collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : คำนำ  (อ่าน 44162 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ตรีกาย อันหมายถึง กายทั้งสามของพระพุทธเจ้านั้น ธรรมกายและสัมโภคกาย ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยนัยตาเนื้อ แต่นิรมานกายเป็นกายเนื้อที่มองเห็นได้ แต่ที่ทำความเข้าใจกันยากก็อยู่ที่ว่า เหตุไฉนจึงมีมากมายนับด้วยหมื่นแสน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงให้คำอธิบายว่า "อะไรเล่าได้ชื่อว่า นิรมานกายอันมากมายนับด้วยหมื่นแสน เมื่อใดที่ทำตัวเรา ให้เข้ามาอยู่ในฝักฝ่ายของความรู้จักแบ่งแยกว่าอะไรเป็นฝ่ายไหน และรู้จักระบุออกไปว่า อะไรเป็นสิ่งที่ควรต้องการได้แม้แต่เพียงนิดเดียวเท่านั้น เมื่อครั้นความเปลี่ยนแปลงรูปร่างก็จะเกิดขึ้นถ้าผิดไปจากนี้ สิ่งทุกสิ่งก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนกับอวกาศ ดังเช่นที่มันเป็นอยู่ในตัวมันเองมาแต่เดิม โดยการโอนอิงจิตของเราลงไปบนความชั่วนรกก็เกิดขึ้น โดยการโอนอิงจิตของเราลงไปบนการกระทำความดี สวรรค์ก็ปรากฏ
     การกำเนิด รูปธรรม และ นามธรรม แท้ที่จริงล้วนก่อขึ้นมาจากธรรมญาณ ที่ไหวตัวด้วยเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งทั้งสิ้น นรก และ สวรรค์ ล้วนถือกำเนิดจากการสร้างของมนุษย์ทั้งมวลด้วยความคิดดีหรือชั่ว ดังคำกล่าวที่ว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ เป็นปฐมเหตุแห่งการสร้างนรกจริงและสวรรค์จริง ถ้าตัดเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งธรรมญาณได้ สวรรค์ และ นรก ก็ปราศนาการหาปรากฏไม่  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "มังกรและงูร้าย คือการแปลงร่างมาเกิดของเวรภัยอันมีพิษ เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ก็คือ ตัวตนของความเมตตากรุณา จับกลุ่มกันมาเกิด ซึกบนคือ ปัญญาซึ่งจับตัวกันเป็นผนึกส่องแสงจ้าอยู่ ในขณะที่โลกซีกล่างเป็นเพียงอีกรูปหนึ่งของสิ่งที่ก่อรูปมาจากอวิชชาและความมัวเมาการเปลี่ยนรูปแปลงร่างของธรรมญาณช่างมีมากมายเสียจริง ๆ "
    พระวจนะตอนนี้น่าพิจารณาถึงเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งให้การเวียนว่ายของธรรมญาณ ที่ได้สร้างกรงขังให้แก่ตนเองแต่ละภพแต่ละชาติแตกต่างกันไปตามแต่สภาวะแห่งจิตที่สร้างเหตุแห่งกรรมเอาไว้ "ชาตินี้กินหมู ฆ่าหมู แน่นอนชาติต่อไปย่อมได้กรงขังเป็นหมู" มนุษย์ไม่รู้จัก ธรรมญาณ ของตนเองเพราะฉะนั้นการเวียนว่ายจึงสร้างกรงขัง ธรรมญาณ ด้วยรูปลักษณ์แตกต่างกันจนประมาณมิได้ แต่เมื่อ ธรรมญาณ ตกลงมาสู่โลกนี้ย่อมอยู่ภายใต้อิทธิพลของ ดี และ ชั่ว มืด และ สว่าง มีปัญญาและมืดมัว เพราะฉะนั้นผู้ที่คงสภาวะแห่งความเมตตา กรุณา เอาไว้ได้ในทุกกาลเวลาย่อมได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ในขณะเดียวกันการหมุนเวียนแห่งวัฏจักรย่อมทำให้เกิดความแปรเปลี่ยนไม่รู้จักจบสิ้น พระโพธิสัตว์จึงมีรูปลักษณ์มากมายจนประมาณมิได้เช่นกันไม่ว่ามนุษย์ หรือ สัตว์ถ้าคงความเมตตากรุณาเอาไว้ได้ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์
    พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "พวกที่ตกอยู่ภายใต้ความหลงก็ไม่มีวันตื่นและไม่มีวันเข้าใจ เขาจึงน้อมใจลงสู่ความชั่วเสมอและประพฤติความชั่วนั้นเป็นปรกติวิสัย แต่ถ้าเขาน้อมจิตเลี้ยวจากความชั่วมายังความดีงาม แม้เพียงสักขณะจิตเดียวเท่านั้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้นทันที นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า นิรมานกายของพระพุทธเจ้าแห่ง ธรรมญาณ" นิรมานกาย นี้ย่อมหมายถึงการแปรเปลี่ยนแห่งธรรมญาณแต่มุ่งตรงไปสู่สัจธรรมอันพ้นไปจากวิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเป็นการปฏิบัติทางจิตแห่งพระพุทธะนั่นเอง
   พระธรรมาจารย์สรุปเอาไว้อย่างแจ้งชัดว่า "ธรรมกาย คือสิ่งซึ่งมีความเต็มเปี่ยมอยู่ในตัวเองอย่างแท้จริง  สัมโภคกายคือการเห็นอยู่อย่างเผชิญหน้ากับธรรมญาณของตนอยู่ในทุกขณะจิต นิรมานกายคือการเอนอิงจิตของเราลงไปที่สัมโภคกายจนเกิดปัญญาสว่างไสว" เพราะฉะนั้น ตรีกาย ของท่านฮุ่ยเหนิงจึงรวบสรุปอยู่ที่ ธรรมญาณ ของตนเองทั้งสิ้น มิได้อยู่ที่นอกตัวเราเลย ซึ่งเป็นการยอมรับว่า มนุษย์ทุกรูปสามารถบำเพ็ญปฏิบัติให้บรรลุซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณและเป็นพระพุทธเจ้าได้ทุกคนไป แต่มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นและไม่ศรัทธาต่อตนเองว่า มีทุกอย่างเยี่ยงเดียวกับพระพุทธองค์ ผิดกันแต่เพียง ปณิธานความตั้งใจเท่านั้น
    พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงยืนยันความข้อนี้เอาไว้ว่า "การปฏิบัติให้ลุถึงการตรัสรู้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง และการปฏิบัติความดีงาม ตามที่มีอยู่ในธรรมญาณของตนเองนั่นแหละคือสิ่งที่ดีเลิศของการ ถือที่พึ่ง" กายเนื้อของเราประกอบไปด้วยเนื้อหนังมันจึงมีประโยชน์ไม่มากไปกว่าเป็นที่อาศัยพักแรมชั่วคราว ดังนั้นมันจึงเป็นที่พึ่งมิได้ แต่เราจงพยายามให้เห็นแจ้งในตรีกายแห่งธรรมญาณของเราเถิดและเรารู้จักพระพุทธเจ้าแห่งธรรมญาณของเราเอง การพึ่งพาแต่ภายนอกธรรมญาณของตนเองจึงกลายเป็นคนโง่หลงงมงาย เพราะแม้แต่กายของเรายังพึ่งไม่ได้เลยเพราะฉะนั้นนอกตัวเราจึงมิใช่ที่พึ่งอันเกษมความหมายอันแท้จริงที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ "ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน" จึงมีความเป็นไปเช่นนี้แล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      มีคนเป็นจำนวนมากสำคัญผิดคิดว่า เป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำบุญตักบาตรถือศีล ฟังธรรม ก็จัดว่าเป็นคนดี คนดีที่ชอบทำบุญไม่เคยคิดด้วยซ้ำไปว่า ขณะที่กำลังทำบุญอยู่นั้นได้สร้างบาปให้แก่ตัวเองด้วย ตัวอย่างเช่น ยกเงินหนึ่งร้อยบาทขึ้นจบด้วยการพึมพัมขอบุญกุศลมากมายว่า "เจ้าประคู้ณ ขอให้ได้วิมานแก้วในชาติหน้า" เงินทำบุญเพียงหนึ่งร้อยบาทแต่ขอตอบแทนตั้งหลายหมื่นเท่าเช่นนี้นับว่าลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมากเกินเหตุ "อย่างนี้จัดว่าโลภมากไหม" "ความโลภย่อมเป็นบาปมิใช่หรือ" และที่น่าสงสารนักเราสั่งสอนให้โลภกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา เพราะฉะนั้นคนดีจึงติดบ่วงบาปจนต้องเวียนว่ายไปไม่มีที่สิ้นสุดในวัฏสงสาร  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "อาตมา มีโศลก อันไม่เกี่ยวกับรูปธรรม อยู่บทหนึ่งซึ่งการท่องและการปฏิบัติตามโศลกบทนี้ จักสามารถถอนอวิชชาให้สูญไปและชำระล้างบาป อันได้สะสมอบรมมานานนับด้วยกัลป์ ฯ ได้โดยสิ้นเชิง"
    ทำบุญแล้วคิดว่าเป็นผลได้ของตนเอง จึงจัดเป็นอวิชชาอย่างหนึ่งเพราะไม่รู้ว่า การทำบุญเช่นนี้เป็นการสั่งสมบาปเวรภัยให้แก่ตนเองโดยแท้ คนที่ชอบสร้างบุญเพราะความโลภ ความหลงเพราะไม่รู้ว่าการเวียนเกิดไปรับบุญของตนเองนั้นอาจมิใช่กายมนึษย์ไปรับบุญก็ได้...เศรษฐีคนหนึ่งบริจาคเงินสร้างเสากลางศาลาฟังธรรมโดยตกแต่งเสาต้นนั้นวิจิตรพิศดารนัก ครั้งใดที่นั่งทำบุญฟังธรรมก็จะเฝ้าแจอยู่ข้างเสาของตน แม้ใครล่วงล้ำเข้ามาใกล้เสาก็จะตะเพิดไล่ออกไป "นี่เธอไม่ได้บริจาคเสาต้นนี้นะ จงถอยออกไปไกล ๆ " ครั้นถึงเวลาสิ้นบุญเศรษฐีก็ตายไป ชนทั้งหลายก็ยังอยากนั่งใกล้เสาของเศรษฐี จึงพากันมาห้อมล้อม นั่งอยู่ใกล้เสานี้ทุกครั้งที่มาทำบุญ มิช้ามินานมีหมาตัวหนึ่งวิ่งขึ้นมาบนศาลาเห่าและกัดทุกคนที่นั่งข้างเสา และมันก็นั่งเฝ้าเสานี้จนไม่มีใครกล้าเข้าไปนั่งข้างเสานี้อีกเลย "ใครเล่ามาเฝ้าบุญของตนเอง ถ้ามิใช่เศรษฐีคนนั้น"
    พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวถึงคนพวกนี้ว่า "พวกที่จมอยู่ในความโง่เขลา ย่อมมัวแต่สะสมบุญอันแปดเปื้อนไปด้วยการลูบคลำของตัณหาและทิฏฐิ  จึงไม่ไต่ไปตามมรรคปฏิปทา พวกนี้ตกอยู่ในความรู้สึกว่า การสะสมบุญกับการไต่ไปตามมรรคปฏิปทานั้น เป็นของสิ่งเดียวและอย่างเดียวกัน แม้ว่าบุญของคนพวกนี้อันเกิดจากการให้ทานและบูชาจะมีมากมายหาประมาณมิได้ เขาก็ไม่เห็นแจ้งว่า วิถีทางมาอันฌแียบขาดของบาปนั้นเนื่องอยู่กับมูลธาตุอันมีพิษร้ายสามประการ คือ โลภ โกรธ หลง อันมีอยู่ในใจของตนเอง เขาคิดว่าเขาจะเปลื้องบาปของเขาได้ด้วยการสะสมบุญ เขาหารู้ไม่ว่า ความสุขที่จะได้รับในชาติข้างหน้านั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการเปลื้องบาปนั้นเลย" ความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงก็คือ บาปก็คือบาป บุญก็คือบุญ  เอามาหักล้างลบหนี้มิได้เลย เพราะเกิดความเข้าใจผิด ผู้สร้างบุญจึงคิดว่า ทำบุญมาก ๆ ก็สามารถลบล้างความชั่วบาปของตนได้ คนชั่วบาปจึงระดมทำบุญเป็นการใหญ่ บวชล้างบาป สังฆทานสะเดาะเคราะห์ ทำบุญต่ออายุ พิธีกรรมเหล่านี้จึงเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับบาปเวรที่ตนเองสะสมเอาไว้เลย พิธีกรรมทั้งปวงทำด้วยกาย แต่บาปเวรกรรมอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นจึงเป็นคนละเรื่องเดียวกันจริง ๆ
   พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปอีกว่า "ทำไมจึงไม่เปลื้องบาปภายในใจของตนเอง เพราะนั่นเป็นการชำระบาปภายในใธรรมญาณอย่างแท้จริง คนบาปที่ได้มีความเห็นแจ้งขึ้นในทันทีทันใด ว่าอะไรนำมาซึ่งการสำนึกบาปอย่างแท้จริง ตามวิถีของมหายาน และได้เลิกละเด็ดขาดจากการทำบาป ทำแต่ความดีนี่แหละคือ ผู้หมดบาป  ผู้ที่ไต่ไปตามมรรคปฏิปทา ซึ่งกำหนดในธรรมญาณอยู่เนืองนิจนั้น ควรถูกจัดเข้าในชั้นระดับเดียวกันกับพุทธบุคคลอันมีประเภทต่าง ๆ   พระสังฆปรินายกของเราที่แล้ว ๆ มาไม่ค่อยสอนระบอบธรรมอย่างอื่นเลย นอกจากระบบ "ฉับพลัน" นี้เท่านั้น
   ขอให้ผู้ปฏิบัติตามระบบนี้ทุกคน จงเห็นอย่างเผชิญหน้าต่อธรรมญาณของตน และอยู่กับพระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้ในทันที  การละบาปจึงละกันที่ "จิต" ของตน มากกว่าการละด้วยพิธีกรรมทั้งปวงที่ไร้สาระ ถ้ายังคงแวะอยู่ก็หนีไม่พ้น "คนดีที่มีบาป" นั่นแล
 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        บรรดาผู้ปฏิบัติธรรมแสวงหาหนทางแห่งความหลุดพ้นไปจากโลกีย์วิสัยมักหลงทางเสียตั้งแต่แรก ที่เกิดความซาบซึ้งรูปและเสียงของอาจารย์ผู้บอกหนทาง สีกาผู้อมทุกข์รายหนึ่งบากหน้าเข้าวัดเพื่อฟังธรรมจากพระอาจารย์เพื่อหวังพ้นไปจากทุกข์ที่รุมเร้าอยู้ด้วยเรื่องของครอบครัว "ทุกอย่างต้องปล่อยวางนะโยม"เสียงของพระอาจารย์แสนสงบเยือกเย็น สีกา ซาบซ่านด้วยมธุรสวาจาจิตใจปลอดโปร่งสบายนัก ครั้นกลับไปถึงบ้าน เสียงที่ไม่อยากฟัง อาการครึ้งเครียดโกรธเกรี้ยวกลับหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเก่า เพราะ "เสียงจากวัด" ตัดกับเสียงที่บ้านเหมือนสีขาวตัดกับสีดำความทุกข์จึงทับเท่าทวีคูณ จิตใจของสีกาจึงถวิลหา วัด มากกว่า บ้าน อาการเช่นนี้จึงไม่ต่างอะไรกับวัยรุ่นที่คลั่งไคล้นักร้อง ดิ้น และกรีดร้องด้วยความมันสะใจ สีกาที่ติด เสียง และ รูป ของพระจึงมิได้เห็นธรรมะอันแท้จริง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า "ถ้าท่านแสวงหาธรรมกาย ก็จงมองให้สูงเหนือขึ้นไปจากภาวะธรรมทั้งปวง แล้วธรรมญาณของท่านก็จักบริสุทธิ์ จงตั้งตัวมั่นในความมุ่งหมายที่เห็นธรรมญาณอย่างเผชิญหน้าอย่าถอยหลัง เพราะความตายอาจมาถึงโดยปัจจุบันและทำให้ชีวิตในโลกนี้ของท่านให้สิ้นสุดลงโดยทันที
     ผู้ที่เข้าใจคำสอนตามหลักแห่งมหายานและอยู่ในฐานะที่จะมองเห็นธรรมญานแท้เช่นนี้ ควรจะกระพุ่มมือทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างนอบน้อมแล้วแสวงหาธรรมกายด้วยความกระตือรือร้นเถิด ความหมายแห่งโแลกนี้มีจุดหมายอยู่ที่การปล่อยวางทั้งความดีและความชั่วอันเป็นภาวะธรรมดาของทุกอย่างในโกลนี้ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งของที่มองเห็นได้หรือเป็นอารมณ์ที่มองไม่เห็นก็ตามตราบใดที่จิตยังมุ่งอยู่แต่ "สุข" หรือ "ทุกข์" จิตนั้นย่อมข้องเกี่ยวร้อยรัดแต่ "ทุกข์" หรือ "สุข" เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจเข้าถึงสภาวะแห่งธรรมญาณ ของตนเองได้
     เมื่อธรรมญาณถูกย้อมด้วย ดี หรือ ชั่ว เสียแล้วก็อย่าหมายว่าจะเห็นหน้าตาตัวจริงของตนเองได้เลย ผู้ปฏิบัติธรรมเช่นนี้จึงเห็นแต่หน้า "พระอาจารย์" และได้ยินเสียงที่ตนเองปรารถนาและอาการหนักหนาสาหัสถึงขนาดฝันถึงยิ่งตอกย้ำให้อาการยึดมั่นถือมั่นว่าพระอาจารย์เป็นที่พึ่งอันวิเศษสุดอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจึงต้องตั้งสติพิจารณาให้เห็นสัจธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมกายภายในจิตของตนเอง ผู้มีสติเต็มเปี่ยมจึงเป็นผู้ที่นอบน้อมถ่อมใจ ส่วนผู้ไร้สติย่อมปล่อยให้อาการจิตคลั่ง สำแดงออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวด่าทอประนามผู้อื่น ยกตนข่มท่าน ดูแคลนผู้อื่นต่ำต้อยกว่าตนเอง อาการที่สำแดงออกมาทั้งทางวาจาและกริยาล้วนเป็นเรื่องของอารมณ์แต่เพียงอย่างเดียว บุคคลเหล่านี้จึงได้ชื่อว่าเป็นปุถุชน มิใช่ผู้ปฏิบัติหาหนทางแห่งความหลุดพ้นไปจากอารมณ์ของโลก
     พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง กล่าวเสริมว่า "ท่านทั้งหลายควรสาธยายโศลกนี้และปฏิบัติตาม ถ้าท่านมองเห็นธรรมญาฯของท่านภายหลังจากที่สาธยายแล้ว ท่านก็จะเห็นได้เองว่า ท่านได้อยู่เฉพาะหน้าของอาตามตลอดไป แม้ว่าจะอยู่ห่างไปตั้งพัน ๆ ไมล์ แต่ถ้าท่านไม่สามารถทำได้ แม้เราจะอยู่จ่อหน้ากันอย่างนี้โดยที่แท้เราก็อยู่ห่างกันตั้งพันๆ ไมล์นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใในการที่ท่านทรมานเดินทางมาถึงที่นี่ จากที่อันไกลแสนไกล คำกล่าวของท่านฮุ่ยเหนิงได้ชี้ย้ำให้เห็นสัจธรรมเช่นเดียวที่พระพุทธองค์เคยตรัสเป็นพุทธภาษิตเอาไว้ว่า "ผู้ใดดวงตาเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าเห็นตถาคต ผู้ใดดวงตาไม่เห็นธรรม แม้เกาะจีวรของตถาคตอยู่ ผู้นั้นได้ชื่อว่าไม่เห็นตถาคต"
    อาการของสีกาผู้คลั่ง พระอาจารย์ย่อมเห็นแต่ความดีงามของพระอาจารย์สถานเดียว แม้ความดีงามล้วนปรุงแต่งจัดฉาก จัดหน้า จัดรอยยิ้ม สีกา ก็เห็นแต่เพียงหน้ากากที่สวมใส่เอาไว้เท่านั้น และหากพระอาจารย์นั้นมีผู้นิยมคลั้งไคล้มาก หน้ากากที่สวมไว้ยิ่งหนาแน่นอยู่ในใจของปุถุชนเหล่านั้นจนยากที่จะขูดออกไปได้ คนเหล่านี้จึงมิได้เห็นหน้าตาอันแท้จริงของพระอาจารย์ แม้นั่งเฝ้ากันทั้งวันทั้งคืน ส่วนคนที่ตนเองรังเกียจก็ไม่ยอมเห็นความดีที่แฝงอยู่ในตัวของคนนั้น ดังโคลงโลกนิติ์ที่ว่า "รักกันอยู่ขอบฟ้า          เขาเขียว
                                       เสมออยู่หอแห่งเดียว   ร่วมห้อง
                                       ชังกันบ่แลเหลียว        ตาต่อกันนา
                                       เหมือนขอบฟ้ามาป้อง   ป่าไม้มาบัง
          เพราะฉะนั้น ไม่ว่า รัก หรือ ชัง แม้อยู่ต่อหน้าก็ย่อมไม่เห็นหน้าอันแท้จริง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       สาธุชนผู้แสวงหาหนทางหลุดพ้นไปจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง แต่ที่ไม่อาจพบธรรมญาณของตนได้ เพราะมีกำแพงขวางกั้น บางคนติดพระพุทธรูป บางคนติดพระธรรมคำสอน บางคนติดพระสงฆ์ และมีคนเป็นจำนวนมากติดอยู่กับคัมภีร์ โดยยึดถือว่า สิ่งที่กล่าวไว้ในคัมภีร์คือ สัจธรรม ที่ถูกต้องยิ่งตนเองคล่องแคล่วในคัมภีร์ทั้งปวงยิ่งกลายเป็น ติดปัญญา ของตนเองโดยที่ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ลืมนึกถึง กาลามสูตร ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ ณ หมู่บ้าน กาลามะ หนึ่งในสิบข้อนั้นคือ "อย่ายึดถือเพราะเห็นเป็นตำรา"
      เมื่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกลับมาถึงตำบลเฉาโหวแห่งเมืองเซ่าโจวจากหวงเหมย แม้จะเป็นสถานที่เดิม ที่ท่านได้รับถ่ายทอดวิธีจิตจากพระธรรมาจารย์หงเหยิ่น ท่านก็ยังเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีใครรู้จัก ผู้ที่ต้อนรับเลี้ยงดูท่านอย่างดีกลับเป็นนักศึกษาแห่งลัทธิขงจื้อ ซึ่งมีนามว่า "หลิวจื้อเลี่ย" นักศึกษาผู้นี้มีน้าสาวชื่อว่า "อู๋จิ้นฉัง" บวชเป็นภิกษุณีอยู่ในพระพุทธศาสนา และชอบสาธยายมนต์มหาปรินิรวาณสูตรอยู่เป็นนิจ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ยินการสาธยายมนต์นี้เพีัยงเล็กน้อยก็สามารถจับเอาใจความแห่งพระสูตรนี้มาอธิบายให้นักบวชผู้นี้อย่างลึกซึ้ง
      ภิกษุณิ อู๋จิ้นฉัง จึงได้หยิบคัมภีร์ขึ้นมาถาม ความหมายของข้อความตอนหนึ่ง แต่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกลับตอบว่า ""อาตมาไม่รู้จักหนังสือ แต่ถ้าท่านประสงค์จะทราบใจความแห่งพระคัมภีร์นี้ จงถามเถิด"" ""เอ๊ะ เมื่อท่านไม่รู้จักแม้แต่ถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ท่านจะสามารถทราบถึงความหมายแห่งตัวสูตรได้อย่างไรเล่า"" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบภิกษุณีอู๋จิ้นฉังว่า "ความลึกซึ้งแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เกี่ยวอะไรกันเลยกับภาษาที่เขียนด้วยหนังสือ" ความหมายแห่งคำตอบนี้เป็นการทำลายกำแพงแห่งความเข้าใจของภิกษุณีอู๋จิ้นฉัง ที่ติดยึดอยู่กับคัมภีร์ ลงไปได้ ประกายปัญญาของภิกษุณีรูปนี้จึงสว่างไสวและรู้ได้ด้วยพระธรรมาจารย์มิใช่พระภิกษุอย่างธรรมดาสามัญ ท่านจึงได้บอกเล่าแก่ชนทั้งหลายว่า พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเป็นพระอริยบุคคล สมควรที่จะขอร้องให้ท่านพักอยู่ที่นี่เพื่อถวายอาหารและที่พักอาศัย คำตอบของพระธรรมาจารย์ฮู่ยเหนิง ถ้านำเอาคำกล่าวของท่านเหลาจื้อที่กล่าวถึงคำว่า "เต๋า" มาอธิบายเทียบเคียงแล้วก็จะเห็นเป็นความจริงที่สอดคล้องกันว่า "เต๋า" นั้นไร้รูปไร้นาม ไม่อาจนำเอาถ้อยคำมาอธิบายได้จบสิ้น เพราะฉะนั้น จึงขนานนามเอาไว้ด้วยความจำเป็นว่า "เต๋า" ไปพลางก่อน ความลึกซึ้งแห่ง ธรรมะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาษาของมนุษย์เพราะภาษายังมีขีดจำกัดของการอธิบายความหมาย เพราะเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงกล่าวว่า "อย่าเชื่อถือเพราะเห็นเป็นตำรา"
     นอกจากนี้หากนำเอาความรู้สึก "รัก  โกรธ  ดีใจ เสียใจ" ของเรามาพิจารณาก็เห็นความเป็นจริง อาการเหล่านี้มิอาจหาภาษามาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งถึงความรู้สึกอันแท้จริง นอกจากตัวเราเองเท่านั้นที่เข้าใจและรู้ซึ้งอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นความหมายอันลึกซึ้งและกว้างขวางแห่งพระธรรมจึงกว้างใหญ่ไพศาลจนภาษาของคนยังมีขีดจำกัดไม่อาจอธิบายความหมายนั้นได้อย่างครบถ้วน ผู้ที่ติดยึดอยู่ในคัมภีร์ทั้งปวง จึงมีกำแพงมาขวางกั้นหนทางที่จะไปพบธรรมญาณของตนเอง ซึ่งกว้างใหญ่จนไม่อาจใช้ภาษามาให้คำจำกัดความได้ การเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของพระสูตร จึงไม่เกี่ยวข้องกับภาษาอะไรเลย
     ต่อมามีขุนนางอู่ ซึ่งเป็นเชื้อสายแห่งราชวงศ์เอว้ย ผู้หนึ่ง มีนามว่า เฉาสูเหลียง ได้มาเฝ้าพระธรรมาจารย์พร้อมชาวบ้านจำนวนหนึ่ง เกิดศรัทธาปลาทะจึงได้ช่วยบูรณะวัดป่าหลิน อันเป็นวักเก่าแก่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งร้างไปเพราะภัยสงครามสมัยปลายราชวงศ์สุย และได้ขอร้องให้พระธรรมาจารย์อาศัยอยู่ประจำ ไม่นานักก็กลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมาก  แต่ท่านก็ยังมีศรัตรูผู้หมายปองร้าย เพราะคนเหล่านี้ล้วนติดยึดอญุ่กับรูปลักษณ์อัตตาตัวตนของตน จึงหมายล้างผลาญท่าน ด้วยหมายที่จะช่วงชิงตำแหน่งพระธรรมาจารย์โดยคิดอย่างไร้ปัญญาว่า เมื่อสิ้นท่านฮุ่ยเหนิงแล้ว ตำแหน่งนี้จะตกอยู่ในกำมือของพวกตน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอญุ่ที่วัดเป่าหลินได้เก้าเดือนก็ต้องไปหลบซ่อนอยู่ยังภูเขาใกล้ ๆ  แต่คนร้ายก็ใช้ไฟเผาป่า แต่ท่านหนีรอดไปหลบอยู่ที่ชะง่อนผา ซึ่งต่อมาได้นามว่า "ภูเขาแห่งความปลอดภัย" มีรอยคุกเข่าและลายเนื้อผ้าปรากฏอยู่บนแผ่นหินจนบัดนี้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       นักปฏิบัติธรรมมักเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าต้องนุ่งขาวห่มขาว นั่งสมาธิ ถือศีล ฟังธรรม ปรนนิบัติพระอาจารย์ พ้นไปจากการกระทำเช่นนี้มิใช่ผู้ปฏิบัติธรรมใครที่มีความคิดที่กระทำเช่นนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติแต่เพียงเปลือกนอก เท่านั้น การปฏิบัติที่แท้จริงต้องปฏิบัติที่ "จิต" แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นอีกด้วยคิดว่าการทำให้จิตนิ่งสงบเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าจิตนิ่งอยู่ในความชั่วก็ไร้ประโยชน์เพราะมิได้ถอนรากถอนโคลนแห่งความชั่วทิ้งไป จึงมิใช่การปฏิบัติธรรม ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวเอาไว้ว่า "การปฏิบัติธรรม คือ การปฏิบัติหน้าที่ "  ถ้าโจรทำตามหน้าที่ของโจรได้ชื่อปฏิบัติธรรมหรือไม่" ปุจฉา "แน่นอนย่อมเป็นการปฏิบัติธรรม แต่เป็นอธรรม "วิสัชนา
      เมื่อครั้งที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกลับไปยังวัดเป่าหลิน พระภิกษุรูปหนึ่งนามว่า ฝาไห่ ซึ่งเป็นชาวบ้านฉวี่กงปห่งเมืองเช่าโจว ได้ถามถึงความหมายของคำว่า "ใจคือสิ่งใด พุทธะคือสิ่งนั้น" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า "การไม่ปล่อยให้ความคิดที่ผ่านไปแล้วกลับเกิดขึ้นมาใหม่นี่คือ ใจ  การที่ไม่ปล่อยให้ความคิดที่กำลังจะเกิด ถูกทำลายลงไปเสีย นี่คือ พุทธะ  การแสดงออกซึ่งปรากฏการณ์ทุกชนิดนี่คือ ใจ การเป็นอิสระจากรูปธรรมทั้งปวงนี่คือ พุทธะ
      คำตอบของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมีความหมายชัดเจนที่สามารถอธิบายได้ด้วยการเปรียบเทียบกับกระจก สิ่งที่ผ่านกระจกเงาไปแล้วย่อมเลยไป เพราะฉะนั้น ใจ จึงเป็นความสงบนิ่ง แต่ถ้าบันทึกทุกอย่างเอาไว้ โดยไม่ยอมให้ผ่านไปเหมือนเครื่องถ่ายเอกสาร สภาวะเช่นนั้นจึงเป็นเสมือน จิต ที่สั่งสมเอาไว้ทั้ง ดี แล ชั่ว ความรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบต่อ ใจ โดยไม่จำเป็นต้องทำลายสิ่งนั้นทิ้งไป เพียงแต่ไม่ผูกพันจึงเรียกว่า พุทธะ ซึ่งมีความหมายถึง ผู้รู้ เท่าทันต่อทุกอย่างที่เข้ามาพัวพันกับ ธรรมญาณ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า อาการแห่งการรู้ทันจึงเป็น สติ
     พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "ถ้าข้าพเจ้าจะอธิบายแก่ท่านให้ครบถ้วนทุกกระบวนความ เรื่องที่นำมาพูดก็จะไม่จบสิ้นลงไปได้แม้จะใช้เวลาอธิบายสักกัปป์หนึ่ง ดังนั้น จงฟังโฉลกของข้าพเจ้าดีกว่า "" ปํญญา คือ สิ่งที่ใจเป็น"" ""สมาธิ คือ สิ่งที่พุทธะเป็น"" ในการบำเพ็ญ ปัญญา และสมาธิ ต้องให้แต่ละอย่างลงจังหวะต่อกันและกัน แล้วความคิดของเราก็จะบริสุทธิ์ คำสอนนี้จะเข้าใจได้ก็แต่โดยการ "ประพฤติดูจนช่ำชอง" ที่ว่าสมาธิตั้งมั่นนั้น ที่จริงก็ไม่ใช่สมาธิอะไรเลย คำสอนที่ถูกต้องนั่นคือ ให้บำเพ็ญปัญญาคู่กันไปกับสมาธิโดยไม่แยกกัน"
    ความหมายแห่งโฉลกนี้ได้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงของธรรมญาณที่แสดงบทบาทตามถาวะแวดล้อมที่เข้าไปกระทบด้วยการรับรู้ทุกอย่าง แต่ไม่มีอาการเคลื่อนไหวเพราะแยกแยะออกได้ตามหลักสัจธรรมที่ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าเป็น รูป หรือ นาม ล้วนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความดี และ ความชั่ว และมีสติตัดความผูกพันร้อยรัดได้จึงจัดว่าเป็นพุทธะได้ การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง คือ การทำหน้าที่ของพุทธะรู้เท่าทันทุกอย่างและไม่ตกไปข้างใดข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้นการปฏิบัติหน้าที่การงานทุกชนิดจึงเป็นเสมือนหนึ่งการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงเพราะ พุทธจิตรู้เท่าทันไม่พาตนเองตกไปสู่อบายภูมิ การปฏิบัติธรรมคือ การกระทำทุกขั้นตอนตามหน้าที่ที่แท้จริงของธรรมญาณ ที่ปราศจากกิเลสทั้งปวงนั่นเอง ถ้ามัวแต่นั่งหลับตาจะเห็นกิเลสที่ตรงไหน เมื่อภิกษุฝาไห่ได้ฟังจึงเกิดความสว่างไสวดวงตามองเห็นธรรมจึงได้กล่าวสรรเสริญพระธรรมาจารย์ว่า "ใจคือสิ่งใด พุทธะคือสิ่งนั้น นี่เป็นความจริงเสียจริงๆ แต่ข้าพเจ้ามัวไปปราบพยศของอตัวเองทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจมัน บัดนี้ข้าพเจ้ารู้เหตุอันเป็นประธานของปัญญาและสมาธิ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ ข้าพเจ้าจักบำเพ็ญเพื่อเปลื้องตัวเสียจากรูปธรรมทั้งหลาย
     ผู้ปฏิบัติอันมากจึงเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ที่ไปกำหราบ จิต ด้วยการบังคับให้ จิต นิ่ง ซึ่ง ธรรมญาณ มิได้ทำการงานอันใดอันก่อให้เกิด บุญกุศลที่แท้จริง ผู้ที่พยายามปราบจิตของตนเองจึงเป็นเพียงผู่ที่ "ตาบอดคลำช้าง" เพราะเขายังไม่รู้จักช้าง และที่น่าสังเวชใจก็คือเอาความเข้าใจผิดโฆษณาชักชวนให้คนทั้งหลายมาเข้าใจและปฏิบัติตาม นับเป็นบาปกรรมที่ประมาณมิได้ แท้ที่จริงภาวะอันแท้จริงของธรรมญาณ นิ่งสงบปราศจากความเคลื่อนไหวอันเป็นภาวะแห่งสูญตา เพราะฉะนั้นการกำหนดให้มันว่างอีกครั้งหนึ่ง จึงไม่เกิดมรรคผลใด ๆ แก่การลงมาทำหน้าที่ของตนในโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ ฤาษี ทั้งปวง เราจึงมิได้เรียกว่าเป็นพุทธะเพราะมิได้ทำหน้าที่ของพุทธะ แต่ทำหน้าที่เพียงกำหราบจิตของตนเท่านั้นเองมิได้มรรคผลแต่ประการใด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ในโลกนี้มีผู้คนเป็นจำนวนมากที่คิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดสามารถเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นจนมองเห็นคนอื่นเป็นคนโง่เง่ากว่าตนเอง คนฉลาดเช่นนี้จึงจองหนทางไปสู้นรกให้แก่ตนเองโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่ศึกษาธรรมะและมีความเชี่ยวชาญในการสาธยายพระสูตรต่างๆอย่างคล่องแคล่วจนหลงยึดว่าตนเองเป็นผู้ฉลาดล้ำ แลเห็นผู้ที่ไม่รู้จักหนังสือเป็นผู้ต่ำต้อย คนเช่นนี้มักยึดถือว่าตนเองสูงส่งกว่าชนทั้งหลาย จึงเป็นการสร้างอัตตาตัวตนจนปิดบังปัญญา และกลายเป็นคนหลงความโง่อันแท้จริง
       ภิกษุชาวเมืองหงโจว นามว่า ฝ่าต๋า บวชเณรมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบมีนิสัยชอบสาธยายสัทธรรมปุณฑริกสูตรอยู่เป็นนิจ เมื่อมาแสดงความเคารพต่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมิได้กราบให้ศรีษะจรดพื้น เพราะทำความเคารพอย่างขอไปทีเช่นนี้เอง พระธรรมาจารย์จึงตำหนิว่า "ถ้าท่านรังเกียจในการที่จะก้มศรีษะให้จรดพื้นแล้ว การไม่ทำความเคารพเสียเลยจะมิดีกว่าหรือ ต้องมีอะไรในใจท่านสักอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกทะนงเช่นนี้ ขอถามว่า ท่านทำอะไรเป็นประจำวัน "กระผมสาธยายสัทธรรมปุณฑริกสูตร กระผมท่องทั้ง ๆ สูตร สามพันครั้งมาแล้ว" ภอกษุฝ่าต๋า ตอบ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงเตือนว่า "ถ้าท่านจับใจความของพระสูตรนี้ได้ ท่านก็จะไม่มีการถือตัวเช่นนี้เลย แม้ท่านจะถึงกับเคยท่องสูตรนี้มาถึงสามพันครั้งแล้ว ถ้าท่านจับความหมายของพระสูตรนี้ได้จริง ๆ  ท่านก็จะต้องได้เดินอยู่ในทาง ๆ เดียวกับข้าพเจ้า สิ่งที่ท่านเรียนสำเร็จได้ทำให้ท่านกลายเป็นคนหยิ่งไปเสียแล้วและยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนท่านจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำไปว่าการที่เป็นเช่นนี้เป็นคนผิด" คนที่สวดมนต์คล่องมักหลงยึดว่า ตนเองเก่งเหนือกว่าคนทั้งหลายและหลายครั้งคิดว่ามนต์นั้นทรงคุณวิทยาคมจนผิดเพี้ยนกลายเป็นไสยาศาสตร์ พาให้ตนเองหลับไหลและชวนให้คนทั้งหลายหลับหูหลับตาเชื่อว่าคำสอนของพระพุทธองค์เป็นมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ "อย่าโลถเลยลูกเอ๋ย ยิ่งโลภจักยิ่งทุกข์" พระพุทธองค์ทรงสอนเช่นนี้
      โอมเพี้ยง ขอให้รวย ขอให้รวย" คนไม่รู้จักความหมายของมนต์จึงก้มหน้าก้มตาหลับตาท่องอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อรวยอย่างเดียว และหลายรายก็มีความเชื่อว่าหากท่องยอดพระกัณฑ์ปิฏกหลายร้อยจบ จักเกิดวิทยาคุณ ทำให้ค้าขายคล่องป้องกันภูติผีปีศาจบังเกิดเมตตามหานิยม ที่สุดแห่งการท่องมนต์นี้คือการเข้าสู่ปรินิพพานโน้นแน่ะ ความหลงเช่นนี้ยากนักที่จะไถ่ถอนออกไปได้ด้วยปัญญาของผู้อื่นยกเว้นตนเอง จักเกิดปัญญาญาณมีสติพิจารณาเห็ฯสัจธรรมด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจักประทานโฉลกแก่ภิกษุฝ่าต๋าว่า "เมื่อความมุ่งหมายของระเบียบวินัยต่าง ๆ เป็นไปเพื่อปราบปรามความทะลึ่งแล้ว ทำไมท่านไม่กราบศรีษะให้จรดพื้น "การยึดถือในตัวตน เป็นทางมาแห่งบาป แต่การถือว่าได้บรรลุธรรมหรือผลใด ๆ ก็ตามเป็นเพียงของลมๆ แล้ง ๆ "นี้เป็นทางมาแห่งกุศลอันใหญ่หลวง" ความหมายแห่งโฉลกของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเพียงเพื่อกำหราบจิตของภิกษุรูปนี้ที่ทนงตนว่าเหนือกว่าผู้อื่นเพราะท่องมนต์มากกว่า ผู้ที่ยึดถืออัตตาตัวตนเห็นว่าสำคัญย่อมพ้นไปจากหนทางแห่งพระพุทธะ เพราะเบื้องหน้าแห่งพระพุทธะทุกคนคือ พระพุทธะเสมอกัน เพราะแต่เดิมมาต่างมีธรรมญาณเหมือนกัน การยึดถือตัวตนย่อมต้องหาทางรักษาเอาไว้ให้ยั่งยืน แต่หลักความเป็นจริงทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็น "รูปธรรม" หรือ "นามธรรม" ล้วนตกอยู่ในกฏแห่งความไม่เที่ยงแท้แน่นอนย่อมเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงก่อให้เกิดบาปทุกข์นานาแก่ตนเองไม่สิ้นสุด
       เมื่อคิดว่ามีตัวตนเสียแล้วย่อมทำทุกอย่างเพื่อเสริมสร้างให้อัตตานั้นยิ่งใหญ่ไปตามกิเลสแห่งจิต ครั้งพุทธกาล ภิกษุผู้นี้นามว่า ฉันนะ เคยเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดพระองค์และได้ตามเสด็จมาส่งเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช เมื่อตนเองมาบวชอยู่กับพระพุทธองค์ก็ยังคงยึดถืออัตตาว่า เคยเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดมาก่อน จึงมีความยโสโอหังก้าวร้าวต่อสงฆ์ทั้งปวงด้วยทุวาจา แม้พระพุทธองค์ตักเตือนก็ไม่เชื่อฟัง จนพระพุทธองค์ต้องมีพระพทุธบัญชาให้สงฆ์ทั้งปวงใช้วิธีพรหมทัณฑ์เลิกคบค้า ภายหลังที่พระพุทะเจ้าเสด็จเข้าปรินีพพาน พระฉันนะถึงแก่สลบสามครั้งสามครา และยอมละพยศ กลายเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนในช่วงสุดท้ายของชีวิต ส่วนการไม่ยึดถือผลสำเร็จของการบรรลุธรรมแลเห็นเป็นของไม่เที่ยงแท้หรือมีตัวตนเสียแล้วย่อมเป็นหนทางแห่งกุศลอันใหญ่หลวงเพราะแท้ที่จริงธรรมญาณแต่เดิมมาก็ไม่มีอะไรให้ยึดถือได้ เพราะฉะนั้น ใครที่คิดตนเองว่าสำเร็จ อรหันต์ซึ่งส่วนฬหญ่เป็นอรหันต์ตั้งเอง กับ ศิษย์ตั้ง และคนกลุ่มนี้จึงกลายเป็น "คนโง่ที่แท้จริง เพราะคิดว่าตนเองฉลาดล้ำ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ครั้งหนึ่งศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเดินทางไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเซ็น ท่านก็ต้อนรับขับสู้ตามธรรมเนียมอันดีงามด้วยการชงน้ำชาเลี้ยงรับแขกผู้ทรงคุณความรู้ แต่มันน่าประหลาดนัก หลวงพ่อรินนำ้ชาใส่ลงไปในถ้วยของศาสตราจารย์โดยไม่ยอมหยุดยั้ง "ล้นถ้วยแล้วครับหลวงพ่อ" ท่านศาสตราจารย์เตือน หลวงพ่อหูไม่หนวกตาไม่บอดแต่ไม่หยุดรินน้ำชาจนไหลนอลเปรอะพื้นกุฏิ ศาสตราจารย์ทนไม่ไหวต้องรีบเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า "เลอะหมดแล้วครับหลวงพ่อ" หลวงพ่อได้แต่ยิ้มไม่ยอมหยุดรินน้ำชา ท่านศาสตราจารย์ได้แต่มองดูจนตื่นตะลึงแล้วในที่สุดก็ได้คิด ก้มกราบลาหลวงพ่อกลับมหาวิทยาลัย การสนทนาธรรมก็จบลงตรงนี้เอง ปริศนาธรรมที่หลวงพ่อแสดงต่อศาสตราจารย์นั้นมีความหมายว่า ผู้ที่หลงว่าตนเองมีวิชาความรู้มากเปรียบได้เช่นน้ำชาล้นถ้วย วิชาความรู้เหล่านั้นได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นและตัวเองมามากนัก ประการสำคัญตนเองจักไม่ยอมรับความรู้จากผู้อื่นได้เลย แต่ถ้ายอมโง่เหมือนชาพร่องถ้วย ก็รับความรู้จากผู้อื่นได้ คนมีปัญญาจึงรู้ว่าตนเองโง่  เมื่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงรู้ว่า พระภิกษุรูปนี้มานามว่า ฝ่าต๋า ซึ่งมีความหมายว่า ผู้เข้าใจในธรรม ท่านจึงกล่าวว่า "ท่านชื่อฝ่าต๋าก็จริง แต่ท่านก็ยังไม่เข้าใจในธรรมเลย" พระธรรมาจารย์ สรุปความด้วยโฉลกต่อไปอีกว่า "ชื่อของท่านว่า ฝ่าต๋า ท่านสาธยายพระสูตรอย่างพากเพียรไม่ท้อถอย การท่องพระสูตรด้วยปาก เป็นแต่การออกเสียงล้วนๆ สัตว์ผู้ที่มีใจสว่างไสวเพราะจับใจความได้นั่นคือโพธิสัตว์แท้ เพราะเป็นเรื่องของปัจจยาการ อันอาจสืบสานไปภพก่อน ๆ  ข้าพเจ้าจะอธิบายความข้อนี้แก่ท่าน ถ้าท่านเพียงแต่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าไม่ตรัสอะไรแม้แต่คำเดียว เมื่อนั้น ดอกบัวจะบานขึ้นในปากของท่านเอง ความหมายของโฉลกนี้ อธิบายได้ว่า ชื่อมิได้แสดงความจริงของสรรพสิ่งแต่เพราะมนุษย์ติดอยู่กับชื่อหรือนามบัญญัติเพราะฉะนั้นจึงไม่อาจหยั่งถึง สัจธรรมอันแท้จริง ผู้ท่องพระสูตรจึงหลงไหลแต่ทำนองเสนาะและความขลังของพระสูตรแต่ประการเดียว แต่เขาเหล่านั้นไม่อาจเข้าถึงความมหัศจรรย์อันแท้จริงของพระสูตรนั้น ๆ  เพราะเขาติดอยู่ที่อักษรและทำนองเท่านั้น และส่วนใหญ่กลับไปติดอยู่ที่พระนามของพระพุทธองค์ซึ่งเป็นต้นบัญญัิติของพระสูตรนั้น ๆ
       ความศักดิ์สิทธิ์ของพระสูตรจึงเป็นเรื่องไม่อาจนำมาประพฤติปฏิบัติได้ เพราะผู้สาธยายไม่เข้าใจความหมายอันแท้จริง ศาสนิกชนในทุกศาสนาจึงเต็มไปด้วยผู้ท่องบ่นมนต์ตราด้วยความศรัทธาอันโง่งมและมิได้ปฏิบัติตามพระวจนะของศาสดาเลย ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามที่พ้นไปจากอาการติดยึดของอักษรและเสียง เข้าใจความหมายของพระสูตรอันแท้จริง เขาผู้นั้นจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาอันแท้จริง ผู้ที่ไม่ติดยึดในพระสูตรและพระพุทธองค์โดยยอมรับว่าทุกคนมีธรรมญาณ เช่นเดียวกัน มีอดีตเป็นพระพุทธะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแม้ไม่มีพระพุทธองค์ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตนเองก็พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดด้วยปัญญาความรู้อันชอบของตัวเอง
       การเวียนว่ายตายเกิดในโลกโลกีย์แต่ละธรรมญาณ ได้สั่งสมบุญและบาป จนนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน ถ้าสะสมบาปกรรมเอาไว้มากมาย แม้ไม่พบพระพุทธะก็ต้องรู้แจ้งด้วยตนเอง เพราะฉะนั้น มีพระพุทธองค์หรือไม่มี จึงมิได้มีความหมายแห่งการช่วยเหลือใครเลยสักคนเดียว ในสมัยพระพุทธกาล พระเทวทัต ซึ่งบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาบำเพ็ญปฏิบัติจนสำเร็จโลกียฤทธิ์ แต่ในที่สุด เพราะบาปอกุศลที่สั่งสมจองเวรเอาไว้กับพระพุทธองค์ จึงทำให้หลงผิดวางแผนปลงพระชนม์ชีพพระพุทธเจ้า เพียงเพื่อจักให้ตนเองดำรงตำแหน่งพระศาสดา ความผิดเช่นนี้สืบเนื่องมาจากบาปเวรในอดีตชาติส่งผลให้เกิดความคิดเป็นอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นจึงได้ฟังพระสูตรจากพระโอษฐ์ของพระพุทธองค์ก็ไม่อาจดับกิเลสของตนเองได้
      ส่วนพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอยู่ห่างไกลจากพระพุทธองค์ถึงพันกว่าปี และอ่านพระสูตรของพระอริยเจ้าพระองค์ไหนก็ไม่ได้ เพียงเข้าใจความหมายแห่งวัชรสูตรเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ปัญญาความตรัสรู้ของตนเองก็สว่างโพลง เพราะฉะนั้นจะพบพระพุทธเจ้าหรือไม่จึงไม่มีความสำคัญต่อการรู้แจ้งของตนเองเลย เพราะฉะนั้นปัญญาความรู้แจ้งมีอยู่พร้อมแล้วในตัวเอง "ดอกบัว คือ อะไร" ปุจฉา  หมายถึง "ปัญญาอันแท้จริงของตนเอง" วิสัชนา
      ผู้ที่เห็นแจ้งในธรรมญาณของตนเอง วาจาที่กล่าวออกมาจึงเป็นเช่นเดียวกับพระวจนะของพระศาสดา 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ครั้งหนึ่งได้พบนายแพทย์ท่านหนึ่งจึงเรียนถามว่า "หมอคิดว่ามีนรกสวรรค์หรือไม่" "ผมคิดว่าไม่มีครับ" "หมอนับถือพระพุทธองค์หรือไม่ "อ๋อ แน่นอนผมนับถือพระพุทธเจ้า"  "พระพุทธเจ้ามีหน้าที่อย่างไรเล่า"  "ทรงสอนให้เป็นคนดี"  "ถ้าพระพุทธเจ้ามีภารกิจเพียงเท่านี้คงไม่ต้องอุบัติมาสู่โลกนี้ เพราะการสอนให้คนเป็นคนดี มีปราชญ์ เมธี มากมายล้วนสอนคนให้เป็นคนดี ทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยพระพุทธเจ้า"  "ถ้าเช่นนั้นพระพุทธเจ้าลงมาทำหน้าที่อะไร"  "พระพุทธเจ้ามีหน้าที่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่สำคัญที่สุด คือการชี้ให้คนพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งก็ต้องมีเหตุปัจจัยแห่งการเวียนว่ายไปสู่สามโลก คือ นรก มนุษย์ และเทวโลก ถ้าไม่มีนรกเสียแล้ว พระพุทธองค์ย่อมไม่จำเป็นต้องอุบัติขึ้นมาในโลกนี้"
       พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้อ่อนน้อมต่อเวไนยสัตว์ เพราะปรารถนาฉุดช่วยให้เวไนยเหล่านั้นพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด แต่บรรดาศากยบุตรในชั้นหลัง ๆ ติดยึดอยู่กับอัตตาตัวตน จึงปราศจากการอ่อนน้อมถ่อมตัวอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเองมีความรู้มากเท่าไหร่ความอหังการก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น อย่างพระภิกษุฝ่าต๋า ท่องบ่น สัทธรรมปุณฑริกสูตรก็เกิดอาการไร้มารยาทต่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง เมื่อได้ฟังโฉลกของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแล้ว จึงรู้สึกสลดใจและขออภัยต่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงและกล่าวต่อไปว่า "กระผมจะเป็นคนอ่่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพในทุกโอกาส เนื่องจากกระผมไม่มีความเข้าใจในความหมายของพระสูตรที่ท่องนั้นอย่างถูกต้อง กระผมจึงฉงนต่อการตีความหมายอันแท้จริงของพระสูตรนั้น ใต้เท้ามีความรู้และปัญญาอันลึกซึ้งที่สุด ขอได้โปรดอธิบายสรุปแก่กระผมเถิด"
      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงตอบว่า "ฝ่าต๋าเอ๋ย พระธรรมเป็นของกระจ่างอย่างเต็มที่อยู่เสมอ ใจของท่านต่างหากซึ่งไม่กระจ่าง พระสูตรนั้นไม่มีข้อความที่น่าฉงนเลย แต่ใจของท่านต่างหากที่ทำให้พระสูตรนั้นเป็นของชวนฉงนไป ในการสาธยายพระสูตร ท่านทราบถึงความมุ่งหมายอันสำคัญของพระสูตรนั้นหรือเปล่า" "ถ้าเช่นนั้นท่านจึงสาธยายพระสูตรออกมาเถิด ฉันอ่านเองไม่ได้แล้วฉันจะอธิบายความหมายใ้ท่านฟัง" พระภิกษุฝ่าต๋าได้สาธยายพระสูตรนั้น ครั้นมาถึงบทที่ชื่อว่านิยายเป็นเครื่องอุปมา พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้บอกให้หยุดแล้วกล่าวว่า " ความหมายของพระสูตรฯ นี้ก็คือเพื่อแสดงให้ปรากฏถึงความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของการที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาบังเกิดในโลกนี้นั้นเอง"
      มนุษย์ไม่ว่าจักทำบุญมากมายของไหนก็มิอาจ ปัดสวะ หรือ ทำคนผิด ให้เป็น คนถูก และทำคนถูกให้กลายเป็นคนผิดไปได้เลย แต่ทำให้เป็นคนหลงตัวเองหรือกลายเป็นเครื่องปิดบังความเข้าในอันถูกต้องไปเสียสิ้น เพราะฉะนั้นพระสูตรทั้งปวงมีความกระจ่างแจ้งอยู่แล้ว แต่เพราะใจของคนเหล่านั้นถูกปิดบังด้วยบุญ ด้วยอกุศลกรรมบางประการเพราะฉะนั้นจึงไม่เข้าใจพระสูตรนั้น ๆ  เปรียบเสมือนหนึ่งกระจกอันสกปรก ย่อมส่องไม่เห็นสิ่งใดกระจ่างชัด พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง อธิบายถึงความมุ่งหมายแห่งการเสด็จมาของพระพุทธองค์ว่า " แม้ว่านิยายและภาพความหมายจะมีมาก ในข้อความแห่งพระสูตรนั้น ก็ไม่มีเรื่องใด หรือ ภาพใดที่มุ่งแสดงอะไรอื่น นอกจากจุดประสงค์อันสำคัญนี้ ทีนี้อะไรเล่าคือวัตถุประสงค์ อะไรเล่าคือความมุ่งหมายที่กล่าวมานั้น ข้อความในพระสูตรกล่าวว่า "เพื่อวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว เพื่อความมุ่งหมายเพียงอย่างเดียว อันเป็นสวัตถุประสงค์อันสูงสุด เป็นความมุ่งหมายที่สูงสุดที่กล่าวถึงในพระสูตรนั้นคือ "การเห็นซึ่งพุทธธรรม"
      การเห็นพุทธธรรมอันแท้จริงย่อมยังให้เวไนยสัตว์เหล่านั้นพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในอบายภูมิต่าง ๆ  หากไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาบังเกิดในโลกนี้ การชี้ให้เห็นถึงพุทธานุภาพแห่งพุทธธรรมจักไม่เห็นเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นหน้าที่อันสำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้าในทุกกาลสมัย จึงทำหน้าที่เพื่อให้เวไนยสัตว์ทั้งปวงมีหนทางแห่งการหลุดพ้นไปจากทะเลทุกข์  พระพุทธองค์ทรงเป็นมนุษย์ที่แสวงหาและค้นพบอนุตตรธรรม ซึ่งหมายถึงว่าเวไนยสัตว์ย่อมมีโอกาสเยื่ยงเดียวกับพระพุทธองค์นั่นเอง

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”