collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรัชญาเมิ่งจื่อ : ปราชญ์เมิ่งจื่อ : เริ่มเรื่อง  (อ่าน 68457 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                      ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                        ๖ 

                            บทเก้าจื่อ   ตอนท้าย

        ไป๋กุ่ย กล่าวแก่ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ข้าพเจ้าตัน (นามรองของไป๋กุย) จัดการระบบชลประทานได้ดีกว่ากษัตริย์อวี่ครั้งโบราณ"   ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ท่านผิดเสียแล้ว  ครั้งนั้น กษัตริย์อวี่ จัดการชลประทานด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ฝืนกระแสให้น้ำที่ท่วมแผ่นดินไหลลงไปรวมที่จุดบรรจบของสี่ทะเลใหญ่ (มหาสมุทร)  แต่นี่ท่านกลับเอาบ้านเมืองอื่นเป็นจุดรวมน้ำหลาก ถ้าน้ำไหลย้อนกลับ จะท่วมท้นไปทั่วแผ่นดิน  เป็นภัยใหญ่หลวงต่อบ้านเมืองอื่นยิ่งนัก น่าชังอย่างยิ่ง  สำหรับผู้มีกรุณาธรรม ที่ท่านกล่าวอวดตัวมานั้นผิดถนัด"   

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

        "กัลยาณชนผู้บริหารบ้านเมือง หากไม่สว่างใส จะปกครองได้อย่างไร"  (จวินจื่อปู๋เลี่ยง  อู้ฮูจื๋อ)  องค์ประมุขเมืองหลู่ มอบหมายให้เอวี้ยเจิ้งจื่อ ศิษย์ครูปราชญ์ บริหารการปกครองแผ่นดิน
ครูปราชญ์ว่า "ได้ยินข่าวนี้ ยินดีจนนอนไม่หลับ" 
ศิษย์กงซุนโฉ่วว่า "เอวี้ยเจิ้งจื่อ มีความสามารถด้านการปกครองนักหรือ" 
ครูปราชญ์ตอบว่า "มิได้"   ถามว่า "ถ้าเช่นนั้น มีปัญญาเห็นการณ์ไกลหรือ"   ตอบ "มิได้"  เรียนถามอีกว่า "รู้เห็นกว้างไกลหรือ" 
ครูปราชญ์ตอบว่า "ก็ไม่ใช่อีก"  ถามว่า "ถ้าเช่นนั้น  เหตุใดครูปราชญ์ท่านจึงยินดีจนนอนไม่หลับเล่า" 
ครูปราชญ์ว่า "เพราะเขาเป็นคนชอบทำแต่ความดี"ถามว่า "ชอบทำความดีเท่านั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับการบริหารบ้านเมืองกระนั้นหรือ"
ครูปราชญ์ว่า  "ชอบทำความดี มีกรุณาธรรมปกครองทั่วหล้ายังเหลือเฟือ นับอะไรกับเมืองหลู่เท่านี้" 

        นักปกครองหากชอบทำความดี เมธีทั่วหล้าแม้อยู่ห่างพันลี้ ก็ยินดีเดินทางมาเสนอนโยบายดี ๆ ให้  นักบริหารการเมือง หากมิชอบทำความดี เมธีทั่วหล้าจะพูดว่า "เขาเป็นคนอวดดี ไม่ยอมฟังปิยวาจาของใคร"  ซึ่งแม้บอกกล่าวให้ เขาก็จะตอบว่า "เรื่องนี้ข้าฯ รู้มาก่อนแล้ว"  เขาจะใช้วาจาอาการยโสกระหยิ่ม ปฏิเสธเมธีคนดี จนต้องห่างไกลไปพันลี้  เมื่อเมธีคนดีถูกปฏิเสธห่างไกลไปพันลี้ พวกประจบสอพลอก็จะกรูกันเข้ามา  เมื่อพวกประจบสอพลอกับพวกไร้สาระรวมหัวกัน จะบริหารบ้านเมืองให้ดี คงจะเป็นไปไม่ได้     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                        ๖ 

                            บทเก้าจื่อ   ตอนท้าย

        เฉินจื่อ  ศิษย์ครูปราชญ์เรียนถามบ้างว่า   "ทำอย่างไรจะให้กัลยาณชนคนก่อนเก่า (ไว้ตัวรักศักดิ์ศรี ไม่ยินดีในลาภยศ) เข้ารับราชการได้"  ครูปราชญ์ว่า  "จะให้เข้ารับราชการได้มีสามประการ จะละจากไปก็มีสามประการคือ
1.   ทางการรับรองจริงใจ
2.   กิริยาอาการให้เกียรติ  มีมารยาท
3.   กล่าวรับรองว่า  ยินดีรับฟังความคิดเห็น
     เช่นนี้ กัลยาณชนก็จะยินดีเข้ารับราชการ  มารยาทดี แต่ไม่ยอมพิจารณาความคิดเห็น ก็จะต้องละจากไป  อีกขั้นหนึ่งคือ แม้ไม่อาจใช้ข้อเสนอแนะนั้นของกัลยาณชน แต่การรับรองดูแลกิริยามารยาทยังดีอยู่ ก็รับหน้าที่ต่อไปได้ ถ้าไม่ดี จะละจาก  ... ขั้นต่ำลงมาอีกคือ ไม่ได้รับการดูแลอาหารเช้าเย็น สำนักกรมวังก็มิได้จัดสรรให้ ปล่อยให้หิวอยู่กับห้องพักจนหมดแรง  องค์ประมุขรู้เข้าจึงกล่าวว่า "ในเมื่อไม่อาจใช้ข้อเสนอแนะของเขาได้ ไม่อาจฟังความคิดเห็นของเขาได้ ปล่อยให้อดอยากอยู่ในวังอย่างนี้ เราก็น่าละอายใจ"  กรณีนี้ ถ้าองค์ประมุขยังอาทรห่วงใย เอื้อคุณให้ ก็พออยู่ต่อไปได้ แต่ก็เพียงเพื่อประทังชีวิตไว้เท่านั้น"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "อริยกษัตริย์ซุ่น สูงส่งมาจากไร่นา   มุขมนตรีฟู่เอวี้ย เป็นช่างก่อกำแพง ขลุกอยู่กับปูนทรายมาก่อนได้รับการแต่งตั้ง   มนตรี  เมธาชน  คนสำคัญของบ้านเมืองต่าง ๆ ล้วนต้องทนต่อสภาพชีวิตเคี่ยวกรำ เพื่อเตรียมรับงานใหญ่มาก่อนทั้งนั้น อาทิ

เจียวเก๋อ  ถูกค้นพบเชิดชูเมื่อขายปลาขายเกลืออยู่ในตลาด
ก่วนอี๋อู๋    ก็ถูกค้นพบเชิดชูจากลหุโทษ
ซุนสูเอ๋า   นั้นแฝงสันโดษอยู่ชายทะเล
ป๋อหลี่ซี   ขณะค้าขายอยู่ในตลาด

        ฉะนั้น  หากฟ้าเบื้องบนจะมอบภาระแก่ผู้ใด จะต้องเคี่ยวกรำ พลังใจใฝ่ดีของเขา เหนื่อยยากเคี่ยวเข็ญเอ็นกระดูกของเขา หิวกระหายแก่ร่างกายของเขา ซูบผอมแก่เนื้อหนังนั้น  ฐานะทางบ้านให้ยากจน  อลวนกับการงานไม่ราบรื่น..... เหล่านี้คือ เจตนาของฟ้าจะกระตุ้นผลักดันจิตใจ เคี่ยวกรำความอดทน เพิ่มพูนประสบการณ์ที่เขายังรับไม่ได้  คน  ยากจะหลีกพ้นความผิดพลาด จากนั้นจะปรับตัวแก้ไข ใจเคยผจญทุกข์ อุปสรรคบั่นทอน  จากนั้น จึงแกร่งกล้าแข็งขันมุ่งมั่น

เทียนเจี่ยงเจี้ยงต้าเยิ่นอวี๋ซื่อเหยินเอี่ย   ปี้เซียนขู่ฉีซินจื้อ

เหลาฉีจินกู่  เอ้อฉีถี่ฟู  คงฝาฉีเซิน

สิงฝูล่วนฉีสั่วเอว๋ย  สัวอี่ต้งซินเหยิ่นซิ่ง

เฉิงอี้ฉีสั่วปู้เหนิง  เหยินเหิงกั้ว

หยันโฮ่วเหนิงไก่  คุ่นอวี๋ซิน  เหิงอวี๋ลวี่  เอ๋อโฮ่วจั้ว

        ด้วยมหิทธานุภาพยิ่งใหญ่จากฟ้าพระผู้สร้าง ให้ความเป็นปัญญาชน  คนโง่เขลา  เที่ยงธรรมหรือทรามจริต มีริ้วรอยสีหน้าปรากฏ น้ำเสียงก็ให้แยกแยะได้  ฉะนั้น  เมื่อถูกอุปสรรคทดสอบ จึงรู้จิตใจร้ายดีของคน หากในบ้านเมือง ขาดผูรู้ดีต่อกฏระเบียบ อีกทั้งไม่มีเมธีร่วมอุ้มชู  นอกบ้านเมืองไม่มีภัยให้ระแวดระวัง อย่างนี้เรียกว่า อยู่ปลื้มลืมตัว  พอเผชิญศึกก็พ่ายแพ้  ฉะนั้น  คน  จะต้องผ่านการเคี่ยวกรำ  จึงจะรู้ว่าชีวิตได้มาจากการพากเพียร  สุขสบายไร้กังวลคือ หนทางแห่งความหายนะ"  (จือเซิงอวี๋อิวฮ่วน  เอ้อสืออวี๋อันเล่อ)

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

        "อบรมสั่งสอนคน  มีหลายวิธี เช่น  จงใจดูถูก  ไม่อยากสอนเพื่อให้เขารู้สึกกระทบเจ็บ จะได้สำนึกตัว  นี่เป็นการสอนอย่างหนึ่ง"

                             ~ จบบทเก้าจื่อ  ตอนท้าย ~       
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/12/2554, 15:56 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                     บทจิ้นซิน  ตอนต้น

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ผู้ทำดีถึงที่สุดด้วยน้ำใจ จะรู้จิตวิสัยที่ฟ้าเบื้องบนโปรดประทานไว้ให้ในตน เมื่อรู้จิตวิสัยตน (จิตญาณ) อันได้มาจากฟ้าเบื้องบนก็จะรู้ภาวะฟ้าอนุตตรธรรม"  (จิ้นฉีซินเจ่อ  จือฉีซิ่งเอี่ย  จือฉีซิ่ง  เจ๋อจื่อเทียนอี่)  ดำรงรักษาใจใสสว่างดีงามไว้ได้ ปลูกฝังจิตญาณที่ฟ้าโปรดประทานไว้ เรียกว่า เทิดทูนทำตามฟ้า  ชีวิตคนเรา ยาว - สั้น  ไม่พ้นที่จะกังวลห่วงใย ทุกคนพึงสำรวมใจ ประคองรักษาจิตญาณจากฟ้าไว้ให้คงที่ อย่าต้องตกต่ำเสียหาย รอเวลาไป เมื่อไรก็เมื่อนั้น อย่างนี้เรียกว่า "กำหนดชีวิต ปฏิการะฟ้า ถึงที่สุดแห่งความสมบูรณ์ภาระศักดิ์ศิทธิ์

ฉุนฉีซิน  หย่างฉีซิ่ง  สัวอี่ซื่อเทียนอี่

เอี่ยวโซ่วปู๋เอ้อ  ซิวเซินอี่ซื่อจือ  สัวอี่ลี่มิ่งเอี่ย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "เคราะห์ภัยวาสนา คงเป็นชะตาชีวิต จะต้องยอมรับความเที่ยงธรรมนั้น" (ม่อเฟยมิ่งเอี่ย  ซุ่นโซ่วฉีเจิ้ง)  ดังนั้น ผู้รู้ชะตาชีวิต (พิจารณาความถูกต้อง) จะไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่ข้างกำแพงล่อแหลม  คนที่ต้องตายจากการเดินให้ถูกต้องต่อทางธรรมแล้ว จึงจะนับว่าเป็นชะตาชีวิตลิขิตจากฟ้า  แต่หากปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ต้องตายภายใต้ขื่อคาโซ่ตรวน ก็จะไม่ใช่ชะตาชีวิตที่ฟ้ากำหนดมา

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ขวนขวายจะได้มา ละทิ้งจะสิ้นไป"   ขวยขวายให้ได้มาจะเป็นคุณาประโยชน์ เพราะการขวยขวายหาความดีงามถูกต้อง จิตวิสัยของตนเป็นผู้เรียกร้อง   การขวยขวายนั้นเป็นไปโดยทำนองคลองธรรม สิ่งที่ได้มาจึงเป็นวาสนาชะตาชีวิตที่ฟ้ากำหนดให้ แต่หากทำตรงกันข้าม ได้ผลตรงกันข้าม นั่นเป็นเพราะขวยขวายโดยออกหากจากจิตวิสัยดีงาม

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "สรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนพรักพร้อมอยู่แล้วสำหรับเรา หากน้อมตนพิจารณาด้วยศรัทธาจริงใจ ความสุขจะยิ่งใหญ่ไม่ประมาณ  ยิ่งกว่านั้น   ซื่อสัตย์  อภัย  ใจกว้างอย่างยิ่งเรื่อยไป การใฝ่หากรุณาธรรมจะไม่มีที่ใกล้กว่านี้อีกแล้ว"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ทำการใดไม่เข้าใจว่าถูกต้องสมควรตามหลักธรรมหรือไม่ เมื่อกลายเป็นความเคยชินแล้ว ก็จะไม่รู้จักย้อนคิดพิจารณาตน จะเป็นอย่างนี้ตลอดชีวิต  คน  ไม่รู้ความหมายของความเป็นคนนั้น ช่างมากมายเหลือเกิน"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "คน  จะปราศจากความละอายไม่ได้ เรื่องไม่น่าละอาย สำรวมระวังว่ามันน่าละอาย  ดังนี้ ชั่วชีวิตจะไม่มีที่น่าละอาย ให้ต้องละอาย"  (เหยินปู้เข่ออู๋ฉื่อ  อู๋ฉื่อจือฉื่อ  อู๋ฉื่ิออี่) 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ความละอายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคน คนที่ใช้เล่ห์เพทุบายเปลี่ยนไปมา เขาไม่ได้ใช้ความน่าละอายเลย  ไม่รู้ละอายไม่เสมอด้วยคน  จะเสมอด้วยคนได้อย่างไร" 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "องค์ประมุขเมธีก่อนกาล ชื่อชอบคุณความดีจนลืมสถานภาพอำนาจตน  เมธีชนก่อนกาลก้เช่นเดียวกัน  เมธีสุขอยู่กับภาวะธรรม จนลืมสถานภาพอำนาจขององค์ประมุขเสียด้วย  ดังนั้น หากประมุขไม่ให้เกียรติเมธี ไม่ใช้จริยะที่ประมุขพึงมีต่อขุนนางอย่างเต็มที่ ประมุขก็จะไม่อาจไปพบเมธีได้ทุกครั้ง หรือพบ ก็ไม่อาจหลายครั้ง   ดังนี้  มีหรือที่จะใช้วิริยะของข้าราชฯทั่วไปมาใช้กับเมธีได้"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนต้น

        ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวแก่ซ่งจวี้เจี้ยนว่า

        "ท่านชอบที่จะไปเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองต่าง ๆ ไหม ข้าพเจ้าจะบอกวิธีเกลื้อกล่อมให้...  สมมุติทุกคนเข้าใจความหมายที่ท่านพูด ท่านอย่าแสดงอาการกระหยิ่มยินดี  หรือหากทุกคนไม่เข้าใจที่ท่านพูด  ท่านก็อย่าแสดงอาการทุกข์ร้อน จงวางเฉย เป็นตัวของตัวเอง" 
ซ่งจวี้เจี้ยนถามว่า   "อย่างไรจึงจะไม่กระหยิ่มยินดี  ไม่ทุกข์ร้อนและวางเฉย เป็นตัวของตัวเอง"
ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "เพียงแต่เคารพต่อคุณธรรมของตน มีสุขต่อหน้าที่บนฐานของมโนธรรม ก็จะวางเฉยเป็นตัวของตัวเองได้

        ฉะนั้น  คนที่มีคุณธรรม เมื่อลำบากยากจน จะไม่สูญเสียมโนธรรมของชีวิตไป  เมื่อรุ่งเรือง ก็จะไม่สูญเสียมโนธรรมสำนึกของชีวิตไป ดังนี้ จึงอาจรัก
ษาศักดิ์ศรีของตนไว้ได้  ไม่ผิดต่อทางธรรม  ประชาชนก็ไม่ผิดหวังในตัวเรา  คนโบราณ หากถึงคราวรุ่ง ก็จะให้คุณแก่ประชาชน หรือแม้ไม่รุ่ง ก็รู้จักบำเพ็ญตน ให้คุณธรรมปรากฏไว้ในโลก ดังนั้ ถ้ายากจน ก็จงบำเพ็ญกุศลกรรม  ทำดีเฉพาะตนเฟื่องฟู จึงให้คุณความดีแก่ชาวโลกไปด้วย"  (ฉยงเจ๋อตู๋ซั่นฉีเซิน  ต๋าเจ๋อเจียนซั่นเที่ยนเซี่ย) 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "จะรอคอยการอบรมกล่อมเกลาเสียก่อน จึงจะเป็นเช่นอริยกษัตริย์เหวินอ๋วง ฟื้นฟูคุณความดีได้ นั่นคือวิสัยปุถุชน  ส่วนปรีชาชนจะเหมือนเหวินอ๋วงได้เอง

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "คนธรรมดา เกิดร่ำรวยทันที เสมอด้วยสกุลหันกับเอว้ย  (รวยมาก)  แต่เขาดูเฉยเมย มิได้เปรมปลื้ม แสดงว่าเขา เหนือคน"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ปกครองประชาราษฏร์ให้อยู่ดีมีสุข เมื่อใช้งาน แม้เหนี่อยยากยิ่งนัก เขาก็ไม่รู้สึกคับแค้น เพื่อการป้องเมืองคุ้มราษฏร์ แม้ต้องพลีชีพ เขาก็ไม่อาฆาตแค้น"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ประชาราษฏร์ใต้อำนาจอ๋องผู้พิชิต เมื่อได้รับความกรุณาจะดีใจ  ส่วนประชาราษฏร์ที่อยู่กับองค์ประมุขผู้กรุณา จะชินชากับพระคุณ  หากเพื่อป้องเมืองคุ้มราษฏร์ จำต้องคาดโทษให้เขาก็จะไม่โกรธแค้น ทรงพระกรุณาฯ ยิ่งกว่าเดิม  เขาก็มิได้รู้สึกเป็นพิเศษ แม้เขาจะมีจิตใจใฝ่ดียิ่งขึ้นเรื่อยไป เขาก็ไม่รู้เหตุอันเป็นมา  องค์ประมุขผู้กรุณา นำพาคุณธรรมมาให้โดยเขามิได้หมายรู้ จะรู้แต่พึงบูชาองค์ประมุขเสมอด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะพระองค์ประหนึ่งดินฟ้า ซึ่งต่างกับองค์ประมุขผู้ใช้อำนาจ ที่ให้สินน้ำใจเล็กน้อย ชดเชยการปกครองอันไม่เป็นธรรม"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "คำพูดที่แสดงความเมตตากรุณาต่อเขา มิสู้การกระทำที่เข้าถึงจิตใจเขาได้  การปกครองดี มิสู้การอบรมที่ทำให้ประชาราษฏร์เต็มใจเชื่อฟังทำตาม  ระบอบการปกครองดี ประชาราษฏร์จะยำเกรง  การอบรมดี ทำให้ประชาราษฏร์เคารพรัก  ระบอบการปกครองดี จะเรียกเก็บภาษีเงินทองของประชาราษฏร์ได้ง่าย  การอบรมดี จะได้จิตใจสวามิภักดิ์จากชาวประชา"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนต้น

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "สิ่งซึ่งคนทำเองโดยมิเดยเรียนรู้ เรียกว่า "จิตภาพ"  สิ่งซึ่งคนมิคิดพิจารณา ก้เข้าใจในหลักการนั้นได้ เรียกว่า "จิตภาวะ"  ทารกน้อยไม่มีที่ไม่รักพ่อแม่ เติบใหญ่ก็ไม่มีที่ไม่รู้เคารพพี่ชาย  รักสนิทพ่อแม่ ก็คือกรุณาธรรม  เคารพพี่ชาย ก็คือมโนธรรม  ความรักสนิทและเคารพมิใช่อื่นไกล ธาตุธรรมในจิตเดิมแท้ (จิตญาณ) ของชาวโลกนั่นเอง

เหยินจือสั่วปู้เสวียเอ๋อเหนิงเจ่อ  ฉีเหลียงเหนิงเอี่ย
สั่วปู๋ลวี่เอ๋อจือเจ่อ    ฉีเหลียงจือเอี่ย
ชินชิน  เหยินเอี่ย    จิ้งจั่ง  อี้เอี่ย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ครั้งกระนั้น อริยกษัตริยฺซุ่น อยู่กับป่าเขาลำเนาไพร เป็นเพื่อนกับกวางป่า  หมูป่า  แต่น้อยนักที่มีส่วนเหมือนชาวป่า เมื่อได้ยินกุศลวาจา หรือได้เห็นกุศลกรรมอันให้คุณแก่ชาวโลกได้ ความใส่ใจที่จะดำเนินการนั้น จะเหมือนเขื่อนทะลายเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้เลย"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "อย่าฝืนใจทำผิดต่อมโนธรรมสำนึก อย่าโลภอยากกับสิ่งอันไม่ควรได้ เท่านี้ ก็เป็นหลักธรรมในการเป็นคนได้แล้ว"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ผู้มีคุณธรรม อีกทั้งกอปรด้วยปัญญา ศิลปะ ความปรีชาสามารถนั้น มักจะมาจากชีวิตที่ต้องระวังภัย ขุนนางที่ไม่ได้รับโปรดฯ สามัญชนที่ถูกดูแคลน  จะหวั่นเกรงภัยจากผู้คน  จึงรอบคอบระวังตัว  เขาเหล่านั้นจึงมักเป็นผู้กอปรด้วยคุณสมบัติดังกล่าว

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "คนที่คิดแต่จะยกยอปอปั้นองค์ประมุข  จะมุ่งเน้นอาการยิ้มแย้มเออออ ส่วนขุนนางศรีที่คิดถึงความมั่นคงของบ้านเมือง จะเบิกบานอยู่กับความสงบสุขของบ้านเมือง  อีกพวกหนึ่งคือเมธีชนที่ไม่มียศศักดิ์ คิดแต่หลักธรรม จะพิจารณาเที่ยงแท้เสียก่อนว่า ถ้าเข้ารับตำแหน่งสำคัญ เขาจะดำเนินธรรมนำประชาได้อย่างไรหรือไม่ จากนั้น จึงไปกล่อมเกลาชาวโลกให้เที่ยงธรรมร่วมกัน"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "กัลยาณชนมีสามสุข  ซึ่งแม้ได้รับมอบครอบครองแผ่นดิน ก็จะไม่ยึดหมายมั่นไว้ 

        สามสุข  นั้นคือ
1.   พ่อแม่ชราวัย  พี่น้องสามัคคีไม่มีโพยภัย
2.   แหงนหน้ามิต้องได้อายต่อฟ้า ก้มหน้าพิจารณาตน  มิต้องได้อายต่อใคร ๆ
3.   ได้ปรีชาชนคนดีมารับการอบรมอุ้มชู

สามประการนี้มีพร้อมไซร์ แม้ได้รับมอบให้ครอบครองแผ่นดิน  กัลยาณชนก็หายึดหมายในลาภยศนั้นไม่"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "กัลยาณชนก็ปรารถนาแผ่นดินกว้างใหญ่ ประชาราษฏร์มากมายเช่นกัน แต่ก็ยังมิใช่สุขจริง  ก่อตั้งใจกลางบ้านเมืองใต้หล้า ประชาร่มเย็นยั่งยืนได้ แม้จะทำให้กัลยาณชนเกิดปิติสุข แต่ภายในจิตวิสัยของกัลยาณชน ก็มิใช่อิ่มตัวอยู่กับจุดนี้  ปิติสุขนั้น แม้จะเกิดจากการได้ปรกแผ่คุณธรรมไปทั่วหล้า จิตวิสัยจากฟ้าก้หาได้อิ่มตัวจากการนี้ไม่  อีกทั้งก็มิใช่จะลดน้อยลงเมื่ออยู่กับภาวะคับแค้น  ด้วยจิตวิสัยของกัลยาณชนนั้น เป็นภาวะปิติสุขของกรุณามโนธรรม  จริยะ  ปัญญา  ประจุเต็มเป็นพื้นฐานเดิมที  ดังจะเห็นได้จากสีหน้าราศีที่สดใสอิ่มเอิบ  บุคลิกภาพ  อากัปกิริยาที่แม้มองดูจากด้านหลัง ก็ยังสุขุมงามสง่า  มิพึงต้องฟังวาจา ก็รู้ได้ว่า จิตวิสัยนั้นสูงส่งงดงามยิ่งนัก"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนต้น

        ปาชญ์เมิ่งจื่อว่า 

         "ครั้งกระนั้น  ราชบุตรป๋ออี๋ หลีกลี้ทรราชโจ้วอ๋วง ไปแฝงองค์อยู่ที่ชายทะเลเหนือเป่ยไห่  พอได้ยินข่าวว่า เหวินอ๋วงฟื้นฟูปารกปครองโดยธรรม ซาบซึ้งว่า
         " ไฉนเราจึงไม่ไปสวามิภักดิ์ต่อท่าน ได้ยินว่าท่านนั้นอุ้มชูเคารพผู้สูงวัยได้ดียิ่ง" 
       
        สำหรับปู่เจ้าเจียงไท่กง หลีกลี้ทรราชาโจ้วอ๋วงไปแฝงองค์อยู่ที่ชายทะเลตะวันออกตงไห่ พอได้ยินว่า เหวินอ๋วงฟื้นฟูการปกครองโดยธรรม ก็ซาบซึ้งว่า  "ไฉนเราจึงไม่ไปสวามิภักดิ์ต่อท่าน ได้ยินว่า ท่านนั้นอุ้มชูเคารพผู้สูงวัยได้ดียิ่ง"  จะเห็นได้ว่าในโลกนี้ ขอเพียงให้มีองค์ประมุขอุ้มชูเคารพผู้สูงวัยเท่านั้น กัลยาณชนผู้มีธรรมก็จะเห็นองค์ประมุขเป็นผู้ที่ตนพึงเข้าสวามิภักดิ์รับใช้"

        การอุ้มชูเคารพผูสูงวัยคือ ให้ที่อยู่อาศัยในเนื้อที่  "ห้าหมู่"  ให้ได้ปลูกต้นหม่อนรายรอบรั้วบ้าน ให้ผู้หญิงเลี้ยงตัวไหม ผู้สูงวัยจะได้สวมใส่ไหมต่วน
ทุกบ้านเลี้ยงแม่ไก้ไว้ห้าตัว  แม่หมูสองตัว ให้มันเจริญพันธุ์  ผู้สูงวัยก็จะไม่ขาดอาหาร อีกทั้งได้รับไร่นาทำกินอีกหนึ่งร้อยหมู่ สำหรับชายฉกรรจ์แต่ละคน ครอบครัวที่มีสมาชิกแปดคนอยู่ร่วมกัน ก็จะมีกินอุดมสมบูรณ์

         ที่กล่าวว่า  เหวินอ๋วง (ซีป๋อ) อุ้มชูเคารพผู้สูงวัยได้ดีนัก นั้นก็คือ จัดระบบที่อยู่อาศัย  ที่ทำกิน  สอนให้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม  ขุนสัตว์บ้านเป็นงานประกอบ สอนลูกเมียให้รู้กตัญญู  อุ้มชูเคารพผู้สูงวัย  เพราะหากวัยห้าสิบปีขึ้นไป มิได้สวมใส่ไหมต่วนจะไม่อบอุ่น  วัยเจ็ดสิบปีขึ้นไป มิได้กินอาหารไม่เพียงพอ กายไม่อุ่นท้องไม่อิ่ม เรียกว่า หนาวจัดหิวหนัก  เหวินอ๋วงปกครอง ไม่มีผู้สูงวัยที่ต้องหนาวจัด หิวหนัก  ทุกคนจึงต่างชื่นชมพระองค์ว่า อริยราชฯผู้อุ้มชูเคารพผู้สูงวัยได้ดียิ่ง อีกทั้งปกครองโดยธรรม

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "สอนประชาขยันทำนา  ลดภาษี  ช่วยให้พอกินพอใช้  สอนให้กินเป็นมื้อเป็นคราว  ใช้จ่ายตามสมควร เงินทองจะมีใช้ไม่หมด ชีวิตความเป็นอยู่ ไม่อาจขาดน้ำขาดไฟ แต่หากค่ำมืดจะต้องไปเคาะประตูเพื่อนบ้านขอน้ำขอไฟ ซึ่งไม่มีที่จะไม่ให้ เพราะเหตุใด เพราะเขามีพร้อมอยู่  หากอริยบุคคลปกครองแผ่นดิน ก็จะทำให้พืชพันธ์ธัญญาหารมีพร้อม เช่น น้ำ - ไฟ  เมื่อมีพร้อมไว้ ผู้คนจะไม่มีกรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กันหรือ" 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ท่านบรมครูขึ้นสู่ยอดเขาตงซัน นอกเมืองหลู่ มองดูปริมณฑลของเมืองหลู่ช่างเล็กนัก  เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาไท่ซัน (ยิ่งสูงกว่า)  มองดูรอบด้านรู้สึกว่า   ใต้หล้าฟ้านี้ก็เล็กนิดเดียว  ฉะนั้น คนที่คุ้นกับมหาสมุทรใหญ่ ยากจะพูดคุยกับเขาถึงคลื่นในแม่น้ำ  ผู้ศึกษาอยู่กับอริยะ ก็ยากจะพูดคุยกับเขาด้วยเรื่องอักษรศาสตร์  มองหาจาน้ำ ให้ดูระลอกเกลียวจุดบรรจบ  ดูแสงตะวันเดือน รู้เห็นได้จากที่สาดส่องลงบนวัตถุรับแสงได้  สายน้ำ หากยังมิได้เติมเต็มแอ่งคูตามทางผ่าน ก็จะไม่ไหลต่อไป  กัลยาณชน จะมุ่งมั่นศึกษาธรรม หากไม่ค้นคว้าคำสอนของอริยะมากมาย จะเข้าไม่ถึงอริยภาวะ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนต้น

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "คนที่ตื่นเมือไก่ขัน ขยันทำความดี นับเป็นเช่นอริยะกษัตริย์ซุ่น  ไก่ขันก่อนรุ่ง ผู้มุ่งหาผลประโยชน์จะเหมือนเต้าจื๋อ ชาวเมืองฉู่  ใคร่รู้ว่าซุ่ฯ กับ เต้าจื๋อ  ต่างกันอย่างไร พิจารณาที่ผู้หนึ่งสรรสร้างความดี ผู้หนึ่งใฝ่หาประโยชน์ตน"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "หยางจื่อทำทุกอย่างล้วนเพื่อประโยชน์ตน จะไม่ยอมถอนขนแม้เส้นเดียวเพื่อใคร  ปราชญ์ม่อจื่อ  ยึดถือความเสมอภาค รักทั่วไป ไม่แบ่งเขาเรา หากเป็นประโยชน์แก่ชาวโลกได้ แม้ศรีษะจะถูกถูไถจนล้านโกร๋น ส้นเท้าจะเดินจนแตก ก็ยินดีที่จะทำ  ส่วนจื่อม่อเมธีเมืองหลู่ ยึดหมายครึ่งทางระหว่างหยางจื่อ กับ ม่อจื่อ ซึ่งดูอย่างกับทางสายกลาง แต่มิใช่ เพราะเป็นครึ่งทางสายตัวที่มิใช่หลักธรรมทางสายกลาง เท่ากับยึดหมายทิฐิตน เท่ากับเป็นโจรผู้ร้ายในทางสายกลาง"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "คนอดอยาก อาหารอะไรก็อร่อยได้  คนคอแห้งกระหายดื่มอะไรก็ชุ่มคอ (จีเจ่อกันสือ เข่อเจ่อกันอิ่น)  นี่ มิใช่ได้รสชาติ แต่เนื่องจากหิวกระหาย  การถูกคุมคามจากความหิวกระหาย  มิใช่เพียงเกิดแก่กาย ยังเกิดแก่ใจ   คน หากไม่คุกคามใจตนให้หิวกระหาย แม้สภาพฐานะจะต่ำต้อยกว่าใคร ก็หาได้ทุกข์ร้อนไม่"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "เมธีหลิ่วเซี่ยฮุ่ย รักษาศรีสง่า แม้ใครจะเอาตำแหน่งสามมหามนตรี  (ไท่ซือ  ไท่ฟู่  ไท่เป่า)  สวมใส่ให้ ก็ไม่เปลี่ยนใจต่อสุจริตธรรม" (ปู็อี่ซันกงอี้ฉีเจี้ย)

         ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ผู้สร้างสรรค์ เปรียบดุ่งขุดบ่อ ขุดลึกเก้าวายังไม่ถึงตาน้ำ เกิดใจล้าเลิกละ  จะเหมือนทิ้งบ่อไปไม่ขุดต่อ"

        ปราชญืเมิ่งจื่อว่า   "อริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น ปกครองแผ่นดินโดยธรรม เกิดจากจิตวิสัยธาตูแท้แต่เดิมทีที่มีมาจากฟ้า  อริยกษัตริย์ซังทัง กับ อู๋อ๋วง ฝึกฝนบำเพ็ญตนเพื่อปกครองแผ่นดินโดยธรรม   ส่วนเจ้าเมืองห้ามหาอำนาจ สวมหน้ากากปกครองโดยธรรม (ฉีหวนกง  ซ่งเซียงกง  จิ้นเหวินกง  ฉินมู่กงฉู่จวงอ๋วง)   แต่หากสวมหน้ากากได้ยาวนาน ไม่กลับหันหลังเป็นผู้ร้าย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจอมปลอม"   

        ศิษย์กงซุนโฉ่ว  เรียนถามครูปราชญ์ว่า

        "ท่านอิอิ่น เคยกล่าวไว้ "เราทนดูไม่ได้กับคนที่ทำผิดหลักธรรม"  ดังนี้ ท่านจึงย้ายกษัตริย์ไท่เจี่ย ที่เพิ่งได้รับการสถาปนาไปอยู่เสียที่เมืองถงอี้ ครั้งนั้น ประชาราษฏร์ต่างดีใจยิ่งนัก (ที่ย้ายไปเสียได้)  ภายหลัง ไท่เจี่ยได้เก็บตัวศึกษาหลักธรรมแห่งอริยปราชญ์ กลับกลายเป็นเมธีมีคุณธรรม  อิอิ่นกลับไปเชิญไท่เจี่ยมาครองบัลลังก์อย่างเดิม ประชาราษฏร์ต่างก็ดีใจยิ่งนักอีก  ดังนี้ ทำได้หรือไม่ ถ้าขุนนางศรีจะจัดการส่งองค์ประมุขที่ขาดคุณสมบัติไปอยู่เสียที่อื่นบ้าง" (ไปขัดเกลา)

        ครูปราชญ์ว่า    "ถ้าขุนนางศรีผู้นั้น มีจิตใจเที่ยงธรรมดุจเดียวกันกับอีอิ่น ก็เท่ากับโค่นบัลลังก์"

       ศิษย์กงซุนโฉ่วเรียนถามอีกว่า   "ในคัมภีร์ซือจิงจารึกว่า "กัลยาณชน แม้จะอยู่สุขสบายมิได้คราดปลูก แต่ "มิได้กินเปล่าหนอ" ประโยคนี้หมายถึงอย่างไร" 

        ครูปราชญ์ว่า   "สมมุติกัลยาณชนอยู่กับบ้านเมืองนี้ องค์ประมุขมอบหมายเรียกใช้งาน ผู้นั้นก็จะมั่นคงอุดมสมบูรณ์  มีศักดิ์ศรี  ลุกหลานได้รับการอบรมดี ทุกคนมีความกตัญญู รู้รักสามัคคี จงรักภักดี มีสัตยธรรม นี่คือคุณ  ที่กัลยาณชนผู้นั้นให้แก่บ้านเมือง (สร้างอนุชนให้ปราดเปรื่องเฟื่องธรรม)  จึงว่า "มิได้กินเปล่าหนอ"  คุณความดีนี้ ยังจะมีอะไรยิ่งใหญ่กว่าอีกหรือ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนต้น

        ราชบุตรของเจ้าเมืองฉี เรียนถามครูปราชญ์ว่า   "สุภาพชนควรประพฤติตนอย่างไร"

        ครูปราชญ์ว่า    "หลักสำคัญ  จะต้องมีความมุ่งมั่นสูงส่งในตน"   "ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร"   ตอบว่า
"ใจมีกรุณาธรรม ความคิดมีจิตสำนึกเท่านั้น
หากย่ามใจฆ่าคนบริสุทธิ์ไป  นี่คือผิดกรุณาธรรม 
หยิบฉวยสิ่งอันมิใช่ของตน    นี่คือผิดจิตสำนึก
ปกติจะต้องมีใจอย่างไรหรือ  ก็คือมีใจเมตตากรุณา
จะประพฤติอย่างไรหรือ    ก็คือถูกต้องต่อทำนองคลองธรรม   ดังนี้ สิ่งอันพึงประพฤติปฏิบัติของผู้มีคุณธรรมก็ครบถ้วนแล้ว"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ผู้คนชื่นชมเฉินจ้งจื่อ ว่า ถ้าไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว แม้จะยกเมืองฉีทั้งหมดให้ เขาก็ไม่ยอมรับ  ทุกคนเชื่อว่าเป็นความจริง แต่เมื่อได้พิจารณาพฤติกรรมแล้วได้พบว่า ความดีที่เห็นนั้น เล็กน้อยกับการเสียสละน้ำแกงผักกับข้าวหนึ่งกระบอก  ความผิดของคน ไม่มีอะไรยิ่งกว่าไม่รู้ที่ต่ำสูง  ไม่รู้พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่  ประมุขกับข้าราชฯ  ได้เห็นความดีเพียงเล็กน้อยของเขา จะรวมเหมาว่า เลิศเลอทั้งหมดได้อย่างไร" 

        ศิษย์เถาอิง  เรียนถามครูปราชญ์ว่า

        "ซุ่นเป็นกษัตริย์  ส่วนเกาเอี๋ยวเป็นผู้พิพากษา สมมุติว่า กู่โส่ว บิดาของซุ่นฆ่าคน จะตัดสินอย่างไร" 
ครูปราชญ์ว่า   "จับกุมตามกฏหมายก้เท่านั้น"
เถาอิงถามว่า   "ซุ่นจะไม่ยับยั้งหรือ"
ครูปราชญ์ว่า   "ซุ่นจะยับยั้งได้อย่างไร  เกาเอี๋ยวรับอำนาจหน้าที่อยู่"
ศิษย์เถาอิงว่า   "ซุ่นจะทำอย่างไร"
ครูปราชญ์ว่า   "ถ้ามีเหตุดังนี้  ซุ่นจะละทิ้งลาภยศสรรเสริญเหมือนสลัดรองเท้าฟางทิ้งไป  แบกกู่โส่วหลบหนี แฝงกายใช้ชีวิตแถบชายทะเล ดูแลรับใช้บิดา มีความสุขกันตามประสาพ่อลูก โดยลืมลาภยศสรรเสริญเสียสิ้น"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อเดินทางจากอำเภอฟั่นไปยังเมืองฉี  มองเห็นราชบุตรเจ้าเมืองฉีแต่ไกล ถอนใจว่า  "สถานภาพ เปลี่ยนแปลงสีหน้าท่าทีของคนได้ วัตถุเพื่อเสพสุข เปลี่ยนบุคลิกภาพของคนได้  มันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความเป็น "คน"  ของคนนั้นสำคัญทีเดียว"   ราชบุตร  เดิมทีมิใช่เป็นเช่นลูกของคนทั่วไปดอกหรือ บ้านอยู่อาศัย  รถม้าพาหนะ  เสื้อผ้าสวมใส่ ไม่ต่างจากผู้คนทั่วไป แต่บัดนี้สีหน้าท่าทีมีอำนาจน่าเกรงขาม  ก็คือสถานภาพนั่นเองที่เปลี่ยนแปลงเขาจากคนทั่วไป  อีกทั้งที่อยู่ของเขา ยังตั้งอยู่บนเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลของผู้มีสถานภาพสูงยิ่งกว่าใครในโลก  ครั้งหนึ่ง เจ้าเมืองหลู่จะเสด็จเมืองซ่ง เมื่อมาถึงประตุเมืองเตี๋ยเจ๋อ ก็บัญชาเสียงดังให้เปิดประตู  ผู้รักษาการได้ยินกล่าวว่า "นี่มิใช่องค์ประมุขของเรา แต่ทำไมเสียงร้องเรียกจึงเหมือนกัน"  เหตุนี้มิใช่อื่นไกล ก็ด้วยสถานภาพของท่านเป็นใหญ่เช่นเดียวกัน   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”