collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : คำนำ  (อ่าน 44163 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       บัดนี้มหกรรมปล่อยสัตว์ดูเหมือนแพร่หลายออกไปมากมาย เพราะสาธุชนคนใจบุญซึ่งสงสารสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัวควายได้รับผลแห่งความสงสารมากมาย แต่แล้วสัตว์อื่นไม่มีโอกาส แม้ปล่อยสัตว์ใหญ่ด้วยการบริจาคเงินและอนุโมทนาในบุญกุศลของตนเองแล้วเดินออกมาจากลานปล่อยสัตว์ ก็สั่งลูกชิ้น ไก่ย่าง หมูย่างกินกันอย่างเอร็จอร่อย
      คนใจบุญเหล่านี้ปล่อยสัตว์เพียงภายนอกเท่านั้น แลเป็นบุญกิริยที่ต้องไปเสวยผลของตนเอง และยังคงเวียนว่ายในสามภพสามภูมิไม่สิ้นสุด ส่วนการปลดปล่อยสัตว์ในความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง มิได้เป็นเพียงบูญกิริยาเท่านั้นแต่ท่านกล่าวว่า "เมื่อได้มีการสำนึกบาปชำระตัวแล้ว เราควรจะตั้งไว้ซึ่ง ปฏิญาณดัง 4 ประการต่อไปนี้....
       เราขอปฏิญาณที่จะปลดปล่อยสัตว์ที่มีวิญญาณ อันมีปริมาณไม่จำกัดในใจของเรา
       เราขอปฏิญาณที่จะถอนเสียซึ่งกิเลสอันมีปริมาณคณนาไม่ได้ในใจของเราเอง
       เราขอปฏิญาณที่จะศึกษาระบอบธรรมอันนับไม่ถ้วนแห่งธรรมญาณของเรา
       เราขอปฏิญาณที่ขะเข้าให้ถึงพุทธภาวะอันสูงสุดแห่งธรรมญาณของเรา
     ตามกระแสแห่งเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งธรรมญาณของเราไปเวียนอาศัยร่างของสัตว์ในภพต่าง ๆ นั้น ย่อมก่อให้เกิด นิสัย วาสนา สันดาน ติดพันกันมาชาติแล้วชาติเล่าจนนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานจนยากที่จะถอนออกไปได้ ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมอยู่ ณ วัดเชตว้น มีชาย 5 คน เป็นเพื่อนกันเข้ามาฟังธรรม แต่ทั้ง 5 คนกลับมีอาการกริยาไม่เหมือนกันคือ นั่งหลับ นั่งเอานิ้วไชดินเล่น นั่งเขย่าต้นไม้ นั่งแหงนดูอากาศ มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่นั่งฟังด้วยความเคารพ  พระอานาท์จึงทูลถาม พระพุทธองค์ได้ตรัสชี้แจงว่า....
       ชายคนที่นั่งหลับเคยเกิดเป็นงูเหลือม ซึ่งปกติชอบเอาหัวพาดขนดหลับ
       ชายคนที่ชอบไชดินเล่นเคยเกิดเป็นไส้เดือนซึ่งมีนิสัยไชดินเป็นขุย
       ชายคนที่เขย่าต้นไม้เคยเกิดเป็นลิง เพราะนิสับลิงชอบเขย่าต้นไม้
       ชายคนที่นั่งแหงนดูอากาศเคนเกิดเป็นหมอดูดาว ซึงตามปกติชอบคำนวนดูทิศทางของดวงดาวต่าง ๆ
       ส่วนชายที่นั่งฟังธรรมด้วยความเคารพ เคยเกิดเป็นพราหมณ์ มีความรู้จบไตรเพท
     ชายทั้ง 4 คนยกเว้นคนที่เกิดเป็นพราหมณ์ แม้อยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าย่อมไม่เห็นพระพุทธเจ้า กระแสธรรมไม่อาจเข้าถึงจิตใจของเขาได้เลย เพราะแต่ละชาติเขาหมกมุ่นอยู่แต่ราคะ ตัณหา มัวเมา มีแต่พราหมณ์เท่านั้นที่หยั่งรู้ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์และสำเร็จมิต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราพฉะนั้นการพิจารณาปลดปล่อยสัตว์มีวิญาญาณที่สิงสถิตอยู่ในจิตของเราย่อมต้องอาศัยปัญญาของตนเองพิจารณาค้นหามันให้เจอ "หายังไงดีล่ะ" "ดูนิสัยของตัวเอง ถ้าชอบกินแล้วก็นอน ย่อมเคยเป็นหมูมาแน่นอน"
     พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "บัดนี้เราทั้งหมดได้ประกาสออกไปแล้วว่า เราปฏิญาณอันที่จะปลดปล่อยสัตว์มีวิญญาณ อันมีประมาณไม่จำกัด แต่นั่นหมายความว่าอย่างไรเล่า มันมิได้หมายความว่า อาตมาฮุ่ยเหนิงกำลังจะปลดปล่อยสัตว์นั้น และอะไรเล่าคือสัตว์มีวิญญาณเหล่านั้นอันมีอยู่ในใจของเราสัตว์เหล่านั้นคือ ใจที่หลงผิด ใจที่เป็นมายา ใจชั่วร้าย และใจอื่น ๆ ทำนองนั้น เหล่านี้ทั้งหมดเรียกว่าสัตว์มีวิญญาณ
     สัตว์เหล่านี้แต่ละตัว จำจะต้องปลดปล่อยตัวมันเองโดยอาศัยอำนาจแห่งธรรมญาณของมัน แล้วการปลดปล่อยนั้นก็จะเป็นการปลดปล่อยอันเลิศแท้ แต่บรรดาชนทั้งหลายมิได้ปลดปล่อยสัตว์เพราะเขาเหล่านั้นไม่รู้จักสัตว์ในใจของตนเอง ด้วยเหตุนี้ ปุถุชนจึงถูกสัตว์ร้ายในตัวเอง ขบกัดทำลายอยู่ทุกวัน
    ความไม่รู้จึงเป็นเหตุยึดเอาสัตว์มีวิญญาณทำร้านตนเองจนยาวนานข้ามภพข้ามชาติไม่สิ้นสุด พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงชี้ถึงวิธีแห่งการปลดปล่อยว่า "ในเรื่องนี้การปลดปล่อยตัวเองโดยอาศัยธรรมญาณนั่นหมายความว่าอย่างไรเล่า มันหมายถึงการหลุดรอดของสัตว์ที่โง่เขลา ที่หลงผิด ที่หลงทรมาน อันมีอยู่ในใจเราออกไปได้อาศัยสัมมาทิฏฐิโดยได้อาศัยสัมมาทิฏฐิและปัญญา สิ่งกางกั้นต่าง ๆ ที่สัตว์ผู้ไร้ความรู้และรู้ผิดเหล่านั้นแต่ละตัวจะอยู่ในฐานะที่จะปลดปล่อยตัวเองออกไปได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัว
     ความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงบอกวิธีแห่งการปลดปล่อยว่า ผู้ผิดจงปลดปล่อยตัวเองด้วยอาศัยความถูก ผู้รู้ผิดจึงปลดปล่อยตัวเองด้วยอาสํยความรู้แจ้ง ผู้ไม่รู้ต้องอาศัยปัญญา และผู้ที่เต็มไปด้วยโทษต้องอาศัยคุณ จึงเป็นการปลดปล่อยอันเลิศแท้ ถ้าไม่ปลดปล่อยสัตว์มีวิญญาณนี้มันก็ฆ่าตัวเองไปชาติแล้วชาติเล่า 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      ท่ามกลางการเวียนว่ายของชีวิตในทะเลทุกข์ สาธุชนต่างต้องการความสุขสมบูรณ์ทางโถคทรัพย์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า แต่ทำไมชีวิตจึงมิได้เป็นไปตามที่ตนเองปรารถนา บางคนร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองแต่ไร้ความสุข บางคนยากจนคับแค้นแต่กลับมาความสุข ชีวิตที่ผันแปรแปลกประหลาดเช่นนี้บางคนก็หันไปโทษฟ้าโทษดินโทษพรหมลิขิตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าดลบันดาลให้เป็นไปเพื่อลงโทษ แต่เขาเหล่านั้นกลับลืมโทษตนเองว่าเป็นผู้กำหนดความโชคดีหรือโชคร้ายให้แก่ตนเองอย่างแท้จริง พรหมลิขิตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีมหิทธานุภาพที่จักเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตให้แก่ใครได้เลย มีแต่ตนเองเท่านั้นจักเปลี่ยนแปลงแก้ไข
     บรรดากิเลสชั่วร้ายที่ตนเองสั่งสมเอาไว้จนกลายเป็นขันธสันดานนอนเนื่องอยู่นั้นได้กำหนดโชคร้ายอันเป็นผลให้แก่ตนเอง บรรดาบุญสุนทรทานทั้งปวงล้วนกำหนดโชคดีให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาป ล้วนได้สั่งสมกันข้ามภพข้ามชาติและแบกติดตัวมาด้วยตนเอง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงอธิบายว่า "สำหรับข้อปฏิญาณที่จะเพิกถอนเสียซึ่งกิเลสอันชั่วร้ายภายในใจ อันมีประมาณคณนาไม่ได้นั้นย่อมเล็งถึงการปลดออกเสียซึ่งกลุ่มของความคิดอันเชื่อถือไม่ได้ และเป็นมายาหลอกลวงโดยนำเอาปัญญาแห่งธรรมญาณเข้ามาใส่แทนที่" กิเลสชั่วร้ายที่ตนเองสร้างขึ้นมาด้วยความหลงผิด ดังนั้นจึงไปสร้างความคิดที่ไร้สาระกลายเป็นมายาหลอกลวงตนเองให้กระทำในสิ่งที่ไม่สมควรและยึดถือเอาเป็นความจริงแท้ของชีวิต
     เจ้าพ่อรายหนึ่งมีรายได้จากบ่อนการพนันและสิ่งผิดกฏหมายชั่วร้ายเป็นกิจการอันเบียดเบียนชีวิตมนุษย์ทารุณร้ายกาจ บุคคลประเภทนี้ปิดบังอาชีพที่แท้จริงและสร้างอาชีพพลวงอันสุจริตเพื่อพรางตาคนทั้งปวง เขาเกรงว่าไม่มีใครเชื่อในอาชีพสุจริตเพราะฉะนั้นจึงลงทุนสร้างบุญกุศลอย่างมโหฬารและแสดงน้ำจิตน้ำใจให้คนทั้งปวงเห็นว่าเขาเป็นคนดีและเขาเชื่อว่าบุญกุศลที่ได้กระทำไปนี้จักหักล้างกับอาชีพบาปของเขาได้ ความคิดเช่นนี้ไร้สาระเชื่อถือไม่ได้เพราะมันเป็นมายาที่หลอกลวงคนอื่นและตัวเองอย่างชัดเจนที่สุด เพราะผลแห่งการกระทำเช่นนี้ ย่อมติดตัวไปชาติแล้วชาติเล่าและจบชีวิตลงด้วยภัยพิบัติ แม้แต่ความคิดแห่งการสร้างบุญสร้างกุศลโดยตนเองประกอบสัมมาอาชีพและสร้างบุญโดยหวังว่าจักไปถึงพระนิพพานด้วยการท่องบ่นแต่คำว่า "นิพพานัง ปรมังสุขัง" ความคิดเช่นนี้ก็เป็นมายาหลอกลวงตนเอง และเป็นกิเลสอย่างหนึ่งพึงเพิกถอนเสีย
    ความหมายอันที่พระธรรมาจารย์ปรารถนาให้บังเกิดขึ้นในจิตของสาธุชน คือการล้มเลิกที่จะคิดถึงทั้งในส่วนดีและส่วนร้ายในจิตของตนเอง ถ้าปลดความคิดชนิดเช่นนี้ออกไปได้แล้ว ภาวะแห่งธรรมญาณอันปราศจากสิ่งยึดเหนี่ยวทั้งปวงจักปรากฏขึ้นแลเป็นปัญญาอันประเสริฐ ปัญญาแห่งธรรมญาณนั้นบริสุทธิ์เพราะว่างปราศจากดี และชั่ว ปัญญาชนิดเช่นนี้จึงวินิจฉัยและกำหนดพฤติกรรมที่ถูกต้องตรงต่อสัจธรรม
     พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า "สำหรับข้อปฏิญาณที่ว่า เราขอปฏิญาณที่จะศึกษาระบบธรรมอันนับไม่ถ้วนนั้น ควรวางหลักลงไปว่าการศึกษาที่แท้จริงจะยังไม่ได้จนกว่าเราจะได้เผชิญหน้ากับธรรมญาณของเราเสียก่อน และจนกว่าเราจะมีความเป็นไปของเรากลมเกลียวกันได้กับธรรมะอันถูกต้องในทุกโอกาสเสียก่อน" ความหมายแห่งพระวจนะนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่า การศึกษาธรรมะอย่างที่ปฏิบัติกันอยู่นั้นมีอยู่สองแบบ ประเภทท่องจำตามตำราและคำสอนของอาจารย์ทั้งปวง ผู้ปฏิบัติเช่นนี้จึงมีผลแต่เพียงว่า ไม่ยึดตำราของอาจารย์ ก็ยึดตัวอาจารย์เป็นที่พึ่ง จึงกลายเป็นความหลงวนเวียนออกนอกขอบข่ายของธรรมะอันแท้จริงและหลายครั้งเห็นอาจารย์เป็นผู้วิเศษจนหลงติดอาจารย์ไม่ว่าจะพาลงนรกหรือภพภูมิอันน่าเกลียดน่าชังเพียงใดก็ติดตามไปโดยไม่ลดละ
    ผู้ศึกษาธรรมะเช่นนี้จึงติดตามกันมาข้ามภพข้ามชาติ ส่วนการศึกษาธรรมะอันถูกต้องนั้นคือการศึกษาธรรมอันแท้จริงในธรรมญาณของตนเอง เมื่อใดที่เข้าสู่จุดแห่งความว่างสูงสุดอันเป็นภาวะเดียวที่กลมกลืนกับสัจธรรมแล้ว ผู้นั้นย่อมศึกษาธรรมได้อย่างถูกถ้วน เป็นอิสระแก่ตนเองและทั้งหมดนี้จึงสรุปลงได้ว่า ชะตาชีวิตของใคร คนนั้นแหละเป็นผู้กำหนดเองอย่างแท้จริง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      สาธุชนผู้เคารพนับถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะมักมีความเข้าใจผิดยึดถือเอาบุคคล วัตถุเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็น "พระพุทธะ" การนอบน้อมยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะมิอาจแก้ไขความทุกข์ของตนได้เลยเพียงแต่ทำให้จิตใจของตนเองมีความสุขเท่านั้น แต่เป็นความหลงผิดอย่างแท้จริง พระพุทธองค์ทรงเน้นให้สาวกทั้งปวงยึดถือธรรมะเป็นสรณะ แต่เพราะผู้ที่มีปัญญาอันตกต่ำกลับดื้อดึงมิฟังคำของพระพุทธองค์ ความฟั่นเฝือของพระพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้นมากมายเพราะคนไม่ยอมแสวงหาธรรม แต่กลับแสวงหาวัตถุ และความโลภเข้าครอบงำจึงนำเอา พระพุทธรูป ที่เป็นเครื่องหมายของพระพุทธองค์ออกวางเร่ขายตามริมถนน บรรดาศิษย์ของพระพุทธองค์ก็นั่งปลุกพระเครื่องกันจนหัวสั่นหัวคลอนล้วนแต่นำเอามาแลกเงินตราทั้งนั้น
     หลักธรรมอันแท้จริงที่ช่วยชีวิตมิให้ตกต่ำอยู่ตรงไหนหารู้ไม่ เพราะฉะนั้นศาสนิกชนจึงไม่มีความศรัทธาจริงใจ ยิ่งเห็นพฤติกรรมภิกษุบางรูปยิ่งเสื่อมศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา จึงตรงตามที่พระพุทธอนุชา พระอานนท์ ได้เคยทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าพระพุทธเจ้านิมิตเห็นสิงโตใหญ่มีหนอนชอนไชออกมาแล้วล้มลงไปต่อหน่าต่อตา มีความหมายเป็นเช่นไร"  "พระอานนท์ กาลต่อไปเบื้องหน้าศาสนาของตถาคตจักถึงแก่กานเสื่อมสูญเพราะสาวกเป็นเหตุ ช่วยกันทำลายและละเลยปฏิบัติหลักสัจธรรม" พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์
     ความโลภเข้าครอบงำบรรดาพุทธศาสนิกชน บรบัษสี่ต่างจึงร่วมมือกันทำลายพระพุทธศาสนาด้วยตนเองอย่างหน้าเศร้าใจเป็นที่สุด พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวสัจธรรมอันชี้ให้เห็นความเป็นสัจจะที่ตรงแท้ เช่นเดียวกับพระพุทธวจนะว่า "เราขอปฏิญาณที่จะเข้าให้ถึงพุทธภาวะอันสูงสุดนั้น อาตมาปรารถนาที่จะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นชัดว่า เมื่อเราสามารถน้อมจิตของเราไปตามทางแห่งธรรมะอันแท้ และถูกต้องตรงในทุกโอกาสและเมื่อปัญญาแจ่มแจ้งอยู่ในใจของเราไม่ขาดสาย จนกระทั่ง เราสามารถตีตัวออกห่างเสียได้ทั้งจากความรู้แจ้งและความไม่รู้ ไม่ข้องแวะด้วยกับทั้งความจริงและความเท็จ เมื่อนั้นแหละ เราอาจจะถือว่าตัวเราได้รู้แจ่มชัดแล้วในธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ หรืออีกนัยหนึ่งได้ลุถึงแล้ว ซึ่งพุทธภาวะ
    ภาวะพุทธะอันสูงสุดตามที่พระธรรมาจารย์กล่าวนั้นย่อมไม่อาจเอาบัญญัติใดในโลกนี้มาเปรียบเทียบได้ แต่ภาวะเช่นนั้นน่าจะได้รับรสสัมผัสได้ด้วยตนเองมากกว่าการบอกเล่า เพราะเป็นภาวะแห่ง นิรรูปคือปราศจากรูปลักษณ์ใด ๆ
   ความเป็นพระพุทธะจึงมิได้ติดอยู่กับรูป แต่เพราะความไม่เข้าใจของศาสนิก จึงเพ่งแต่รูปลักษณ์แห่งการเป็นพระพุทธะเท่านั้น เมื่อเกิดรูปขึ้นมาจึงมีการเสื่อมสูญเป็นอนิจจะลักษณ์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย   พระพุทธศาสนา จึงมิใช่ธรรมะ แต่เป็นเพียงเครื่องมือของ "ธรรมะ" เท่านั้น แต่บัดนี้สาวกทั้งปวงก็ได้ใช้เป็นเครื่องมือเผยแผ่ "ธรรมะ" กลับใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาลาภผลให้แก่ตนเองและพวกพ้อง
   "พระภิกษุผู้นุ่งเหลืองห่มเหลืองจัดเป็นพระหรือไม่"  "ถ้าเช่นนั้นมหาโจรแต่งชุดเหลืองก็เป็นพระได้แนะซิ" "พระอยู่ที่ไหน" ""พระมิได้อยู่ที่การแต่งเครื่องแบบใด ๆ แต่อยู่ที่ความประพฤติปฏิบัติตรงต่อหลักวินัยของพระพุทธองค์"  ถ้าไม่พิจารณาให้ชัดเจนถึง ภาวะความเป็นพระ ว่าอยู่ที่ "รูป " หรือ "นาม" การเข้าถึงภาวะแห่งความเป็นพระพุทธะย่อมไม่อาจทำความเข้าใจกันได้  พระพุทธองค์ตรัสถึงความเป็น บิดา มารดา ว่าคือพระอรหันต์ของลูก พิจารณาจากความเอื้ออาทร ความรัก หวงแหน เป็นห่วง ที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้นกระทำไปด้วยความเมตตาสูงสุดโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ความรักและความเมตตาของพ่อแม่ ไม่อาจหารูปธรรมใด ๆ มาวัดหรือกำหนดได้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นภาวะแห่งธรรมะอันแท้จริง
     ถ้าสาธุชนทั้งปวงนำความหมายแห่งความเป็นพระอรหันต์ของพ่แม่ไปปฏิบัติแทนการไปกราบไหว้เกจิอาจารย์ทั้งปวง สภาวะแห่งจิตใจของผู้คนย่อมจะงดงามเจริญยิ่งขึ้น เพราะความเมตตาของพ่อแม่ ย่อมเป็นพลานุภาพอันยิ่งใหญ่หาขอบเขตมิได้  พ่อ แม่ ไม่เคยตั้งเงื่อนไขว่า ลูกต้องเป็นคนดี ถึงจะมีความรักและเมตตาให้ แม้ลูกชั่ว แม่ก็ยังคงรักปักใจ ภาวะเช่นนี้แหละจึงเทียบเคียงได้กับ พุทธภาวะ
     เมื่อสภาพจิตใจของใครก็ตามที่กว้างใหญ่ไพศาลเยี่ยงเดียวกับฟ้าดิน เขาย่อมรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถจำแนกแยกแยะความถูกผิดได้ชัดเจน ถ้าจิตใจติดอยู่แต่ความดี ก็ยังรังเกียจความชั่ว ถ้าติดอยู่กับความชั่วก็รังเกียจความดีใครสามารถพ้นไปจากสองสภาวะนี้ได้เข้าย่อมได้ถึงพุทธะภาวะอันแท้จริง
 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ผู้มีปัญญาอันด้อยและโง่เขลาล้วนพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก "ธรรมญาณ" ว่าเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ การแสวงหาหนทางจากภายนอก จึงเป็นความทุกข์ซึ่งหลายครั้งแฝงอยู่ในรูปของความสุข จึงทำให้คนเหล่านั้นไม่รู้ว่ากำลัง "อุ้มทุกข์" เข้าเต็มเปา ครั้งหนึ่งมีหญิงวัยกลางคนขณะเข้าพิธีเปิด "ประตูศักดิ์สิทธิ์" ของตนเองนั้นพลันก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปลื้มปรีติ และประกาศศรัทธาอันยิ่งใหญ่ว่า "ฉันจะกินเจตลอดชีวิต" ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญต่างอนุโมทนาด้วยความยินดีในกุศลจิตของเธอ ยิ่งกว่านั้นทุกครั้งที่พุทธสถานเปิดการบรรยายหลักสัจธรรม เธอผู้นี้ก็เข้าร่วมโดยไม่ยอมขาดเลยสักครั้งเดียว แต่พอระยะเวลาผ่านพ้นไปได้เพียงสามเดือนเท่านั้น การมาที่พุทธสถานของเธอก็เปลี่ยนไป กลายเป็นทอดระยะเวลามาเดือนละสองครั้งและเดือนละหนึ่งครั้ง และทุกครั้งที่มาเข้าร่วมฟังธรรมที่พุทธสถานมีอาการผิดปกติไปจากผู้ร่วมฟังอื่น ๆ ตรงที่ดวงตาของเธอจับอยู่ที่พระแท่นของพระพุทธรูปเท่านั้น เธอมิได้มองดูผู้บรรยายเลย "ยังกินเจอยู่หรือเปล่า" ผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่งถามเธอ "โฮ้ย  เลิกกินนานแล้ว"  "อ้าว แล้วทำไมไม่มาสถานธรรมเหมือนเมื่อก่อนล่ะ" "ก็ มันไม่เหมือนวันแรกเลย วันนั้นขณะที่กำลังกราบพระฉันได้เห็นพระโพธิสัตว์กวนอิม และพระพุทธจี้กงเสด็จลงมา สวยจริง ๆ แต่จากวันนั้นมากี่ครั้งก็ไม่เห็นอีกเลยแล้วจะมาทำไมกัน" คำตอบของเธอผู้นี้ชัดเจนถึงศรัทธาที่เกิดขึ้นนั้นยึดเอาไว้แต่ภายนอก เมื่อสิ่งที่เห็นมิได้เห็น สิ่งที่เคยได้กลับมิได้ ศรัทธานั้นก็ล้มลงไปได้อย่างง่ายดาย พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้อธิบายให้เห็นสัจธรรมของสรณะเอาไว้ว่า "เราควรจะสำเหนียกอยู่ในใจให้ได้เสมอไปว่าเรากำลังไต่ไปอยู่เรื่อย ๆ ตามทางแห่งมรรคปฏิปทาเพราะว่าการทำในใจเช่นนั้นย่อมเพิ่มกำลังให้ปฏิญาณของเรา บัดนี้เนื่องจากเราได้ตั้งปฏิญาณรวบยอด 4 ประการเหล่านี้แล้ว อาตมาจะได้แสดงแก่ท่านทั้งหลาย ถึง สรณะ มีองค์สามประการอันไม่เกี่ยวกับรูปธรรม สืบไป"
     การถอนสิ่งเลวร้ายอันเป็นกิเลสในใจของเรานั้นหากไม่กระทำที่ใจไปกระทำนอกใจตนเองก็ไม่อาจถอนรากถอนโคนของความชั่วได้เลยเพราะความชั่วมันถือกำเนิดเกิดขึ้นที่ใจของเรามิใช่หรือ บรรดาคนโง่เขลาทั้งปวงจึงเที่ยววิ่งหาสิ่งศักดิสิทธิ์นอกตัว แม้ไปพบขอนไม้ ก้อนหิน บ่อน้ำ สัตว์เดรัจฉานที่แปลกประหลาดก็ยึดถือเอาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่พึ่งของตนเอง คนเหล่านี้จึงไม่อาจถอนรากถอนโคนความชั่วร้ายในใจของเขาได้เลย
    พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ชี้แจงให้เห็นเป็นสัจธรรมว่า "เราถือเอา "การรู้แจ้ง" ว่าเป็นเครื่องนำทางของเรา เพราะนั่นแหละเป็นสุดยอดทั้งของบุญและปัญญา เราถือเอา" ความถูกต้องทางธรรมแท้" ว่าเป็นเครื่องนำทางของเราเพราะว่านั่นแหละ คือหนทางที่ดีที่สุดของการรื้อถอนตัณหา เราถือเอา "ความ
บริสุทธิ์" ว่าเป็นเครื่องนำทางของเราเพราะว่านั่นแหละ คือคุณชาติอันประเสริฐที่สุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์
     ความหมายของวจนะนี้น่าจะอธิบายได้ว่าการรู้แจ้งหรือการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เมื่อกลางวันเพ็ญเดือนหก พระองค์รู้แจ้งแทงตลอดภายใน "ธรรมญาณ"ของพระองค์ มิได้รู้แจ้งจากถภายนอกเลยเพราะฉะนั้นการเดินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์จึงมิได้อยู่ที่การกราบไหว้พระพุทธรูปแล้วพร่ำรำพันขอ ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่จงใช้ปัญญาตนเองพิจารณาให้เห็นสัจธรรมภายในตนเองได้ ใคร่ที่รู้แจ้งในความดีและชั่วของตนเองจึงเกิดประโยชน์ด้วยการถอนมันทิ้งไปเสียด้วยปัญญาของตนเอง
    การรู้ความดีและความชั่วของคนอื่นมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ เลย นอกจากก่อให้เกิดทุกข์สถานเดียว เมื่อถอนอาการติดยึดในความดีและชั่วออกจาก "ธรรมญาณ"ของตนเองได้แล้วย่อมเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง สภาวะเช่นนี้แหละจึงเป็นปัญญาอันยิ่งใหญ่และสามารถรู้แจ้งในสรรพสิ่งได้
    ส่วน "ความถูกต้องทางธรรมแท้" ก็มิได้มาจากคำอธิบายของผู้ใด ธรรมะอันแท้จริงอยู่ภายใน "ธรรมญาณ" ของเราเอง นอกจากนี้ไม่มีธรรมะอื่นใดที่จะช่วยเราได้เลย เมื่อรู้ธรรมะในตัวเองย่อมรื้อถอนตัณหาได้ แต่ยังไม่หมดจด เมื่อใดที่เป็นธรรมในตัวเอง เมื่อนั้นตัณหาทั้งปวงก็หมดสิ้น
  " ความบริสุทธิ์" ที่ทำให้มีโอกาสเกิดตายเป็นมนุษย์นั้นมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือ สภาวะแห่งจิตที่เต็มไปด้วย ศีลห้า  ใครกระทำได้ดั่งนี้จึงจัดได้ว่า มีสรณะหรือที่พึ่งของตนเองอันแท้จริงและเขาไม่จำเป็นต้องอ้อนวอนขอร้องจากใคร แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงก็ไม่จำเป็นต้องมาเหนื่อยยากด้วย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
 
       การนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  เป็นพระรัตนตรัยของพุทธศาสนิกชนยังมีความเข้าใจผิดและปฏิบัติไม่ตรงตามพุทธประสงค์เพราะศาสนิกเหล่านี้ติดอยู่ในรูปปั้น เครื่องแบบมากกว่าหัวใจแห่งคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ศาสนิกเหล่านี้จึงผันตัวเองเข้าไปสู่ยุคมืดบอดทางปัญญาเหมือนเมื่อสมัยพันสี่ร้อยกว่าปีก่อน  บรรดาชนชาวตะวันออกกลางต่างเคารพบูชารูปปั้นของเทพเจ้าต่าง ๆ และน่าสังเวชใจแม้สัตว์เดรัจฉานก้ได้รับยกย่องเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งซึ่งมนุษย์พากันกราบกรานอ้อนวอนขอความสุขสวัสดีพ้นไปจากบาปเวรทั้งปวง
     พระเยซูคริสต์ ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ และ พระนบี มูหะหมัด ศาสดาแห่งศาสนาอิสลามทรงทำลายรูปปั้นเคารพ ณ เมืองเมกกะเสียหมดสิ้นและบัญญัติห้ามการบูชารูปปั้นทั้งปวง และกลายมาเป็นบัญญัติห้ามการเคารพบูชารูปปั้น จนถึงทุกวันนี้  แม้ในพระพุทธศาสนาเองพระบรมศาสดาก็มิได้ส่งเสริมหรือบัญญัติให้ศาสนิกเคารพบูชารูปปั้นเลยโดยเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ใกล้เสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน พระอานนท์ทูลถามว่าจักมอบให้ผู้ใดเป็นศาสดาปกครองดูแลคณะสงฆ์ต่อไป พระพุทธองค์ตรัสว่า "จงนับถือพระธรรมเป็นศาสดา" ความหมายอันชัดเจนของพุทธวจนะนี้ย่อมชี้ให้เห็นถึงสัจธรรม ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมย่อมเห็นตถาคต ธรรมะในตัวเองจึงเป็นศาสดาที่แท้จริง
    ส่วนพระพุทธรูปเป็นเครื่องหมายรำลึกถึงปฏิปทา พระมหาเมตตา ของพระพุทธองค์เท่านั้น มิได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์หรือชี้ทางแห่งการพ้นทุกข์ให้แก่ใครได้เลย พระธรรมคำสอนทั้งปวงที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้วก้ไม่อาจนำพาใครให้พ้นทุกข์ไปได้หากผู้นั้นมิได้ปฏิบัติให้ถึงธรรมะแท้ในตัวเอง
    พระสงฆ์ ก็คือการบำเพ็ญปฏิบัติให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ทั้งปวงด้วยตัวเอง พุทธประสงค์ที่แท้จริงจึงอยู่ที่ธรรมะของตนเองมิได้อยู่ที่รูปปั้นเคารพใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สาธุชนทั้งปวงมิได้เข้าใจถึงความข้อนี้เราจึงพากันหลงใหลอยู่แต่รูปลักษณ์ภายนอก และในที่สุดก็เสื่อมทรามทางศรัทธาจึงเกิดขึ้น เพราะเมื่อมีรูปลักษณ์ปรากฏขึ้นแล้ว รูปนั้นย่องตกอยู่ในกฏของความไม่เที่ยง อาจารย์ที่ยังเป็นคนอยู่นั้นย่อมล้มลงกลางทางได้ พระพุทธรูปย่อมแตกพังลงไปได้ แต่สัจธรรมในตัวเองไม่มีวันเสื่อมสูญ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า "ต่อไปนี้จงถือเอาท่านที่ตรัสรู้แล้วเป็นครูของเราในทุกกรณี เราไม่ควรรับเอาพญามารหรือมิจฉาทิฎฐิบุคคลอื่นใดว่าเป็นผู้นำของเรา ข้อนี้เราอาจน้อมนำเข้ามาสู่ใจเราได้ โดยน้อมรำลึกถึงอยู่เนืองนิจ ใน "รัตนทั้งสาม"  ซึ่งมีอยู่ใน "ธรรมญาณ" ของเราซึ่งอาตมาขอแนะนำให้ท่านทั้งหลายถือเอาเป็นที่พึ่ง รัตนะเหล่านั้นคือ
       พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นตัวแทนของ ความรู้แจ้ง
       พระธรรม     ซึ่งเป็นตัวแทนของ ความถูกต้องตามธรรมแท้
       พระสงฆ์      ซึ่งเป็นตัวแทนของ ความบริสุทธิ์
      ความหมายแห่งพระวจนะนี้ย่อมเล็งเอา ความรู้แจ้ง ของตนเองเป็นนัยสำคัญอันหมายถึง รู้แจ้งในความทุกข์และสุขภายใน ธรรมญาณของตนเองเท่านั้น แม้พระธรรมก็ยังหมายการสำรวจวาจาของตนเองให้ถูกต้องตรงตามสัจธรรมอันรู้แจ้งจากธรรมญาณของตนเอง หรือพระสงฆ์คือการปฏิบัติด้วยตนเองให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์  จิต กาย วาจา ของเราเองจึงควรกระทำภายในของตัวเรามากกว่าที่จะไปค้นหากระทำภายนอก
    พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงให้คำอธิบายเอาไว้ดังนี้ "การน้อมใจของเราให้ถือเอาความรู้แจ้งเป็นที่พึ่งได้ จนถึงกับความรู้สึกที่ชั่วร้ายและผิดธรรมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ตัณหาห่างจากไป ความตึงเครียดไม่ปรากฏ ราคะและโลภะไม่เร่งรัดอีกต่อไป นั่นแหละคือยอดสุดทั้งบุญและปัญญา การน้อมใจของเราให้ถือเอาความถูกต้องตามธรรมแท้เป็นที่พึ่งได้ จนถึงกับเราเป็นอิสระอยู่เสมอจากความเห็นผิดนั่นแหละคือหนทางอันประเสริฐที่จะถอนเสียได้ถึงตัณหา
    การน้อมใจของเราให้ถือเอาความบริสุทธิ์เป็นที่พึ่งได้จนถึงกับว่าสถานการณือันใดจะเข้ามาแวดล้อมใจ ก็ไม่ทำให้เปื้อนด้วยวัตถุกามารมณ์อันน่าขยะแขยง ด้วยความทะเยอทะยานและตัณหานั่นแหละคือคุณชาติอันประเสริฐสุดของการได้เิกิดมาเป็นคน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ขยายความให้ชัดเจนอีกว่า "การปฏิบัติใน สรณะอันมีองค์สาม ตามวิธีที่กล่าวมาแล้วย่อมหมายถึงการกระทำที่พึ่งในตัวของตัวเอง พวกเขาเขลาพากันถือสรณะอันมีองค์สามทั้งกลางวันและกลางคืนแต่เขาหาเข้าใจสิ่งนีไม่ ถ้าเขากล่าวว่าเขาถือที่พึ่งในพระพุทธเจ้า เขาทราบหรือว่าพระพุทะเจ้าอยู่ที่ไหนถ้าเขาไม่สามารถเห็นพระพุทธเจ้าได้และเขาจะถือพระองค์เป็นที่พึ่งได้อย่างไร การที่ยืนยันเช่นนี้มิกลายเป็นเท็จไปหรือ
     ท่านทั้งหลายแต่ละคนควรพิจารณาและสอบสวนข้อเท็จจริงในแง่นี้ให้แจ้งชัดเพื่อตัวท่านเองและอย่าปล่อยให้กำลังกายและกำลังความคิดของท่านถูกใช้ไปผิดทาง ในวัชรสูตรได้กล่าวเอาไว้ชัดแล้วว่า เราควรจะถือที่พึ่งในพระพุทธเจ้าภายในตัวเราเอง ไม่ได้กล่าวสอนเอาเลยว่าให้ถือพระพุทธเจ้าอื่น ๆ นอกจากนี้เป็นที่พึ่ง ยิ่งกว่านั้นถ้าหากว่าเราไม่ถือที่พึ่งในพระพุทธเจ้าภายในตัวเองแล้วก้ไม่มีที่อื่นใดอีกที่จะถือเอาเป็นที่พึ่งที่ต้านทานแก่เราได้ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ยืนหยัดตรงตามพระพุมธวจนะว่า "เมื่อพิจารณาเห็นความจริงในข้อนี้กระจ่างแล้วเราทั้งหลายในแต่ละคนจงถือเอาที่พึ่งใน "รัตนทั้งสาม"ภายในตัวเราเองเถิดในภายในเราต้องบังคับใจเราเองภายนอกเรานอบน้อมต่อผู้อื่นนี่แหละคือวิถีทางแห่งการถือที่พึ่งภายในตัวเราเอง
    พระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธภาษิตว่า "ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน" ใครที่คิดพึ่งสิ่งอื่นนอกจากรัตนภายในแล้วย่อมถือว่าเป็นผุ้ไร้ที่พึ่งอย่างแท้จริง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ตามปกติของมนุษย์คนหนึ่งมีอยู่สามกาย ซึ่งตามความเชื่อถือที่ยึดถือกันมาก็แบ่งเป็นดังนี้  กายหยาบที่เห็นเป็นเนื้อหนังมังสา  กายละเอียดมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อธรรมดา เพราะเป็นกายทิพย์  และกายธรรม หรือ ที่เรียกกันว่า ธรรมกาย ตาทั้งสองประเภทนั้นย่อมมองไม่เห็นเป็นแน่นอน แต่เพราะความเข้าใจผิดและหลงผิด ผู้ปฏิบัติบางคนบางกลุ่มจึงไปกำหนดมั่นหมายรูปลักษณ์ของ "ธรรมกาย" ว่าสว่างใสเช่นเดียวกับพระพุทธรูปแก้ว  พอนั่งสมาธิจิตนิ่งมองเห็นเป็นพระพุทธรูปแก้วใสสว่างไสวจึงปลื้มปรีติและเหมาเอาว่าตนเองถึงซึ่ง "ธรรมกาย" พอดีพอร้ายเข้าใจว่าตนเองบรรลุธรรมสำเร็จเป็นอรหันต์ไปเลยก็มี
      ความหมายแห่ง "ตรีกาย" ที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงท่านกล่าวเอาไว้ในพระสูตรของท่านนั้นน่าสนใจว่า "อาตมาจะได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายถึงเรื่อง "ตรีกายของพระพุทธเจ้าแห่งธรรมญาณสืบไป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะสามารถเห็นกายทั้งสามนี้แล้วจะเห็นแจ้งในธรรมญาณอย่างชัดเจนด้วย" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวนำให้สาธุชนได้ท่องตามมีความว่า "ด้วยกายเนื้อของเรานี้ เราขอถือที่พึ่งในธรรมกายอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ด้วยกายเนื้อของเรานี้ เราขอที่พึ่งในสัมโภคกายอันสมบูรณ์ของพระพุทธเจ้า ด้วยกายเนื้อของเรานี้ เราขอถือที่พึ่งในนิรมานกายอันมากมายตั้งหมื่นแสนของพระพุทธเจ้า"
     ผู้ที่ศึกษาพระสูตรของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้ให้ความหมายของกายทั้งสามนี้ว่า ธรรมกายคือกายแก่น  สัมโภคกายคืือกายแสดงออก  นิรมานกายคือกายเปลี่ยนรูปต่าง ๆ  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายเกี่ยวกับกายทั้งสามนี้ว่า "กายเนื้อของเรานี้อาจเปรียบได้กับโรงพักแรมชั่วคราว ดังนั้นเราจึงไม่สามารถยึดเอาเป็นที่พึ่งได้ แต่ภายใน ธรรมญาณของเราเราอาจหาพบกายทั้งสามนี้และเป็นของสามัญสำหรับทุกคน แต่เนื่องมาจากใจของคนสามัญทำกิจอยู่ด้วยความรู้ผิดเขาจึงไม่รู้ถึงธรรมชาติแท้ในภายในกายของเขา ผลจึงทำให้เขาไม่รู้จักตรีกายภายในตัวของเขาเองแต่กลับเชื่ออย่างผิด ๆ ว่าจรีกายนั้นเป็นสิ่งที่ต้องแสวงหาจากภายนอก ท่านจงตั้งใจฟังเถิด อาตมาจะแสดงให้ท่านเห็นว่าในตัวท่านเองท่านจะหาพบตรีกายเป็นปรากฏการณ์อันแสดงออกของธรรมญาณอันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหาพบได้จากภายนอก
    ความหมายแห่งคำว่า "ภายนอก" และ "ภายใน" ของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงนั้นมิได้มีความหมายแต่เพียงสิ่งที่อยู่นอกตัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ภายในมีความหมายว่า เป็นภายในธรรมญาณ ส่วนที่เกิดขึ้นนอกจากธรรมญาณแล้วย่อมถือเป็นภายนอกทั้งสิ้น อย่างเช่น เรานั่งสมาธิจนเห็นดวงแก้วลอยอยู่กึ่งกลางกายของเราก็ย่อมถือว่าเป็น "ของภายนอก" ทั้งสิ้น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายว่า "ในที่นี้อะไรเล่าได้ชื่อว่า ธรรมกายอันบริสุทธิ์ ธรรมญาณ ของเราเป็นของบริสุทธิ์จริงแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงอาการแสดงออกของ จิต  กรรมดีกรรมชั่วเป็นเพียงผลของความคิดดีและคิดชั่วตามลำดับ ฉะนั้นภายใน ธรรมญาณ ทุกสิ่งย่อมบริสุทธิ์จริงแท้เหมือนกับสีของท้องฟ้ากับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งเมื่อเมฆผ่านมาบังความแจ่มนั้นนั้นดูประหนึ่งว่าถูกทำให้มัวไป แต่เมื่อเมฆผ่านไปแล้ว ความแจ่มกลับปรากฏอีกและสิ่งต่าง ๆ ก็ได้รับแสงที่ส่องมาเต็มที่อย่างเดิม
   ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย จิตชั่วของเราเปรียบเหมือนกับเมฆ ความรู้แจ้งแทงตลอดและปัญญาของเราเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ตามลำดับ เมื่อเราพัวพันอยู่กับอารมณ์ภายนอก ธรรมญาณของเราก็ถูกบดบังไว้ด้วยความรู้สึกที่ติดรสของอารมณ์ซึ่งย่อมจะปิดกั้นความรู้แจ้งแทงตลอดและปัญญาของเราไว้ มิให้ส่องแสงออกมาภายนอกได้ แต่เผอิญเป็นโชคดีแก่เราที่ได้พบกับครูผู้รอบรู้และอารี ที่ได้นำธรรมะอันถูกต้องตามธรรมะให้เราทราบ เราจึงสามารถกำจัดอวิชชาและความรู้ผิดเสียได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา จนถึงกับเราเป็นผู้รู้แจ้งสว่างไสวทั้งภายในและภายนอก และธรรมชาติแท้ของสิ่งทั้งปวง ปรากฏตัวมันอยู่เองในธรรมญาณของเรา นี่แหละคือสิ่งที่บังเกิดขึ้นกับบุคคลผู้ได้เผชิญหน้ากับธรรมญาณ และนี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมกายอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า
    ความหมายอันแท้จริงของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้แสดงมาทั้งหมดนั้นมิได้บอกให้เรารู้เลยว่า ธรรมกาย นั้นจักต้องมีรูปลักษณ์อย่างไรเพราะธรรมกายอันแท้จริงย่อมปราศจากรูปลักษณ์ทั้งปวง ตราบใดที่เป็นรูปไม่ว่าจะเป็น นามรูป หรือ วัตถุรูป ล้วนมิใช่ ธรรมกาย อันแท้จริง เพราะเมื่อเกิดรูปใด ๆ ขึ้นมาภายใน ธรรมญาณของเขาย่อมปราศจาก ธรรมะ เพราะกลายไปยึดถือในสิ่งที่ดีงามตามอารมณ์ของตนเองที่สร้างขึ้นมา ผู้ที่ติดอยู่ในรูปลักษณ์จึงมิอาจพบ ธรรมะ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วการมองเห็นตัวเองเปลี่ยนไปในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ก็ยังไม่พ้นไปจากการเวียนดี - เวียนชั่ว นั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ความเป็นพระพุทธะกับปุถุชนเปรียบได้ดั่งฝ่ามือ ซึ่งมีความแตกต่างกันระหว่างหน้ามือกับหลังมือ แต่ยังคงเป็นฝ่ามือเดียวกัน เพราะฉะนั้นมหาโจรกับโจรจึงอาจเป็นพระพุทธะได้ดังเรื่องราวของ องคุลีมาล เป็นต้น ประวัติพระิอรหันต์องค์นี้น่าเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นความเป็นจริงได้ว่า "พุทธภาวะ" มีเหมือนกันหมดทุกคนไม่ว่าผู้นั้นกำลังประพฤติปฏิบัติตนเช่นไร เขาใช้ฝ่ามือด้านไหนออกมาปฏิบัติ
      เมื่อครั้งที่อหิงสกะ บุตรของปุโรหิตถูกอาจารย์ทิศาปาโมกข์หลอกลวงให้ฆ่าผู้คนด้วยหวังให้ถูกคนอื่นฆ่าเสียนั้น ความเป็นพระพุทธะกำลังถูกความโลภเข้าครอบงำและกลายเป็นโทสะจริตไปโดยไม่รู้ตัว  แต่ครั้นพระพุทธองค์ทรงเตือนสติด้วยพุทธภาษิตว่า "เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด" องคุลีมาลเกิดความฉงนใจจึงถามกลับไปว่า "ท่านยังเดินอยู่ไฉนจึงบอกว่าหยุด" "ในมือเราปราศจากศาสตราวุธมิได้เบียดเบียนชีวิตของผู้ใดแต่ท่านสิยังคงกำศาสตราวุธเบียดเบียนชีวิต เราจึงได้ชื่อว่าหยุด แต่ท่านสิยังไม่หยุด"
    พระพุทธะแห่งตนจึงมีความศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าความศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง เพราะจิตสำนึกรู้ว่าตนเองกำลังปฏิบัติกิจเช่นไร มีความคิดอย่างไร ในขณะจิตที่รู้แจ้งในความดี ความชั่วแห่งธรรมญาณของตนแล้ว ในขณะนั้นก็จัดว่าเป็นผู้รู้แจ้งแท้จริงคนหนึ่งเยี่ยงเดียวกับพระพุทธะทั้งปวง ส่วนผู้ที่สู่รู้เรื่องราวของคนอื่นมากมาย ยกเว้นเรื่องเดียวที่ตนเองไม่รู้คือพุทธะในตนเอง จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มี "ความรู้ท่วมหัว" หาเิกิดประโยชน์ใด ๆ แก่ตนมิได้เลย และเป็นที่พึ่งของตนเองไม่ได้ในทุกสถาน  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้อรรถาธิบายให้รู้ถึงที่พึ่งอันแท้จริงว่า "การถือที่พึ่งในพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นก็คือการถือที่พึ่งในธรรมธรรมญาณของเราเอง ผู้ที่ถือที่พึ่งเช่นนี้ย่อมจะพรากสิ่งต่อไปนี้ออกไปจากธรรมญาณของตนคือ จิตชั่วต่ำ จิตริษยา จิตสอพลอ คด ๆ งอ ๆ ความยึดถือตัว ความคดโกงมดเท็จ ความดูถูกดูแคลน ความโอหัง ความเห็นผิดความเย่อหยิ่งจองหองและความต่ำทราม อื่น ๆ อันจะมิเกิดขึ้นในจิตไม่ว่าในเวลาใด ๆ
    การถือที่พึ่งในตัวเราเองนั้น คือการระวังระไวอยู่ตลอดเวลาในการที่จะไม่ทำชั่วทำผิด และงดจากการวิพากษืวิจารณ์ความดีหรือความผิดของบุคคลอื่นความหมายที่พระธรรมาจารย์กล่าวไว้แม้ล่วงเลยมานานนับเป็นพันปีก็มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพราะบัดนี้ผู้คนแม้ปากจะพร่ำบ่นพระพุทธมนต์หรือศึกษาพระสูตรต่าง ๆ  แต่หันกลับไปหาที่พึ่งอย่างอื่นที่นอกตัวเอง คนที่พึ่งสิ่งอื่นนอกจากตนเองย่อมมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับผู้ที่มีที่พึ่งเป็นธรรมญาณของตน ตัวอย่างเช่น ผู้ที่นับถือพระเครื่องหรือเครื่องลางของคลัง พระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ คนเหล่านี้จะยโสโอหัง มีความคิดดูถูกดูแคลนผู้อื่นและเขาสามารถคดโกงหลอกลวงมดเท็จผู้คนได้ โดยมิได้คำนึงถึงผิดบาปใด ๆ เลย ในวงการพระเครื่องดูเหมือนมีเรื่องราวอื้อฉาวเหล่านี้อยู่ครบถ้วนและบริบูรณ์จนไม่ต้องจารนัยอิทธิปาฏิหาริย์ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงให้ผู้คนหลงทางไปจากการพึ่งพาพระพุทธะในตนเองเสียสิ้น แม้ผู้ที่อ้างตนเองเป็นพระพุทธบุตรของพระพุทธองค์ก็ยังอุตสา่ห์นั่งปลุกเสกและโฆษณาขายกันอย่างมโหฬาร วงเงินเดินสะพัดเป็นหมื่น ๆ ล้านบาทยิ่งทำให้ผู้คนมัวเมาและหลงทางเข้าสู่อบายภูมิมากมาย มีคำกล่าวล้อเลียนพระเครื่องในวงการนี้ว่า "ถ้าพระราคาถูกย่อมคุ้มครองคนแขวน แต่ถ้าพระราคาแพงคนแขวนต้องคุ้มครองพระ" ผู้ที่แขวนพระเครื่องราคาแพงๆ  มักจะถูกยิงดับชีพและคนยิงก็ปล้นเอาพระในคอไปขายต่อ แต่คนที่ยังหลงงมงายว่าพระเครื่องเหล่านี้ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนผู้ที่ยึดถือพระพุทธะของตนเองเป็นที่พึ่งพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอในทุกโอกาส มีอัธยาศัยสุภาพต่อคนทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ได้เห็นธรรมญาณของเขาอย่างทั่วถึงแล้ว ทั่วถึงจริง ๆ จนถึงกับทางข้างหน้าของเขาจะปราศจากอุปสรรคทุกประการนี่แหละคือวิถีทางที่จะทำที่พึ่งในตนเอง"
     คนเหล่านี้ล้วนแต่ยอมรับว่าคนอื่นก็มี พุทธะ เช่นเดียวกับตนจึงปราศจากความอวดดีเย่อหยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่โจรกลับใจแล้วเห็นธรรมกาย เขาก็ย่อมอ่อนน้อมถ่อมตนต่อชนทั้งปวง เหมือนเมื่อครั้งองคุลีมาล ถูกชาวบ้านไล่ทุบตีนั่นแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

         ผู้ปฏิบัติธรรมที่เพ่งเล็งอยากเห็นกายทิพย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ล้วนแต่คิดผิดเพราะเห็นกายทิพย์แล้วมิได้เกิดประโยชน์อย่างไรต่อการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมแต่ถ้าหลงใหลไปกับกายทิพย์อาจพ้นไปจากเส้นทางบำเพ็ญได้ หรือบำเพ็ญผิดหนทางได้ง่าย เพราะกายทิพย์ก็ยังคงอยู่ในลักษณะแห่งอนิจจังคือ ไม่คงที่แน่นอนเช่นกัน หากยึดติดย่อมไม่เห็น "ธรรมญาณ" แห่งตน  บางคนปฏิบัติธรรมเห็นกายทิพย์ของตนเองเกิดอาการหลงใหลได้ปลื้มและคิดว่าตนเองนั้นสำเร็จมรรคผลแล้วมีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ทั้งปวงและตั้งตนเป็นอาจารย์ ชี้หนทางหลงให้แก่ผู้หลงทั้งปวงสืบไป กลายเป็นอวิชชาไปโดยไม่รู้ตัว
        พระธรรมาจารย์ฮู่ยเหนิงกล่าวถึงสัมโภคกายว่า "อะไรเล่า ชื่อว่าสัมโภคกายอันสมบูรณ์ ในที่นี้ขอให้เรานึกถึงตะเกียงเป็นภาพเปรียบ แม้แต่แสงตะเกียงเพียงดวงเดียวก็ยังสามารถทำลายความมืด ที่มืดมานับเป็นพัน ๆ ปีได้ ฉะนั้นประกายแห่งปัญญาย่อมสามารถทำลายอวิชชาที่มืดมาแล้วเป็นยุค ๆ ได้เช่นกันเราไม่ต้องวิตกกังวลถึงอดีต เพราะอดีตเป็นสิ่งที่ล่วงพ้นมาแล้ว และไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้" ความหมายแห่งอวิชชา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นความไม่รู้นั้นหากพิจารณาแต่เพียงว่าอะไรเกิดขึ้นจากจิตของเราก็ยังไม่รู้ นั่นเป็นเพียงอวิชชาในชาตินี้ ความไม่รู้ โลภ โกรธ หลง ในตัวเองจัดเป็นความไม่รู้ เป็นอวิชชาอย่างหนึ่ง "รู้ว่าคนอื่นโลภ โกรธ หลง เป็นอวิชชาหรือไม่" "ย่อมเป็นอวิชชาเช่นกัน เพราะรู้เช่นนี้มิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ในการตัด ความโลภ โกรธ หลง ของตนเองเลย" ความไม่รู้ในการเวียนว่าย เกิดในภพภูมิต่าง ๆ เป็นอวิชชา และเป็นเหตุแห่งการเกิดไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง เพราะการไม่วิตกกังวลถึงอดีตทั้งในชาติก่อนและชาตินี้จึงเป็นการละวางอาการติดยึดที่ดีที่สุด เพราะถึงระลึกชาติได้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีตชาติของตนได้เลย
     พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า "สิ่งที่ต้องการความสนใจจากเราคืออนาคต ฉะนั้นจงให้ความคิดของเราเป็นสิ่งที่กระจ่างและกลมกล่อมอยู่ทุกขณะจิตเถิด และให้เห็นอย่างเผชิญหน้าอยู่กับธรรมญาณทุกเมื่อเถิด ความดีกับความชั่วเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามต่อกันและกันอยู่ก็จริง แต่ว่าตัวเนื้อแท้ส่วนลึกของมันนั้น ไม่สามารถจะแยกออกเป็นสองฝ่ายธรรมชาติชั้นที่เราไม่สามารถแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่ายนี่เอง คือตัวธรรมชาติแท้ ซึ่งไม่สามารถถูกทำให้แปดเปื้อนด้วยความชั่ว หรือวิปริตเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยอำนาจของความดีนี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าสัมโภคกายของพระพุทะเจ้า
     ธรรมญาณ เปรียบเสมือนหนึ่งน้ำนิ่ง ความดี และ ความชั่ว ที่ผลิตออกมาจาก ธรรมญาณ เป็นเสมือนหนึ่งอาการเคลื่อนไหวของน้ำ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าดี หรือ ชั่ว ล้วนออกมาจากรากเหง้าเดียวกัน อาการสั่นไหวของน้ำย่อมไม่เป็นไปชั่วนิรันดร์ฉันใด ความดี และ ความชั่วที่ออกมาจาก ธรรมญาณ ก็มิได้คงที่ฉันนั้น มันแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แล้วแต่เหตุปัจจัยใดมาปรุงแต่ง
    พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึงสัมโภคกายว่า "ความคิดชั่วร้ายเพียงดวงเดียวจาก ธรรมญาณ ของเราอาจทำลายความดีที่เราสร้างสม อบรมมานานนับเป็นสมัย ๆ  ให้เสื่อมเสียไปหมดได้ทำนองเดียวกัน กับความคิดอันดีงามจากธรรมญาณนั่นอีกเหมือนกันอาจชำระชะล้างบาปอกุศลของเรา ซึ่งแม้จะมากมายเหมือนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ได้ดุจกัน การเห็นประจักษ์ชัดต่อ ธรรมญาณของเราเองทุกขณะจิตปราศจากการแทรกแซงจนกระทั่งลุถึงตรัสรู้ขั้นสูงสุด ถึงกับอยู่ในภาวะแห่งความเต็มเปี่ยมด้วยความรู้อันถูกต้อง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานั่นแหละคือ "สัมโภคกาย"
    กายทิพย์ของพระพุทะเจ้าที่เรียกกันว่า สัมโภคกาย นั่นมีความหมายสูงกว่ากายทิพย์ธรรมดาที่ละเอียดจนตาเนื้อมิอาจมองเห็นได้ แต่สัมโภคกายของพระพุทธเจ้ามิอาจเห็นได้ด้วยตาทิพย์ แต่เป็นสภาวะแห่ง ธรรมญาณ อันแท้จริงที่คงลักษณะเดิมเอาไว้ โดยมีปัญญาเต็มเปี่ยมที่พร้อมตัดผัสสะทุกประการที่ผ่านเข้ามาในอายตนะทั้งหก อาการของธรรมญาณที่เตรียมพร้อมบริบูรณ์ โดยมิต้องกำหนดหมายเช่นนี้เอง จึงเป็น สัมโภคกาย
     โลกีย์ชนเห็นสตรีงามเดินผ่านหน้าไป ย่อมเกิดจิตลามกและฟุ้งซ่าน  สมณะผู้บำเพ็ญเห็นหญิงงาม พยายามเพ่งมองให้เห็นเป็นโครงกระดูกเดินผ่านไป ต้องอาศัยญาณปัญญาพิจารณาเจาะผ่านผิวหนังลงไปหาโครงกระดูก บางทีก็สำเร็จบางทีก็เสร็จอิสตรี
     ส่วนพระพุทธเจ้าเห็นหญิงงามเดินผ่านมาจิตใจสงบนิ่งมิได้เห็นเป็นอิสตรีงามหรือโครงกระดูก ภาวะแห่งธรรมญาณ เช่นนี้แหละที่ไม่อาจเอาตาทิพย์ที่ไหนไปหยั่งถึงสัมโภคกายของพระพุทธเจ้าได้เลย
       

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”