collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144209 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                   คัมภีร์  :  ที่ว่าเป็นคนดี

อธิบาย   :   คือบุคคลที่สามารถนำเอาความดีที่กล่าวมาแต่ต้นทั้งหมด สามารถนำมาปฏิบัติได้  ก็เรียกว่าเป็นคนดี จากนี้เป็นต้นไป... จนถึงเป็นเทพเซียนปรารถนาได้ เป็นการพูดถึงบุญวาสนาที่ตอบสนองคนดี ซึ่งมีประสิทธิภาพมาก ต้องรู้ว่าการได้ชื่อว่าเป็นคนดีที่แท้จริงนั้น เริ่มแรกต้องสามารถแยกแยะเรื่องถูกผิดให้ชัดเจนเสียก่อน อย่าเข้าใจผิด  ต้องมีทั้งปัญญาและความกล้าหาญ สุดท้ายก็ไปถึงจุดที่เป็นสภาวะ  "ลืมทั้งฉันและเขา"   การปฏิบัติต่อโลกด้วยความเมตตาและอภัย ความหมายก็คือ การปฏิบัติตนและปฏิบัติต่อผู้อื่น จะต้องไม่ละเมิดขืนจิตฟ้าและใจคน ถ้าทำได้ก็นับว่าเป็นกษัตรืย์เหยากษัตริย์ซุ่น เจ้าโจวกง และท่านขงจื่อกลับฟื้นคืนชีพ ดังนั้น ที่ว่าเป็นคนดี ก็คือเอาใจฟ้าที่ชอบดีแล้วห่างไกลชั่ว โดยที่ใจคนจะทำดีได้อย่างไร โโยไม่มีความชั่วเล่า เพราะว่าผู้คนมักจะละเลยตนเองที่ฝึกฝนนิสัยไม่ดี เหมือนเป็นโรคจิตติดตัว จนทำให้สูญเสียใจฟ้าที่มีมาแต่เริ่มแรก เพราะฉะนั้น มนุษย์ควรมีความดีและวิริยะก้าวไป มีความชั่วก็ให้แก้ไขสำนึกผิด เช่นนี้แล้ว สภาวะของมีความดีไม่มีชั่วก็ทำได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                 คัมภีร์   :  คนให้ความเคารพ ธรรมแห่งฟ้าคุ้มครอง บุญวาสนาตามมา ชั่วร้ายถอยห่าง เทพศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

อธิบาย   :  ตลอดชีวิตของคนดีที่ทำเรื่องดี ทุกคนพอใจ  เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะเคารพนับถือเขา และเข้ากับหลักธรรมฟ้าเบื้องบน  เพราะฉะนั้น เทพเจ้าบนสวรรค์ต่าง ๆ ก็จะปกปักรักษาคุ้มครองเขา ทำให้เขาได้มีอายุยืน  ร่ำรวย สุขภาพดี เป็นบุญวาสนาตอบแทน เขาไม่ต้องไปแสวงหาก็มีมาเอง ผีร้ายต่าง ๆ ก็ถอยห่างหลบหลีกเขาหมด ไม่กล้าเข้ามารุกราน เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็จะคอยคุ้มครองเขาหมด ไม่กล้าเข้ามารุกราน เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็จะคอยคุ้มครองเขาอย่างลับ ๆ คอยช่วยเหลือเขาตลอดเวลา  "คนให้ความเคารพ"  ความดีมีอยู่ในจิตเดิมของทุกคน เป็นจิตฟ้าคือจิตสำนึกดี จิตนี้เมื่อเคลื่อนไหวหรือมีการกระทบ ก็จะมีการตอบสนอง ถึงแม้จะเป็นผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญา แต่พอได้ยินเรื่องดี ๆ เข้า  พวกเขาก็สรรเสริญยกย่อง ไม่ว่าเธอจะเป็นคนอำมหิตชั่วร้ายยิ่งปานไหน  แต่พอเห็นคนดีเข้าก็ไม่กล้าไปรุกรานเขา ทั้งนี้เพราะจิตสำนึกดีเผยปรากฏ ก็จะบังเกิดแรงระงับไม่มุ่งร้ายเอง ทำไมจึงพูดว่าทุกคนให้ความเคารพคนดี ทั้งนี้เพราะคุณธรรมของเขามีจุดที่ควรเคารพอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครไม่เคารพคนดี

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                   คัมภีร์   :  งานที่ทำก็สำเร็จ  เป็นเทพเซียนปรารถนาได้

อธิบาย   :  ทำให้การงานธุรกิจที่คนดีทำประสบผความสำเร็จแน่นอนและอยู่ได้ยั่งยืน ทั้งยังปรารถนาจะสำเร็จเป็นเทพเจ้า หรือเป็นเซียนก็ได้ มีชื่อจารึกอยู่บนสวรรค์  การงานทุกอย่างในโลกไม่มีหรอกที่ทำไม่สำเร็จ และคนที่ไปทำสำเร็จได้ก็ต้องเป็นคนที่มีความจริงใจทำดี เช่นนี้ทั้งคนและงาน ก็จะเข้ากับใจฟ้าได้ จะมีหรือที่ใจฟ้าจะขัดขวางปณิธานคน จะมีก็แต่คอยช่วยเหลือคนดีอย่างเงียบ ๆ ก็จะไม่มีงานดีที่ทำไม่สำเร็จหรือทำไม่ราบรื่น   

        ท่านไท่ซั่งเหล่าจวิน เป็นบรรพจารย์องค์แรกของศาสนาเต๋า เพราะฉะนั้นจึงบรรยายหลักธรรมของเซียนโดยเฉพาะ ท่านเมิ่งจื่อกล่าวว่า  "มนุษย์ล้วนเป็นเช่นกษัตริย์เหยา - ซุ่นได้"  พระสังฆปรินายกองค์ที่หกแห่งเซ็น  พุทธศาสนามหายาน ท่านฮุ่ยเหนิง (เหว่ยหล่าง)  กล่าวว่า  "แต่ใช้ใจนี้ ตรงจุดสำเร็จพุทธ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามศาสนา  พูดถึงเรื่องราวกับว่าออกมาจากรอยล้อเดียวกัน  อยากเป็นเทพเซียนก็ปรารถนาเอาได้  จะสำเร็จเป็นพุทธก้ได้  แม้แต่จะเป็นกษัตริย์เหยา - ซุ่น ยังเป็นได้ นับประสาอะไรกับชื่อเสียงร่ำรวยอายุยืนชายหญิง ก็เป็นได้แล้วจะมีอะไรอีกที่จะเป็นไม่ได้ เพียงแต่มาดูที่คนแสวงหา มีความจริงใจไปทำหรือไม่เท่านั้น

        พระพุทธองค์สอนสาวกว่า  "พวกเธอภิกขุ ควรจะขยันมุ่งวิริยะก็จะไม่มีเรื่องอะไรยาก ! สมมุติว่าสายน้ำเล็ก ๆ ไหลไม่หยุด ผ่านเวลาอันยาวนานก็จะสามารถผ่านหินที่แข็งได้ หากใจของผู้ปฏิบัติขี้เกียจหยุดนิ่งบ่อย ๆ เหมือนการปั่นไม้เอาไฟยังไม่ทันปั่นจนไม้ร้อนก็หยุดไปพัก คิดอยากได้ไฟใช้คงเป็นไปไม่ได้ ! "

        ในสมัยหมิง ท่านธรรมาจารย์เหลียนฉือ กล่าวว่า  "วิทยาการแต่ละแขนงบนโลกนี้ ตอนเริ่มต้นเรียน แรกดูเหมือนยากมาก เหมือนกับว่าเรียนไม่สามารถสำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้จึงหยุดเสียกลางคัน  ถ้าเช่นนั้นก้จะไม่มีวันสำเร็จได้  เพราะฉะนั้นตอนเริ่มต้นที่สำคัญต้องมีใจแน่วแน่ไม่สงสัย ถึงแม้จะตัดสินใจไม่เคลือบแคลงใจ แต่ถ้าอืดอาดอุ้ยอ้าย ไม่จริงใจเรียนก็ไม่สำเร็จเหมือนกัน ขั้นต่อไปต้องมีความวิริยะอุตส่าห์ ถึงแม้จะมีวิริยะแต่พอมีความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็รู้สึกพออิ่มแล้ว หรือเป็นเพราะเวลาเนิ่นนานเกินไป จนเหนื่อยอ่อน หรือพบกับความราบรื่นเลยหลงฟั่นเฟือน หรือพบกับอุปสรรคจนร่วงหล่น อย่างนี้ก็เรียนไม่สำเร็จ ขั้นต่อไป ที่สำคัญต้องมีความบริสุทธิ์แรงกล้าไม่ถดถอย อย่างนี้จึงเรียกว่าใจของวีรบุรุษที่แท้จริง  คนต้องมีใจแบบนี้ จะมีเรื่องอะไรที่ทำไม่สำเร็จ พวกเราต้องพากเพียรด้วยตนเองนะ !" 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                คัมภีร์  :  อยากเป็นเทพเซียนฟ้า ต้องทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล  อยากเป็นเทพเซียนดิน ต้องทำความดีสามร้อยกุศล

อธิบาย   :   คิดอยากเป็นเทพเซียนบนฟ้า ก็ควรทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล ทำความดีวันละหนึ่งกุศล ก็ใช้เวลาสักสี่ปี ก็สามารถสำเร็จได้ หากคิดจะเป็นเพียงแค่เซียนดิน ก็ให้ทำความดีสามร้อยกุศล  วันหนึ่งทำหนึ่งกุศล เพียงหนึ่งปีก็สำเร็จแล้ว

        คัมภีร์ตอนนี้เป็นบทสรุปจากเริ่มต้นมา พูดถึงวิธีการทำความดี เป็นรากฐานของการสำเร็จเป็นเทพเซียน ตรงพูดจำนวนหนึ่งพันบ้าง  สามร้อยบ้าง  เป็นการกำหนดปริมาณการทำความดี  เพียงต้องจริงใจไปทำดีก็กำหนดแน่ว่าสำเร็จ และก็ไม่คิดท้อถอย ความแตกต่างระหว่างเทพเซียนฟ้ากับดิน ก็อยู่ที่คนทำดีมากน้อย ในศุรางคมสูตรว่า  "เซียนมี  ๑๐ ชนิด 

ชนิดที่หนึ่ง     เซียนเดินดิน
ชนิดที่ ๒       เซียนเดินเหิน   
ชนิดที่ ๓       เซียนท่องเที่ยว
ชนิดที่ ๔       เซียนเหินอากาศ
ชนิดที่ ๕       เซียนเหินฟ้า
ชนิดที่ ๖       เซียนเหินทะลุ
ชนิดที่ ๗       เซียนเหินธรรม
ชนิดที่ ๘       เซียนเหินส่อง
ชนิดที่ ๙       เซียนเหินชำนาญ
ชนิดที่ ๑๐     เซียนเหินเยี่ยม
   
        อายุขัยแม้จะยืนยาวได้ถึงร้อยล้านปีก็ตาม  ก็ยังอยู่ในหกทางไป เพราะฉะนั้นภายหลังสำเร็จเทพเซียนแล้ว ก็ยังต้องไปวิริยะขึ้นอีกก้าวหนึ่ง จึงจะไม่ร่วงหล่น คืนให้เลื่อนพ้นสามภพหกทางไป  สิ้นสุกวัฏฏะ ก็จะเป็นอย่างเช่นวิสุทธิเทพ อย่างเซียนหลี่ตงปิง ในวัชรปรัชญาปรามิตตาสูตรว่า  "ควรไม่มีที่ยึดอยู่แล้วบังเกิดใจนั้น"  ซึ่งก็เป็นการตรัสรู้ ต่อมาก็ได้พบกับธรรมาจารย์เซ็นหวงหลง มายืนยันเขา อริยเจ้าซุนซือเหมา ก็มักจะถามพุทธธรรมกับอาจารย์เต้าชวนหลี่  ในสมัยถังเป็นประจำ ต่อมาก้ไปที่เสฉวน  ได้ฟังธรรมพระสูตรบทอนันต์รัตนเจดีย์จากภิกษุอู่หมิง จึงได้รับการยืนยันสำเร็จเป็นอริยเจ้า ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นการก้าวขึ้นอีกก้าวหนึ่ง เป็นวิสุทธิเทพพ้นสามภพ

                          ~ จบเล่มที่ ๑ ~

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                       คำนำ

        หลังจาก คัมภีร์กรรม เล่ม ๑  ได้แปลเรียบเรียงและพิมพ์เผยแผ่ออกมาเมื่อปลายปีที่แล้ว หลายท่านมีความชื่นชอบมาก เพื่อเป็นการตอกย้ำว่ากรรมนี้มีจริง เป็นกฏธรรมชาติที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ผู้ใดทำกรรมไว้ ผลกรรมนั้นย่อมตอบสนองเสมอไป ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย  คัมภีร์กรรมเล่มนี้ เป็นบทนิพนธ์ของท่านเหลาจื่อพระศาสดาแห่งเต๋า พระธรรมาจารย์จิ้งคง ประเทศไต้หวัน ได้อธิบายความหมายของคัมภีร์แต่ละคำ พร้อมยกนิทานประกอบ เพื่อเป็นประจักษณ์หลักฐานว่า กรรมย่อมตอบสนองเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้  คัมภีร์กรรมของท่านเหลาจื่อ คงจัดพิมพ์เป็น ๔ เล่ม ในเล่ม ๒ เริ่มต้นของบทที่ ๖ ชื่อว่า ชั่วบาป  เฉพาะบทนี้บทเดียวก็ต้องพิมพ์ถึง ๒ เล่มจึงจะจบ ท่านคงได้อ่านเล่ม ๓ ในปีหน้า 

        ท่านที่ได้ร่วมทำบุญบริจาคทรัพย์ ในการทำพิมพ์หนังสือธรรมก็เป็นหนึ่งเหตุแห่งความดี จะเป็นเมล็ดกุศลที่ปลูกลงในเนื้อนาบุญจะเพิ่มทวีคูณเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ท่านก็จะได้เก็บเกี่ยวในอนาคต แม้ท่านกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้วผลกุศลก็ยังมีอานิสงส์ตกถึงลูกหลานสืบไป จงอย่าประมาทรีบสร้างกุศลเมื่อยังมีโอกาส และสร้างด้วยความปิติยินดี อย่าสร้างเพราะความจำใจ ผลบุญจะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

        สุดท้าย  ขออำนาจกุศลที่ท่านได้สร้างไว้แล้ว ปฏิบัติแล้ว จงเป็นพลวปัจจัยให้ท่านได้ลุถึงฝั่งพระนิพพานเทอญ.

                               ด้วยความเคารพ
                             
                                 ธรรมบัญชา

                         ๓๑  กรกฏาคม  ๒๕๔๗                         
                         
                             วันอาสาฬหะบูชา                   

               ไท่ซั่ง  กั่นอิ้งเพียน                               

               พระสูตรสั่งสมบุญวาสนาสลายเคราะห์ภัย                   

                              ธรรมบัญชา                       

                             แปลเรียบเรียง                         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

               คัมภีร์  :  หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง กระทำละเมิดธรรม 

        อธิบาย   :  หากมีคนฝ่าฝืนสัจธรรม แล้วบังเกิดความคิดชั่วแล้วละเมิดหลักธรรมฟ้า ไปกระทำเรื่องชั่วร้ายขึ้น บทชั่วบาปนี้จะยาวมาก เฉพาะบทที่หกนี้ยาวมาก อาจแบ่งเป็นเล่มไม่น้อยกว่าสองเล่ม เริ่มต้นจากข้อความว่า  "หากทำสิ่งไม่ถูกต้องเรื่อยไป ... จนถึงความตายก็มาถึง"  ล้วนเป็นรายละเอียดของการทำชั่วบาป ถือเป็นการกวักภัยเคราะห์มาหาทั้งหมด หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง กระทำละเมิดธรรม ซึ่งจะตรงข้ามกับคำว่า  "เป็นธรรมให้เดินหน้า"  (คำแรกของบทที่ ๔)   โบราณว่า  :  "อารมณ์ของคนเหมือนน้ำ ต้องใช้กฏระเบียบมารยาทและธรรมมาคอยป้องกันเหมือนเขื่อนที่ก่อสร้างไม่แข็งแรง  สุดท้ายก็พังทลายลงได้  น้ำก็จะไหลทะลักจนกลายเป็นอุทกภัย อารมณ์ของคนหากไม่เพิ่มการควบคุม คอยระมัดระวัง ก็จะเสียหาย ทำให้ขัดขืนหลักธรรมจนเกิดความวุ่นวาย โลกทั้งโลกก็จะเกิดมหาจลาจลได้นา !  เพราะฉะนั้น  การขจัดความกังวลอารมณ์อยาก หยุดใจที่บ้าคลั่ง ระงับหยุดทำชั่ว หยุดเดินทางบาป ถ้าจะให้ได้ฉับพลัน จะต้องไม่ลืมกฏระเบียบกติกามารยาท"  ยังกล่าวต่อว่า  ม้าที่พยายามมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่กล้าวิ่งตามอำเภอใจ เพราะว่ามีเชือกร้อยจมูกคอยบังคับมันอยู่ พวกอันธพาลที่เกกมะเหรกไร้เหตุผล แต่ที่มิกล้าปล่อยตามอำเภอใจทำส่งเดชก็เพราะมีกฏหมายมีบทลงโทษที่คอยควบคุมอยู่ และที่พวกเรามีมโนวิญญาณ ไม่กล้าเกิดความคิดตามอำเภอใจไปทำชั่ว ก็เพราะในใจมีบารมีรู้ตัว คอยส่องควบคุม เพราะฉะนั้นภายในใจของคน ๆ หนึ่ง ถ้าหากไม่มีพลังบารมี รู้ตัวคอยส่องควบคุมแล้ว ก็เหมือนม้าที่พุ่งทะยานโดยปราศจากเชือกคอยเหนี่ยวรั้ง ก็เหมือนไม่มีกฏหมายควบคุมอันธพาลทำอย่างไรจึงจะสามารถขจัดความใคร่อยากในใจได้ ก็ต้องรักษาใจไม่ให้เกิดความคิดฟั่นเฟือนซิ"

            คำคม   :  คนในปัจจุบันกล้าที่จะละเมิดสัจธรรม และบังเกิดความคิดชั่ว ขัดขืนหลักธรรมฟ้าไปทำเรื่องเลว ก็เพราะว่าเขาไม่เข้าใจสัจธรรมและหลักธรรมฟ้าได้ชัดเจน ทำไมไม่มาเรียนกับท่านซู้จิ่งซวี บ้างเล่า !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                คัมภีร์  :  ถือชั่วว่าสามารถ

อธิบาย  :  เป็นผู้กระทำความชั่วแล้วถือตนทำชั่วได้ว่า มีความสามารถกว่าแน่กว่า  ว่าคำถือชั่วว่าสามารถ เป็นคำพูดของผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษย์ศาสตร์ว่าจิตของคนเดิมทีนั้นสวยงาม แต่ก็มีคนกลับทำชั่ว แล้วเข้าใจว่าการกระทำนั้นเป็นความสามารถ นี่เท่ากับเขาได้สูญเสียองค์จิตอันดีงามของเขาไปแล้ว โดยเฉพาะการถือชั่วว่าสามารถนี้เป็นมูลเหตุการทำชั่วของคนชั่วนับพัน ๆ ปีมาแล้ว ดังนั้นจึงเรียงอันดับความชั่วไว้ในอันดับต้น ๆ ถึงแม้ว่าคนที่โง่ถึงจุดต่ำสุดก้ไม่ยอมที่จะเป็นคนชั่ว แต่ก็ไม่มีใครที่ไม่คาดหวังในตัวเองกลายเป็นคนที่มีความสามารถ เพียงแต่เข้าใจผิดของคำว่า "สามารถ" นี้ เพราะฉะนั้นยิ่งทำก็ยิ่งเลยเถิด  เริ่มแรกก็พูดว่า  "คนที่สามารถมีประโยชน์ คนที่ไม่สามารถไม่มีประโยชน์ ไปถึงไหนก็ถูกเขาข่มเหงรังแก พอนาน ๆ ไปก็รู้ว่าตนเองทำสิ่งที่ไม่ดีในที่สุดก็ยืดอกว่าเป็นคนชั่วโดยไม่ต้องปกปิด อย่างเช่นพวกผู้มีอิทธิพล มีอำนาจ  มีชื่อว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลาย กลายเป็นชื่อที่โก้หรูไป ตัวอย่างเช่น คนที่โลภ อาศัยโอกาสอิทธิพลและกลโกงไปแย่งชิงเงินทองของผู้อื่นมาได้ ถือเป็นเรื่องความสามารถ แล้วก็พูดอย่างโก้หรูว่า เป็นอุบายชาญฉลาด เช่นคนใจสุนัขจิ้งจอก ใช้แรงบีบบังคับที่โหดเหี้ยม ด้วยการใส่ร้ายคนอื่น ถือเป็นเรื่องสามารถ แล้วก็เรียกอย่างโก้หรูว่ามือโหด ถ้าเป็นคนที่ชอบลวนลามเสพกาม ก็จะใช้วิธีข่มเหงหลอกลวงค้ากาม เที่ยวหลอกล่อลูกเมียคยอื่น แล้วก้เรียกอย่างโก้หรูว่าจอมเจ้าชู้ คนที่ปลิ้นปล้อนอาศัยช่องโหว่หลอกลวง เป็นความสามารถ แล้วก็พูดอย่างโก้หรูว่า พวกคล่องแคล่ว  พวกที่ชอบยุแย่ เอาการสร้างข่าวลือเป็นความสามารถ แล้วก็พูดอย่างโก้หรูว่าเป็นคนปากเก่ง คนจำพวกเหล่านี้ พูดได้ไม่มีหมด ทุกคนแข่งขันชิงความพิศดาร การแข่งขันชิงเด่นกันเช่นนี้ ดูว่าใครจะสูงกวาร้ายกว่า  พวกไม่ซื่อตรงกับสภาพการณ์เหล่านี้ เขาจะไม่รู้สึกสงสัย บางคนได้ยินเรื่องแบบนี้เข้าก็ยังว่าเป็นเรื่องดีเลย  ถ้าบังเอิญเจอะคนที่ไม่ฉลาด ไม่มีอุบาย ไม่เป็นมือโหด  ไม่เจ้าชู้  ไม่คล่องแคล่ว ไม่พูดเก่งก็จะไม่มีใครที่จะไม่หัวเราะว่า เขาเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ เป็นกากเดน ของยุคสมัยไป รอจนกว่าทำเรื่องชั่ว ๆ จนหมดแล้ว  กรรมตามสนองนอนอยู่ในโลงศพแล้วก็วิจารณ์กันว่า สู้อยู่หดหัวชั่วคราว ยอมเป็นของกากเดนในสายตาของผู้อื่น ตนเองแน่วแน่บำเพ็ญภายในใจลึก ๆ ถึงแม้มันจะจืดชืด แต่ก็มีรสชาด และก็มั่นคงมาก ไม่มีวันพ่ายแพ้ หากท่านไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นหลักธรรม อย่างนั้นก็ขอเชิญท่านลองสำรวจคนที่ว่าเป็นคนดีในโลกนี้ดู ไม่มีสักคน ที่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากเบื้องบนไหม หากแต่ทุก ๆคนก็เคารพ และคนชั่วก็ไม่มีสักคนที่เบื้องบนไม่ลงโทษไหม  และทุก ๆ คนก็เกลียดชังด้วย  พุทธองค์ตรัสว่า  "คนชั่วทั้งหมดบนโลกนี้ ตายแล้วตกนรกหมด ในนรกมีผีอยู่ตนหนึ่ง เรียกชื่อว่า ไอ้ข้างหัววัว โหดเหี้ยมชั่วร้ายมาก ไม่มีความเมตตาและไม่อดทนเลย เขาเห็นเวไนยสัตว์ที่ตกนรกได้รับความเจ็บทุกข์ต่างๆ มากมาย เขายังเป็นห่วงว่าเจ็บปวดไม่พอยังโหดร้ายไม่พอ มีผู้ถามยมทูตเหล่านี้ว่า "เวไนยสัตว์ในนรกได้รับความเจ็บปวดไม่มีขีดจำกัดแล้ว คนเขาเห็นอกเห็นใจสงสารจริง ๆ แต่ท่านทำไมยังมีจิตใจโดหเหี้ยมร้ายกาจนัก ไม่มีใจที่สงสารเมตต่เลยหรือ! ยมทูตว่า "เวไนยสัตว์ที่รับทุกข์ในนรกนี้ ล้วนไม่กตัญญูพ่อแม่ ใส่ร้ายไตรรัตน์ ด่าทอญาติพี่น้อง ดูถูกครูอาจารย์ ใส่ร้ายคนดี ฆ่าทำร้ายสรรพสัตว์ ทำกรรมชั่วไว้มากมาย ถ้าหากพวกนักโทษที่มาถึงนรกก็เพื่อมารับการลงโทษ แต่ละคนเมื่อถึงคราวที่จะพ้นจากนรกไปเกิดใหม่ พวกเราถวายชีวิตตักเตือนชักนำเขาว่า ในนรกได้รับความทุกข์ทรมานต่าง ๆนั้น  มันได้รับยากยิ่งจริง ๆ ตอนนี้รับโทษจนหมดแล้ว สามารถพ้นจากนรกได้แล้ว หวังว่าพวกเธอออกไปแล้ว อย่างไรเสียก้อย่าได้ทำชั่วอีกเลย แต่นักโทษเหล่านี้ ก็ยังไม่สำนึกผิดยอมแก้ไข  วันนี้ออกจากนรก ผ่านไปไม่นานก็กลับลงมาอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ ยังไม่รู้จักทุกข์เลย เพราะเหตุนี้แหละฉันกับนักโทษก็ไม่มีใจเมตตาสักนิดเดียว"   เหตุนี้จึงรู้ว่าคนทำชั่วต้องตกนรกแน่ ตอนนี้พวกเรา ที่อยู่ในโลกนี้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ควรขยันมีเมตตา มีกรุณา บำเพ็ญความดีทั้งหลาย เพื่อขจัดกิเลส อุปสรรคสาม  บำเพ็ญอายตนะหกให้บริสุทธิ์  สวดมนต์ถือศีลเจ  พิจาาญาณฝึกธรรม กระโดดพ้นหกช่องหมุนเวียนแห่งทะเลทุกข์  ปล่อยละความโลภโกรธหลง กิเลสพิษทั้งสาม ตลอดจนไม่ฆ่าชีวิต ลักขโมย ละเมิดประเวณี เป็นความชั่วทั้งนั้น ต้องรู้ว่าการทำเรื่องชั่วย่อมได้รับผลชั่วตอบสนอง สิ่งที่พุทธองค์ตรัสเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น เราควรเข้าใจความจริงและเชื่อถือนำไปปฏิบัติ ซิ !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                 คัมภีร์  :  ทนทำชั่วร้ายได้

อธิบาย   :  ใจอดทนที่ไปทำร้ายคนและสัตว์ได้  ประโยคนี้ถ้าพูดจำเพาะชีวิตสัตว์ ฟ้ามีคุณธรรมให้กำเนิด แต่ก็มีคนใจร้ายทนทำชั่วร้ายทำลายชีวิตสัตว์ได้ ต้องรู้ว่าการทำลายชีวิตสัตว์ในบรรดาความชั่ว ถือว่าเป็นบาปหนักที่สุด พฤติกรรมชอบทำร้ายชีวิตสัตว์ตามอำเภอใจเช่นนี้ ถือว่าเป็นคนที่ไม่มีใจเมตตากรุณาเลยสักนิดหนึ่ง มุลรากของความดีทั้งหลายก็อยู่ที่ใจเมตตา และมูลรากของความชั่วทั้งหลายหก็อยู่ที่ทนทำความชั่ว เพราะฉะนั้น ให้ละทิ้งความโหดเหี้ยมแล้วเหลือใจที่กรุณาไว้ ซึ่งก็เป็นบารมีที่เหล่าเทพเซียนพุทธต้องบำเพ็ญทั้งสิ้น !  รักตัวกลัวตาย รักใคร่ญาติสนิทของตนเอง มีความรู้สึกเจ็บปวดแทนคน รักลูกหลาน รู้ไหมว่าสัตว์ก็มีความรู้สึกเดียวกับมนุษย์ แต่เพราะมนุษย์มีปัญญา แต่สัตว์ขาดแคลนปัญญา มนุษย์ชาติพูดคุยกันได้ สัตว์พูดคุยกันไม่ได้ มนุษย์มีพลังแรงมากและสามารถใช้เครื่องทุ่นแรงได้ แต่สัตว์แรงน้อยกว่า เราลองมาดูอาหารบนโต๊ะซิ มื้อหนึ่งอย่างน้อยก็หนึ่งชีวิต  เช่น ปลาตัวหนึ่ง ไก้ตัวหนึ่ง บางคั้งต้องฆ่าถึงสิบชีวิต จึงจะได้อาหารจานอร่อย  ถ้าเป็นพวกหอยหรือกุ้ง ก็ต้องฆ่าถึงร้อยชีวิตทีเดียว ยิ่งคนที่ชอบอาหารปราณีตอร่อย ก็จะหาทางกินอย่างพิศดาร  จับมาย่างอย่งเป็น ๆ ผ่าท้องถลกหนัง  ล้วนเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมที่สุดแล้ว อิ่มไปมื้อหนึ่งก็พอใจมีความสุข ถ้าหากพ่อครัวทำชักช้าไปหน่อยก็จะเกิดอารมณ์ว่าร้ายทางครัว เพราะฉะนั้นควรใจเย็น ๆ แล้วคิดดูสักหน่อยหนึ่ง ว่าเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวสุดเศร้าหรือเปล่า ! 

        ในพระสูตร  "สัตว์ทั้งหลายล้วนกลัวเจ็บที่ถูกมีดฟันแทงทั้งปวง ไม่มีหรอกที่ไม่รักชีวิต ! " นายหวังเจียะ ต้องการฆ่าแพะเพื่อเลี้ยงแขก แพะวิ่งไปที่แขกแล้วคุกเข่าลงร้องขอชีวิต  นายฉูเชินจะฆ่ากวาง กวางคุกเข่าลงน้ำตาไหล นายเซิ่นเน้อยอู้มาสืบคดีที่เจียหนิง ทางครัวต้องการฆ่าแพะแต่ก็หามีดไม่พบภายหลังพบว่ามีดถูกแพะคาบไปซ่อนที่ใต้ผนัง พระเจ้าอโศกมหาราชออกท่องเที่ยว เกิดงีบหลับตอนกลางวัน ฝันเห็นผู้หญิงร้อยกว่าคนมาหาพระองค์  เหมือนกับจะบอกอะไรแก่พระองค์ หลังจากตื่นขึ้นก็แอบไปสำรวจที่โรงครัว จึงเข้าใจดีที่แท้คือหอยมาเข้าฝันพระองค์ขอให้ช่วยชีวิตเหล่านี้ พวกเราก็รู้ว่าสัตว์ก็รักตัวกลัวตายเหมือนกับคนไม่มีผิด ! ถ้าบังเอิญถูกคนมีดบาด น้ำร้อนลวก หรือถูกเข็มแทง ก็จะร้องลั่นให้คนช่วยหรือไปหาแพทย์ บางรายก็ถึงกับเป็นลม คนยังรักชีวิตร่างกายเช่นนี้ แล้วทำไมกับชีวิตสัตว์กลับไม่มีใจสงสารรักเขา ทำลายพวกเขาตามอำเภอใจ ไม่เสียดาย ที่จะผูกเวรกรรมกับพวกเขาโดยก่อกรรมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะฉะนั้น กรรมชั่วนี้ การฆ่าชีวิตเป็นเรื่องที่เจ็บปวดน่าเวทนาที่สุด พุทธองค์และเทพเซียนต่างก็ตักเตือนพวกเราไม่ให้ฆ่าสัตว์จะต้องรู้ว่าผลกรรม ตอบสนองไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย ควรเอาใจเราเปรียบใจเขา  และคิดคำนึงให้ยิ่งยวด เหตุที่พูดละเอียดเช่นนี้คือ เหตุผลที่ห้ามฆ่าสัตว์ขอร้องท่านผู้เมตตาต้องปฏิบัติอย่างแข็งขัน ! 

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”