ปรัชญาเมิ่งจื่อ : ปราชญ์เมิ่งจื่อ
๖
บทเก้าจื่อ ตอนท้าย
ไป๋กุ่ย กล่าวแก่ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ข้าพเจ้าตัน (นามรองของไป๋กุย) จัดการระบบชลประทานได้ดีกว่ากษัตริย์อวี่ครั้งโบราณ" ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ท่านผิดเสียแล้ว ครั้งนั้น กษัตริย์อวี่ จัดการชลประทานด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ฝืนกระแสให้น้ำที่ท่วมแผ่นดินไหลลงไปรวมที่จุดบรรจบของสี่ทะเลใหญ่ (มหาสมุทร) แต่นี่ท่านกลับเอาบ้านเมืองอื่นเป็นจุดรวมน้ำหลาก ถ้าน้ำไหลย้อนกลับ จะท่วมท้นไปทั่วแผ่นดิน เป็นภัยใหญ่หลวงต่อบ้านเมืองอื่นยิ่งนัก น่าชังอย่างยิ่ง สำหรับผู้มีกรุณาธรรม ที่ท่านกล่าวอวดตัวมานั้นผิดถนัด"
ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า
"กัลยาณชนผู้บริหารบ้านเมือง หากไม่สว่างใส จะปกครองได้อย่างไร" (จวินจื่อปู๋เลี่ยง อู้ฮูจื๋อ) องค์ประมุขเมืองหลู่ มอบหมายให้เอวี้ยเจิ้งจื่อ ศิษย์ครูปราชญ์ บริหารการปกครองแผ่นดิน
ครูปราชญ์ว่า "ได้ยินข่าวนี้ ยินดีจนนอนไม่หลับ"
ศิษย์กงซุนโฉ่วว่า "เอวี้ยเจิ้งจื่อ มีความสามารถด้านการปกครองนักหรือ"
ครูปราชญ์ตอบว่า "มิได้" ถามว่า "ถ้าเช่นนั้น มีปัญญาเห็นการณ์ไกลหรือ" ตอบ "มิได้" เรียนถามอีกว่า "รู้เห็นกว้างไกลหรือ"
ครูปราชญ์ตอบว่า "ก็ไม่ใช่อีก" ถามว่า "ถ้าเช่นนั้น เหตุใดครูปราชญ์ท่านจึงยินดีจนนอนไม่หลับเล่า"
ครูปราชญ์ว่า "เพราะเขาเป็นคนชอบทำแต่ความดี"ถามว่า "ชอบทำความดีเท่านั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับการบริหารบ้านเมืองกระนั้นหรือ"
ครูปราชญ์ว่า "ชอบทำความดี มีกรุณาธรรมปกครองทั่วหล้ายังเหลือเฟือ นับอะไรกับเมืองหลู่เท่านี้"
นักปกครองหากชอบทำความดี เมธีทั่วหล้าแม้อยู่ห่างพันลี้ ก็ยินดีเดินทางมาเสนอนโยบายดี ๆ ให้ นักบริหารการเมือง หากมิชอบทำความดี เมธีทั่วหล้าจะพูดว่า "เขาเป็นคนอวดดี ไม่ยอมฟังปิยวาจาของใคร" ซึ่งแม้บอกกล่าวให้ เขาก็จะตอบว่า "เรื่องนี้ข้าฯ รู้มาก่อนแล้ว" เขาจะใช้วาจาอาการยโสกระหยิ่ม ปฏิเสธเมธีคนดี จนต้องห่างไกลไปพันลี้ เมื่อเมธีคนดีถูกปฏิเสธห่างไกลไปพันลี้ พวกประจบสอพลอก็จะกรูกันเข้ามา เมื่อพวกประจบสอพลอกับพวกไร้สาระรวมหัวกัน จะบริหารบ้านเมืองให้ดี คงจะเป็นไปไม่ได้