรพชนล้วนเป็นการทำผิดทั้งนั้น นอกจากนี้ควันไฟที่เกิดจากเผาไหม้สกปรกพุ่งขึ้นท้องฟ้า เทพเจ้าเห็นแล้วจะโกรธง่าย เพราะฉะนั้นจึงไม่สมควรใช้ไม้สกปรกมาหุงหาอาหาร ! 

นิทาน   :  ในปีที่เจ็ดพระเจ้าเจิ้งเหอ สมัยซ่ง นายลี่ปาเกิดเป็นโรคเรื้อน ป่วยอยู่ 3 ปี เขาได้กินยาสารพัดก็ไม่มีผล เนื่องจากก่อนที่นายลี่ปาจะเจ็บป่วย เขาได้สวดมหาธรณีสูตร ของพระโพธิสัตว์กวนอิม 3 พันกว่าจบ มีอยู่วันหนึ่ง ก็บังเอิญพระภิกษุรูปหนึ่งมาหา พระเอายาเม็ดหนึ่งให้ลี่ปากิน สามารถรักษาโรคให้หายได้ แต่นายลี่ปากลับเก็บเม็ดยานั้นเอาไว้ ไม่ยอมกินทันที ในคืนนั้น นายลี่ปาก็ฝันถึงพระภิกษุที่เอายามาให้เมื่อตอนกลางวันพูดกับเขาว่า "ข้าคือพระโพธิสัตว์กวนอิม  เพราะเจ้ามักใช้ฟืนสกปรกหุงหาอาหาร ดังนั้นจึงกระทบกับผีเทพเข้า เพราะฉะนั้น จึงเป็นโรคเรื้อนนี้ แต่เพราะเจ้าได้สวดมนต์ธารณีสูตรถึง 3 พันกว่าจบ  วันนี้จึงประทานยาเจ้าหนึ่งเม็ดเพื่อปลดทุกข์ ทำไมเจ้าไม่ยอมกินล่ะ"  พอลี่ปาตื่นขึ้นมาก็รีบกินยาเม็ดนั้น เวลาผ่านไป 7 วัน หนังที่แตกเก่าก็ลอกหลุดออก ผมเผ้าขนคิ้วก็งอกขึ้นมาใหม่ การใช้ฟืนสกปรกหุงหาอาหารจะกระทบทำผิดต่อเทพเจ้า ดังนั้นจึงควรงดเว้น ตลอดจนใช้กิ่งก้านของไม้หลิวมาเป็นฟืนจุดไฟก็จะกระทบทำผิดต่อเทพเจ้าเตา อันนี้เป็นข้อห้ามในศาสนาเต๋า ควรที่จะต้องรับรู้เอาไว้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก  ชั่วบาป  :  เปลือยกายกลางคืน 

อธิบาย   :  ตกกลางคืนชอบเปลือยกายล่อนจ้อน
บัณฑิตคนตรง ในที่ ๆ มีคนเห็นก็ยังระมัดระวังไม่ทำอุจาด ในที่มืดที่ลับตา ก็ยังต้องเคารพกลัวเกรงผีเทพด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในห้องที่ลับตาไม่มีคนเห็น ก็ต้องรักษาความเคารพเอาไว้เหมือนอยู่ต่อหน้าเทพเจ้า โดยเฉพาะในที่มืดเป็นสถานที่ของผีเทพเพราะฉะนั้นจึงไม่มีที่ไหนที่ไม่มีผีเทพอยู่ ตกกลางคืนเป็นช่วงเวลามืด ยิ่งเป็นเวลาที่เทพมักไปมาหาสู่กันตลอด ทำไมไม่ระมัดระวังจะหาเรื่องใส่ตัวให้ได้เคราะห์ภัยหรือ ?

นิทาน   :  สมัยก่อนที่เมืองเฟิงโจว มีบุตรสาวของขุนนางคนหนึ่งแต่งงานไปไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็ม ไม่รู้สาเหตุอันใดชอบพูดส่งเดช และแก้ผ้าเดินทั่วโดยไม่รู้สึกอาย ไปหาหมอมาหลายคน ไปไหว้พระถามเจ้ามาทั่ว ก็ไม่สามารถรักษาเธอให้หาย ตอนนี้เองบังเอิญท่านอริยเจ้าจางกลับเข้าเมืองหลวง ขุนนางผู้นี้จึงไปเชิญท่านอริยเจ้าจางช่วยเหลือ อริยเจ้าจางใช้ให้ลูกศิษย์ใช้ยันต์มารักษา แต่ก็ไม่บังเกิดผลอะไร เธอยังคงแก้ผ้าพลุ่งพล่านไปทั่วเหมือนเดิม ดังนั้น ท่านอริยเจ้าจางจึงไปดูด้วยตนเอง เชิญขุนพลเทพให้มาปรากฏ พอท่านเจ้าเพิ่งมาถึง ผู้หญิงคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงพูดขึ้นว่า "เจ้าหญิงแม่บ้านคนนี้ กล้าที่จะแก้ผ้าในเวลากลางคืน กระทำผิดต่อเทพฟ้า นี่คือโทษตัดหัว !  แต่ด้วยเชิญอริยเจ้ามาด้วยตนเอง ตอนนี้ก็จะอภัยให้เจ้าก่อน !" พอหญิงแม่บ้านพูดจบ ก็ล้มลงกับพื้นทันที แล้วโรคก็หายไป

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก ชั่วบาป  :  ประหารวันตรุษสาร์ท

อธิบาย   :  ในวันตรุษสาร์ทต่าง ๆ
การดำเนินการลงโทษประหารชีวิตหรือโบยตนักโทษ ในวันตรุษสาร์ท จะเป็นวันที่เทพเจ้าจดบันทึกบาปบุญของคนในโลก เพราะฉะนั้นในวันตรุษสาร์ทเหล่านี้ ชาวโบกควรที่จะย้อนสำรวจ  ไม่ทำบาป  ให้สร้างบุญกุศล  จึงจะเหมาะสมกับท่านไท่ซั่งเมตตาโปรดเวไนย หากฝ่าฝืนทำตามอารมณ์ ทำการประหารในวันตรุษสาร์ท ก็จะทำร้ายบรรยากาศแห่งความละมุนละไมยของฟ้าดิน ที่สำคัญคือทำลายบุญวาสนาของบ้านตนเองนะ !  ในรัชสมัยถังเกาจูงปีที่สาม  ได้มีกโอกาสำหนดว่าเดือนอ้าย  ห้า  เก้า  สามเดือน  และวันสิบเจแต่ละเดือน  ให้ขุนนางทุกระดับห้ามลงโทษและรัชสมัยก่อนหน้าก็กำหนดว่าวันที่หนึ่งของแต่ละเดือนห้ามลงโทษประหาร  กับการฆ่าสัตว์  เป็นการให้ทานที่พระราชาและประชาชนต่างเมตตาต่อสัตว์ ปัจจุบันข้าราชการผู้ใหญ่ต่างก็เข้าใจการให้ทานชีวิตแบบนี้ รู้ความหมายลึกซึ้งในเรื่องนี้ดี

นิทาน   :  สมัยถัง ขุนนางโต้วเกวยเป็นลูกผู้พี่ของมเหสีของพระเจ้าเกาจูงต้ามู่ เป็นผู้ว่าเมืองลั้วโจว มีนิสัยเหี้ยมแข็งกร้าวชอบฆ่าคน ดังนั้นจึงฆ่าประชาชนและบัณฑิตไปไม่น้อย เมื่อถึงเวลาพิพากษา ซึ่งก็เป็นวันที่ทางราชสำนักให้งดเว้นลงโทษ เขาก็ไม่ยอมที่จะหยุด เขายังได้ทำร้ายราชเลขาอุ้ยหวินฉีในปีที่ 2 พระเจ้าเจินกวน  โต้วเกวยก็เกิดโรคเจ็บป่วยหนักมาก ทันใดก็พูดขึ้นว่า "มีคนส่งแตงมาให้ !"  คนรอบข้างตอบว่า  "ไม่มี"  โต้วเกวยก็พูดอีกว่า "มีซิเป็นเตงดีเสียด้วย" คนรอบข้างก็ตอบว่า "ไม่มีนะ !"  อีกครู่หนึ่งโต้วเกวยแสดงอาการตกใจจ้องมองพูดว่า "ไม่ใช่แตง เป็นหัวคน มันมาทวงชีวิตข้า ! " พอโต้วเกวยพูดจบก็ตายไป วันตรุษสาร์ทหาใช่เป็นวันห้ามฆ่าประหารเท่านั้น แม้แต่ลงโทษเฆี่ยนตีนักโทษก็ไม่ได้ มิฉะนั้น เวลารับเคราะห์ภัยกับมงคลก็จะต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะฉะนั้นไม่ว่าข้าราชการ หรือรัฐบาลคงรระวังงดเว้น !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก ชั่วบาป  :  ถ่มน้ำลายดาวตก  ชี้รุ้งชี้สามแสงบ่อย  จ้องอาทิตย์ จันทร์นาน

อธิบาย   :  การถ่มน้ำลายใส่ดาวตก ชี้นิ้วไปที่รุ้งผู้รุ้งเมีย  ชี้นิ้วไปที่ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์  และดวงดาวบ่อย ๆ และจ้องอาทิตย์จ้องจันทร์นาน ๆ
การที่ดวงดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เรียกว่าสามแสง ซึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรกับคน แต่กลับมีคนชอบถ่มน้ำลายใส่ดาวตก นั่นคือการกระทำของคนไม่มีปัญญา บ้างก็ชี้ดาวตกว่าเป็นพวกปีศาจ และการถ่มน้ำลายใส่ก็ถือว่าชนะเขา การพูดไม่มีสาระเช่นนี้เป็นการพูดใส่ร้ายของคนบ้านนอก ความจริงประชาชนขาดคุณธรรมที่พูดเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ฟ้าจึงเปลี่ยนแปลงเป็นปรากฏการณ์เพื่อตักเตือนชาวโลก เพราะฉะนั้น ดาวตกคืออุกาบาตที่ตกใส่ลงมาเป็นเพราะประชาชนขาดคุณธรรมกวักหามา จะไปถ่มน้ำลายได้อย่างไร ?.  สีแดงขาวคือรุ้งผู้  เขียวขาวคือรุ้งเมีย เป็นปรากฏการณ์หยินหยางของฟ้าดินที่เกิดไอน้ำขึ้น ในคัมภีร์ซีจิงกล่าวว่า "ถ้ารุ้งปรากฏขึ้นทิศตะวันอก ก็ไม่มีใครกล้าชี้นิ้ว !"  แกนนักษัตรเคลื่อนย้ายในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง กล่าวไว้ว่า "ดาวสลายเป็นรุ้งผู้"  ดังนั้นรุ้งจึงเป็นไอที่เหลือของนักษัตรที่ปรากฏเป็นสีให้เห็น ท่านขงจื่อที่นิพนธ์คัมภีร์ กตัญญูชุนฉิว ขณะกำลังจะจบลงก็ภาวนาวิงวอนไปยังดาวเหนือ เหตุนี้รุ้งแดงผู้จึงปรากฏขึ้นเป็นบทแกะสลักหยกเหลือง ใครพูดว่ารุ้งมิใช่ไอที่เหลือของนักษัตรเล้า?. ดังนั้นการชี้รุ้งทำไมจึงไม่มีโทษเล่า ?.  ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวเป็นฟ้าเบื้องบนใช่ส่องตรวจโลกเพือแสดงธรรม ! :ท่านไท่ชั่งกล่าวว่า "ถ้าเห็นดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  ดาวเหนือ  ดาวใต้  ก็ต้องก้มหัวนิ่ง ขอให้คุ้มครอง  อภัยโทษที่ผิด  ไม่อาจทำอาการดูถูก จะได้ไม่ประสบเคราะห์ !"  คัมภีร์ในศาสนาเต๋า สอนคนให้เซ่นไหว้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ว่า "แต่ละปีวันที่หนึ่ง  เดือนยี่  ให้เซ่นไหว้ดวงอาทิตย์  วันที่ 15 เดือนแปด เซ่นไหว้ดวงจันทร์  ให้เตรียมธูป ดอกไม้ อาหารเจไปบูชา  เพื่อภาวนาเป็นการตอบแทนคุณของดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  แบบนี้สามารถเพิ่มบุญวาสนาและอายุขัยได้"  เพราะฉะนั้น จะชี้นิ้วบ่อย ๆ หรือจ้องมองนานได้หรือ ?

นิทาน   :  นายโจวหง กล่าวว่า ที่บ้านนอก มีครั้หนึ่งชาวบ้านหลายคนมาดื่มสุรากัน ทุกคนต่างมองเห็นว่าดวงอาทิตย์สว่างจ้าผิดปกติ ทุกคนก็ชี้นิ้วไป ทันใดนั้น ลมฝนก็เทลงมา ปรากฏมีรูปร่างประหลาดคล้ายลิงลงมาจากฟ้า ตาของมันมีแสงเรืองทั้งสองข้าง ทุกคนตกใจกลัวจนหมอบคลาน ผ่านไปครู่เดียว เจ้าตัวประหลาดก็จากไป ถึงตอนนี้ในรูหูของทุกคนเต็มไปด้วยดินโคลน ทุกคนในเหตุการณ์ตกใจเกินขีดจนเจ็บป่วยโรคจิต

นิทาน   :  มหาอำมาตย์ไฉจิง ในสมัยซ่ง สามารถจ้องดวงอาทิตย์โดยตาไม่ลาย มีคนพูดว่า "นี่เป็นปรากฏการณ์พิเศษ !"  อย่างไรก็ตามไฉจิงถือว่าตยมีพลังตาดีที่กล้าจ้องสู้ดวงอาทิตย์ คนที่เข้าใจหลักธรรมก็เข้าใจว่า ในใจของเขาไม่มีพระราชาอยู่ในสายตา !  สุดท้ายไฉจิงก็กบฏจึงถูกลงโทษประหาร 

นิทาน   :  นายซุนจิ่ง สมัยหยวน มีความเศร้าโศกมากเมื่อบิดาเสียชีวิต  เขาเดินเท้าเปล่าในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ บิดาของเขายังไม่ได้ทำการฝัง เขาพาศพบิดาบิดาลงเรือกลับบ้านข้ามแม่น้ำ ขณะนั้นเกิดลมพายุรุนแรงมาก ท้องฟ้ามืดครึ้ม ซุนจิ่งจึงคุกเข่าวอนขอต่อดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และดวงดาว  ไม่นานนักลมก็สงบลง ดวงอาทิตย์ก็สว่างขึ้น  ซุนจิ่งมีความกตัญญูต่อมารดาเลี้ยงมาก เมื่อมราดาเลี้ยงเป็นฝีหนองเขาจะใช้ปากดูดเอาหนองออกจากฝี ต่อมามราดาเลี้ยงก็ตาบอด ซุนจิ่งก็วอนขอต่อดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และดวงดาว หลังจากนั้นก็เอาลิ้นเลียที่ดวงตาของมารดาเลี้ยง ปรากฏว่าดวงตาของมารดาเลี้ยงกลับมองเห็นได้อีก หลังจากมารดาเลี้ยงตายลงได้สิบวัน ขณะที่จะลงฝัง ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูฝน ๆ ตกไม่หยุด ซุนจิ่งร้องไห้ตลอดคืน จนฝนหยุดตก ม้องฟ้า เมฆเปิดเห็นดวงอาทิตย์ พอเตรียมตัวจะลงฝังก็ตกค่ำเสียแล้ว ไม่มีแสงเลย  ซุนจิ่งจึงร้องไห้อีก ปรากฏว่าดวงดาวบนท้องฟ้าก็ทอแสงสว่างไสว ซึ่งบังเอิญคืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด ไม่มีดวงจันทร์  ทันใดก็ปรากฏฉายแสงสว่างไสวประดุจกลางวัน จากเรื่องที่เล่ามา เมื่อมาพิจารณา ไม่เพียงว่าดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  ดวงดาว  กลับมีพระคุณส่องแสงให้กับโลก โดยเฉพาะทันทีที่วอนขอก็สามารถได้รับการตอบสนองทันที !  เพราะฉะนั้น ทั้งสามแสงจากดวงอาทิตย์  จันทร์  ดาว  ผู้คนจะไปชี้โดยส่งเดชได้อย่างไร ยิ่งการจ้องมองเป็นการละเมิดบาปที่หนักด้วย   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ล่าสัตว์เผาป่าฤดูใบไม้ผลิ

อธิบาย   :  การเผาป่าล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิ  การยิงสัตว์บิน  ไล่จับสัตว์วิ่ง
เป็นบทห้ามชัดเจนของท่านไท่ซั่ง ยิ่งการเผาป่าล่าสัตว์เป็นการทำลายชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนยิ่งเป็นบาปหนัก โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิ จึงเป็นการละเมิดฟ้าที่ประทานชีวิต แล้วกลับมาทำลายชีวิตอย่างโหดเหี้ยมสุด ๆ เช่นนี้ แม้แต่ในฤดูอื่นก็ใช่ว่าจะเผาป่าล่าสัตว์ได้ก็หาไม่

นิทาน   :  ในสมัยถัง นายหลิวม้อเอ๋อกับลูกชายตายพร้อมกัน ในวันเดียวกัน คนบ้านใกล้เรือนเคียงแ่ฉีก็ป่วยตาย และพื้นคืนชีพมาใหม่ เขาพูดกับคนทั่วไปว่า ตนเองได้ไปยมโลก ได้เห็นหลิวม้อเอ๋อกับลูกชายถูกต้มอยู่ในหม้อน้ำเดือด ต้นจนเนื้อหนังหลุดร่อนเหลือแต่กระดูกขาว ๆ ผ่านไปอีกนาน คนทั้งสองก็กลับมาสู่สภาพเดิม แล้วก็ถูกจับต้มอีกจนเนื้อหนัง่อนหมด เวลาผ่านไปอีกนานก้กลับมาสู่สภาพเดิม แล้วก็ถูกทำโทษลงไปต้มใหม่ครั้งแล้วครั้งเลา ลงโทษอยู่แบบนี้ไม่สิ้นสุด !  ยมบาลกล่าวว่า "นายหลิวม้อเอ๋อกับลูกชายมีอาชีพเผาป่าล่าสัตว์ จึงต้องรับกรรมตอบสนองเช่นนี้ ! "

อธิบาย   :  ควรจะรู้ว่าสรรพสัตว์ล้วนมีพุทธจิต จะทำลายชีวิตส่งเดชไม่ได้ การล่าสัตว์ก็ทำไม่ได้ มิหนำซ้ำยังปล่อยไฟเผาป่าอีก ทำให้สัตว์อื่น ๆ พลอยถูกเผาไหม้ไปด้วย แม้แต่ตัวหนอน  ตัวแมลง  ก็ไม่รอดพ้นถูกเผาเรียบ ! ด้วยเหตุที่การทำลายสูงมากจึงเป็นสิ่งที่คนทนไม่ได้ ! ในบันทึกจริยธรรมมีรายละเอียดกำหนดไม่ให้เผาป่าล่าสัตว์ ท่านไท่ซั่งกล่าวตอกย้ำห้ามอีก เพราะทำลายชีวิตจำนวนมากมายนัก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ด่าทอทิศเหนือ

อธิบาย   :   หันหน้าด่าไปทางทิศเหนือ  การถ่มถุยน้ำลายสั่งขี้มูก เป็นเรื่องเล็กธรรมดา แต่การถ่มถุยไปทางทิศเหนือก็มีโทษบาปอยู่แล้ว
ซึ่งก็ได้กล่าวมาแล้ว ยิ่งด่าทอไปทางทิศเหนือยิ่งบาปหนัก คนโง่ที่ไม่มีปัญญาที่ถูกโทสะพาไป ไม่รู้จักหักห้ามจิตใจ ไม่มีสติยั้งคิดที่บันดานโทสะออกไป วจีกรรมของคนมี 4 ชนิด การด่าทอว่าร้ายบาปหนักสุด ในพุทธสูตรว่า ปุถุชนมีโลภ โกรธ หลง 3 พิษ ซึ่งรุนแรงมาก ไฟโทสะมีสภาพเผาผลาญกว้างขวางคือเมื่อเกิดโกรธแค้นก็จะมีปัจจัยชั่วทำให้เกิดอุปสรรค เพราะฉะนั้น เวลาพูด เมื่อบันดาลโทสะอกจากปาก ก็จะทำร้ายใจคน ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด ประดุจถูกมีดเฉียน จึงเกิดทุกข์กังวลสุดประมาณ !  ถึงแม้กายยังไม่ได้ทำบาป ถ้าหากไม่ระวังปากตนเองก็ตกสู่ทางบาปได้นา !"

นิทาน   :  มีแม่บ้านคนหนึ่งที่เมืองซินอัน มีนิสัยแข็งกร้าว ตนเองไม่มีบุตรก็อิจฉาเมียน้อยที่มีบุตร  ทุกวันยามใกล้ค่ำ นางก็จะด่าทอไปทางทิศเหนือ ค่ำวันหนึ่งนางก็ด่าทอสาปแช่งไปทางทิศเหนือ ทันใดก็มีดาวตกลงมาที่พื้นขนาดเท่าถาดใบหนึ่ง เสียงดังเหมือนฟ้าผ่า นางตกใจกลัวจนล้มเจ็บลงท้องก็บวมขึ้น ๆ เหมือนคนมีท้อง รอจนใกล้คลอดปวดท้อง 7 วัน มันก็ยังคลอดไม่ออก ที่จริงในท้องนางไม่มีทารก !  หลังจากที่นางสำนึกผิดแล้วโรค
จึงหาย

อธิบาย   :  น่าจะรู้ฤทธิ์เดชของเทพเจ้า ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีนะ !  ทำไมจึงพูดแต่ทิศเหนือ นั้นก็เน้นถึงความสำคัญว่าเป็นทิศที่มีพระเจ้าสถิดอยู่ ทำไมคนถึงไม่รู้จักคอยระลึกว่า ทุกแห่งหนล้วนมีเทพเจ้าอยู่ทั้งนั้น เมื่อมีใจเกรงกลัว จะเพิ่มการบำเพ็ญย้อนสำนึกตรวจบารมีดูบ้าง !

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”