collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144252 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป  :  สบถตนแช่งผู้อื่น

อธิบาย   :  ตนเองแช่งตนเองและแช่งผู้อื่นด้วย
การบาปแช่งโดยไร้เหตุผลที่จะไปกล่าวหาผู้อื่นที่ถูกต้อง คนที่มีความโกรธแค้นใจสงบยาก จนกระทั่งสบถสาปแช่งให้ตนเองตาย และบาปแช่งผู้อื่นให้ตายด้วย เป็นวิสัยของคนพาลผู้หญิงจึงมักเป็นลางสังหรที่กวักหาเคราะห์ภัยมาเร็วขึ้น ส่วนใหญ่ยังไม่ถึงเวลาตาย แต่คำสบถที่ตนสาปแช่งก็มักทำให้สภาพการตายเกิดขึ้นรวดเร็ว เพราะฉะนั้นทำไมจึงไม่ค่อยระมัดระวังกันเล่า ! 

นิทาน  :  ภรรยานายเอี๋ยนเตี่ยน เคยมีความสัมพันธ์กับคนอื่น ทั้งยังแอบขโมยผ้าเช็ดหน้าคนข้างบ้านมาผืนหนึ่ง คนข้างบ้านจึงด่าว่าภรรยาของนายเอี๋ยนเตี่ยนเสีย ๆ หาย ๆ น่าไม่อาย นายเอี๋ยนเตี่ยนได้ยินแล้วก็โกรธจัด ดังนั้นจึงสบถสาปแช่งตนเองกับสาปแช่งคนข้างบ้านว่า "ถ้าหากภรรยาข้ามีความสัมพันธ์กับผู้อื่น และขโมยผ้าเช็ดหน้าของเจ้า ก็ขอให้ฟ้าผ่าข้าตาย มิเช่นนั้นเจ้าก็ต้องถูกฟ้าผ่าตาย"  ต่อมาไม่นาน นายเอี๋ยนเตี่ยนก็ถูกฟ้าผ่าตาย ที่แผ่นอกยังมีตัวอักษรปรากฏว่า "คนโง่ปกป้องเมีย" ส่วนภรรยาของเขาก็ฟ้าผ่าตาย ที่สีข้างก็มีตัวหนังสือปรากฏว่า "เล่นชู้ขโมยของ" ความหมายคือแอบมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับคนอื่นและยังขโมยของชาวบ้านด้วย

อธิบาย   :  นายเจิ้นจื่อกังสมัยซ่ง เคยพูดไว้ว่า "มีการสาปแช่งก็คือรากเหง้าของความวุ่นวาย" ต้องรู้ว่า การเกิดการตายของแต่ละคน ล้วนมีชะตากำหนด ไม่ใช่ว่าชอบเขา เขาก็จะสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ เมื่อโกรธเขา เขาก็สามารถจะตายได้ ปัจจุบันกลับมีคนแช่งชักให้ตนเองตายและก็สาปแช่งให้เขาตายด้วย นับว่าโง่งมถึงขีดสุดแล้ว เซ่อซ่าสุดยอด !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก ชั่วบาป  :  ลำเอียงชังลำเอียงรัก

อธิบาย   :  การรักการชังมีการลำเอียง
การลำเอียงรักลำเอียงชังกินความหมายกว้าง ทั้งพระราชาต่อข้าราชการ  พ่อต่อลูกชาย  สามีต่อภรรยา  เจ้านายต่อบ่าวไพร่  สภาพเช่นนี้มีเป็นประจำ  โดยเฉพาะแม่บ้านที่มีต่อลูกชายภรรยาคนก่อน แต่กับลูกชายของตนเองจึงมีลำเอียงรักลำเอียงชังที่รุนแรง  เพราะฉะนั้นท่านเจิงจื่อ หลังจากภรรยาตายจากจึงไม่ยอมแต่งงานอีก เจิงจื่อกล่าวว่า "พระเจ้าอินเกาจงฆ่าลูกกตัญญู เพราะภรรยาใหม่"  "ขุนนางใหญ่สมัยโจวอิ้จี๋ฝู่สาเหตุเพราะภรรยาใหม่จึงฆ่าลูกชายตนเองป๋อฉี" ข้านั้นเปรียบกับเกาจงและจี๋ฝู่ไม่ได้เลยสักนิด แล้วข้าจะไม่หลงผิดแบบเขาหรอกหรือ ?" เจริญพร !ท่านเจิงจื่อกล่าวได้เยี่ยมมาก เพราะเจิงจื่อกลัวว่าตนเองจะลำเอียงชังลำเอียงรักจนทำผิด จึงสามารถรักษาความเป็นบิดาผู้มีพระคุณอย่างสมบูรณ์เป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยมทีเดียว !  อย่างไรก็ตามหลังจากภรรยาตายจากไปก็อย่าได้แต่งงานใหม่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คนทำได้ยากเช่นกันนะ !  ถ้าหากมีการแต่งงานใหม่ก็ควรที่จะจดจำคำพูดของเจิงจื่อให้ดี มิฉะนั้นเมื่อเกิดลำเอียงรักลำเอียงชังขึ้นแล้วก็จะทำบาปอย่างมะหันต์ได้

นิทาน   :  นายอวี๋เจี๋ยชาวเมืองตงไห่ มีบุตรชายกับภรรยาคนแรกหนึ่งคนมีชื่อว่าเถี่ยจิ้ง ภรรยาก็ตายไป นายอวี๋เจี๋ยจึงแต่งงานใหม่กับนางเฉินสื้อ นางมีนิสัยโหดร้ายและอิจฉา คิดจะฆ่าเถี่ยจิ้ง (ครกเหล็ก)  ตนเองก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่าเถี่ยฉู่ (สากเหล็ก)  มีความคิดที่จะให้สากเหล็กตำครกเหล็ก เด็กชายเถี่ยจิ้งถูกแม่เลี้ยงทุบตีทารุณบ่อย ๆ และอดข้าวหนาวตาย หลังจากตายตอนนั้นอายุแค่ 15 ปี เมื่อเถี่ยจิ้งตายไปได้สิบกว่าวัน วิญญาณเขาก็มาที่บ้านพูดว่า "ฉันคือเถี่ยจิ้งนะ ! แม่ของฉันได้ฟ้องต่อฟ้าเบื้องบน และก็ได้รับคำสั่งให้กลับมาแก้แค้น ต้องการให้เถี่ยฉู่ป่วยตาย และได้รับความทุกข์ทรมานมีระยะเวลายาวเหมือนฉันด้วย !" นางเฉินสื้อหาวิธีช่วยเหลือลูกชายโดยไปอ้อนวอนผีเทพให้ช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีทางช่วยได้พอเถี่ยฉุ่มีอายุได้ 6 ขวบ ท้องก็บวมขึ้นเจ็บปวดไปทั่วตัว จนมีร่างกายเขียวคล้ำแลัวก็ตายไป

นิทาน  :  ในสมัยโจว เหว่ยกั๋วมีแม่ผู้อารี นางเป็นลูกสาวของนายเมิ่งหยาง เป็นภรรยาคนหลังของนายหมางเหม่า นางมีลูกชาย 3 คน ส่วนภรรยาคนแรกของนายหมางเหม่ามีลูกชาย 5 คน แต่ก็ไม่ยอมรับแม่เลี้ยง ทั้ง ๆ ที่นางเป็นคนอารี แต่นางก็ดูแลพวกเขาอย่างดี แต่เด็กทั้ง 5 คนก็ยังคงไม่รักนาง ดังนั้น นางจึงมีคำสั่งให้ลูกชาย 3 คนของนางไม่ให้เสพสุขเหมือนลูกภรรยาคนก่อน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า  อาหารการกิน  ไม่ว่าจะลุกยืนนั่งนอน ก็ให้แตกต่างจากลูกชายภรรยาคนก่อนมาก ถึงแม้จะทำเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่ชอบนางอยู่ดี ต่อมาไม่นานนักลูกชายคนที่ 3 ของภรรยาคนก่อนได้ขัดคำสั่งของพระเจ้าเหว่ยอ๋องมีโทษต้องประหาร แม่ผู้อารีรู้สึกโศกเศร้ากลุ้มใจมาก คิดจะช่วยเหลือลูกชายคนนี้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ มีคนพูดกับนางว่า "ลูกชายของภรรยาคนแรกไม่รักเธอขนาดนั้นแล้ว เธอจะทุกข์อกทุกข์ใจโศกเศร้าไปทำไม คิดจะช่วยชีวิตเขาทำไม ?" แม่ผู้อารีตอบว่า "แม้ไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ ของฉันจะไม่รักฉัน แต่ถ้าไปก่อเรื่องขึ้น ฉันก็ยังต้องช่วยเขาหาทางขจัดโทษเขา ตอนนี้หากฉันไม่สามารถทำตามที่พูดที่ให้กับลูกภรรยาคนก่อนได้ ถ้าเช่นนี้พวกเขาก็เปรียบเสมือนไม่มีแม่แล้วใช่ไหม ?. พ่อของพวกเขา เป็นเพราะพวกเขาสูญเสียแม่ไปจึงมาแต่งกับฉันไปสืบแทนแม่ของพวกเขา แม่จะสืบต่อแต่ลูกชายของตัวเองแล้วละเลยลูกของภรรยาคนก่อน จะถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีธรรมหรือ เป็นคนหากไม่เมตตาไม่มีธรรม จะยืนหยัดอยู่ในสังคมได้อย่างไร ?  ถึงแม้พวกเขาจะไม่รักฉัน แล้วฉันจะขาดธรรมได้หรือ ?"  ดังนั้นนางจึงไปร้องเรียนพระเจ้าเหว่ยอ๋องตามที่สาธารณะ ในที่สุดพระเจ้าเหว่ยอ๋องรู้สึกซาบซึ้งคุณสมบัติความมีจริยธรรมของนาง จึงยกโทษอภัยให้ลูกชายของนางปล่อยให้เขากลับบ้าน จากนั้นมา ลูกชายทั้ง 5 ของภรรยาคนก่อนก็ดีต่อนางให้ความรักความสนิทสนมเหมือนเป็นมารดาแท้ ๆ ทั้งครอบครัวมีความสุข ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าเหว่ยอ๋องจึงยกย่องเรื่องนี้มาเป็นจริิยธรรมเพื่อสอนขุนนางของพระองค์ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ก้าวข้ามบ่อน้ำเจ้าที่ 

อธิบาย  : 
บ่อน้ำมีประโยชน์ต่อคนมากจึงมีเทพเจ้าบ่อน้ำธารน้ำดูแลอยู่ นามของเทพเจ้าธารน้ำเรียกว่า "กวน" มีความสวยงามดุจหญิงสาวน้ำในบ่อสามารถให้คนและสัตว์ดื่มกินทั้งยังเอามาบูชาเทพเจ้าโพธิสัตว์ ทำไมจึงจะไปดูแคลนลบหลู่ได้เล่า ?  ในเวลาเซ่นไหว้เทพเจ้าทั้งห้าพระองค์ เจ้าที่ก็เป็นหนึ่งในนั้นก็คือ เทพเจ้าไฟไท่อิ นามว่า จางจั๊ว ฉายาจื่อเก๋อ  มีหน้าที่ดูแลชะตาชีวิตดีเลวของคนในครอบครัว เน้นที่ค่อยตรวจตราความดีความชั่ว เป็นผู้รู้ล่วงหน้าถึงบุญวาสนาดีร้ายก่อนใคร หากเราไปก้าวข้าม เท่ากับไปลบหลู่วิญญาณเทพ มีโทษผิดมหันต์มาก การลบหลู่ไม่ใช่แต่ก้าวข้ามเท่านั้น หากนั่งอยู่ขอบบ่อหรือขาไปเหยียบขอบเจ้าที่หรือข้างบนเหนือเจ้าที่วางสิ่งของ หรือของสกปรก ฯลฯ เป็นต้น ล้วนเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น

นิทาน  :  ทุกครั้งที่นายจางเฮ้าเซียงดื่มสุราเมามา ก็ชอบที่จะเล่นตามผู้อื่น กระโดดข้ามบ่อน้ำ มีอยู่วันหนึ่ง เทพเจ้าเกราะทองในบ่อน้ำเอาหอยแทงเขาทีหนึ่ง นายจางเฮ้าเซียงรู้สึกปวดท้องมาก เหมือนถูกปืนยิงเจ็บปวด ดังนั้นเขาจึงตั้งใจศรัทธาคุกเข่าลงขอขมาโทษ ท้องก็เลยหายปวด

นิทาน   :  นายอู๋เซิ้นในสมัยซิง ทำงานอยู่ในที่ทำการอำเภอ มีบ้านอยู่ใกล้กับคลองจิ่งซี  ที่จิวซีมีต้นน้ำ ต้นน้ำที่ใสสะอาดมาก ผู้คนใกล้เคียงจะใช้น้ำดื่มกินกันที่คลองต้นน้ำนี้ นายอู๋เซิ้นก็กั้นรั้วไม้ป้องกันต้นน้ำบริเวณนั้นเพื่อไม่ให้คนทิ้งของสกปรกลงไปในน้ำ วันหนึ่ง บังเอิญเห็นหอยสังข์ขาวตัวหนึ่งอยู่ข้าง ๆ ธารน้ำ เขาจึงนำมันกลับมาที่บ้าน วางไว้ในอ่าง จากนั้นมาทุกวันที่เขากลับบ้านก็จะเห็นอาหารในครัวได้ถูกเตรียมไว้เสร็จแล้ว ในใจของอู๋เซิ้นรู้สึกประหลาดมาก วันหนึ่งเขาก็แอบสำรวจดู เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งออกจากเปลือกหอยสังข์ แล้วก็ลงมือทำกับข้าว นายอู๋เซิ้นจึงเข้าไปเผชิญหน้า หญิงสาวรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่รู้จะทำท่าไหนจะกลับเข้าเปลือกหอยก็ไม่ทันแล้ว จึงพูดความจริงกับอู๋เซิ้นว่า "ฉันคือเทพเจ้าแห่งธารน้ำ และรู้ว่าภรรยาของเธอเสียไปแล้ว จึงสั่งให้ข้ามาเตรียมอาหารให้เธอ เมื่อเธอได้รับประทานอาหารที่ข้าทำไว้ก็ควรจะได้สำเร็จธรรมแล้ว" หญิงสาวกล่าวจบก็อันตรธานหายไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 6/08/2012, 05:41 โดย หนึ่งเดียว หลุดพ้น »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ข้ามอาหารข้ามคน

อธิบาย   : 
กระโดดข้ามข้าวปลาอาหารและร่างกายของคน  อาหารคือพลังงานหล่อเลี้ยงชีวิต ส่วนคนก็เป็นหนึ่งในสามองค์คุณ สามองค์คุณคือฟ้า ดิน มนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถร่วมสรรเสริญบารมีคุณที่ฟ้าดินเลี้ยงดูสรรพสิ่ง ดังนั้น มนุษย์จึงสามารถเป็นหนึ่งในองค์สามคุณร่วมกับฟ้าดิน เพราะฉะนั้นการก้าวข้ามอาหารและร่างกายคนจึงถือเป็นโทษบาปทั้งสิ้น !

นิทาน   :  ในสมัยถัง
มีขุนนางคนหนึ่งเข้าไปในป่า เดินทางมาถึงที่ไร้ผู้คน บังเอิญแลเห็นร้านเหล้าหลังหนึ่งก็เข้าไปซื้อเหล้า นางผู้ขายเหล้าออกมาเก็บเงินของเขาก่อน แล้วจึงเข้าไปในห้องเก็บเหล้า เวลาผ่านไปนานมากนางจึงยกเหล้าออกมา สีของเหล้าแดงเหมือนสีเลือด ดื่มแล้วมีรสชาติหอมหวาน หลังจากขุนนางดื่มจนหมดแล้วก็คิดอยากจะดื่มอีก นางจึงร้องไห้พูดกับเขาว่า "ฉันไม่ใช่คนในโลกมนุษย์หรอกค่ะ !  เพราะว่าขณะที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยดื่มเหล้าไม่จำกัดยับยั้ง ข้าวปลาอาหารกินทิ้งกินขว้าง  เหยียบย่ำอาหารแล้ว ค่อยให้คนอื่นไปกิน เพราะฉะนั้นจึงรับกรรมตอบสนอง แต่ละครั้งที่มีคนมาซื้อเหล้า ก็ต้องเค้นเลือดจากกายของฉันเพื่อให้แขกดื่มแทนเหล้า !"  ขุนนางได้ยินนางเล่าเช่นนั้นก็ตระหนกตกใจ รีบผละออกจากที่นันโดยเร็ว รีบกลับบ้านทันที

อธิบาย   :  ก็น่าจะรู้ว่าในป่าเขาอย่างนั้นที่ไหนจะมีร้านเหล้า !  ทำให้คิดว่าขุนนางผู้นี้ปกติก็จะไม่เห็นคุณค่าอาหารอยู่แล้ว ทางยมโลกจึงยืมการเจอะเจอของเขามาเป็นเรื่องตักเตือนสั่งสอนชาวโลก

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง นายเจ๋อหลิน ได้ช่วยย้ายบ้านให้นายเจิ้นสู้ ระหว่างกลางทางได้ขอค้างคืนที่สังฆามแห่งหนึ่ง นายเจ๋อหลินนั่งหันหลังให้กับพุทธรูป คุณอาเจิ้นก็พูดกับเจ๋อหลินว่า  "ช่วยขยับเก้าอี้มาทางนี้ อย่าเอาหลังหันใส่รูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์"  เจ๋อหลินพูดขึ้นว่า "นั่นเป็นเพียงพุทธรูปเท่านั้น เรายังต้องเคารพขนาดนั้นหรือ ?" คุณอาเจิ้นพูดว่า "แค่รูปนั้นเป็นรูปของของคนก็ไม่ควรที่จะดูแคลน"  นายกู่ซันได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็กล่าวยกย่องด้วยความปิติว่า "เมื่อเห็นรูปของคนก็ไม่กล้าที่จะดูถูก ถ้าเช่นนั้นเขาเป็นคนเช่นไรก็พอจะรู้ได้แล้ว"  จะเห็นได้ว่า การหันหลังให้คนก็ยังไม่ได้นับประสาอะไรกับการก้าวข้ามร่างกายคนเล่า ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ชอบแอบทำชั่ว

อธิบาย   : 
การกระทำส่วนใหญ่เป็นเรื่องน่าละอายไม่ถูกต้อง เช่น แอบลักขโมย  แอบลอบมีชู้  เรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยได้  พูดให้ใครฟังก็ไม่ได้ เรื่องส่วนใหญ่ก็มักเป็นเรื่องลามก เพราะฉะนั้น ท่านไท่ซั่งจึงเรียงเรื่องแอบทำชั่วต่อจากการฆ่าลูกทำแท้งซึ่งเป็นเหตุผลของท่าน

นิทาน   :  ในสมัยหมิง คุณเหมาซี่จงเล่าว่า ที่หมู่หนือของเมืองผู่เหลียง มีชายคนหนึ่งชื่อจางหมิงซัน ติดตามการโยกย้ายข้าราชการของบิดาไปถึงเมืองโฉวงไอ๋  บ้านพักข้าราชการอยู่ติดกับบ้านของลี่จื่อฮุย  ลี่จื่อฮุยมีบุตรสาว 2 คน ห้าตาสวยงาม จางหมิงซันก็แอบลักลอบมีสัมพันธ์รักพวกนาง ต่อมานายจางหมิงซันจะเดินทางกลับบ้านที่ผู้เหลียง จึงแอบพานางทั้งสองหนีตามไปด้วย ตอนแรกพานางซ่อนไว้ใต้ท้องเรือ ขณะที่จะออกเรือ นายลี่จื่อฮุยก็ตามมาทันนายจางหมิงซันหมดทางหนีจึงผลักนาง 2  คนตกน้ำตาย สิบปีต่อมา นายจางหมิงซันปวดหลังได้เชิญหมอมารักษา หลังจากทานยาของหมอแล้วอาการก็ดีขึ้นบ้าง คืนนั้นหมอซุนก็ฝันว่า กำลังจับปลาที่ริมหาดหมู่บ้านเหมย ก็มีนาง 2 คนจากทะเล ร่างเปลือยเปล่าเดินมาหา แล้วจับที่เสื้อเขาพูดว่า "เราสองคนพี่น้องเป็นชาวไหนหนาน มาที่นี่เพื่อรักษาโรคให้แก่จางหมิงซันโดยเฉพาะ หรือว่าท่านจะมาแย่งเอาผลงานของพวกเราหรือ? ดังนั้นจึงดึงหมอซุนลงน้ำ หลังจากหมอซุนตกใจตื่นมีเหงื่อชุ่มทั้งตัว วันรุ่งขึ้นหมอซุ่นจึงเล่าเรื่องนี้ให้แก่จางหมิงซันฟัง นายหมิงซันตบอกตัวเองแล้วถอนใจว่า "โอ ! เวรกรรมตามมาถึงแล้ว เวลาตายของข้าใกล้มาถึงแล้ว !" เป็นดังเขาว่า เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน จางหมิงซันก็ตาย

อธิบาย   :  การแอบลักลอบได้เสียระหว่างชายหญิง  ต่างก็ได้รับผลกรรมตอบสนอง !  จางหมิงซันกับพี่น้องสองคน แรกแอบลักลอบพบกัน ต่อมาก็แอบหนี แล้ว 2 คนพี่น้องก็ตายในมือของจางหมิงซัน หลังจากนั้น 10 ปี จางหมิงซันก็ถูกผี 2 พี่น้องตามเอาชีวิต  การตอบสนองสมเหตุสมผลดีไม่ผิดเพี้ยนแต่น้อย !  คนที่ผิดประเวณีลูกเมียเขา หรือทำลายชื่อเสียงเขา เรื่องทั้งสองนี้เป็นเรื่องแอบซ่อนทั้งนั้น และก็ทำร้ายใจคนและหลักธรรมฟ้า เพราะฉะนั้น แอบได้เสียลูกเมียเขา ลูกเมียตนก็ต้องถูกผู้อื่นละเมิดประเวณีด้วย การทำลายชื่อเสียงเขาก็ต้องถูกเขาทำลายด้วย คำภาษิตว่า "ทำเรื่องชั่วในห้องลับ ตาของเทพเจ้าเห็นเหมือนสายฟ้าที่ตรวจตรา ! "  เพราะฉะนั้นจะทำเรื่องชั่วได้อย่างไรหรือ ?

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป   :  วันเซ่นสรวงสิ้นเดือนร้องรำ

อธิบาย  :  วันเซ่นสรวงของเดือน  ร้องรำทำเพลง
วันเซ่นสรวงเป็นวันที่พระเจ้าเตาไปจะขึ้นไปรายงานผลงานความผิดของคนในโลก วันเซ่นสรวงยังเป็นวันทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าอีกด้วย วันบวงสรวงมี 5 วัน ซึ่งเป็นวันที่เทพเจ้าเบื้องบนตรวจกำหนดบาปบุญคุณโทษ  อายุขัย  วาสนา  และการเกิดการตายเป็นมงคลหรืออัปมงคล ของคนในโลก วันที่หนึ่งเดือนหนึ่งเป็นวันเซ่นสรวงฟ้า  วันที่ 5 เดือน 5 เป็นวันเซ่นสรวงดิน  วันที่ 7 เดือน 7 เป็นวันเซ่นสรวงคุณธรรม  วันที่ 1 เดือน 7 เป็นวันเซ่นสรวงปี  วันที่ 8 เดือน 12 เป็นวันเซ่นสรวงราชา  เมื่อเป็นวันเซ่นสรวงสิ้นเดือนเหล่านี้  ถ้าไปทำผิดก็จะถูกเทพเจ้าฟ้าจดลงในสมุดสีดำ  และก็ไถ่โทษได้ยากด้วย  ทั้งพระเจ้าทิศเหนือเมืองผี  พระเจ้าจันทรา  ล้วนก็อยู่ในวันเซ่นสรวง  ในวันสำคัญเหล่านี้คนที่มีชีวิตอยู่ในโลก อาจเป็นลูกหลานจะไปทำพิธีเซ่นสรวงโปรดบรรพชนเพื่อไถ่โทษของพวกเขา ไม่ว่าบรรพชนจะเป็นผีในนรกจะยาวนานแค่ไหน มีโทษบาปอะไรในยมโลก ตลอดจนสุสานฝังอยู่ที่ไหน ลูกหลานมีชื่อว่าอะไรไล่เรียงกันไปถึง 9 ชั่วโคตร  ก็จะเอามาตรวจตรารวบรวมมาเป็นลักษระโทษบาปของลูกหลานในปัจจุบัน  แม้ว่าเวลาจะเนิ่นนานมาแล้วลูกหลานปัจจุบันยังไม่ทำพิธีไถ่โทษให้พวกเขา โทษบาปนั้นก็จะตกถึงลูกหลานในปัจจุบัน เพราะว่าในวันเหล่านี้วิญญาณของบรรพชนจะถูกปล่อยออกมา คนที่เป็นลูกหลานเขาก็ควรที่จะอาศัยพลังพิธีเซ่นสรวงบรรพชน ไถ่โทษบาปในอดีตที่ทำผิดไว้ เพราะฉะนั้น ในวันเหล่านี้เรากลับร้องรำทำเพลง ก็จะมีโทษบาปต่อฟ้าดินบรรพชน เพราะฉะนั้น ในวันเซ่นสรวง ควรทำพิธีเซ่นสรวงบรรพชนแทนการร้องรำทำเพลง

คติพจน์   :  คุณอูอี่ปี่กล่าวว่า "ในวันเซ่นสรวงสิ้นเดือน ชาวโลกควรมาเปรียบเทียบบุญกุศลที่สั่งสมด้วยการย้อนสำรวจด้วยตนเอง บังเกิดวิริยะเจริญบำเพ็ญ"  เพราะฉะนั้น พระอาจารย์มักจะเตือนคนว่า "ตนเองหากไม่ตระเตรียมบุญบารมีให้ดีพอ เมื่อวันที่ 30 สิ้นเดือนมาถึงแล้ว รับรองว่าเธอได้รับความอึกทึกครึกโครม (คือวาระสิ้นชีวิตมือไม้วุ่นวาย)" ยังพูดต่ออีกว่า "พวกเธอทั้งหลาย ลองมาตรวจตราตนเองสักตั้งซิ ดู ๆ ว่าตั้งแต่เด็กจนแก่ จากเกิดถึงตาย ใจของตนกับกามคุณห้า และอายตนะหก  กิเลส  เวรกรรม  วิญญาณ  จะคลุกเคล้าตีรวมเข้าด้วยกัน ลองศึกษาดูว่าจะมีผลสรุปอย่างไร ?  นั่นแหละคือการหันกลับมอดู (อาจเป็นที่พวกเธอได้ย้อนสำรวจตรวจดูหรือไม่ ?  ก็ในขณะนั้นแหละ ลมหายใจหยุดลงแล้ว ดวงตาปิดลงแน่น วิญญาณพเนจร
ของตนเองหลังการตาย ก็ยึดติดกับสิ่งที่ตนเองกระทำในยามปกติ จะเป็นกรรมดี กรรมชั่ว แล้วก็ไปสู่ผลกรรมตามสนอง !  ถ้าเป็นเช่นนั้น ตนเองใช่ไหมที่มาสู่โลกรอบหนึ่งด้วยความว่างเปล่า พูดง่าย ๆ คือ สูญเปล่าไปชีวิตหนึ่ง !!" พระธรรมาจารย์เหลียนฉือในพิธีเตือนผู้เฒ่า ล้วนจะเป็นวันสิ้นเดือนของแต่ละเดือน ปลุกเตือนคนว่า  "ชีวิตคนอนิจจัง เมื่อเทียบกับลมหายใจก็ยังสั้นกว่านัก !  เหมือนเทียนอยู่ในสายลมพริบตาเดียวก็ถูกลมเป่าดับ ! นับอะไรกับร่างกาย ไม่นานนักก็เข้าสู่ความตาย โดยเฉพระหนทางข้างหน้าเวิ้งว้าง ไม่รู้จะไปทางไหน ? ทำไมยังไม่รีบย้อนสำรวจให้เข้าใจ หลักธรรมอนิจจังจะต้องระมัดระวังสะทกสะท้านด้วยตนปลุกเร้าพยายามตน ปล่อยวางบุญสัมพันธ์ทั้งหลาย ใจท่องพุทธเป็นหนึ่ง ! พระอาจารย์เหน็ดเหนื่อยตักเตือนกล่อมเกลาพวกเรา แล้วเรายังจะมามัวเมาร้องรำทำเพลงวันสิ้นเดือนอีกหรือ     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก ชั่วบาป   :  ด่าทอเช้าตรู่วันพระ

อธิบาย   : 
เช้าตรู่แต่ละวันพระก็ให้มีโทสะเสียงดังด่าทอ โดยเฉพาะวันพระวันที่หนึ่งของเดือน (วันพระจีน) ซึ่งถือเป็นวันหลักของเดือน  และสิ่งที่เรากระทำในหนึ่งวัน เราก็จะวางแผนกันในตอนเช้า ในเวลาอย่างนี้ ควรที่จะมีใจใส่และคิด จึงจะสามารถเข้ากับหลักธรรมได้ หากมีอารมณ์ตะดกนด่าทอขึ้น ไฟโทสะก็จะเข้าสุมที่ตับเกิดไออุ่นขึ้น ไอแท้ก็จะกระจายออกไปตามเสียง ดังนั้นคนก็จะอารมณ์ขุ่นมัวหน้ามีดตาลาย ความคิดดี ๆ ก็ละลายหายไป !  กลอนโบราณว่า "ความทุกข์กังวลทั้งปวง ล้วนเกิดจากไม่อดทน เมื่อหันหน้าเข้ากระจกที่ใสคือที่สำคัญ - พุทธพจน์ หาไม่ทะเลาะ  คัมภีร์บัณฑิต  มีค่า  ไม่แย่งชิง  ถนนสายสบาย  ชาวโลกน้อยคนเดิน"  ในพุทธสูตรว่า  "ความโกรธสูญเสียรากฐานแห่งธรรมดี ร่วงสู่เหตุปัจจัยทางชั่วทั้งหลาย ควรรีบ ๆ ละิ้ทิ้ง ต้องไม่ให้มันเจริญเพิ่มพูนขึ้น !" เพราะฉะนั้น การบันดาลโทสะ กระทบร้ายแรงและก็ดึงถ่วงชาวโลก ด้วยเหตุนี้ ยามปกติจะต้องระมัดระวัง นับอะไรกับเช้าวันพระที่หนึ่งเล่า ? 

นิทาน   :  ภรรยานายเฉินอิง นางจ้าวมีนิสัยกร้างแกร่งชอบแย่งชิง แต่ละครั้งพอถึงวันพระทีหนึ่ง สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย คนที่ไปมาหาสู่บ้านนางก็มักได้ยินเสียงด่าทอขัดหูไม่หยุด บังเอิญก็ให้มีนักพรตคนหนึ่งเข้ามาที่บ้านนาง นางจ้าวก็พูดกับนักพรตว่า "เจ้ามาที่นี่ทำไม?" นักพรตว่า "ข้ามาขายยาเม็ดทิพย์โอสถเพียงได้กินยาทิพย์โอสถแล้ว ก็จะมีอายุยืนยาวร้อยปี !"  นางจ้าวได้ยินแล้วก็ดีใจมาก จึงซื้อยาทิพย์โอสสถและกินลงไป จากนั้น นางจ้าวก็เลยกลายเป็นคนใบ้

นิทาน   :  หัวหน้ากองจัดการที่ดินตี้อู่หลุน เพราะว่ามีมารดาชรามากแล้ว ไม่สามารถอยู่กับเขาที่ทำงาน ด้วยเหตุนี้แต่ละครั้ง เมื่อถึงวันพระ เขาก็จะคิดถึงมารดาจนเศร้าสร้อยน้ำตาไหล จึงไหว้เบื้องบนให้ช่วยรักษามาราดาให้มีอายุยืน โอ ! บัณฑิตสมัยโบราณ มักจะมีความรู้สึกเป็นห่วงพ่อแม่ ! ส่วนพวกที่ชอบร้องรำทำเเพลง และบันดาลโทสะด่าทอคน ทีแท้เขามีสาเหตุมาจากอะไร ? แล้วที่เล่ามาก่อนหน้านี้กับการเรื่องราวทำบุญให้บรรพชนซึ่งก็มีความรอบคอบอยู่แล้ว ทำไมจึงไม่ย้อนคิดดูบ้าง ?

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ถ่มถุยหนักเบาทิศเหนือ

อธิบาย   : 
การถ่มถุยน้ำลายสั่งขี้มูกหรือถ่ายหนักเบาที่หันหน้าไปทางทิศเหนือ รู้ไหมว่า  ทางทิศเหนือเป็นที่สถิตของเทพเจ้าดาวเหนือ ขั้วโลกเหนือเป็นที่สถิตแกนหลักแห่งฟ้า คือที่สถิตอนันตญาณของสิบทิศสามภูมิ พระเจ้าทั้งหลายจะอยู่ในตำแหน่งขั่วโลกเหนือทั้งสิ้น เป็นฟ้าชั้นกลางอันเป็นยอดขั้วของดารากรเป็นที่เคารพ ด้วยเหตุนี้แดนสถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ เราจะถ่มถุยหนักเบาให้สกปรกได้หรือ ตามกฏมรายาทแล้ว ลูกชายลูกสะใภ้ก็ยังไม่สามารถถ่มถุยสั่งขี้มูกอยู่ข้าง ๆ ของพ่อปู่แม่ย่าด้วยซ้ำไป นับอะไรกับเทพเจ้าที่สถิตอยู่ทางทิศเหนือ แม้แต่จะหนักเบาก็ยังทำไม่ได้

นิทาน  สมัยอู๋ก๊ก มีคนที่นอนหลับแล้วปวดท้องเบา ลุกขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปนอกบ้าน เปลือยกายหันหน้าแล้วฉี่ไปทางทิศเหนือ ทันใดนั้นท้องฟ้าเต็มไปด้วยธงดำ แลเห็นพระเจ้าจิงอู่ปรากฏภาพให้เห็น เขาตกใจกลัวจนต้องคลานเข้าบ้าน จากนั้นเขาป่วยอยู่บนเตียง เจ็บป่วยไปหลายเดือน ต่อมาไม่นานขอขมาสำนึกผิดแล้ว การเจ็บป่วยจึงหายไป ในพระสูตรอายุวัฒนะว่า :  "ทิศตะวันออกฤดูใบไม้ผลิ  ฤดูร้อนทิศใต้  ฤดูใบไม้ร่วงทิศตะวันตก  และฤดูหนาวทิศเหนือ  เหล่านี้คือบัญชาของจันทร์เจ้า ก็คือทิศทางเคลื่อนย้ายของเจ็ดนักษัตรทิศเหนือ อะไรก็กราบกัน เจ็ดนักษัตร ก็จะตัดทอนอายุขัยที่รวดเร็วมาก เมื่อดูเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าจะทำสกปรกกับทิศไหนก็มีความผิดทั้งนั้น ไม่เฉพาะแต่กับทิศเหนือหรอก ! 

นิทาน   :  นายเฉียนสื้อ ชาวอำเภอฉางสู เมืองเจียงซู  เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ของอำเภอ ในระหว่างปีพระเจ้าเจิ้นเต๋อ ราชวงศ์หมิง คฤหาสถ์ของตระกูลเฉียนถูกไฟไหม้นานสามวันสามคืนจึงดับลง ท่ามกลางไฟไหม้ทั้งสี่ด้านอยู่นั้น ก็มีเพียงบ้านหลังเล็กที่มีห้องเพียงสามห้องไม่ถูกไฟไหม้  บ้านหลังนี้เป็นของลูกคนที่ 4 ตระกูลเฉียน มีแต่ย่ากับลูกสะใภ้ 2 คน อาศัยอยู่ในบ้านนั้น ขณะที่ไฟไหม้ทั้ง 4 ด้าน แม่ย่ากับลูกสะใภ้ถูกไฟล้อมจนไม่มีที่หนี แต่เพราะเขา 2 คนศรัทธาบูชาเทพเจ้าดารากรมาโดยตลอด ก็ได้แต่อ้อนวอนภาวนากราบขอให้เทพเจ้าดารากรช่วยชีวิต ทันใดก็แลเห็นมีเทพเจ้าเจ็ดองค์อาภรณ์สีแดงชาดยืนอยู่ใต้ชายคบ้าน แล้วก็ยกชายแขนเสื้อโปกไปที่ไฟ ไฟก็ดับมอดไป ทั้งแม่ย่าลูกสะใภ้จึงรอดพ้นไม่เป็นอะไร แต่บ้านทั้ง 4 ด้านล้วนถูกไฟไหม้หมดไม่เหลือแม้แต่ไม้สักท่อน ข่าวที่สองแม่ย่าลูกสะใภ้แพร่สะบัดออกไป ทำให้คนท้องที่พากันศรัทธากราบไหว้เทพเจ้าดาวเหนือ คนที่บูชาเทพเจ้าดาวเหนือ มักจะมีอายุยืน โรคภัยไข้เจ็บถูกขจัด ช่วยรักษาชีวิตพ้นเคราะห์ภัย ทั้งประทานโชควาสนามีลูกหลานสืบตระกูล โดยเฉพาะอุทกภัย  อัคคิภัย  โจรขโมย  มารภัยผีสาง  โรคภัยต่าง ๆ  จะไม่เข้ารุกราน  พูดได้ว่ามากมายจนยกตัวอย่างไม่หมด เมื่อเข้าใจเหตุผลเช่นนี้แล้ว ยังจะกล้าทำลามกสกปรกทางทิศเหนืออีกหรือ ?  ป.ล. เทพเจ้าดาวเหนือก็คือ พระเจ้าเฮียงเทียนเซี้ยงตี้ ที่ชาวกรุงเทพฯ กราบไหว้ที่ศาลเจ้าพ่อเสือ อย่าเข้าใจผิดว่าท่านคือเจ้าพ่อเสือ เนื่องจากมีการสร้างรูปเสือไว้หน้าศาล คนจีนก็ไม่สามารถอธิบายว่า พระเจ้าเฮียนเซียงตี่คือใคร จึงกลายเป็นศาลเจ้าพ่อเสือไปเลย พระนามเต็ม ๆ ของท่านคือ ไปย่จี๋เจินอู่เสียงเทียนซั่งตั้ (ปักเก๊กจิงบู้เฮี้ยงเทียนเซี้ยงตี่)   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ร้องเพลงร้องไห้หน้าเตา

อธิบาย   : 
การร้องเพลงหรือร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้าเตา  ในคัมภีร์พระเจ้าหวงตี้กล่าวว่า "ที่เตาไฟไม่ควรร้องเพลงร่ายกลอนร้องไห้  แช่งชัก  ด่าทอ  หรือตะโกนร้อง" การร้องเพลงร้องไห้ ไม่ว่าจะเศร้าสร้อยหรือดีอกดีใจ เป็นการกระทำที่ดูแคลนต่อเทพเจ้าทั้งนั้น จะต้องถูกตัดทอนทรัพย์สินและอายุขัย คนปัจจุบันเวลาอยู่ที่ศาลยุติธรรม ก็ไม่กล้าจะส่งเสียงร้องเอะอะ โวยวาย  หรือพูดจาส่งเดช แต่อยู่ต่อหน้าเทพเจ้ากลับกล้าทำสิ่งไร้มรายาทไม่มีสัมมาคารวะเล่า ? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนควรหลีกเลี่ยงนะ !  การลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิก็คือบุญวาสนากับเคราะห์ภัยเท่านั้นเอง ดังได้พูดมาแล้วในบทที่แล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทที่หก  ชั่วบาป  :  จุดธูปจากเตา

อธิบาย   :  คนมักง่ายบางทีก็เอาธูปไปจุดจากเตา
อ้างจากลัทธิเต๋าสายเทียนซือกล่าวว่า  "ขี่เถ้าใต้เตา เรียกกันว่ามูลมังกร" เพราะฉะนั้นไม่ควรเอาธูปไปจุดจากเตา ในคัมภีร์คำสอนที่พูดถึงข้อห้ามจุดธูป ไม่ใช่แค่เรื่องเดียว อาทิเช่นการใช้กระดาษที่สกปรกเปรอะเปื้อนเป็นเชื้อเพลิงมาจุดไฟเตากระดาษเงินกระดาษทอง เรียกว่าเงินทองเวรกรรม การเผาเงินทองเวรกรรมนี้มีกองสูงเป็นภูเขาที่สูงซัน ที่ขุนเขาตะวันออกแม้แต่ท่านพญายม ฟ้าดินก็ยังไม่ยอมรับเลย !  เช่น การบูชาพระเจ้าไปย่จี๋เจินอู่ ในฤดูร้อนไม่ให้ใช้ผลลี้จือ  ในฤดูหนาวไม่ให้ใช้ผลทับทิม  ถ้ามีการอันเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ใช้ธูปที่ทำจากเนย  นอกจากนี้ธูปไม้จันเรียกว่า ธูปอาบชำระ ดอกไม้เหย่จี่เรียกว่าดอกไม้กาล  ดอกกิมท้งเรียกว่าดอกไม้ผี  ดอกไม้เหล่านี้จำเป็นต้องห้ามใช้ เป็นเพราะไม่สนใจห้ามใช้จึงเป็นการทำผิดหลบหลู่ ทำไมจึงไม่ทำตามคำสอนที่กำหนดไว้  ในคัมภีร์ที่รวบรวมต่าง ๆ ก็กล่าวไว้ เพราะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว จึงจะสามารถเข้าใจเหตุผล เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ จึงสามารถชี้นำเข้าถึงหลักธรรมจริงได้  โดยเฉพาะการถวายธูปหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะต้องอาศัยความหอมของดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา พุทธองค์ตรัสว่า ตถาคตดับขันธ์แล้ว หากยังมีคนนำธูปเทียนดอกไม้มาบูชาไตรรัตน์ ใช้น้ำสะอาดล้างของที่บูชาให้สะอาด และใช้ใจที่เคารพหน้าพระกล่าวสักคำว่ามโนพุทธะ ถ้าคน ๆ นี้ตกสู่ทางสามแพร่งก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย !" ท่านเจินหมิงซูกล่าวว่า "ธูปหอมได้ชื่อว่าพ้นจากสกปรกแล้ว จึงใช้นำมาจุดถวาย" ในบันทึกกันทงกล่าวว่า "ความเหม็นสาบของมนุษย์ มันพวยพุ่งไปข้างบนสูงถึงสี่แสนลี้ ถ้าหากผู้สะอาดบนสวรรค์ไม่มีที่ไม่เบื่อความเหม็นสาบของมนุษย์หรอก ! แต่เพราะได้รับการฝากฝังจากพุทธองค์ พุทธองค์มีโองการให้เทวดาของชั้นฟ้าต่าง ๆ ต้องปกปักดูแลพุทธธรรม พุทธะจึงมีชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ บรรดาเทวดาชั้นฟ้าต่าง ๆ จึงไม่กล้าที่จะไปมาสู่มนุษย์ เพราะฉะนั้น ในพุทธธรรมธูปหอมจึงอยู่ในเรื่องของพุทธเจ้าถือเป็นที่หนึ่ง"  ในอวตังกสูตรกล่าวว่า "ฟ้าชั้นดาวดึงส์ในตำหนักกุศลธรรม มีธูปชนิดหนึ่งเรียกว่า ธูปสะอาดศักดิ์สิทธิ์  ถ้าหากได้จุดธูปขดหนึ่งของธูปสะอาดศํกดิ์สิทธิ์แล้วละก็สามารถอบอวลไปถึงบรรดาชั้นฟ้าต่าง ๆ ทำให้เหล่าเทวดาทุกชั้นฟ้าจะระลึกถึงพุทธะ ก็จะเข้าถึงสมาธิการสวดพุทธะ"  ดังนั้น ถ้าหากใช้ไฟจากเตาไฟมาจุดธูปจะไม่งดเว้นหรอกหรือ ?

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง นายโจวไคซังสามารถสวดอวตังสกะสูตรได้ และก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งสามารถสวดวัชรปรมิตาสูตรได้ ก็ให้บังเอิญคนทั้งสองตายลงกระทันหัน ท่านพญายมก็ขอให้นายโจวไคซันสวดอวตังสกสูตรให้ฟัง ทั้งยังเคารพเขาอย่างยิ่ง แล้วก็ขอให้พระภิกษุสวดวัชรปรามิตาสูตร แต่ใจของพญายมไม่สู้เคารพเขานัก หลังสวดจบแล้ว พญายมก็พูดว่า "เจ้าทั้งสองเพราะการสวดพระสูตรมีบุญกุศล จึงได้ต่ออายุคนละ 24 ปี แต่โจวไคซันต้องเพิ่มการเคารพมากขึ้น และภายภาคหน้าเขาก็ไม่ต้องมายมโลกอีก !" พระภิกษุผู้สวดวัชรปารามิตาสูตร รู้สึกละอายใจ ดังนั้น จึงถามที่อยู่ของโจวไคซันเพื่อไปเยี่ยมเยือน ภายหลังฟื้นคืนชีพแล้วพระภิกษุรูปนี้จึงไปที่เมืองหลู่โจวเพื่อเยี่ยมนายโจวไคซัง เพื่อถามถึงสาเหตุ ?  นายไคซันกล่าวว่า  "แต่ละครั้งที่ฉันจะสวดมนต์ จะต้องสวมเสื้อที่สะอาด ใช้น้ำหอมพรมห้องให้สะอาด แล้วก็ใช้หินกระทบไฟเอาไฟมาจุดธูป หรือไม่ก็ใช้ไม้ปั่นไฟเอาไฟมาจุดธูป เวลากล่าวปณิธาน ให้เคารพใจตนเองก่อน เมื่อเริ่มสวดก็ให้เคารพเหมือนอยู่ต่อหน้าพุทธองค์จริง ๆ ไม่กล้าที่จะยโสดูถูก ! ถ้าหากไม่มีไฟสะอาดก็ไม่กล้าที่จะเอาไฟอื่น ๆ มาจุดธูป" พระภิกษุผู้สวดวัชรปรามิตาสูตรจึงกล่าวขอบคุณเขาว่า อาตมามิบาป !  ทุกครั้งที่อาตมาจะสวดมนต์ มักจุดธูปปจากเตาไฟ แค่จุดไฟอาตมาก็ไม่เคารพอย่างมากแล้ว !"  ควรรู้เป้าหมายของการจุดธูป คือการแสดงความเคารพของใจตน เพราะฉะนั้นต้องมีความสะอาดหมดจดจึงจะจุดธูปได้ ยิ่งเป็นไม้สกปรกในเตาไฟนำมาจุดธูป การเคารพก็กลายเป็นการลบหลู่ไป !  เพราะฉะนั้น ท่านไท่ซั่งจึงสั่งห้ามจุดธูปจากเตาไฟ    

Tags: