collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรัชญาเมิ่งจื่อ : ปราชญ์เมิ่งจื่อ : เริ่มเรื่อง  (อ่าน 67679 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                       ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                        ๖ 

                            บทเก้าจื่อ   ตอนท้าย

        สมมุติว่า เดินช้าเพื่อมิให้ล้ำหน้าผู้ใหญ่เป็นสัมมาคารวะ  เดินก้าวใหญ่ไปข้างหน้าผู้ใหญ่ ไม่เป็นสัมมาคารวะ การเดินช้าสักหน่อย เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้หรือไม่ทำกันเล่า  หลักธรรมที่เหยา - ซุ่นท่านปฏิบัติ เป็นความกตัญญูต่อบิดา มารดา เคารพผู้ใหญ่ก็เท่านั้นเอง  ผู้ใด หากได้สวมเสื้อผ้าอริยกษัตริย์เหยา ใช้วาจาเยี่ยงพระองค์ ทำการด้วยคุณธรรมเช่นเดียวกับพระองค์ ผู้นั้นก็จะเป็นบุคคลิกภาพเช่นพระองค์  ผู้ใด หากสวมเสื้อผ้าของทรราชเซี่ยเจี๋ย ใช้วาจาเยี่ยงเซี่ยเจี๋ย ทำความชั่วร้ายเช่นเดียวกับเซี่ยเจี๋ย บุคลิกภาพของผู้นั้น ก็จะเป็นเช่นเซี่ยเจีย

        เฉาเจียวว่า  "ข้าพเจ้าจะเข้าเฝ้าเจ้าเมืองโจว ทูลขอยืมบ้านพักสักหลังหนึ่ง เพื่อมอบตัวเป็นศิษย์อยู่ใกล้ชิดครูปราชญ์ท่าน"  ครูปราชญ์ว่า "หลักธรรมที่กล่าวมาเหมือนหนทางใหญ่ ยากนักหรือที่จะเข้าใจ  เกรงแต่จะไม่พิจารณาเท่านั้น  ท่านจงกลับบ้านไปไตร่ตรอง ให้ดีเสียก่อน ทุกแห่งหนล้วนมีครูที่จะบูชาได้"

        กงซุนโฉ่ว  เรียนถามครูปราชญ์ว่า  "เกาจื่อ ชาวเมืองฉี กล่าวว่า กวีบทเสียวเปี้ยน ในคัมภีร์ซือจิง เป็นผลงานของคนใจแคบ"  ครูปราชญ์ว่า "ไยจึงกล่าวเช่นนี้"  กงซุนโฉ่วว่า "ก็เพราะความหมายในบทกวี  มีความแค้นเคืองอยู่"  ครูปราชญ์ว่า  "ยึดหมายตึงเกินไป ท่านเก้าจื่ออธิบายความหมายในบทกวี เช่น ขณะนี้ มีใครคนหนึ่งอยู่ที่นี่  ชาวเมืองเอวี้ยง้างคันธนูจะยิงเขา  ท่านเกาจื่อคงเตือนผู้ยิงอย่างมีอารมณ์ดี ให้หลักธรรมว่า ไม่ควรคร่าชีวิตเขา ที่ไม่ห้ามปรามจริงจังก็เพราะท่านเกาจื่อไม่ได้เป็นญาติมิตรกับผู้ยิง  แต่ถ้าหากผู้ยิงคือพี่ชายของท่านเกาจื่อเอง ท่านเกาจื่อจะฟูมฟายเดือดร้อนใจ ขอให้พี่ชายอย่าฆ่าคน เหตุผลก็คือ พี่ชายเป็นสายเลือดเดียวกัน ท่านเกาจื่อไม่อาจทนเห็นพี่ชายได้รับอาญาจากการฆ่าคนตายได้

        กวีบทเสียวเปี้ยนนี้ ที่แฝงความแค้นเคืองอยู่ ก็ด้วยแสดงความรู้สึกขัดข้องใจ อยากใกล้ชิดบิดา  อยากใกล้ชิดบิดาเป็นจิตกรุณาธรรม ท่านเกาช่างอธิบายความหมายเถรตรงเสียจริง  กงซุนโฉ่วว่า  "ถ้าเช่นนั้น กวีบทไข่เฟิง ในคัมภีร์ซือจิง ไยไม่แฝงความแตค้นเคืองเล่า"  ครูปราชญ์ว่า "บทไข่เฟิง กล่าวถึงความผิดของมารดา ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย  แต่ในบทเสี่ยวเปี้ยน กล่าวถึงความผิดของบิดา ซึ่งใหญ่หลวงนัก หากไม่ถอดถอนเสียดาย จะทำให้สายใยสัมพันธ์พ่อลูกยิ่งห่างเหิน  ความผิดของมารดาเล็กน้อยจึงตัดพ้อ  จะให้เหมือนสายน้ำกระแทกโขดหินไม่ได้ กระแทกแรงก็จะบันดาลโทสะ สายใจยิ่งห่างไกลบิดา จะกลายเป็นอกตัญญู แรงน้ำกระแทกหิน ไม่อดทนต่อความผิดเล็กน้อยของมารดา ก็อกตัญญู   ท่านบรมครูเคยกล่าวว่า "อริยกษัตริย์ซุ่นเป็นยอดกตัญญู อายุห้าสิบปีแล้ว ยังทอดถอนใจว่า ไม่อาจได้ใกล้ชิดบิดามารดา"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                        ๖ 

                            บทเก้าจื่อ   ตอนท้าย

        ซ่งเคิง ชาวเมืองซ่ง จะไปเมืองฉู่ ได้พบกับปราชญ์เมิ่งจื่อที่ชายแดนซึซิว  ปราชญ์เมิ่งจื่อถามเขาว่า จะเดินทางไปไหน ซ่งเคิง ตอบ "ได้ยินว่า ฉิน กับ ฉู่ สองเมืองกำลังเตรียมจะทำสงครามกัน ข้าพเจ้าอยากจะไปพบฉู่อ๋วง เกลี้ยกล่อมให้ยุติการรบ อ๋องทั้งสองนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า จะต้องมีสักฝ่ายหนึ่งที่เห็นด้วยกับข้าพเจ้า

        ปราชญ์เมิ่งเจื่งว่า  "ข้าพเจ้าเมิ่งเค่อ ไม่จำเป็นจะถามไถ่รายละเอียด แต่อยากจะฟังดูหลักการที่ท่านจะยับยั้งนั้นอย่างไร"
 ซ่งเคิงว่า "ข้าพเจ้าจะบอกกล่าวแก่สองบ้านเมืองว่า การรบนี้ มันไม่ได้ประโยชน์แท้จริงอย่างไรเลย"   
ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ความตั้งใจของท่านยิ่งใหญ่แล้ว แต่ท่านจะเรียกร้องด้วยเหตุผลของ "ประโยชน์"  ไม่ได้  ท่านเอาแง่ของประโยชน์ไปห้ามศึก  ฉิน-ฉู่อ๋วง  ถ้า ฉิน - ฉู่อ๋วง ต่างยินดีต่อผลประโยชน์ จึงหยุดยั้งสามกองศึกไว้ เช่นนี้ แม่ทัพนายกองของสามกองศึกก็หยุดรบ ด้วยยินดีต่อประโยชน์ที่จะได้รับเช่นกัน"  เมื่อข้้าราชฯ ขุนนาง รับใช้องค์ประมุขด้วยใจใฝ่ประโยชน์ ลูกรับใช้พ่อแม่ด้วยใจใฝ่ประโยชน์ น้องรับใช้พี่ด้วยใจใฝ่ประโยชน์ ทั้งสามคุณธรรมนี้ ต่างละทิ้งกรุณามโนธรรมใฝ่แต่ประโยชน์ส่วนตนไปรับหน้ากัน บ้านเมืองอย่างนี้ไม่ล่มสลายไม่เคยมี

        หากท่านจะใช้หลักกรุณามโนธรรมไปยับยั้งอ๋องทั้งสอง อ๋องทั้งสองยินดีต่อกรุณามโนธรรมแล้วหยุดกากรรบ แม่ทัพนายกองก็ยินดีหยุดรบด้วยกรุณามโนธรรม   หากข้าราชฯ ขุนนางรับใช้องค์ประมุขด้วยกรุณามโนธรรม  ลูกรับใช้พ่อแม่ด้วยกรุณามโนธรรม  น้องรับใช้พี่ด้วยกรุณามโนธรรม  ทั้งสามคุณสัมพันธ์ของบ้านเมือง ต่างละทิ้งทัศนคติคิดเห็นแก่ตัว รับหน้ากันด้วยกรุณามโนธรรม เช่นนี้ องค์ประมุขจะไม่เป็นใหญ่เห็นจะไม่มี ไฉนจะต้องเอาประโยชน์เป็นเป้าหมาย"

         ขณะปราชญ์เมิ่งจื่อพำนักที่เมืองโจว  จี้เยิ่น  น้องชายเจ้าเมืองเยิ่น ผู้บริหารราชการแทน ให้คนนำข้าวของเงินทองมากำนัล  ปราชญ์เมิ่งจื่อรับไว้แต่มิได้ไปขอบคุณ   ขณะที่พำนักอยู่ที่เมืองผิงลู่  เมืองฉี  ฉู่จื่อ ดำรงตำแหน่งมุขมนตรี ส่งคนนำข้าวของเงินทองมากำนัล  ปราชญ์เมิ่งจื่อรับไว้  แต่ก็มิได้กลับไปขอบคุณเช่นกัน  หลายวันผ่านไป ปราชญ์เมิ่งจื่อเดินทางจากเมืองโจวไปพบจี้เยิ่นที่เมืองเยิ่น  แต่จากผิงลู่เดินทางเข้าเมืองฉี กลับไม่ไปพบมุขมนตรีฉู่จื่อ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                     ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                        ๖ 

                            บทเก้าจื่อ   ตอนท้าย

        อูหลูจื่อเห็นเช่นนี้ ดีใจว่า เราได้พบข้อบกพร่องของครูปราชญ์แล้ว (ซึ่งไม่เคยมี) จึงไปเรียนถามว่า "ครูท่านไปเมืองเยิ่น พบกับจี้เยิ่น ไปเมืองฉีกลับไม่ไปพบฉู่จื่อ ใช่หรือไม่ว่า  ฉู่จื่อเป็นแค่มุขมนตรี ไม่เทียบเท่าจี้เยิ่นที่สูงส่งด้วยฐานะผู้สำเร็จราชการฯ" 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "หาใช่ไม่ ในคัมภีร์ซูจิง จารึกว่า "ของกำนัลมากกว่าจริยะงาม จริยะงามไม่เท่าของกำนัล"  เรียกว่า ไม่ใช่จริยะพึงมีต่องเบื้องสูง พิจารณาเห็นว่า มิได้กำนัลโดยจริยะ จึงไม่นับว่ากำนัล"   อูหลูจื่อ ปลื้อใจที่ได้ฟัง เมื่อมีผู้ใคร่รู้สาเหตุ เขาจะตอบว่า "จี้เยิ่นมิได้ส่งของกำนัลด้วยตนเองไปเมืองโจว เนื่องด้วยติดภาระใหญ่สำเร็จราชการฯ แต่ฉู่จื่อเป็นมุขมนตรี โดยสถานภาพควรนำของกำนัลไปมอบให้ครูปราชญ์ที่เมืองผิงลู่ด้วยตนเอง" 

        ฉุนอวี๋คุน  ชาวเมืองฉี กล่าวแก่ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

        "คนเลื่องชื่อมีผลงานจริง จึงจะนับว่าสร้างสุขสวัสดิ์แก่ชาวโลก เอาแต่พูดว่า จะสร้างสุขสวัสดิ์ให้ แต่ยังไม่ได้ทำจริง คือ ผู้ได้แต่คิดการข้างหน้าเฉพาะตน  ขณะนี้ ปราชญ์ท่านมีฐานะอยู่ในสามอันดับขุนนางสูงสุด ใคร่สร้างสุขสวัสดิ์แก่ชาวโลก แต่ต่อเบื้องบน ท่านยังมิได้เติมเต็มแก่องค์ประมุข ต่อเบื้องล่าง ท่านยังไม่ได้ให้คุณแก่ประชาราษฏร์ ก็จะลาไป ผู้มีกรุณาธรรม จะเป็นเช่นนี้หรือ"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า 

        ยินดีอยู่กับระดับล่างเป็นสามัญชน ไม่ยินดีเอาคุณสมบัติเมธีไปรับใช้องค์ประมุขที่ขาดปัญญาเมธาคุณ นี่คือวิสัยของท่านป๋ออี๋  รับตำแหน่งราชวงศ์ซังทังห้าครั้ง ราชวงศ์เซี่ยเจี๋ยอีกหห้าครั้ง ก็คืออีอิ่น  ไม่รังเกียจองค์ประมุขต่ำช้าไร้สาระ อีกทั้งรังเกียจขุนนางต่ำต้อย ก็คือท่านหลิ่วเซี่ยฮุ่ย  ทั้งสามคนนี้แม้การกระทำต่างกัน แต่เป้าหมายอย่างเดียวกัน เป้าหมายอย่างเดียวกันคืออะไร  คือกรุณาธรรม  กัลยาณชนทำการใด ขอเพียงให้ถูกต้องตรงต่อกรุณาธรรมเท่านั้น การกระทำจะต้องเป็นเช่นเดียวกันหรือ"

        ฉุนอวี๋คุนว่า   "สมัยพระเจ้าหลู่โหมวกง กงอี๋จื่อ เป็นผู้สำเร็จราชการฯ  เมธีจื่อหลิ่ว กับ เมธีจื่อซือ ศิษย์ท่านบรมครู  เป็นขุนนางสำคัญ ทั้งสามท่านล้วนปราชญ์เมธี ซึ่งบ้านเมืองควรจะรุ่งเรือง แต่กลับถูกริดรอนแผ่นดินไปเป็นอันมาก เท่ากับเหล่าเมธีนี้ ไม่มีประโยชน์ต่อบ้านเมืองหรือไร"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "เมื่องอวี๋  ไม่ใช้เสนาธิการป๋อหลี่ซี  เมืองอวี๋จึงล่มสลาย  ส่วนพระเจ้าฉินมู่กง เรียกใช้ป๋อหลี่ซี บ้านเมืองกลับเรืองรุ่ง เป็นใหญ่ในบรรดาเหล่าเจ้าเมือง  เห็นได้ว่า ไม่ใช้คนดี บ้านเมืองจะล่มสลาย ซึ่งยังจะรักษาบ้านเมืองให้อยู่ได้หรือ หากถูกริดรอนแผ่นดินเช่นนี้"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                        ๖ 

                            บทเก้าจื่อ   ตอนท้าย

        ฉุนอวี่คุนว่า

 "แต่ก่อนหวังเป้า ชาวเมืองเอว้ย อาศัยอยู่ที่ชายน้ำฉีสุ่ย สอนคนแถบนั้นร้องเพลงแห่กล่อมจนนิยมไปทั่ว   
เหมียนจวี  ชาวเมืองฉี อาศัยอยู่ที่ราบสูงเกาถัง ชอบสอนชาวเมืองฉีแถบขวา ร้องเพลงทำนองสูงลากเสียงยาวจนนิยมไปทั่ว
ฮว่าโจว  กับ ฉี่เหลี่ยง  ขุนนางเมืองฉี  ภรรยาของทั้งสอง มักจะร้องไห้เสียงดังคร่ำครวญถึงสามีผู้วายชนม์
        ภายหลัง ทำให้เป็นแบบอย่างชาวบ้านเปลี่ยนไปทั้งเมือง  ทุกคนพากันร้องไห้เสียงดัง คร่ำครวญรำพันถึงสามี  เมื่อภายหลังมีสิ่งรู้เป็น (ร้องเพลง ร้องไห้) ย่อมแสดงออกให้เห็นที่ภายนอก  ความสามารถรู้เป็น แสดงออกแล้วไม่มีผล ข้าฯยังไม่เคยเห็น  ดังนั้น ข้าฯจึงเห็นว่า บัดนี้ไม่มีเมธีชนแล้ว ถ้ามี ข้าฯจะต้องรู้เห็นในผู้นั้นแน่นอน"   

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

        "สมัยนั้น ท่านบรมครูเป็นขุนนาง ดูแลรักษาเสถียรภาพเมืองหลู่  ผลปรากฏว่าองค์ประมุขไม่รู้จักคุณค่า บรมครูจึงตั้งใจจะไปจาก  แต่ยังหาเหตุมิได้ครั้งหนึ่่ง ร่วมพิธีเซ่นไหว้กับองค์ประมุข บรมครูมิได้รับส่วนแบ่งเนื้อที่เซ่นไหว้ให้ ท่านจึงถือเอาสาเหตุนี้ มิทันถอดหมวกพิธีผลุนผลันออกมา  เหตุการณ์ครั้งนั้น คนที่ไม่เข้าใจจะคิดว่า บรมครูจากไปเพราะไม่ได้รับเนื้อส่วนแบ่ง ส่วนคนที่รู้บ้าง ก็จะคิดแต่เพียงว่า องค์ประมุขไร้มารยาทต่อบรมครูเท่านั้น  ไม่รู้สาเหตุแท้จริงว่า องค์ประมุขเพิกเฉยต่อบรมครู อีกทั้งรับเอานางรำที่เมืองฉีส่งมาไว้บำเรอความสำราญ  เหตุด้วยเมืองหลู่เป็นมาตุภูมิ  บรมครูจะไม่ประจานองค์ประมุขเด็ดขาด จึงค่อยหาเหตุเล็กน้อยเพื่อจากไป อีกทั้งไม่อยากจากไปโดยไม่แสดงเหตุ สิ่งที่กัลยาณชนแสดงการ เป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจเข้าใจได้นัก"   ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ห้าผู้พิชิตเหล่าเจ้าเมืองคือ  ฉีหวนกง  จิ้นเหวินกง  ฉินมู่กง  ซ่งเซียงกง  กับ  โจวเหวินอ๋วง  บัดนี้ เหล่าเจ้าเมือง กลับเป็นตัวร้ายของห้าผู้พิชิต เหล่าขุนนางมนตรี กลับเป็นตัวร้ายของเหล่าเจ้าเมือง  ตามกฏระเบียบ เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ จะต้องประพาสตรวจตราหัวเมืองทุกสิบสองปีทุกหกปี เหล่าเจ้าเมืองต้องเข้าเฝ้าถวายรายงาน  ฤดูใบไม้ร่วง กษัตริย์จะออกสำรวจพืชผลเก็บเกี่ยว ส่งเสริมเติมเต็มแก่ผู้ยากไร้  เมื่อเข้าเขตการปกครองเจ้าเมืองใด เห็นแผ่นดินได้บุกเบิกทำกิน ผู้สูงวัยได้อิ่มเอม เห็นเมธีได้รับการยกย่อง ได้ร่วมบริหารบ้านเมือง เจ้าเมืองนั้น ก็จะได้รับรางวัลด้วยการขยายอาณาเขตปกครองให้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                        ๖ 

                            บทเก้าจื่อ   ตอนท้าย

        หากเข้าเขตปกครองของเจ้าเมืองใด ผืนดินรกร้าง ผู้สูงวัยถูกทอดทิ้ง จะถูกตำหนิโทษ  เจ้าเมืองขาดการเฝ้าถวายรายงานหนึ่งครั้ง  จะถูกลดตำแหน่ง สองครั้ง จะถูกตัดพื้นที่การปกครอง   สามครั้ง จะถูกยกทัพเจ็ดหมื่นห้าพันคนเข้าขับไล่ แต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ขึ้นแทน  เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ จึงเพียงแต่โปรดบัญชาการ มิพึงนำทัพ  ส่วนฐานะเจ้าเมือง ได้แต่รับพระบัญชา ยาตราทัพไปจัดการ จะตัดสินโทษผู้กระทำผิดเองมิได้  ที่ว่าบัดนี้  เหล่าเจ้าเมืองเป็นตัวร้ายของห้าผู้พิชิต ก็คือ เหล่าเจ้าเมืองรวมหัวกันโจมตีเจ้าเมืองกันเองโดยพลการ เอาเยี่ยงอย่างห้าผู้พิชิตสมัยนั้น จึงกล่าวว่า เหล่าเจ้าเมืองเป็นตัวร้ายของเหล่าปิยราช

     สมัยก่อน ฉีหวนกง  แรงที่สุดในห้าผู้พิชิต   เมื่อครั้งเรียกชุมนุมเหล่าเจ้าเมืองที่เขตขุยชิว ยังเพียงแต่ผูกสัตว์ไว้ วางหนังสือสนธิสัญญา ไม่ฆ่าสังเวยเอาเลือดสัตว์ทาปาก อ่านประกาศตามพิธีโบราณ
 
        สนธิสัญญาข้อที่หนึ่ง  "ฆ่าลูกอกตัญญู มิให้เพิกถอนรัชทายาทที่ได้รับการแต่งตั้งแล้ว มิให้ยกย่องอนุภรรยาให้เป็นเอก"
ข้อสอง คือ  "ยกย่องเทิดทูนปราชญ์เมธี ปลุกฝังคนดีมีความรู้ เพื่อเชิดชูคนดีมีคุณธรรม"
ข้อที่สาม   คือ "เคารพผู้สูงวัย ใส่ใจอุ้มชูผู้เยาว์ อย่าหน่ายคร้าน ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง"
ข้อที่สี่  คือ "ขุนนางผู้มีคุณ สืบต่อบำเหน็จบำนาญแก่ลูกหลานได้ แต่มิให้สืบต่อตำแหน่งยศศักดิ์ งานหลวงให้แบ่งแยกอำนาจหน้าที่ชัดเจน หนึ่งคนควบหลายตำแหน่งหน้าที่มิได้ เรียกใช้บุคลากรจะต้องสรรหาผู้มีคุณธรรม จะตัดสินประหารขุนนางตามใจตนไม่ได้"
ข้อที่ห้า   คือ "จะสร้างเขื่อนกั้นน้ำคดเคี้ยว ทำให้กระแสน้ำชนตลิ่งชายฝั่งบ้านเมืองอื่นพังมิได้ จะห้ามคนต่างเมืองเข้ามาซื้อข้าวเปลือกมิได้ จะทำให้คนเมืองนั้นอดอยาก เจ้าเมืองจะปิดล้อมที่ดินของใครโดยไม่ถวายรายงานเบื้องสูงก่อนมิได้"

        ผู้ร่วมสนธิสัญญา ในเมื่อเห็นพ้องต้องกัน จะต้องสมัครสมานต่อกัน  แต่เจ้าเมืองทุกวันนี้ ล้วนผิดต่อสนธิสัญญาทั้งห้าประการ จึงกล่าวว่า "เจ้าเมืองสมัยนี้ เป็นตัวร้ายในห้าผู้พิชิต"  คนเป็นขุนนาง ปล่อยให้ประมุขทำผิดไม่เตือนสติ โทษนั้นยังพอว่า แต่หากเออออร่วมผิดกับประมุข โทษนั้นหนักหนา ขุนนางสมัยนี้ เอาใจประมุขปล่อยให้ทำผิด จึงกล่าวว่า ขุนนางสมัยนี้ เป็นตัวร้ายของเจ้าเมือง"

        เจ้าเมืองหลู่จะยกย่องเซิ่นจื่อ เป็นแม่ทัพไปโจมตีเมืองฉี   ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ยังมิได้ฝึกการทหารแก่ชาวบ้าน ก็ส่งเขาไปรบ เท่ากับทำลายชีวิตเขา ทำลายชีวิตชาวประชาเช่นนี้  ในสมัยอริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น จะไม่ยอมให้ทำ แม้จะรบเพียงสนามเดียวก็ชนะศึก ยึดถิ่นหนันหยาง ของเมืองฉีได้ แต่ในแง่ของมโนธรรม ก็ยังทำอย่างนี้ไม่ได้  แม่ทัพเซิ่นจื่อไม่พอใจเมื่อได้ฟัง  กล่าวว่า "คำพูดนี้ ข้าฯ เซิ่นจื่อ (ฮว๋าหลี) ไม่อาจเข้าใจได้"

         ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "เราจะอธิบายให้ชัดเจน"

        แผ่นดินของกษัตริย์ จะต้องกว้างใหญ่หนึ่งพันลี้ มิฉะนั้น จะไม่พอรองรับเหล่าเจ้าเมือง ที่ดินของเจ้าเมือง จะต้องหนึ่งร้อยลี้โดยรอบ มิฉะนั้นไม่พอที่จะรักษาพงศาวดารแบบแผนของศาลบรรพชน เพื่อดำเนินการเซ่นไหว้ได้  ในครั้งที่พระเจ้าปู้โจวกง ได้รับสถาปนา ณ เมืองหลู่ กินเมืองหนึ่งร้อยลี้  พระเจ้าปู่เจียงไท่กง ได้รับสถาปนา ณ เมืองฉีหนึ่งร้อยลี้ก็มิใช่ถูกกำจัดด้วยมีเนื้อที่ไม่พอ  บัดนี้ หนึ่งร้อยลี้ที่เคยเป็นของเมืองหลู่ เพิ่มเป็นห้าเท่าจากเดิม  ท่านคิดว่า ถ้ามีอริยกษัตริย์เกิดขึ้น แผ่นดินทั้งหมดที่มีอยู่ของเมืองหลู่ จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง  แม้จะได้แผ่นดินมาเป็นของเมืองหลู่ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ผู้มีกรุณาธรรม (อริยกษัตริย์) ก็จะไม่ยอมรับไว้ นับประสาอะไรกับที่จะต้องเข่นฆ่าชิงมา  กัลยาณชนรับใช้องค์ประมุข จะต้องนำทางสู่หลักธรรม ให้องค์ประมุขสำนึกในกรุณาธรรมทุกขณะจึงจะถูกต้อง 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                        ๖ 

                            บทเก้าจื่อ   ตอนท้าย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ยุคนี้ คนที่รับใช้องค์ประมุขได้แต่กล่าวว่า "เราจะช่วยแผ่อาณาเขตให้คลังหลวงมั่งคั่ง"  ขุนนางดียุคนี้ แท้จริงแต่ก่อนเรียกว่า โจรปล้นทำร้ายประชาชน องค์ประมุขไม่ดำเนินคุณธรรม ไม่มุ่งมั่นบริหารบ้านเมืองด้วยกรุณาธรรม ยังจะช่วยล้อมทรัพย์ประชาชนเข้าคลังหลวง อย่างนี้ไม่ต่างกับช่วยทรราชรังแกประชาชน บ้างกล่าวว่า ข้าฯสามารถช่วยองค์ประมุขตกลงเป็นพันธมิตรกับบ้านเมืองใกล้เคียง เมื่อโจมตีอีกบ้านเมืองหนึ่ง ย่อมได้ชัยชนะแน่นอน  บัดนี้ ที่เรียกว่าขุนนางดีนั้น แท้จริงแต่ก่อนเรียกว่าโจรปล้นทำร้ายประชาชน  องค์ประมุขไม่ดำเนินคุณธรรม ไม่มุ่งมั่นบริหารบ้านเมืองด้วยกรุณาธรรม ยังจะช่วยให้ฮึกเฮิมรุกราน อย่างนี้ ไม่ต่างกับช่วยทรราชเจี๋ยอ๋วง ทำการไร้ธรรม วิธีปกครองบ้านเมือง บัดนี้ หากไม่เปลี่ยนจากความเลวทราม ขืนให้คนเยี่ยงนี้ปกครอง จะมั่นคงสุขสบายไม่ได้สักวันเลย"

        ไป๋กุย ชาวเมืองโจว กล่าวแก่ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ข้าพเจ้าอยากจะแก้ไขระบบภาษี จากผลผลิตยี่สิบส่วน เก็นหนึ่งส่วนเป็นค่าภาษี เป็นอย่างไร"
ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "วิธีเหมือนกับชาวเมืองเฮ๋า (อี๋ตี๋  ชนเผ่าน้อยทางเหนือ)  สมมุติว่า มีบ้านเมืองหนึ่งหมื่นหลังคาเรือน  มีเพียงคนเดียวที่ทำกระเบื้องดินเผา อย่างนี้ได้หรือไม่"   ไป๋กุยตอบว่า "ไม่ได้ อย่างนี้เครื่องกระเบื้องดินเผาจะไม่พอใช้กัน"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ชาวเมืองเฮ๋านั้น  ที่ดินไม่อาเพาะปลูกธัญพืช มีแต่ข้าวโพดเล็กน้อย ไม่มีกำแพงเมืองชั้นนอกชั้นใน ไม่มีปราสาทราชวัง  ไม่มีพิธีเซ่นไหว้ศาลบรรพชน ไม่มีเจ้าเมืองไปมาส่งบรรณาการ ไม่มีงานเลี้ยงใหญ่เลี้ยงย่อย ไม่มีการต้อนรับขับสู้ ไม่มีสินจ้างขุนนางผู้ดูแล อย่างนี้ เรียกเก็บภาษีหนึ่งส่วนของยี่สิบก็เพียงพอแล้ว

        บัดนี้  บ้านเมืองตั้งอยู่ในใจกลางแผ่นดินจีน หากเอาอย่างเมืองเฮ๋า ชนเผ่าน้อยนั้น ละทิ้งคุณสัมพันธ์อันพึงมี ระหว่างคน ละเว้นจริยประเพณี ไม่ใช้คนบริหารการปกครอง จะได้อย่างไร  คนทำกระเบื้องดินเผามีน้อย อีกทั้งไม่อาจรวมตัวเป็นบ้านเมือง  ไม่มีองค์ประมุขดูแลจัดการ จะได้อย่างไร  ฉะนั้น หากคิดจะลดน้อยภาษี ตามที่อริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น กำหนดไว้แต่เดิม  คือ ภาษีหนึ่งส่วนจากผลผลิตสิบส่วนละก็ แม้จะไม่เหมือนเมืองเฮ๋ามาก แต่ก็เหมือนระบอบการปกครองเมืองเฮ๋าบ้าง แต่หากตรงกันข้ามคือ การเพิ่มเก็บภาษีให้มากกว่าที่อริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น กำหนดไว้แต่เดิมละก็ แม้จะไม่เหมือนทรราชที่ขูดรีด ประชาชนมากนัก  แต่ก็จะเหมือนทรราชที่ขูดรีดประชาชนบ้าง"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                        ๖ 

                            บทเก้าจื่อ   ตอนท้าย

        ไป๋กุ่ย กล่าวแก่ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ข้าพเจ้าตัน (นามรองของไป๋กุย) จัดการระบบชลประทานได้ดีกว่ากษัตริย์อวี่ครั้งโบราณ"   ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ท่านผิดเสียแล้ว  ครั้งนั้น กษัตริย์อวี่ จัดการชลประทานด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ฝืนกระแสให้น้ำที่ท่วมแผ่นดินไหลลงไปรวมที่จุดบรรจบของสี่ทะเลใหญ่ (มหาสมุทร)  แต่นี่ท่านกลับเอาบ้านเมืองอื่นเป็นจุดรวมน้ำหลาก ถ้าน้ำไหลย้อนกลับ จะท่วมท้นไปทั่วแผ่นดิน  เป็นภัยใหญ่หลวงต่อบ้านเมืองอื่นยิ่งนัก น่าชังอย่างยิ่ง  สำหรับผู้มีกรุณาธรรม ที่ท่านกล่าวอวดตัวมานั้นผิดถนัด"   

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

        "กัลยาณชนผู้บริหารบ้านเมือง หากไม่สว่างใส จะปกครองได้อย่างไร"  (จวินจื่อปู๋เลี่ยง  อู้ฮูจื๋อ)  องค์ประมุขเมืองหลู่ มอบหมายให้เอวี้ยเจิ้งจื่อ ศิษย์ครูปราชญ์ บริหารการปกครองแผ่นดิน
ครูปราชญ์ว่า "ได้ยินข่าวนี้ ยินดีจนนอนไม่หลับ" 
ศิษย์กงซุนโฉ่วว่า "เอวี้ยเจิ้งจื่อ มีความสามารถด้านการปกครองนักหรือ" 
ครูปราชญ์ตอบว่า "มิได้"   ถามว่า "ถ้าเช่นนั้น มีปัญญาเห็นการณ์ไกลหรือ"   ตอบ "มิได้"  เรียนถามอีกว่า "รู้เห็นกว้างไกลหรือ" 
ครูปราชญ์ตอบว่า "ก็ไม่ใช่อีก"  ถามว่า "ถ้าเช่นนั้น  เหตุใดครูปราชญ์ท่านจึงยินดีจนนอนไม่หลับเล่า" 
ครูปราชญ์ว่า "เพราะเขาเป็นคนชอบทำแต่ความดี"ถามว่า "ชอบทำความดีเท่านั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับการบริหารบ้านเมืองกระนั้นหรือ"
ครูปราชญ์ว่า  "ชอบทำความดี มีกรุณาธรรมปกครองทั่วหล้ายังเหลือเฟือ นับอะไรกับเมืองหลู่เท่านี้" 

        นักปกครองหากชอบทำความดี เมธีทั่วหล้าแม้อยู่ห่างพันลี้ ก็ยินดีเดินทางมาเสนอนโยบายดี ๆ ให้  นักบริหารการเมือง หากมิชอบทำความดี เมธีทั่วหล้าจะพูดว่า "เขาเป็นคนอวดดี ไม่ยอมฟังปิยวาจาของใคร"  ซึ่งแม้บอกกล่าวให้ เขาก็จะตอบว่า "เรื่องนี้ข้าฯ รู้มาก่อนแล้ว"  เขาจะใช้วาจาอาการยโสกระหยิ่ม ปฏิเสธเมธีคนดี จนต้องห่างไกลไปพันลี้  เมื่อเมธีคนดีถูกปฏิเสธห่างไกลไปพันลี้ พวกประจบสอพลอก็จะกรูกันเข้ามา  เมื่อพวกประจบสอพลอกับพวกไร้สาระรวมหัวกัน จะบริหารบ้านเมืองให้ดี คงจะเป็นไปไม่ได้     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                     ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                        ๖ 

                            บทเก้าจื่อ   ตอนท้าย

        เฉินจื่อ  ศิษย์ครูปราชญ์เรียนถามบ้างว่า   "ทำอย่างไรจะให้กัลยาณชนคนก่อนเก่า (ไว้ตัวรักศักดิ์ศรี ไม่ยินดีในลาภยศ) เข้ารับราชการได้"  ครูปราชญ์ว่า  "จะให้เข้ารับราชการได้มีสามประการ จะละจากไปก็มีสามประการคือ
1.   ทางการรับรองจริงใจ
2.   กิริยาอาการให้เกียรติ  มีมารยาท
3.   กล่าวรับรองว่า  ยินดีรับฟังความคิดเห็น
     เช่นนี้ กัลยาณชนก็จะยินดีเข้ารับราชการ  มารยาทดี แต่ไม่ยอมพิจารณาความคิดเห็น ก็จะต้องละจากไป  อีกขั้นหนึ่งคือ แม้ไม่อาจใช้ข้อเสนอแนะนั้นของกัลยาณชน แต่การรับรองดูแลกิริยามารยาทยังดีอยู่ ก็รับหน้าที่ต่อไปได้ ถ้าไม่ดี จะละจาก  ... ขั้นต่ำลงมาอีกคือ ไม่ได้รับการดูแลอาหารเช้าเย็น สำนักกรมวังก็มิได้จัดสรรให้ ปล่อยให้หิวอยู่กับห้องพักจนหมดแรง  องค์ประมุขรู้เข้าจึงกล่าวว่า "ในเมื่อไม่อาจใช้ข้อเสนอแนะของเขาได้ ไม่อาจฟังความคิดเห็นของเขาได้ ปล่อยให้อดอยากอยู่ในวังอย่างนี้ เราก็น่าละอายใจ"  กรณีนี้ ถ้าองค์ประมุขยังอาทรห่วงใย เอื้อคุณให้ ก็พออยู่ต่อไปได้ แต่ก็เพียงเพื่อประทังชีวิตไว้เท่านั้น"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "อริยกษัตริย์ซุ่น สูงส่งมาจากไร่นา   มุขมนตรีฟู่เอวี้ย เป็นช่างก่อกำแพง ขลุกอยู่กับปูนทรายมาก่อนได้รับการแต่งตั้ง   มนตรี  เมธาชน  คนสำคัญของบ้านเมืองต่าง ๆ ล้วนต้องทนต่อสภาพชีวิตเคี่ยวกรำ เพื่อเตรียมรับงานใหญ่มาก่อนทั้งนั้น อาทิ

เจียวเก๋อ  ถูกค้นพบเชิดชูเมื่อขายปลาขายเกลืออยู่ในตลาด
ก่วนอี๋อู๋    ก็ถูกค้นพบเชิดชูจากลหุโทษ
ซุนสูเอ๋า   นั้นแฝงสันโดษอยู่ชายทะเล
ป๋อหลี่ซี   ขณะค้าขายอยู่ในตลาด

        ฉะนั้น  หากฟ้าเบื้องบนจะมอบภาระแก่ผู้ใด จะต้องเคี่ยวกรำ พลังใจใฝ่ดีของเขา เหนื่อยยากเคี่ยวเข็ญเอ็นกระดูกของเขา หิวกระหายแก่ร่างกายของเขา ซูบผอมแก่เนื้อหนังนั้น  ฐานะทางบ้านให้ยากจน  อลวนกับการงานไม่ราบรื่น..... เหล่านี้คือ เจตนาของฟ้าจะกระตุ้นผลักดันจิตใจ เคี่ยวกรำความอดทน เพิ่มพูนประสบการณ์ที่เขายังรับไม่ได้  คน  ยากจะหลีกพ้นความผิดพลาด จากนั้นจะปรับตัวแก้ไข ใจเคยผจญทุกข์ อุปสรรคบั่นทอน  จากนั้น จึงแกร่งกล้าแข็งขันมุ่งมั่น

เทียนเจี่ยงเจี้ยงต้าเยิ่นอวี๋ซื่อเหยินเอี่ย   ปี้เซียนขู่ฉีซินจื้อ

เหลาฉีจินกู่  เอ้อฉีถี่ฟู  คงฝาฉีเซิน

สิงฝูล่วนฉีสั่วเอว๋ย  สัวอี่ต้งซินเหยิ่นซิ่ง

เฉิงอี้ฉีสั่วปู้เหนิง  เหยินเหิงกั้ว

หยันโฮ่วเหนิงไก่  คุ่นอวี๋ซิน  เหิงอวี๋ลวี่  เอ๋อโฮ่วจั้ว

        ด้วยมหิทธานุภาพยิ่งใหญ่จากฟ้าพระผู้สร้าง ให้ความเป็นปัญญาชน  คนโง่เขลา  เที่ยงธรรมหรือทรามจริต มีริ้วรอยสีหน้าปรากฏ น้ำเสียงก็ให้แยกแยะได้  ฉะนั้น  เมื่อถูกอุปสรรคทดสอบ จึงรู้จิตใจร้ายดีของคน หากในบ้านเมือง ขาดผูรู้ดีต่อกฏระเบียบ อีกทั้งไม่มีเมธีร่วมอุ้มชู  นอกบ้านเมืองไม่มีภัยให้ระแวดระวัง อย่างนี้เรียกว่า อยู่ปลื้มลืมตัว  พอเผชิญศึกก็พ่ายแพ้  ฉะนั้น  คน  จะต้องผ่านการเคี่ยวกรำ  จึงจะรู้ว่าชีวิตได้มาจากการพากเพียร  สุขสบายไร้กังวลคือ หนทางแห่งความหายนะ"  (จือเซิงอวี๋อิวฮ่วน  เอ้อสืออวี๋อันเล่อ)

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

        "อบรมสั่งสอนคน  มีหลายวิธี เช่น  จงใจดูถูก  ไม่อยากสอนเพื่อให้เขารู้สึกกระทบเจ็บ จะได้สำนึกตัว  นี่เป็นการสอนอย่างหนึ่ง"

                             ~ จบบทเก้าจื่อ  ตอนท้าย ~       
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/12/2011, 15:56 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                     บทจิ้นซิน  ตอนต้น

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ผู้ทำดีถึงที่สุดด้วยน้ำใจ จะรู้จิตวิสัยที่ฟ้าเบื้องบนโปรดประทานไว้ให้ในตน เมื่อรู้จิตวิสัยตน (จิตญาณ) อันได้มาจากฟ้าเบื้องบนก็จะรู้ภาวะฟ้าอนุตตรธรรม"  (จิ้นฉีซินเจ่อ  จือฉีซิ่งเอี่ย  จือฉีซิ่ง  เจ๋อจื่อเทียนอี่)  ดำรงรักษาใจใสสว่างดีงามไว้ได้ ปลูกฝังจิตญาณที่ฟ้าโปรดประทานไว้ เรียกว่า เทิดทูนทำตามฟ้า  ชีวิตคนเรา ยาว - สั้น  ไม่พ้นที่จะกังวลห่วงใย ทุกคนพึงสำรวมใจ ประคองรักษาจิตญาณจากฟ้าไว้ให้คงที่ อย่าต้องตกต่ำเสียหาย รอเวลาไป เมื่อไรก็เมื่อนั้น อย่างนี้เรียกว่า "กำหนดชีวิต ปฏิการะฟ้า ถึงที่สุดแห่งความสมบูรณ์ภาระศักดิ์ศิทธิ์

ฉุนฉีซิน  หย่างฉีซิ่ง  สัวอี่ซื่อเทียนอี่

เอี่ยวโซ่วปู๋เอ้อ  ซิวเซินอี่ซื่อจือ  สัวอี่ลี่มิ่งเอี่ย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "เคราะห์ภัยวาสนา คงเป็นชะตาชีวิต จะต้องยอมรับความเที่ยงธรรมนั้น" (ม่อเฟยมิ่งเอี่ย  ซุ่นโซ่วฉีเจิ้ง)  ดังนั้น ผู้รู้ชะตาชีวิต (พิจารณาความถูกต้อง) จะไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่ข้างกำแพงล่อแหลม  คนที่ต้องตายจากการเดินให้ถูกต้องต่อทางธรรมแล้ว จึงจะนับว่าเป็นชะตาชีวิตลิขิตจากฟ้า  แต่หากปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ต้องตายภายใต้ขื่อคาโซ่ตรวน ก็จะไม่ใช่ชะตาชีวิตที่ฟ้ากำหนดมา

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ขวนขวายจะได้มา ละทิ้งจะสิ้นไป"   ขวยขวายให้ได้มาจะเป็นคุณาประโยชน์ เพราะการขวยขวายหาความดีงามถูกต้อง จิตวิสัยของตนเป็นผู้เรียกร้อง   การขวยขวายนั้นเป็นไปโดยทำนองคลองธรรม สิ่งที่ได้มาจึงเป็นวาสนาชะตาชีวิตที่ฟ้ากำหนดให้ แต่หากทำตรงกันข้าม ได้ผลตรงกันข้าม นั่นเป็นเพราะขวยขวายโดยออกหากจากจิตวิสัยดีงาม

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "สรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนพรักพร้อมอยู่แล้วสำหรับเรา หากน้อมตนพิจารณาด้วยศรัทธาจริงใจ ความสุขจะยิ่งใหญ่ไม่ประมาณ  ยิ่งกว่านั้น   ซื่อสัตย์  อภัย  ใจกว้างอย่างยิ่งเรื่อยไป การใฝ่หากรุณาธรรมจะไม่มีที่ใกล้กว่านี้อีกแล้ว"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ทำการใดไม่เข้าใจว่าถูกต้องสมควรตามหลักธรรมหรือไม่ เมื่อกลายเป็นความเคยชินแล้ว ก็จะไม่รู้จักย้อนคิดพิจารณาตน จะเป็นอย่างนี้ตลอดชีวิต  คน  ไม่รู้ความหมายของความเป็นคนนั้น ช่างมากมายเหลือเกิน"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "คน  จะปราศจากความละอายไม่ได้ เรื่องไม่น่าละอาย สำรวมระวังว่ามันน่าละอาย  ดังนี้ ชั่วชีวิตจะไม่มีที่น่าละอาย ให้ต้องละอาย"  (เหยินปู้เข่ออู๋ฉื่อ  อู๋ฉื่อจือฉื่อ  อู๋ฉื่ิออี่) 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ความละอายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคน คนที่ใช้เล่ห์เพทุบายเปลี่ยนไปมา เขาไม่ได้ใช้ความน่าละอายเลย  ไม่รู้ละอายไม่เสมอด้วยคน  จะเสมอด้วยคนได้อย่างไร" 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "องค์ประมุขเมธีก่อนกาล ชื่อชอบคุณความดีจนลืมสถานภาพอำนาจตน  เมธีชนก่อนกาลก้เช่นเดียวกัน  เมธีสุขอยู่กับภาวะธรรม จนลืมสถานภาพอำนาจขององค์ประมุขเสียด้วย  ดังนั้น หากประมุขไม่ให้เกียรติเมธี ไม่ใช้จริยะที่ประมุขพึงมีต่อขุนนางอย่างเต็มที่ ประมุขก็จะไม่อาจไปพบเมธีได้ทุกครั้ง หรือพบ ก็ไม่อาจหลายครั้ง   ดังนี้  มีหรือที่จะใช้วิริยะของข้าราชฯทั่วไปมาใช้กับเมธีได้"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนต้น

        ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวแก่ซ่งจวี้เจี้ยนว่า

        "ท่านชอบที่จะไปเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองต่าง ๆ ไหม ข้าพเจ้าจะบอกวิธีเกลื้อกล่อมให้...  สมมุติทุกคนเข้าใจความหมายที่ท่านพูด ท่านอย่าแสดงอาการกระหยิ่มยินดี  หรือหากทุกคนไม่เข้าใจที่ท่านพูด  ท่านก็อย่าแสดงอาการทุกข์ร้อน จงวางเฉย เป็นตัวของตัวเอง" 
ซ่งจวี้เจี้ยนถามว่า   "อย่างไรจึงจะไม่กระหยิ่มยินดี  ไม่ทุกข์ร้อนและวางเฉย เป็นตัวของตัวเอง"
ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "เพียงแต่เคารพต่อคุณธรรมของตน มีสุขต่อหน้าที่บนฐานของมโนธรรม ก็จะวางเฉยเป็นตัวของตัวเองได้

        ฉะนั้น  คนที่มีคุณธรรม เมื่อลำบากยากจน จะไม่สูญเสียมโนธรรมของชีวิตไป  เมื่อรุ่งเรือง ก็จะไม่สูญเสียมโนธรรมสำนึกของชีวิตไป ดังนี้ จึงอาจรัก
ษาศักดิ์ศรีของตนไว้ได้  ไม่ผิดต่อทางธรรม  ประชาชนก็ไม่ผิดหวังในตัวเรา  คนโบราณ หากถึงคราวรุ่ง ก็จะให้คุณแก่ประชาชน หรือแม้ไม่รุ่ง ก็รู้จักบำเพ็ญตน ให้คุณธรรมปรากฏไว้ในโลก ดังนั้ ถ้ายากจน ก็จงบำเพ็ญกุศลกรรม  ทำดีเฉพาะตนเฟื่องฟู จึงให้คุณความดีแก่ชาวโลกไปด้วย"  (ฉยงเจ๋อตู๋ซั่นฉีเซิน  ต๋าเจ๋อเจียนซั่นเที่ยนเซี่ย) 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "จะรอคอยการอบรมกล่อมเกลาเสียก่อน จึงจะเป็นเช่นอริยกษัตริย์เหวินอ๋วง ฟื้นฟูคุณความดีได้ นั่นคือวิสัยปุถุชน  ส่วนปรีชาชนจะเหมือนเหวินอ๋วงได้เอง

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "คนธรรมดา เกิดร่ำรวยทันที เสมอด้วยสกุลหันกับเอว้ย  (รวยมาก)  แต่เขาดูเฉยเมย มิได้เปรมปลื้ม แสดงว่าเขา เหนือคน"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ปกครองประชาราษฏร์ให้อยู่ดีมีสุข เมื่อใช้งาน แม้เหนี่อยยากยิ่งนัก เขาก็ไม่รู้สึกคับแค้น เพื่อการป้องเมืองคุ้มราษฏร์ แม้ต้องพลีชีพ เขาก็ไม่อาฆาตแค้น"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ประชาราษฏร์ใต้อำนาจอ๋องผู้พิชิต เมื่อได้รับความกรุณาจะดีใจ  ส่วนประชาราษฏร์ที่อยู่กับองค์ประมุขผู้กรุณา จะชินชากับพระคุณ  หากเพื่อป้องเมืองคุ้มราษฏร์ จำต้องคาดโทษให้เขาก็จะไม่โกรธแค้น ทรงพระกรุณาฯ ยิ่งกว่าเดิม  เขาก็มิได้รู้สึกเป็นพิเศษ แม้เขาจะมีจิตใจใฝ่ดียิ่งขึ้นเรื่อยไป เขาก็ไม่รู้เหตุอันเป็นมา  องค์ประมุขผู้กรุณา นำพาคุณธรรมมาให้โดยเขามิได้หมายรู้ จะรู้แต่พึงบูชาองค์ประมุขเสมอด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะพระองค์ประหนึ่งดินฟ้า ซึ่งต่างกับองค์ประมุขผู้ใช้อำนาจ ที่ให้สินน้ำใจเล็กน้อย ชดเชยการปกครองอันไม่เป็นธรรม"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "คำพูดที่แสดงความเมตตากรุณาต่อเขา มิสู้การกระทำที่เข้าถึงจิตใจเขาได้  การปกครองดี มิสู้การอบรมที่ทำให้ประชาราษฏร์เต็มใจเชื่อฟังทำตาม  ระบอบการปกครองดี ประชาราษฏร์จะยำเกรง  การอบรมดี ทำให้ประชาราษฏร์เคารพรัก  ระบอบการปกครองดี จะเรียกเก็บภาษีเงินทองของประชาราษฏร์ได้ง่าย  การอบรมดี จะได้จิตใจสวามิภักดิ์จากชาวประชา"   

Tags: