collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144194 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  รู้ผิดไม่แก้

อธิบาย  :  รู้ดีว่าตนเองมีความผิด แต่ไม่ยอมสำนึกแก้ไข พระมัญชูศรีโพธิสัตว์กราบถามพระพุทธองค์ว่า  "วัยหนึ่งสร้างวิบากกรรม  พอมาถึงวัยชราค่อยบำเพ็ญธรรม แบบนี้สามารถสำเร็จพุทธะได้ไหม ?."  พระพุทธองค์ตอบว่า  "ทะเลทุกข์ไร้ฝั่ง กลับใจคืนฝั่ง"  ธรรมาจารย์เซินหยวนอู้กล่าวว่า  "มีใครบ้างที่ไม่เคยทำผิด มีความผิดแล้วแก้ไข ก็คือความดีที่ยิ่งใหญ่ ! "  เพราะฉะนั้น สุภาพชนแก้ไขความผิดสู่ความดี อย่างนี้แล้วคุณธรรมของเขานับวันยิ่งใหม่แล้วใหม่อีก ส่วนคนพาลจะปกปิดซ่อนเร้นความผิด เพราะฉะนั้น บาปกรรมที่เขาทำนับวันยิ่งเผยปรากฏ เพราะคนพาลเมื่อทำผิดแล้วจะหาเหตุผลมากมายมาอ้าง เพื่อลบล้างความผผิดของตน เพื่ออธิบายให้สมเหตุผล นี่แหละว่าทำไมท่านไท้ลิ้วจุงพร่ำพูดถึงมูลเหตุ  คุณเหอหลงกูกล่าวว่า "คนที่ทำผิดแบ่งเป็นสามจำพวก  มีวาจาทำผผิด  มีกายทำผิด  และมีใจทำผิด  คนที่เอาความดีแก้ไขความผิด ก็เพียงตนเองสามารถมีญาณฉลาดรู้ตัวแล้วจริงใจไปละทิ้งอุปนิสัยที่ติดยึดต่าง ๆ กับหลักธรรมก็ต้องศึกษาค้นคว้าให้ลึกซึ้งถึงที่สุด อย่างนี้ก็จะสามารถเข้าถึงความตั้งใจจริงได้  ศาสตร์ของปราชญ์  พุทธ  ศักดิ์สิทธิ์ ล้วนมีความลึกล้ำยิ่งใหญ่มาก ไม่อาจบรรยายโดยชัดเจนได้ง่าย อย่างไรก็ตาม วิธีการเรียนขั้นพื้นฐานก็สามารถทะลุถึง  หยู  พุทธ  เต๋า  แห่งสามศาสนาได้ ก็ถือว่าได้แก้ไขแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  รู้ดีไม่ทำ

อธิบาย  :  ทั้ง ๆ ที่เห็นงานกุศลอยู่ตำตา กลับไม่กล้าหาญไปทำ โบราณว่า "สะสมน้อย จึงมีมากได้  สะสมหนึ่ง จึงเป็นล้านได้" เพราะฉะนั้น การทำกุศลสำคัญอยู่ที่ต้องสะสมทุกวัน เพิ่มพูนไปเรื่อย ๆ  เมื่อรู้ว่าเป็นเรื่องกุศลก็ต้องรีบไปทำ ทั้งยังต้องไปทำด้วยความขยันจริงใจ ท่านเหลาจื่อว่า  "หอสูงเก้าชั้น เริ่มต้นจากก้อนดินที่เพิ่มขึ้นจนสูง  ไกลพันลี้ เริ่มต้นจากการก้าวขาทีละก้าวเดินไป"   ถ้าหากคนสามารถแก้ไขความบกพร่องหนึ่งในแต่ละวัน ก็สามารถขจัดโทษกรรมทั้งหมดได้  ถ้าหากสามารถกระทำความดีหนึ่งในแต่ละวัน ก็สามารถเพิ่มพูนถึงขั้นบุญตอบสนองได้ พระเจ้าจื่อซวีกล่าวว่า "ธรรมะเกิดจากความสงบ คุณธรรมเกิดจากความถ่อมตน บุญเกิดจากความสะอาดมัธยัสถ์ ชีวิตเกิดจากความนุ่มนวล ถัยส่วนใหญ่เกิดจากความใคร่อยาก  ความผิดพลาดเกิดจากความดูแล เพราะฉะนั้น ต้องมีศีลห้ามตา ตาไม่ให้ไปดูความผิดพลาดของผู้อื่น ต้องมีศีลห้ามปาก ปากต้องไม่พูดความบกพร่องของผู้อื่น  ต้องมีศีลห้ามใจ ต้องไม่ปล่อยใจคิดโลภโกรธ  ต้องมีศีลห้ามกาย  กายต้องไม่เป็นเพื่อน ติดตามความชั่วร้าย ชีวิตก็เหมือนเทียนต้องลม ซึ่งจะถูกเป่าดับได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ต้องคิดถึงความตาย ตายไปแล้ว วิญญาณจะไปที่ไหน ร่างกายนี้เพียงเป็นที่ฝากในโลกชั่วคราวเท่านั้น อย่างไรเสียต้องไม่ไปสร้างวิบากกรรมท่ามกลางวิบากกรรมนั้นอีก !  ต้องรู้เอาไว้ว่า บุญบาปคงเหลือค้างอยู่ในใจ และก็ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย หากคนยังมีเล่ห์เหลี่ยมแผนการณ์ ถ้างั้น ฟ้าก็ยิ่งมีเล่ห์เหลี่ยมที่จะตอบสนอง" 

        ดังนั้น  ถ้าดูตามนี้ ในวันหนึ่งถ้าคนสามารถฟังคำดี หรือได้เห็นการกระทำดี หรือได้ทำเรื่องดีสักเรื่องหนึ่ง อย่างนี้แล้วเราก็จะไม่ผ่านเวลาไปเสียเปล่าหากมีคนรู้ว่างานกุศลเห็นชัดเจนอยู่ต่อหน้าแต่กลับไม่ไปทำ คนแบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใจของเขาเป็นอย่างไร พูดตรง ๆ ก็คือ ระเบิดเองเพราะทิ้งเอง ยอมตกต่ำเอง ชีวิตเสียไปเปล่า ๆ ยอมมอดไหม้อยู่ในโลกนี้ ซึ่งถือว่าโง่เสียยิ่งกระไร !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  รู้ดีไม่ทำ

                                  คติพจน์

        ธรรมาจารย์เซ้นเทียนหยูหยุย ในสมัยหยวน ตักเตือนชาวโลกว่า "ในคุณธรรมโบราณพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า "เมื่อฉันเห็นผู้ตายไป ใจของฉันก็ถูกร้อนรนเหมือนไฟเผา ฉันไม่ได้ร้อนรนเพราะคนอื่นหรอก แต่มองออกใกล้จะถึงคิวของฉันแล้วนะ ! " เหมือนคำพูดทำนองนี้ คนไหนนะที่ไม่รู้ ?. แต่รู้แล้วก็รู้เท่านั้น ก็ยังไม่ยอมปฏิบัติธรรม จะพูดว่าเธอไม่ยอมปฏิับัติธรรม ก็จะเป็นการกล่าวหาเธอเปล่า ๆ ท่านผู้มีคุณธรรมทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งนั้นเพียงแต่ยังไม่ถึงที่สิ้นสุดแห่งไร่นาร้อย ๆ ไร่ ความผิดพลาดนี้อยู่ที่ตรงไหนเล่า?.  ความผิดพลาดอยู่ที่ยังไม่กล้าหาญรุนแรง  ไม่วิริยะเพียงพอ  ไม่แข็งแรงพอ  และไม่นานพอ เพียงแค่บังเกิดใจยินยอมชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานก็ท้อใจแล้ว เพราะฉะนั้น จึงพูดว่า "พุทธธรรมไม่มีบุตรมาก ยากที่จะได้คนมาอยู่ยาวไกล" ถ้าหากคนที่เรียนธรรม มีความจริงใจเหมือนตอนแรกที่บังเกิดใจละก็ การจะเป็นพุทธะก็เหลือเฟือ ! เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า ไม่เปลี่ยนแปลงจากต้นจรดปลาย จึงเป็นสัตบุรุษแท้จริง !  ปัจจุบันมีสักกี่คนที่ทำได้ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นจรดปลาย ในจำนวน ๑๐ คน ก็มีห้าคู่ล้วนท้อถอยใจธรรมแล้ว เมื่อค้นหาถึงสาเหตุการท้อถอยใจธรรมของพวกเขา ส่วนใหญ่แต่ละคนก็มีการสั่งสมสร้างเสร็จมานานแล้ว !  ที่มีการสั่งสมมาคืออะไร ?. ที่สั่งสมมามีการสั่งสม ๓ อย่าง  อย่างแรก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นสงฆ์หรือคนสามัญ แต่ละคนก็สั่งสมเพื่อปากท้องแต่ละคน  อย่างที่สอง คนที่มีวงศ์ญาติ ก็สั่งสมเพื่อวงศ์ญาติ คนมีครอบครัว ก็ถูกแผนการณ์ครอบครัว ทำให้สั่งสมเป็นอย่างที่สาม  การสั่งสม ๓ ประการนี้  ได้เข่นฆ่าคนในโลกนี้ไปเท่าไร คนทั้งหมดโลกนี้กระมัง ล้วนรับการสั่งสม พูดง่าย ๆ คือ คนในโลกนี้ล้วนเกิดมาเพื่อถูกเคี่ยวกรำด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่ว่าง วุ่นวายทั้งชาติ ทุกข์ไปทั้งชาติ สูญเปล่าผ่านไปทั้งชาติ ! ด้วยเหตุการณ์สั่งสมทั้ง ๓ อย่างนี้ จึงบังเกิดกิเลสโลภโกรธหลง จำนวนนับไม่ได้ เป็นเหตุให้ก่อวิบากกรรมใหญ่น้อยนับจำนวนไม่ได้นี้ จึงมีผลกรรมตอบสนอง จึงตกสู่อบายภูมิสามและทะเลทุกข์ทั้งแปด วนเวียนเกิดตาย ต้องทนรับทุกข์ไม่สิ้นสุด ไม่ได้หลุดพ้นเลย !  ถ้าแม้จะได้รับความทุกข์นับจำนวนไม่หมดเช่นนีก็ตาม ก็ยังไม่รู้สึกตัวตื่นไปตลอดกาล คนที่ไม่รู้สึกตัวตื่นก็เป็นเพราะไม่รู้สึกรู้เป็นเหตุ !  พวกเขาไม่รู้สึกรู้คืออะไร ?. พวกเขาไม่รู้สึกว่า ร่างกายวงศ์ญาติแผนการณ์ครอบครัวเหล่านี้มันไม่ใช่เป็นของเรา !  อย่างเช่น ตอนนี้พูดว่าร่างกายไม่ใช่ของเธอ เธอก็ยังไม่เชื่อ พระป่าก็พูดให้เธอรู้จนหมดเปลือก !  แรกสุดที่เธอจะมาสู่ครรภ์มารดานั้น เป็นเพียงวิญญาณดวงหนึ่ง แล้วจะมีร่างกายนี้ได้อย่างไร?. ร่างกายนี้ก็คือ อสุจิขาวกับไข่แดงของพ่อแม่ที่ผสมกัน กลายเป็นเนื้อก้อนหนึ่ง ที่แรกก็ยังไม่มีความรู้สึก  ไม่รู้จักเจ็บ  ไม่รู้จักคัน  ไม่รู้จักหนาว  ไม่รู้จักร้อน  ไม่รู้จักหิว  ไม่รู้จักอิ่ม  ไม่รู้จักทุกข์  ไมู่้รู้จักสุข  ไม่รู้จักอะไรทั้งนั้น !  รอจนกว่าเธอคลอดจากครรภ์มารดาแล้ว จิตก็เริ่มยึดติดว่านี่คือร่างกายของฉัน เมื่อครู่นี้ที่พูดว่าร่างกายนี้มิใช่สิ่งที่ฉันมีอยู่ นี่แหละหรือ เหตุผลจริงเป็นอย่างนี้ก็ไม่ยอมที่จะเชื่อ ด้วยเหตุนี้ พุทธองค์ทรงเมตตาสงสารความโง่เขลาของเวไนยสัตว์ จึงพร่ำพูดกับเธอว่า "สิ่งนี้มิใช่ร่างกายของเธอนี่คือเลือดอสุจิที่ผสมเป็นถุงหนังเหม็น ไม่อยู่ในความควบคุมของเธอ ไม่อยู่ในอำนาจให้เธอจัดแจงได้  แม้แต่เกิดแก่เจ็บตาย เธอก็ไม่มีส่วนในการจัดการ ทำไมจึงรู้ว่าเป็นเช่นนี้เล่า ?. ก็เหมือนครั้งแรกสุดที่เธอเข้าสู่ครรภ์แล้ว ในครรภ์มารดาเจ็ดวันเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่ง  ระยะต่อไปคือการเจริญเติบโต มีอวัยวะครบ มีกระดูก  มี ๙ ทวาร  ๔ แขนขา  ๖ อายตนะ มีเอ็นหนังเนื้อค่อย ๆ เป็นรูปร่างขึ้น ตลอดจนถึงวาระออกจากครรภ์ล้วนเป็นการขับเคลื่อนจากลมร้อน แรงกรรมผลักดันโดยที่เธอก็ไม่รู้สึกตัว แล้วเธอจะควบคุมจัดการได้อย่างไร !  แม้ภายหลังเกิดมาแล้ว โตถึงอายุ ๓๐ - ๔๐ ปี ผมเริ่มหงอกขาว ฟันโยก หน้าเหลือง ผอมซูบ ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ค่อย ๆ แก่ลง อ่อนแอชรา จะเห็นรูปลักษณ์ได้ชัดต่อไปก็เจ็บป่วย เมื่อเจ็บป่วยมาถึงความตาย ก็ถามหาการเปลี่ยนแปลงที่เสื่อมทรามอย่างนี้ล้วนไม่ตามใจเธอเลย เธอเองก็ไม่ยินยอมให้เป็นอย่างนี้ เป็นเพราะควบคุมมันไม่ได้ ถ้าวิจารณ์เธอตั้งแต่เกิดจนถึงตายกับถุงเนื้อหนังเหม็นอันนี้ ไม่รู้ว่าต้องใช้ความรัก ความซื่อสัตย์ต่อมันไปมากน้อยแค่ไหน รักษามันเลี้ยงดูต่าง ๆ นา ๆ รักใคร่เฝ้าถนอมมันขนาดไหน ต้องหาหมอรักษาจัดแจงมันแค่ไหน แต่ว่ามันกลับลืมบุญคุณ ตัดเยื่อใย อย่างนี้ไม่ทำให้คนน่าเบื่อระอาหรอกหรือ ! 

         จุดที่ทำให้คุณยิ่งน่าเบื่อระอา ถ้าหากมีไอ้หนุ่มแข็งแรงเกิดเป็นโรคปัจจุบันทันด่วนตายลงในหน้าร้อน พอตายไปไม่พอข้ามคืนศพก็เริ่มเหม็นขึ้นมาจะเข้าไปใกล้ก็ไม่ไหว  ต้องรีบ ๆ หาโลงมาใส่ให้เอาศพใส่ปิดฝาโลง พอฟ้าสางก็ยกไปเผาทิ้งแล้ว ถึงแม้เขาจะเป็นญาติสนิทรักใคร่ขนาดไหน ก็ไม่ยอมให้เขาอยู่ต่อไป !  ตัวอย่างเรื่องนี้ เมื่อวานเขายังเป็นหนุ่มที่แข็งแรง มาถึงเช้าวันนี้กลายเป็นกองขี้เถ้าแล้ว !  ไม่รู้ว่าวิญญาณของเขาไปที่ไหน การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอย่างนี้ มันไม่ตามใจเธอใช่ไหม !  ถึงแม้ถ้ามันเป็นร่างกายของเธอ มันควรให้เธอควบคุมมันได้ เมื่อมันไม่ยอมให้เธอควบคุม แล้วมีหรือที่เธอจะยอมฟุ้งซ่านไปยอมรับมันว่าเป็นร่างกายของเธอ !  อย่างนี้ไม่ใช่ถูกมันทำให้เหน็ดเหนื่อย ถูกมันสั่งสมเอา เป็นเหตุให้ใจธรรมท้อถอย แม้แต่วงศ์ญาติก็เหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนมาจากถุงหนังเหม็นอันนี้ ไม่มีอิสรภาพ ควบคุมไม่ได้ เมื่อถึงวาระสุดท้ายมาถึง อะไรก็ทดแทนไม่ได้ !  ขณะยังมีชีวิตอยู่ทั้งฉันและเขาถูกบุญคุณผูกรัด  ที่เรียกว่าวงศ์ญาติ เมื่อตาหลับลงแล้ว ฉันและเขาก็ไม่รู้จักกันแล้ว แล้วจะฟุ้งซ่านยอมรับเขาเป็นวงศ์ญาติหรือถูกมันสั่งสมเอา เป็นเหตุให้ใจธรรมท้อถอย !  แม้แต่แผนการณ์ครอบครัวก็เหมือนกัน ขณะที่ตายังเปิดยังแข็งแรงอยู่ ตรงไหนที่ถือสาตระหนี่เฝ้ารักษา แผนการครอบครัว มัวแต่คิดสะสมไว้ใช้นานเป็นร้อย ๆ ปี ใครจะรู้เมื่อลมหายใจขาดผึงลง สลึงเดียวก็เอาไปไม่ได้ แล้วยังจะฟุ้งซ่านรับมันเป็นแผนการณ์ครอบครัวให้มันเหน็ดเหนื่อย ถูกมันสั่งสม จนทำให้ใจธรรมท้อถอย 

        วันนี้ แม้พวกเธอจะได้ฟังเหตุผลอย่างนี้ ก็ควรย้อนส่องมองให้ทะลุ เมื่อทะลุได้ก็จะตื่นลุรู้  การถูกเจ้า ๓ อย่างสะสมเอา ไม่ไปยึดติดเอา ไม่ไปหลงรักเอา ไม่ไปโลภเอา อยู่สงบในส่วนตน ผ่านชีวิตตามกรรมสัมพันธ์ ต้องที่จะคิดกลับ กับความตายเป็นเรื่องใหญ่ บังเกิดความกล้าหาญรุนแรงไปวิริยะใจธรรมที่เกิดขึ้น ก็มั่นคงและยาวไกล เรื่องที่พูดมาควรศึกษาให้เข้าใจ"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  โยนผิดให้ผู้อื่น

อธิบาย  :  ตนเองมีความผิดไม่ยอมรับ กลับดึงผู้อื่นมารับผิด เพื่อตนเองจะได้รอดพ้นความผิด ความผิดเป็นของตนเอง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็โยนความผิดให้ผู้อื่น ที่พูดกันจนติดปากว่า  ดึงคนอื่นลงน้ำด้วย ความคิดของเขานั้น มิใช่เป็นการอำพรางความผิดของตนเอง หากแต่คิดจะโยนภัยให้ผู้อื่น เพื่อแก้แค้น โดยไม่รู้ว่า ในที่สุดแล้ว ความผิดของตนเองก็ปิดไม่อยู่แล้วไปใส่ร้ายผู้อื่น สุดท้ายก็ใส่ร้ายไม่สำเร็จ กลับกลายเป็นการเพิ่มพูนโทษของตนเอง ถึงแม้จะโชคดีรอดพ้นกฏหมายไปได้ แต่ก็ยากที่จะรอดพ้นตาข่ายฟ้าไปได้ ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ปิดบังวิชา

อธิบาย  :  ตั้งใจปิดบังวิชาการ เช่น การแพทย์  การพยากรณ์  หรือจิตรกรรมต่าง ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้วิชาหรือความรู้ไปเลี้ยงครอบครัว  หรือฉุดช่วยผู้อื่น  วิชาการแพทย์  การพยากรณ์  หรือกลวิธีตำรา  ล้วนเป็นวิชาทั้งนั้น  คนที่มีความสามารถน้อยก็สามารถอาศัยกลวิธีมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ ส่วนคนที่มีความสามารถสูง ก็สามารถใช้มาช่วยเหลือคนได้  หากเราตั้งใจปกปิดหรือปิดบังวิชา ทำให้พวกเขาไม่สามารถนำไปใช้ ก็แสดงว่าจิตใจเราคับแคบ  คนในชาติก็อดอยากตกงานกันมาก ตลอดจนอาจารย์เลวหรือแพทย์ชั่ว  ก็ทำให้การศึกษาตกต่ำ ชีวิตคนตกอยู่ในอันตราย อย่างพวกเล่นแร่แปรธาตุ  กลวิธีเหล่านี้เป็นกลวิธีที่เลว ต้องห้ามปราม  ครอบครัวที่มีการศึกษา ควรมีความเข้มงวดระวังระไว อาจมีนักต้มตุ๋น ควรตัดขาดไม่คบหา

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                     คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ใส่ร้ายอริยปราชญ์

อธิบาย   :  กับปราชญ์อริยเจ้าโบราณ ไม่นับถือกราบไหว้แล้วยังกล้าที่จะใส่ร้ายตามอำเภอใจ มีคนอยู่สองประเภทที่ชอบใส่ร้ายอริยปราชญ์ ประเภทหนึ่งก็คือ ความโง่เขลาของตนเอง ไม่รู้ความยิ่งใหญ่ของอริยเจ้าที่สั่งสอน ซึ่งมีผลกระทบกว้างไกลต่อโลก คนประเภทนี้ก็เหมือนมุดอยู่ในรู แล้วมองฟ้าทางรูปล่อง ก็ยังโทษว่าฟ้าทำไมจึงเล็กนัก  อีกประเภทหนึ่งก็คือ พวกเก่งฉลาดในการวิจารณ์คน ยึดเอาความฉลาดมีความสามารถในวิจารณ์ ชอบตีกลองหลอกชาวบ้านใส่ร้ายภัทรปราชญ์ คนแบบนี้เหมือนจับดวงจันทร์ในน้ำ เหนื่อยเปล่าไม่ได้งาน  แต่อริยปราชญ์มิใช่เพราะเขาตีกลองหลอกชาวบ้านใส่ความ จนได้รับความเสียหายแต่อย่างไร ที่พูดถึงอริยปราชญ์ในที่นี้ หมายถึง หยู  พุทธ  เต๋า  ปราชญ์  ของสามศาสนา  หยูเอาความ "ตรง" มาตั้งศาสนา  พุทธเอาความ "ใหญ่" มาตั้งศาสนา  เต๋าเอาความ "นอบน้อม" มาตั้งศาสนา เราจะเห็นว่าทั้งสามล้วนดี ในทางคุ้มครองชีวิตวิญญาณ เกลียดการฆ่าทำลายเวไนยสัตว์ แสดงออกถึงความกรุณาแบบเดียวกัน  ล้วนขอให้ตนเองกระทำต่อผู้อื่นเหมือนกระทำต่อตนเอง มีความเสมอภาคไม่เห็นแก่ตัว  ห้ามหยุดโกรธแค้น กดข่มความใคร่อยาก  หยุดทำชั่วหรือระวังไม่ให้ทำผิด ทั้งสามศาสนาล้วนให้ตนเองเป็นผู้บำเพ็ญปฏิบัติเหมือนดังสายฟ้าที่ปลุกให้เวไนยสัตว์ตื่นจากหลง เพิ่มพูนปัญญาของเวไนย ทั้งยังสามารถแสดงวัฒนธรรมได้ดีด้วย  พูดย่อ ๆ คือ หลักธรรมในโลกนี้ ก็ไม่พ้นไปจากดีและชั่วสองทาง ทั้งสามศาสน์ล้วนสอนคนให้แก้ไขชั่วไปสู่ความดี !  แต่การบำเพ็ญภายในทั้งสามศาสน์ก็รวมสู่หนึ่งเดียว !  เพราะฉะนั้น ฮ่องเต้ซ่งเลี้ยงจง เคยวิจารณ์งานที่หันหยูเขียนวิจารณ์พุทธธรรม แก้ไขเขียนใหม่ว่า  "เอาพุทธธรรมมารักษาใจ เอาเต๋ามารักษากาย เอาหยูมารักษาหลักธรรมโลก"  ถือว่าฮ่องเต้ซ่งเลี้ยงจงเป็นฮ่งเต้ที่เข้าใจ ใจ  กาย  และโลก  ล้วนมีความสำคัญเสมอกัน  ไม่ให้อย่างใดอย่างหนึ่งขาดการรักษา ถ้าพูดอย่างนี้แล้ว ทั้งสามศาสนาจะยอมให้ศษสนาหนึ่งหมดไปหรือ ล้วนควรให้อยู่พร้อมกันนา ! 

        ปัจจุบัน พวกบัณฑิตหยู ถ้าเอาอริยปราชญ์มาโต้เถียง เพื่อกำหนดเอาพุทธศาสนา หรือเอาพุทธศาสนาแล้วมาข่มเหงอริยปราชญ์ ปัจจุบันพระสงฆ์หรือนักพรต ถ้าเอาพุทธแล้วมาขจัดศาสนาเต๋า หรือเอาศาสนาเต๋าแล้วมาวิจารณ์พุทธ  สรุป  ล้วนเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลที่ยึดติด จึงผิดพลาดแบ่งแยกมหาธรรม ทำไมจึงไม่เข้าใจว่า สามศาสนาไม่มีอะไรที่ไม่เหมือนกัน ที่น่ากลัวคือ ความคิดผิดพลาดในส่วนบุคคล เอาความคิดตนเองมาคาดคะเน เอาใจที่ร้อนรุ่มมาโต้เถียง คนที่มีปัญญาสูงจริง ๆ ก็จะสามารถสงบใจระงับอารมณ์ได้ เอาหลักธรรมหลอมธรรมทะลุก็ได้ สู่ต้นมูล ตรงลึกถึงต้นตอ ก็จะเข้าใจว่าพุทธศาสานาพูดถึงสว่างใจแจ้งจิต  ละหลงสู่รู้  ศาสนาเต๋าพูดถึงใจใสอยากน้อย  สั่งสมบารมี  ศาสนาหยูพูดถึง ใจตรงศรัทธา ก็สามารถรับการสั่งสอนกล่อมเกลาเวไนย ไม่มีที่ขัดแย้งกันเลย สรุปคือ ก็เป็นการดึงคนเข้าสู่ธรรมทั้งนั้น  ยังจะมีรูปลักษณ์อะไรให้ยึดติดอีก น่าจะรู้ว่า ทั้งสามศาสนาล้วนเป็นธรรมแท้ ล้วนทำเพื่อจิตวิญญาณทั้งหลายของชีวิต ผู้มีอารมณ์นานนับพัน ๆ ปี เป็นมาตรฐานของสัจธรรม แล้วทำไมจึงโง่เขลาไปใส่ร้ายอริยปราชญ์ เป็นการสร้างวจีกรรมตกนรกถอนลิ้นเปล่า ๆ แม้แต่คัมภีร์พระสูตรเป็นที่ฝากจิตวิญญาณของอริยปราชญ์ คนที่ทำลายคัมภีร์พระสูตร ก็มีบาปเช่นเดียวกับใส่ร้ายอริยปราชญ์นะ !

 คติ  :  การสวดมนต์ของอริยเจ้า จะให้มีการรบกวนสวดแทรกไม่ได้ ซึ่งเป็นการลบหลู่อริยเจ้า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำร้ายคุณธรรม

อธิบาย  :  พบปะผู้มีธรรม ไม่เคารพเขา ไม่อยู่ใกล้เขา กลับจะทำร้ายเขา ข่มเหงรังแกเขา  ผู้มีคุณธรรม เช่น นักปราชญ์ บัณฑิต  พระสงฆ์  นักพรต  ที่บำเพ็ญด้วยความอดทน วาจาของพวกเขาสามารถให้ชาวโลกเอาอย่างการกระทำของพวกเขา สามารถเป็นแบบอย่างให้กับชาวโลก ผู้มีคุณธรรมเหล่านี้เป็นผู้คนที่โดดเด่นเหนือมวลชน ก็เพราะเป็นปูชนียบุคคล เป็นคุณธรรมของฟ้าดิน เราจะมาเคารพนับถือเขาก็ยังน้อยไป ทำไไมจะยังไปทำร้ายรังแกเขาได้อีก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ยิงนกล่าสัตว์

อธิบาย  :  การยิงไม่ใช่เพียงใช้ธนูยิงเท่านั้น จะเป็นปืน  หน้าไม้  ลูกดอก  แม้แต่หลุมพราง  บ่วงแร้ว ฯ เป็นต้น  ก็ถือว่าเป็นการยิงล่า ทั้งนั้น อาจเป็นเพราะต้องการเงินหรือเพื่ออาหารปากท้อง ก็เป็นการทำให้สัตว์ตายลง ถูกยิงถูกตัดหัว  เหล่านี้ไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดมากเท่าไร  อันที่จริงเราควรมีเมตตาดูแลปกป้องช่วยเหลือพวกมัน คนที่กินเนื้อมันจะยินยอมผูกเวรกับพวกมัน  ที่ต้องชดใช้กรรมจากความแค้น การที่เราต้องการฆ่ามันเพื่อชดเชยเป็นอาหาร หรือเพื่ออาชีพ นี่เป็นการสร้างเวรกรรมที่ไม่รู้จักจบสิ้น เพื่อหาประโยชน์อันจำกัดจำเขี่ยเท่านั้นหรือ

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”