บัดนี้มหกรรมปล่อยสัตว์ดูเหมือนแพร่หลายออกไปมากมาย เพราะสาธุชนคนใจบุญซึ่งสงสารสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัวควายได้รับผลแห่งความสงสารมากมาย แต่แล้วสัตว์อื่นไม่มีโอกาส แม้ปล่อยสัตว์ใหญ่ด้วยการบริจาคเงินและอนุโมทนาในบุญกุศลของตนเองแล้วเดินออกมาจากลานปล่อยสัตว์ ก็สั่งลูกชิ้น ไก่ย่าง หมูย่างกินกันอย่างเอร็จอร่อย
คนใจบุญเหล่านี้ปล่อยสัตว์เพียงภายนอกเท่านั้น แลเป็นบุญกิริยที่ต้องไปเสวยผลของตนเอง และยังคงเวียนว่ายในสามภพสามภูมิไม่สิ้นสุด ส่วนการปลดปล่อยสัตว์ในความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง มิได้เป็นเพียงบูญกิริยาเท่านั้นแต่ท่านกล่าวว่า "เมื่อได้มีการสำนึกบาปชำระตัวแล้ว เราควรจะตั้งไว้ซึ่ง ปฏิญาณดัง 4 ประการต่อไปนี้....
เราขอปฏิญาณที่จะปลดปล่อยสัตว์ที่มีวิญญาณ อันมีปริมาณไม่จำกัดในใจของเรา
เราขอปฏิญาณที่จะถอนเสียซึ่งกิเลสอันมีปริมาณคณนาไม่ได้ในใจของเราเอง
เราขอปฏิญาณที่จะศึกษาระบอบธรรมอันนับไม่ถ้วนแห่งธรรมญาณของเรา
เราขอปฏิญาณที่ขะเข้าให้ถึงพุทธภาวะอันสูงสุดแห่งธรรมญาณของเรา
ตามกระแสแห่งเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งธรรมญาณของเราไปเวียนอาศัยร่างของสัตว์ในภพต่าง ๆ นั้น ย่อมก่อให้เกิด นิสัย วาสนา สันดาน ติดพันกันมาชาติแล้วชาติเล่าจนนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานจนยากที่จะถอนออกไปได้ ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมอยู่ ณ วัดเชตว้น มีชาย 5 คน เป็นเพื่อนกันเข้ามาฟังธรรม แต่ทั้ง 5 คนกลับมีอาการกริยาไม่เหมือนกันคือ นั่งหลับ นั่งเอานิ้วไชดินเล่น นั่งเขย่าต้นไม้ นั่งแหงนดูอากาศ มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่นั่งฟังด้วยความเคารพ พระอานาท์จึงทูลถาม พระพุทธองค์ได้ตรัสชี้แจงว่า....
ชายคนที่นั่งหลับเคยเกิดเป็นงูเหลือม ซึ่งปกติชอบเอาหัวพาดขนดหลับ
ชายคนที่ชอบไชดินเล่นเคยเกิดเป็นไส้เดือนซึ่งมีนิสัยไชดินเป็นขุย
ชายคนที่เขย่าต้นไม้เคยเกิดเป็นลิง เพราะนิสับลิงชอบเขย่าต้นไม้
ชายคนที่นั่งแหงนดูอากาศเคนเกิดเป็นหมอดูดาว ซึงตามปกติชอบคำนวนดูทิศทางของดวงดาวต่าง ๆ
ส่วนชายที่นั่งฟังธรรมด้วยความเคารพ เคยเกิดเป็นพราหมณ์ มีความรู้จบไตรเพท
ชายทั้ง 4 คนยกเว้นคนที่เกิดเป็นพราหมณ์ แม้อยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าย่อมไม่เห็นพระพุทธเจ้า กระแสธรรมไม่อาจเข้าถึงจิตใจของเขาได้เลย เพราะแต่ละชาติเขาหมกมุ่นอยู่แต่ราคะ ตัณหา มัวเมา มีแต่พราหมณ์เท่านั้นที่หยั่งรู้ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์และสำเร็จมิต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราพฉะนั้นการพิจารณาปลดปล่อยสัตว์มีวิญาญาณที่สิงสถิตอยู่ในจิตของเราย่อมต้องอาศัยปัญญาของตนเองพิจารณาค้นหามันให้เจอ "หายังไงดีล่ะ" "ดูนิสัยของตัวเอง ถ้าชอบกินแล้วก็นอน ย่อมเคยเป็นหมูมาแน่นอน"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "บัดนี้เราทั้งหมดได้ประกาสออกไปแล้วว่า เราปฏิญาณอันที่จะปลดปล่อยสัตว์มีวิญญาณ อันมีประมาณไม่จำกัด แต่นั่นหมายความว่าอย่างไรเล่า มันมิได้หมายความว่า อาตมาฮุ่ยเหนิงกำลังจะปลดปล่อยสัตว์นั้น และอะไรเล่าคือสัตว์มีวิญญาณเหล่านั้นอันมีอยู่ในใจของเราสัตว์เหล่านั้นคือ ใจที่หลงผิด ใจที่เป็นมายา ใจชั่วร้าย และใจอื่น ๆ ทำนองนั้น เหล่านี้ทั้งหมดเรียกว่าสัตว์มีวิญญาณ
สัตว์เหล่านี้แต่ละตัว จำจะต้องปลดปล่อยตัวมันเองโดยอาศัยอำนาจแห่งธรรมญาณของมัน แล้วการปลดปล่อยนั้นก็จะเป็นการปลดปล่อยอันเลิศแท้ แต่บรรดาชนทั้งหลายมิได้ปลดปล่อยสัตว์เพราะเขาเหล่านั้นไม่รู้จักสัตว์ในใจของตนเอง ด้วยเหตุนี้ ปุถุชนจึงถูกสัตว์ร้ายในตัวเอง ขบกัดทำลายอยู่ทุกวัน
ความไม่รู้จึงเป็นเหตุยึดเอาสัตว์มีวิญญาณทำร้านตนเองจนยาวนานข้ามภพข้ามชาติไม่สิ้นสุด พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงชี้ถึงวิธีแห่งการปลดปล่อยว่า "ในเรื่องนี้การปลดปล่อยตัวเองโดยอาศัยธรรมญาณนั่นหมายความว่าอย่างไรเล่า มันหมายถึงการหลุดรอดของสัตว์ที่โง่เขลา ที่หลงผิด ที่หลงทรมาน อันมีอยู่ในใจเราออกไปได้อาศัยสัมมาทิฏฐิโดยได้อาศัยสัมมาทิฏฐิและปัญญา สิ่งกางกั้นต่าง ๆ ที่สัตว์ผู้ไร้ความรู้และรู้ผิดเหล่านั้นแต่ละตัวจะอยู่ในฐานะที่จะปลดปล่อยตัวเองออกไปได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัว
ความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงบอกวิธีแห่งการปลดปล่อยว่า ผู้ผิดจงปลดปล่อยตัวเองด้วยอาศัยความถูก ผู้รู้ผิดจึงปลดปล่อยตัวเองด้วยอาสํยความรู้แจ้ง ผู้ไม่รู้ต้องอาศัยปัญญา และผู้ที่เต็มไปด้วยโทษต้องอาศัยคุณ จึงเป็นการปลดปล่อยอันเลิศแท้ ถ้าไม่ปลดปล่อยสัตว์มีวิญญาณนี้มันก็ฆ่าตัวเองไปชาติแล้วชาติเล่า