collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรัชญาเมิ่งจื่อ : ปราชญ์เมิ่งจื่อ : เริ่มเรื่อง  (อ่าน 68361 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                              ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 
 
                                              4

                                     บทหลีโหลว ตอนท้าย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

        "สิ่งที่กัลยาณชนต่างจากใคร ๆ นั้น อยู่ที่รักษาน้ำใจดีงามตลอดเวลา กัลยาณชนจะมีกรุณาธรรม จริยางดงามประจำใจทุกขณะ ผู้มีจิตใจดังนี้ ด้วยกรุณา  ด้วยจริยา  ก็จะรู้รักใคร ๆ ให้เกียรติ  ผู้รู้รักใคร ๆ  ใคร ๆ ยิ่งรู้รักเขาเนานาน รู้ให้เกียรติเคารพ  ใคร ๆ ใคร ๆ ยิ่งให้เกียรติเคารพเขาเนานาน

(จวินจื่ออี่เหยินฉุนซิน   อี่หลี่ฉุนซิน
เหยินเจ่อไอ้เหยิน   ดหย่วหลี่เจ่อจิ้งเหยิน
ไอ้เหยินเจ่อ   เหยินเหิงไอ้จือ
จิ้งเหยินเจ่อ   เหยินเหิงจิ้งจือ)

        สมมุติมีคนหนึ่งอยู่ที่นี่ แสดงความหยาบคายร้ายกาจต่อเรา คนที่เป็นกัลยาณชนจะต้องย้อนมองส่องตนทันทีว่า "เราคงเสียจริยา  ขาดความกรุณาต่อเขาก่อนเป็นแน่ มิฉะนั้นเขาจะประพฤติต่อเราถึงขนาดนี้ได้อย่างไร" 

        เมื่อย้อนมองตนว่า กรุณาธรรมมิได้ขาดพร่อง ต้องย้อนมองอีกว่า จริยาขาดพร่องต่อเขาหรือไม่  เขายังคงหยาบร้ายต่อเรา กัลยาณชนก็จะต้องพิจารณาตนอีกขั้นหนึ่งว่า เราไม่จริงใจต่อเขาหรือ  พิจารณาละเอียด เห็นว่าไม่ขาดพร่องความจริงใจ แต่ไฉนเขาจึงยังหยาบร้ายต่อเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ กัลยาณชนก็ได้แต่สะท้อนใจว่า  เป็นเพราะเราขาดสติ  ขาดสติ  ขาดเหตุผล  จะแตกต่างจากเดรัจฉานอย่างไรได้ เช่นนี้เราจะตำหนิเขาได้หรือ

        ฉะนั้น  ชั่วชีวิตของกัลยาณชนจึงเหนื่อยใจ ระวังตัวกลัวพลาดผิด จึงไม่มีวันเกิดอุบัติเหตุจากการระวังตัว ที่กัลยาณชนเหนื่อยใจกังวลนั้น มีเหตุอันควรหรือ  เมื่อสำนึกว่าอริยกษัตริย์ซุ่น คือคน  เราเองก็คน  แต่พระองค์เป็นแบบอย่างแก่คนทั้งโลกเรื่อยมาจนถึงบัดนี้ได้ แต่ไฉนเราจึงไม่อาจสำแดงแบบอย่างของคุณความดีเยี่ยงพระองค์ได้ เหนื่อยใจกังวลนี้ จึงเป็นกุศลเตือนตน เมื่อล่วงพ้นจนสมบูรณ์ได้ เหนื่อยใจกังวลก็พ้นไป  ดังนั้น  กัลยาณชนจึงปราศจากเภทภัย ไม่ผิดต่อจริยธรรม แต่พลันประสบภัย กัลยาณชนก็จะไม่ทุกข์ร้อน ด้วยรู้แท้ว่า ภัยนั้นมิใช่ตนเป็นต้นเหตุ

        กษัตริย์อวี่กับโฮ่วจี้ในยุคถังอวี๋  ที่โลกสงบสุขจากโจรสงคราม แต่เพื่อการชลประทาน สอนชาวบ้านทำการเกษตร ทุ่มเทกายใจไม่ว่างเว้น จนแม้แปดปีเดินผ่านหน้าบ้านตนสามครั้ง ยังรีบเร่งเลยไป

        บรมครูชื่นชมท่านมาก  เอี๋ยนหุย ศิษย์บรมครู สมัยชุนชิวยุคจลาจล ท่านพักอยู่ในตรอกซอย อาหารคือข้าวหนึ่งกระบอกกับน้ำหนึ่งจอก ทุกคนทุกข์ร้อนกับปวงภัย แต่ปราชญ์เอี๋ยนหุย ท่านสงบสบายอารมณ์ สุขุมตามปกติ   บรมครูก็ชื่นชมศิษย์เอกนี้มาก  ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า  เซี่ยอวี่  โฮ่วจี้เอี๋ยนหุย  รักษาหลักธรรมเดียวกัน   อวี่เห็นว่า ถ้าผู้คนต้องทนทุกข์จมน้ำ ก็คือตัวท่านเองที่ทำให้เจาต้องทนทุกข์จมน้ำ  จี้เห็นว่า ถ้าผู้คนต้องทนทุกข์อดอยาก ก็คือ ตัวท่านเองที่ทำให้เขาต้องทนทุกข์อดอยาก  ความห่วงใยต่อประชาราษฏร์ที่ท่านมี รีบเร่งจริงจังดังนี้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                              ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 
 
                                              4

                                     บทหลีโหลว ตอนท้าย

        อวี่  จี้  หุย  ทั้งสามท่านนี้ หากแม้สับเปลี่ยนหน้าที่สภาพการณ์ต่อกัน หลักการของท่านยังคงจริงจัง ไม่พลิกผันตามภาวะแวดล้อม มีตัวอย่างแตกต่างให้พิจารณา  สมมุติคนในบ้านเกิดต่อสู้แย่งชิง เพื่อจะห้ามปรามเขา เรารีบร้อนผมเป็นกระเซิง ใช้สายคาดหมวกรวบผูกผมอย่างลวก ๆ ออกจากห้องมาห้ามปราม นี่ไม่เป็นไร แต่หากเพื่อนบ้านในตำบลต่อสู้แย่งชิง เราก็รีบร้อนผมเป็นกระเซิงออกจากบ้านไปห้ามปรามเช่นนี้ จะลุกลี้ลุกลนเกินควร ซึ่งถ้าจะปิดประตูไม่รู้เห็น ก็ยังทำได้ 

        ศิษย์กงตูจื่อ  เรียนถามครูปราชญ์ว่า  "ควงจัง ชาวเมืองฉีคนนี้ ทุกคนตราหน้าว่าอกตัญญู ครูท่านกลับไปมาหาสู่ อีกทั้งสุภาพต่อเขา บังอาจเรียนถามว่าเพราะเหตุใด" 
       
        ครูปราชญ์ตอบว่า 

"ชาวโลกกล่าวว่า  อกตัญญูมีห้าสถานคือ  เกียจคร้านไม่ทำงานเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่  อกตัญญูหนึ่ง   
ชอบการพนัน  นั่งเล่นหมากรุกหมดเวลา  กินเหล้าเมายา ไม่ใส่ใจเลี้ยงดูพ่อแม่  อกตัญญูสอง
ใฝ่ใจโลภอยากแต่สิ่งของเงินทอง  ดูแลแต่ลูกเมีย ไม่ใส่ใจเลี้ยงดูพ่อแม่  อกตัญญูสาม
หูตาระเริงกาม  ปล่อยใจไปกับกิเลสตัณหาราคะ  ทำให้พ่อแม่อัปยศอดสู  อกตัญญูสี่
ชอบเป็นนักเลงตีรันฟันแทง  ทำให้พ่อแม่ประหวั่นพรั่นใจ  อกตัญญูห้า

        ควงจัง  คนที่ท่านว่า มีความอกตัญญูใดในห้าสถานนี้หรือ

(ปู๋เซี่ยวเจ่ออู่   ตั้วฉีซื่อจือ   ปู๋กู้ฟู่หมู่จือหย่าง
ป๋ออี้เฮ่าอิ่นจิ่ว   ปู๋กู้ฟู่หมู่จือหย่าง
เฮ่าฮว่อไฉ   ซือซีจื่อ   ปู๋กู้ฟู่หมู่จือหย่าง
จ้งเอ่อมู่จืออวี้   อี่เอว๋ยฟู่หมู่ลู่   ซื่อปู๋เซี่ยวเจ่อ
เฮ่าอย่งโต้วเหิ่น   อี่เอว๋ยฟู่หมู่   อู่ปู๋เซี่ยวเจ่อ)

        ถ้าเช่นนั้น  ควงจัง ก็ถูกปรักปรำว่าอกตัญญู  แท้จริงแล้ว เขาขอให้พ่อกลับตัวเป็นสัมมาชน จึงเกิดหมางใจกัน  ควงจังไม่รู้ว่า การตักเตือนตำหนินั้นทำได้แต่ระหว่างเพื่อน  ส่วนกับพ่อของตน จะตักเตือนตำหนิไม่ได้เลย  จะกินใจกันมาก  เจตนาของควงจัง มีหรือจะไม่โอบอ้อมความเป็นสามีภรรยา พ่อแม่ลูกไว้ แต่เป็นเพราะทำให้พ่อโกรธ ถูกขับไล่  ไม่อาจอยู่รับใช้ใกล้ชิด อีกทั้งยังถูกพรากจากลูกเมียชั่วชีวิต (โบราณ  ลูกชายไป ลูกสะใภ้ต้องอยู่)  ไม่ได้ปรนนิบัติรับใช้จากลูกเมีย ควงจังลงโทษความคิดของตัวเองที่ตักเตือนบิดา แต่หากไม่ตักเตือน เขาคิดว่า โทษบาปของเขาก็จะยิ่งหนักหนา  ควงจังเท่านั้น ที่ยอมเสียทั้งขึ้นทั้งล่องอย่างนี้ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 
 
                                              4

                                     บทหลีโหลว ตอนท้าย

        ครั้งที่ปราชญ์เจิงจื่ออยู่ที่อู่เฉิง  เมืองหลู่  มีชาวเมืองเอว้ยมาปล้นสดมภ์ มีคนมาบอกเจิงจื่อว่า "พวกโจรเข้าปล้นไฉนไม่หลบไป" ก่อนที่ปราชญ์เจิงจื่อจะหลบไป ได้สั่งผู้ดูแลบ้านว่า "อย่าให้ใครเข้าพักในห้องอรรถาปรัชญา เกรงจะทำลายไม้ประดับกับเครื่องเรือน"  เมื่อพวกโจรถอยออกไป เจิงจื่อสั่งคนมาบอกผู้ดูแลบ้านว่า "รีบซ่อมบ้านโดยไวเราใกล้จะกลับมา"  เมื่อพวกโจรถอยตัวไปสิ้น เจิงจื่อกลับมา คนรอบข้างแอบวิจารณ์ว่า "ขุนนางเมืองอู่เฉิงเรานี้ ศรัทธาเคารพท่านปราชญ์ยิ่งนัก ไม่คิดว่าพอพวกโจรเข้ามา ท่านก็หลบไปก่อนใคร อย่างนี้ เกรงว่าชางบ้านจะขัดเคืองใจ พอพวกโจรถอยไป ท่านค่อยกลับมา ทำอย่างนี้เห็นทีไม่เหมาะนัก"

        เสิ่นอิ๋วสิง  ศิษย์ของท่านปราชญเจิ่งจื่อ กล่าวแก่เขาเหล่านั้นว่า "เหตุผลนั้นไม่ใช่พวกท่านจะเข้าใจได้"  แต่ก่อน  ขณะที่ท่านบรมครูพักอยู่ที่บ้านสกุลเสิ่นอิ๋วซื่อ พอดีเกิดเหตุพวกตัดไม้ป่าก่อความวุ่นวายเผาผลาญ ขณะนั้น  ศิษย์ผู้ติดตามบรมครูท่านมีเจ็ดสิบคน บรมครูนำพาทุกคนหลบภัย มิได้ร่วมขบวนการปราบจลาจล  อีกครั้งหนึ่ง ขณะที่ปราชญ์จื่อซือ เป็นขุนนางรับราชการอยู่เมืองเอว้ย มีชาวเมืองฉีมาปล้นสดมภ์ มีคนเตือนปราชญ์จื่อซือว่า
"พวกโจรเข้าปล้น  ไฉนไม่หลบไป"  ปราชญ์จื่อซือตอบว่า  "หากเราหลบไป ใครจะร่วมอยู่รักษาเมืองเอว้ยกับเจ้าเมืองเล่า"  ปราชญ์เมิ่งจื่อวิจารณ์เรื่องนี้ว่า "เจิงจื่อ  จื่อซือ  ล้วนรักษาทำนองคลองธรรม แต่เจิงจื่อทำหน้าที่ครูอาจารย์ของบ้านเมือง  จื่อซือ เป็นข้าราชบริพารเมืองเอว้ย  ข้าราช ฯ มีภาระรับผิดชอบต่อการรักษาบ้านเมืองด้วยชีวิต หากสับเปลี่ยนภาระหน้าที่ระหว่าง เจิงจื่อ กับจื่อซือ  เชื่อว่าการปฏิบัติก็เป็นเช่นเดียวกันนี้" 

        ฉู่จื่อ  ชาวเมืองฉี  กล่าวแก่ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ฉีอ๋วงของเรา เคยส่งคนไปแอบดูท่านบรมครูขงจื่อ ดูซิว่าท่านจะแตกต่างจากคนทั่วไปหรือไม่อย่างไร"  ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อหัวเราะแล้วตอบว่า "ตัวตนเป็นคน  จะแตกต่างกันอย่างไร แม้อริยกษัตริย์เหยากับซุ่น ก็เป็นคนเช่นเดียวกัน" (ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ  ต้องการให้ฉู่จื่อเข้าถึงความแตกต่างของจิตสำนึก จึงตอบดังนี้) 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

        "ชาวเมืองฉีคนหนึ่ง มีภรรยากับอนุภรรยาอยู่ร่วมชายคา สามีจะออกนอกบ้านกินเหล้ายาอาหารเพียบแปล้ เมาแอ๋กลับมาทุกวัน" ภรรยาถามเขาว่าไปดื่มกินกับคนอะไร เขาตอบว่า "ล้วนร่ำรวยสูงศักดิ์"  ภรยาจึงบอกกับอนุภรรยาว่า "สามีเราเมื่อออกไป ก็จะดื่มกินเต็มคราบกลับมา ฉันถามเขาว่า "ดื่มกินกับใคร"  เขาว่า "คนร่ำรวยสูงศักดิ์" แต่ฉันไม่เคยเห็นคนร่ำรวยสูงศักดิ์มาเยี่ยมบ้านเราสักคน ฉันจะแอบตามไปดูซิว่าเขาไปที่ใด"

        วันรุ่งขึ้น  ภรรยาตื่นแต่เช้าแอบตามหลังสามีไป ตลอดทางทั้งเมือง ไม่เห็นมีใครทักทายเสวนากับสามีสักคน สุดท้าย  ตามไปจนถึงสุสานสถานนอกเมือง ที่นั่นกำลังมีคนเซ่นไหว้สุสาน  ภรรยาเห็นสามีร้องขอเหล้ายาอาหารที่เหลือจากการเซ่นไหว้ยังกินไม่พอก็ชะเง้อขวาซ้ายไปขอเขากินอีก นี่คือการหาเหล้ายาอาหารทุกวันของเขา  ภรรยากลับบ้านบอกเล่าให้อนุภรรยาฟัง  อนุภรรยาพูดอย่างช้ำใจว่า "สามีคือคนที่เราฝากชีวิตไว้  ไฉนจึงเป็นเช่นนี้"  ภรรยากับอนุภรรยาร้องไห้ตัดพ้ออยู่ด้วยกันกลางห้อง สามียังไม่รู้ความ ทำกระหยิ่มยิ้มย่องเข้าบ้านมา อีกทั้งทำเชิดหน้าท่าเขื่อง  ในสายตาของกัลยาณชน คนที่วอนขอความสงสาร วอนขอเขาให้ทาน และยังใฝ่ใจคนร่ำรวยสูงศักดิ์เช่นนี้ จะมีหรือไม่ที่เมื่อภรรยาของเขารู้เห็นความเป็นจริงแล้ว จะไม่ฟูมฟายอัปยศอดสูใจยิ่งนัก

                         ~ จบบทหลีโหลว  ตอนท้าย ~   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :  ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                             ๕

                                   บทวั่นจัง  ตอนต้น

        ศิษย์วั่นจัง ชาวเมืองฉี  เรียนถามครูปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ก่อนกาล  อริยกษัตริย์ซุ่น คราดไถอยู่ในนา พลันแหงนหน้ากู่ก้อง ร้องไห้โฮต่อฟ้า อะไรทำให้พระองค์โทมนัสขนาดนั้น   ครูปราชญ์ตอบว่า  "ด้วยรักเทิดทูนบิดามารดา แต่มิอาจใกล้ชิด มิได้รับถนอมรัก เกิดความคับแค้นใจในชีวิต จึงได้ระบายต่อฟ้า" ศิษย์วั่นจังว่า  "ถ้าบิดามารดาถนอมรัก  ก็จะดีใจไม่อาจลืมเลือน แต่หากบิดามารดาเกลียดชัง แม้แต่ทุกข์ยากลำบากเพราะท่าน ก็จะแค้นเคืองมิได้ หรือว่าพระองค์จะแค้นเคืองกระนั้นหรือ"  ครูปราชญ์ว่า  "ครั้งนั้น ฉังสี  ถาม กงหมิงเกา ครูปราชญ์ของเขา ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านปราชญ์เจิงจื่อว่า ซุ่นลงไปทำนาเป็นเรื่องที่ครูท่านเคยชี้แจงให้ฟัง  แต่ส่วนที่พระองค์ร้องไห้โฮต่อฟ้า เรื่องนี้ศิษย์ยังไม่เข้าใจเลย"  กงหมิงเกาสรุปว่า "นี่ไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์จะเข้าใจได้"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "กงหมิงเกาคงจะคาดเดาความรู้สึกของซุ่น จากความเป็นลูกกตัญญูของตน อันที่จริงควรจะไม่ใช่ว่า ไม่ได้รับถนอมรักจากบิดามารดา แล้วแสดงออกดังกล่าว แต่ควรจะสุขุมไม่กลัดกลุ้ม  หากเป็นครูเองก็จะหาทางออกด้วยการคาดไถเต็มกำลัง ทำหนาที่ของลูกให้ถึงที่สุดเท่านั้น
บิดามารดาไม่ถนอมรัก แต่ซุ่นมีอะไรที่ผิดต่อบิดามารดาหรือ ก็ไม่ 

        ภายหลังอริยกษัตริย์เหยารู้คุณธรรมของซุ่น จึงส่งราชบุตรทั้งเก้า พระธิดาทั้งสอง ขุนนางนับร้อย  วัว แพะ ข้าวเปลือก  เต็มยุ้งฉาง ไปปฏิการะซุ่นที่อยู่กลางนา ผู้คนมากมายได้ยินกิติศัพท์ ก็พากันมานอบน้อม  อริยกษัตริย์เหยา ยังเตรียมการจะยกแผ่นดินของบ้านเมืองทั้งหมดให้แก่ซุ่น  แต่เนื่องจากซุ่นไม่อาจเป็นที่ปิติยินดีของบิดามารดาได้ จึงยังคงเศร้าเสียใจเหมือนคนยากจน ไร้บ้านอาศัย

        การเป็นคนที่คนทั่วหน้าพากันชื่นชม เป็นสิ่งอันพึงปรารถนายิ่งของทุกคน แต่ยังมิอาจคลายทุกข์เศร้าในใจของซุ่นได้ หญิงงามเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ต่างยินดี ได้พระธิดาทั้งสองของอริยกษัตริย์มาครอง ก็ยังมิอาจคลายทุกข์เศร้า  ความร่ำรวยมั่งคั่ง เป็นสิ่งอันพึงปรารถนายิ่งของใคร ๆ บัดนี้  ซุ่นได้รับสถาปนาเป็นกษัตริย์อันสูงส่ง  ความทุกข์เศร้าจากความเป็นลูกกตัญญูยังคงมีอยู่  ความชื่นชม  พระธิดา  สถานภาพ  ความร่ำรวยสูงศักดิ์ ไม่อาจจะช่วยได้  มีแต่การทำให้บิดามารดาเกิดความพอใจเท่านั้น ที่จะคลายทุกข์เศร้าได้

        คนเรามักจะคิดถึงพ่อแม่ขณะเยาว์วัย เติบใหญ่ก็จะพอใจอิสตรี จะคิดคำนึงถึงหญิงงาม  เมื่อได้ภรรยา  ใจก็ฝักใฝ่ในภรรยา เมื่อเป็นขุนนาง ก็คิดถึงองค์ประมุข  แต่หากไม่เป็นที่พอพระทัย ใจก็จะรุ่มร้อนดังไฟลน  มีแต่ลูกกตัญญูเป็นที่ยิ่งเท่านั้น ที่จะดำรงความคิดถึงแต่ดั้งเดิมไว้ไม่เปลี่ยนไปจากพ่อแม่ตราบชั่วชีวิต อายุห้าสิบปีแล้วยังคงคิดถึงพ่อแม่ทุกขณะเวลา เราได้เห็นแล้วจากอริยกษัตริย์ซุ่น"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :  ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                             ๕

                                   บทวั่นจัง  ตอนต้น

        ศิษย์วั่นจังเรียนถามครูปราชญ์อีกว่า ในคัมภีร์ซือจิงจารึกไว้  "ตกแต่งภรรยาจะต้องทำอย่างไร จะต้องเรียนให้บิดามารดาทราบ"  เรียนถามครูปราชญ์ว่า "จะต้องปฏิบัติดังนี้แน่หรือ ถ้าเช่นนั้น ในเมื่อผู้รักษาจริยธรรมไม่มีใครเกินซุ่นแล้ว แต่ซุ่นตกแต่งภรรยา กลับไม่เรียนให้บิดามารดาทราบ เพราะ
เหตุใด"  ครูปราชญ์ชี้แจงว่า "บิดามารดาของซุ่น โง่ดื้อถือทิฐิมาก  หากบอกก็จะไม่ได้แต่ง เท่ากับทำลายคุณสัมพันธ์ของชีวิต ยิ่งจะทำให้บิดามารดา
กล่าวโทษโกรธว่าขาดทายาท ฉะนั้น ซุ่นจึงไม่บอก"  ศิษย์วั่นจังว่า "เหตุนี้เคยได้ยินครูชี้แจงแล้ว แต่ในส่วนของกษัตริย์เหยา จะแต่งพระธิดาให้แก่ซุ่น
ไม่บอกพ่อแม่ของซุ่นนั้นด้วยเหตุใด"  ครูปราชญ์ว่า  "กษัตริย์เหยาก็รู้ความเป็นจริงว่า ถ้าบอกจะไม่ได้แต่ง"  ศิษย์วั่นจังว่า "ก่อนหน้านั้น บิดามารดาเรียก
ให้ซุ่นไปซ่อมยุ้งข้าว พอซุ่นขึ้นสูงถึงหลังคาก็ชักบันไดออก กู่โส่วผู้เป็นบิดาจุดไฟเผายุ้งข้าว จะให้ซุ่นตายทั้งเป็น เคราะห์ดีที่ซุ่นใช้หมวกปีกกว้างเป็นร่ม
ชูชีพร่อนตัวลงมา ต่อมา ใช้ซุ่นลงไปขุดดินก้นบ่อน้ำ ซุ่นรู้ทันแอบขุดทางหนี ข้างบนถมดินลงมามิดบ่อ นึกว่าซุ่นตายแน่ แต่แท้จริงรอดออกมาได้  เซี่ยง
น้องชาย เป็นลูกจากแม่เลี้ยง บอกพ่อแม่ว่า แผนสังหารนี้ ข้ามีความชอบเป็นอันดับหนึ่ง ตอนนี้สมบัติของซุ่น วัว แพะ ให้พ่อแม่ ยุ้งข้าวให้พ่อแม่ อาวุธทุก       
อย่างเป็นของข้า เกาทัณฑ์สลักลายเป็นของข้า พี่สะใภ้คือภรรยาทั้งสองของซุ่นใ้มาจัดที่นอนปรนนิบัติข้า  เซี่ยงแบ่งสมบัติแล้ว ก็เข้าวังของซุ่นไป เห็นซุ่นนั่งดีดพิณอยู่บนเตียงตั่ง เซี่ยงเสแสร้งทักว่า "ข้าอึดอัดใจคิดถึงพี่ท่าน"  แต่สีหน้าอาการแสดงความละอาย  ซุ่นจึงพูดว่า "ข้าราชบริพารชาวบ้านขาดคนดูแล น้องชายปกครองด้วยเถิด"  ในขณะนั้น ซุ่นจะรู้ไหมว่า น้องชายได้ทำการสังหารตน  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "มีหรือไม่รู้ แต่ซุ่นรักน้อง เห็นน้องทุกข์จะต้องทุกข์ด้วย เห็นน้องยินดีจะยินดีด้วย"  วั่นจังว่า "ถ้าเช่นนั้น ซุ่นเสแสร้งยินดีหรือไม่"  "ไม่"  ครูอธิบายให้ศิษย์ฟัง แต่ก่อนมีคนเอาปลาเป็น ๆ มาให้จื่อฉั่น ขุนนางเมืองเจิ้ง  จื่อฉั่นให้คนดูแลสระน้ำนำปลาไปเลี้ยงไว้ แต่คนดูแลนั้น เอาปลาไปฆ่ากิน กลับมารายงานจื่อฉั่นว่า "ทีแรกปล่อยปลาลงสระ ดูมันอ่อนแรง พักหนึ่งจึงมีชีวิตชีวา จากนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว  จื่อฉั่นยินดีว่า "มันอยู่สบายแล้ว อยู่สบายแล้ว" คนดูแลสระบอกแก่ใคร ๆ ว่า ใครว่าท่านจื่อฉั่นเป็นคนเฉลียวฉลาด ข้าเอาปลามาทำอาหารกินเสียแล้ว ท่านยังพูดเรื่อยไปว่าปลาเหล่านั้นอยู่สบายแล้ว" 
     
         เรื่องนี้  จะเห็นว่า  ต่อกัลยาณชนเราใช้เรื่องราวที่สมเหตุสมผลไปหลอกให้เชื่อได้ (เพราะกัลยาณชนจะคิดซื่อ คิดตรง ไม่ระแวงสงสัยใคร)  แต่อย่าใช้เรื่องไม่สมเหตุสมผลไปปิดบังอำพลาง  เซี่ยงลูกของแม่เลี้ยง ใช้คำพูดเหมือนเคารพรักพี่ชาย ซุ่นใจซื่อไม่ถือสา แม้เพิ่งผ่านการถูกฆ่ามาเมื่อสักครู่ก็ลืมสิ้น มีแต่ความยินดีที่น้องเคารพรัก  ฉะนั้น  จึงบอกได้ว่า ซุ่นไม่ได้เสแสร้ง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :  ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                             ๕

                                   บทวั่นจัง  ตอนต้น

        ศิษย์วั่นจังเรียนถามอีกว่า "เซี่ยง  ลูกของแม่เลี้ยงที่จะฆ่าซุ่นอยู่ทุกขณะจิต ภายหลังเมื่อกษัตริย์เหยา สละราชบัลลังก์ให้ซุ่นขึ้นเป็นเจ้าฟ้า ซุ่นไม่ลงอาญาฆ่าผู้ปองร้าย ได้แต่เนรเทศไปเสีย นั่นด้วยเหตุอันใด"  ครูปราชญ์ว่า "แท้จริงคือแต่งตั้งให้เซี่ยง (น้องต่างมารดา)  ไปกินเมืองเสพสุข ผู้คนกลับเข้าใจไปว่าเนรเทศ"  ศิษย์วั่นจังว่า "กษัตริย์ซุ่นเนรเทศขุนนางก้งกงไปเมืองอิว  สังหารหัวหน้าเผ่าซันเหมียวที่ซันเอว๋ย  สังหารกุ่นที่อวี่ซัน  เปิดเผยความชั่วร้ายชัดเจนเป็นที่ขอบพระคุณยินดีของทุกคน เพราะนี่คือการลงโทษทรชน  แต่เซี่ยงน้องชายนั้น เป็นคนใจดำอำมหิตที่สุดในโลก ซุ่นกลับส่งไปกินเมืองเสพสุขที่โหย่วปี้ ชาวเมืองโหย่วปี้มีโทษผิดอะไรหรือ ที่จะต้องรองรับทารุณกรรมจากเซี่ยงผู้อำมหิต  ผู้ทรงธรรมเขาปฏิบัติกันอย่างนี้หรือ ทรชนที่เป็นคนอื่นจัดการสังหาร แต่ทรชนน้องของตน กลับให้กินเมืองเสพสุข"  ครูปราชญ์ว่า "ผู้มีกรุณาธรรมจะไม่เก็บความแค้นในอดีตที่เคยมีต่อพี่น้องกัน มีแต่รักสนิท ในเมื่อให้ความรักสนิท ก็จึงให้ความรุ่งเรืองร่ำรวย แต่งตั้งให้กินเมืองโหย่วปี้ ก็เพื่อให้รุ่งเรืองร่ำรวย เมื่อตนเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แต่หากพี่น้องยังเป็นสามัญชนอยู่ จะนับว่ามีใจรักสนิทต่อพี่น้องได้หรือ" บังอาจเรียนถามอีกว่า "เหตุใดบางคนจึงว่าเซี่ยงถูกเนรเทศ"  ตอบว่า "เหตุที่เซี่ยงแม้จะได้ตำแหน่งกินเมือง แต่ก็ไม่อาจทำคุณประโยชน์ใดแก่บ้านเมืองได้ กษัตริย์ซุ่นจึงสั่งผู้ปกครองบ้านเมืองอีกชุดหนึ่งไปบริหาร ยกภาษี คืนเครื่องบรรณาการให้ จึงมีส่วนหนึ่งเข้าใจผิดว่าเนรเทศ  เซี่ยงสมบูรณ์พูนสุขอย่างนี้แล้ว ยังจะขูดรีดประชาชนไปทำไม  อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ซุ่นอยากให้เซี่ยงมาพบบ่อย ๆ จึงส่งขุนนางไปช่วย หนังสือเก่าจารึกว่า "ไม่ต้องรอวันกำหนดที่เจ้าเมืองเข้าเฝ้า อ้างงานราชการก็อนุญาตเซี่ยงแห่งเมืองโหย่วปี้ เข้าเฝ้าได้ทุกเวลา" ดังนี้"

        ศิษย์เสียนชิวเหมิง เรียนถามครูปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  คำโบราณกล่าวไว้ ผู้สูงส่งด้วยคุณธรรม เจ้าฟ้ามหากษัตริย์จะปฏิบัติด้วยขุนนางธรรมดามิได้ บิดามารดาก็ไม่ให้ปฏิบัติด้วยบุตร  ครั้งนั้น อริยกษัตริย์ซุ่นประทับนั่งบนบัลลังก์ด้านใต้ เหยาองค์อดีตกษัตริย์ นำเหล่าเจ้าเมืองเข้าเฝ้ามาทางด้านเหนือ  กู่โส่ว บิดาผู้หยาบช้าของกษัตริย์ซุ่น ก็ถือวิสาสะเข้ามาทางด้านเหนือด้วย ทำให้กษัตริย์ซุ่นอึดอัดเล็กน้อย  บรมครูวิจารณืเรื่องนี้ว่า "คุณสัมพันธ์หกหัวลง (ผิดทำนองคลองธรรม) เกิดอาการอึดอัด เป็นลางบอกเหตุร้าย ไม่ทราบว่าเรื่องนี้มีจริงหรือไม่"

        ครูปราชญ์ว่า

        "มิได้  นี่ไม่ใช่วาจาของกัลยาณชน เป็นคำพูดของชาวบ้านทางตะวันออกเมืองฉี เนื่องจากอดีตกษัตริย๋เหยาทรงพระชนมายุมาก จึงยกแผ่นดินให้ซุ่นช่วยจัดการดูแล  ในคัมภีร์ซูจิง บทเหยาเตี่ยน จารึกว่า "ซุ่นสำเร็จราชการแทนกษัตริย์เหยายี่สิบแปดปี กษัตริย์เหยาจึงถึงกาลสวรรคต เวลานั้น ประชาราษฏร์เหมือนสูญเสียบิดามารดา คร่ำครวญอาลัยไว้ทุกข์เต็มที่ถึงสามปี ในระหว่างนั้น ไม่มีการบันเทิงใด ๆ ทั้งสิ้น"  บรมครูก็เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "บนฟ้าไม่มีอาทิตย์สองดวง ประชาราษฏร์ไม่มีกษัตริย์สองพระองค์ (ในเวลาเดียวกัน)  ซุ่นขึ้นครองราชย์ ต่อมากษัตริย์เหยาสวรรคต ซุ่นนำเจ้าเมืองทั้งหมดไว้ทุกข์แก่กษัตริย์เหยาสามปี เช่นนี้ มิใช่มีกษัตริย์สองพระองค์ดอกหรือ

        ศิษย์เสียนชิวเหมิงกล่าวว่า "ซุ่นไม่กล้าเห็นอดีตกษัตริย์เหยาในฐานะข้าราชบริพาร เรื่องนี้  ครูท่านเคยชี้ให้เห็นแล้ว"  แต่คัมภีร์ซือจิงว่า "ใต้หล้าฟ้านี้ไม่มีสักแห่งที่ไม่ใช่แผ่นดินของกษัตริย์ ทั่วทั้งสี่คาบสมุทร ไม่มีใครบนแผ่นดินที่มิใช่ข้าราชพารของกษัตริย์  บัดนี้ ซุ่นได้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินแล้ว" ครูท่านว่า "บิดาของซุ่น หากไม่นับเป็นข้าราชพารของแผ่นดินแล้ว จะนับเป็นอะไร"  ตอบว่า "นั่นคือหลักใหญ่โดยรวมของคัมภีร์ แต่กรณีนี้ไม่ใช่  จารึกนั้นคือคำตัดพ้อของบริพาร เหนื่อยยากเพื่องานเมืองแต่ไม่อาจเลี้ยงดูพ่อแม่ของตน คับแค้นใจจึงว่า ทำทุกอย่างล้วนงานของบ้านเมือง เหตุใดเพียงแค่ข้ามีความสามารถ ก้เรียกใช้จนสาหัสถึงกับไม่มีโอกาสปฏิการะพ่อแม่  ฉะนั้น การตีความในคัมภีร์ซือจิง อย่าเอาเฉพาะความหมายของอักษร ทำให้เข้าใจถ้อยคำภาษอารมณ์ผิดไป อีกทั้งอย่าตีความเจตนาของผู้เขียนผิดไป พึงเอาความหมายในบทกวี ประสานความตั้งใจของผู้เขียน จึงจะเข้าถึงเจตนาจริงของผู้เขียน หากไม่คลี่คลายความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำภาษา เอาแต่อธิบายอักษร ก็จะเหมือนประโยคในบทอวิ๋นฮั่น ที่ว่า "ราชวงศ์โจวปราศจากประชาชนที่หลงเหลือ" (โจวอู๋อี๋หมิน)  นี่เป็นเพียงอารมณ์สะท้อนใจของผู้เขียน ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :  ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                             ๕

                                   บทวั่นจัง  ตอนต้น

        ที่สุดของความเป็นลูกกตัญญู ไม่มีที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าให้พ่อแม่สูงส่ง  ให้พ่อแม่สูงส่ง ไม่มีที่เกินกว่าลี้ยงดูท่านด้วยเงินตอบแทนคุณความดีจากแผ่นดินเป็นบิดาเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ สูงส่งที่สุดแล้ว ได้รับเลี้ยงดูจากแผ่นดิน เป็นที่สุดของการเลี้ยงดู   คัมภีร์ซือจิงจารึกว่า "ตั้งใจกตัญญูตลอไป ตั้งใจกตัญญูเป็นหลักการณ์" ดังนี้   คัมภีร์ซูจิง ก็จารึกว่า "ซุ่นกตัญญูยิ่ง แต่พอเห็นบิดาจะหวั่นกลัว  ฝ่ายกู่โส่ว ผู้บิดาเชื่อมั่นกตัญญูของซุ่น จึงไม่ขัดฝืนซุ่นอีกต่อไป" นี่แสดงถึงหลักการที่ว่า "บางกรณี บางสถานภาพ บิดาจะแสดงต่อบุตรเยี่ยงบุตรมิได้"

        ศิษย์วั่นจังเรียนถามว่า  "กษัตริย์เหยา ยกแผ่นดินให้ซุ่น ใช่หรือ"  ครูปราชญ์ตอบ "มิใช่ เจ้าฟ้ามหากษัตริย์เหยามิอาจยกแผ่นดินแก่ใคร" ศิษย์วั่น-
จั่งว่า "ถ้าเช่นนั้น ซุ่นครองแผ่นดิน ใครเป็นผู้ยกให้"  ตอบว่า "ฟ้าโปรดประทานให้" ศิษย์ว่า "ในเมื่อฟ้าประทาน ได้โปรดกำชับตักเตือนถี่ถ้วนหรือไม่" ตอบว่า "หาใช่ไม่ ฟ้ามิอาจพูดจา แต่เราจะรู้ได้จากพฤติกรรมกับการดำเนินงานของซุ่น"  ศิษย์วั่นจังว่า "จากพฤติกรรมการดำเนินงาน แสดงให้เห็นว่า ฟ้าโปรดประทานนั้นอย่างไร"  ครูปราชญ์ว่า "เจ้าแผ่นดินคัดสรรบุคคลสำคัญทำงานแทนฟ้า งานของฟ้าคือปกปักรักษาไพร่ฟ้า แต่ไม่อาจให้ฟ้าจะต้องมอบแผ่นดินให้เขา  เหล่าเจ้าเมืองคัดสรรบุคคลสำคัญทำงานแทนฟ้า แต่ไม่อาจให้เจ้าแผ่นดินจะต้องยกฐานะเจ้าเมืองแก่เขา  เหล่าขุนนางคัดสรรบุคคลสำคัญให้แก่เจ้าเมือง แต่มิอาจให้เจ้าเมืองจะต้องยกตำแหน่งขุนนางแก่เขา  ครั้งกระนั้น กษัตริย์เหยาถวายตัวซุ่นแด่ฟ้าเบื้องบน "ฟ้า" รับไว้  "ฟ้า" ให้ซุ่นสำแดงคุณ  ดำเนินงานให้ประจักษ์แก่สายตาประชาชน ประชาชนน้อมรับบุคคลที่ฟ้ามอบให้  จึงกล่าวว่า  "ฟ้า" ไม่พูดจา แต่โปรดประทานแผ่นดินแก่ซุ่นจากพฤติกรรม การดำเนินงานที่ปรากฏให้เห็นเป็นสำคัญ

        ศิษย์วั่นจัง ว่า  "เรียนถามครูปราชญ์ "ถวายแด่ฟ้า และฟ้ารับไว้" ฟ้ามอบมา ประชาชนน้อมรับคืออยางไร"   ครูปราชญ์ตอบว่า  "เมื่อซุ่นไปทำหน้าที่สักการะเทพยดา ฯ เทพยดาอารักษ์ล้วนมาชื่นชม (บรรยายกาศมงคลราบรื่น) นี่แสดงว่า "ฟ้า" รับไว้ ให้ซุ่นดำเนินการปกครองบ้านเมือง  บ้านเมืองประชาราษฏร์ปลอดภัยได้สุขสงบ นบนอบยินดี นี่แสดงว่าประชาราษฏร์น้อมรับ  จึงเห็นได้ว่าแผ่นดินใต้หล้าฟ้านี้ ฟ้าโปรกประทาน ประชาราษฏร์เห็นพ้อง จึงกล่าวว่า "เจ้าฟ้ามหากษัตริย์มิอาจยกแผ่นดินแก่ใคร"  ซุ่นช่วยกษัตริย์เหยาปกครองแผ่นดินทั่วหล้าเป็นเวลายี่สิบแปดปี นี่เป็นเจตนา "ฟ้า" หาใช่กำลังความสามารถของคนไม่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :  ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                             ๕

                                   บทวั่นจัง  ตอนต้น

        สามปีหลังจากสิ้นกษัตริย์เหยา จัดงานพระศพแล้ว ซุ่นหลบไปอยู่ทางใต้  เมืองหนันเหอ เพื่อจะสละละเลี่ยงฐานะกษัตริย์ให้แก่ราชบุตรของเหยา แต่เหล่าเจ้าเมืองไม่ไปเข้าเฝ้าราชบุตร กลับพากันไปที่ซุ่น คนที่จะกราบทูลร้องเรียนก็ไม่ไปที่ราชบุตร แต่กลับมาที่ซุ่น ผู้แซ่ว้องบารมีคุณก็ไม่แซ่ซ้องราชบุตร แต่กลับแซ่ซ้องซุ่น  จึงกล่าวว่า  "นี่คือเจตนาของฟ้า"  ซุ่น  เมื่อถึงเวลานี้ จำต้องกลับเข้าแผ่นดินขึ้นครองราชย์  แต่หากสิ้นกษัตริย์เหยา แล้วซุ่นเข้าสู่ราชฐานของเหยาทันที ทำให้ราชบุตรหมดสถานภาพต้องออกไปจากวัง อย่างนี้จะต้องเรียกว่า "ช่วงชิง" ไม่ใช่ฟ้าโปรดประทาน  ในหนังสือซั่งซู บทไท่ซื่อ จารึกว่า "การสอดส่องจากฟ้า พิจารณาตัดสินจากประชามติ การรับฟังคัดสรรไว้ ก็กำหนดเอาตามที่ประชารับฟังคัดสรรไว้"  (เทียนซื่อจื้อหว่อหมินซื่อ  เทียนทิงจื้อหว่อหมินทิง) ที่กล่าวนั้นเป็นดังนี้ 

        ศิษย์วั่นจั่งเรียนถามครูปราชญ์  "มีคนกล่าวว่า เมื่อถึงสมัยอวี่ คุณธรรมของกษัตริย์เสื่อมถอย ไม่มอบหมายบัลลังก์แก่ปรีชาชน แต่สืบสายให้บุตรตนเป็นความจริงหรือไม่"   ครูปราชญ์ว่า  "ไม่เป็นความจริง ฟ้าใคร่มอบหมายแก่เมธี ก็มอบหมายแก่เมธี ใคร่มอบหมายแก่ราชบุตรของอวี่ ก็มอบให้  แต่ก่อนซุ่นถวายตัวอวี่แด่ฟ้า  อวี่ช่วยซุ่น จัดระเบียบบริหารแผ่นดิน สิบเจ็ดปี จนสิ้นซุ่นจัดงานพระศพ ไว้ทุกข์ครบสามปี  อวี่สละฐานะกษัตริย์แก่ราชบุตรของซุ่น ด้วยการหลบเลี่ยงไปที่เมืองหยาง หารู้ไม่ว่า ประชาราษฏร์ล้วนปรารถนาสวามิภักดิ์ต่ออวี่  อันเป็นเช่นเดียวกับที่เมื่อสิ้นกษัตริย์เหยา ชาวเมืองพากันมุ่งหาซุ่น ไม่เข้าหาราชบุตร

        กษัตริย์อวี่ถวายตัวอี้ ขุนนางผู้ช่วยงานชลประทานแด่ฟ้า   อี้ช่วยกษัตริย์อวี่ บริหารการปกครองแผ่นดินจีนอยู่เจ็ดปี จนสิ้นกษัตริย์อวี่  เมื่อครบกำหนดไว้ทุกข์สามปี  อี้ก็หลบเลี่ยงไปอยู่หลังเขาจีซัน แต่เหล่าเจ้าเมืองกับผู้ถวายเรื่องราวร้องเรียน ไม่ไปที่อี้ แต่กลับพากันไปที่ฉี่ ราชบุตรของอวี่ ทุกคนต่างพูดว่า "นี่เป็นราชบุตรของกษัตริย์แห่งเรา" ผู้แซ่ซ้องสดุดีก็มิได้แซ่ซ้องสดุดีอี้  แต่แซ่ซ้องสดุดีราชบุตรฉี่ เขาพร้อมกันกล่าวว่า "นี่เป็นราชบุตรของกษัตริย์แห่งเรา"

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”