ครั้งหนึ่งมีเศรษฐีผู้ปฏิบัติธรรมด้วยการทำตัวประหนึ่งยาจกเข็ญใจเพราะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาถูก เครื่องถนิมพิมพาภรณ์ไม่มีติดกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว และเธอภูมิใจนักกับวัตรปฏิบัติแห่งตน ครั้งนั้นยังมีชาวต่างชาติเธอเดินทางมาจากแดนไกลเข้าร่วมปฏิบัติธรรม แต่เธอไม่ทำตัวเยี่ยงยาจกกลับใส่สร้อยคอและข้อมือทองคำ "นี่หรือผู้ปฏิบัติธรรมยังรักสวยรักงามวางไม่ลง" เศรษฐียาจกเที่ยวติฉินนินทาจนเลื่องลือไปทั่วสถานธรรมและใคร ๆ ก้พากันเห็นดีเห็นงามตามคำตำหนิติฉินนั้น ดูถูกดูแคลนนักปฏิบัติธรรมจากแดนไกลมิใช่ผู้ที่สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะเครื่องร้อยรัดอย่างนี้ยังวางไม่ลงเลย พระอาจารย์จี้กงจึงเรียกเศรษฐียาจกมาคุยด้วย "เธอคิดว่าการวางสร้อยคอและข้อมือเป็นเรื่องยากใช่ไหม ถ้าวันนี้อาจารย์จะใช้ให้เธอทิ้งกิจการ ลูก พ่อแม่ เดินทางไปปฏิบัติธรรมยังประเทศเขมร เจ้าจะไปได้หรือไม่" คำสอนของพระอาจารย์จี้กงนี้เพียงเพื่อชี้ให้เห็นว่า การวางเครื่องร้อยรัดนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การวางหรือปล่อยเครื่องผูกมัดจิตใจล้วนเป็นเรื่องยากยิ่งนัก เพราะจิตใจที่ยึดเหนี่ยวแสนเหนียวแน่นยิ่งกว่าการผูกมัดด้วยเส้นเชือกใด ๆ วันหนึ่งพระภิกษุจื้อถัง ได้เรียนถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเกี่ยวกับ พระพุทธองค์ได้ประก่ศคำสอนเรื่อง "ยานสามชนิด" และเรื่อง "ยานสูงสุด" ไว้ด้วย "แต่กระผมไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ขอความกรุณา ใต้เท้าช่วยอธิบายด้วยเถิด" "ในการพยายามเพื่อเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ท่านควรจะส่องดูที่ใจของท่านเองและทำตัวต่อสิ่งทั้งปวงภายนอกอย่างมีอิสระ ความแตกต่างระหว่างยานสี่ชนิด มิได้อยู่ที่ตัวธรรมะ แต่อยู่ที่ความแตกต่างของใจคนที่จะปฏิบัติธรรมะ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบและอธิบายถึงยานทั้งสี่ต่อไป "การดู การฟัง การท่องพระสูตร เป็นยานขนาดเล็ก การรู้ธรรมและเข้าถึงความหมาย เป็นยานขนาดกลาง การเอาธรรมะที่รู้นั้นมาปฏิบัติจนเป็นปกตินิสัยนี่คือยานขนาดใหญ่ การเข้าใจธรรมทั้งปวงอย่างปรุโปร่งได้ดื่มรสพระธรรมนั้นอย่างสมบูรณ์เป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง มีใจอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง และไม่ถืออะไรไว้โดยความเป็นของตน นี่แหละคือยานอันสูงสุด ความหมายที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้อธิบายถึงยานต่าง ๆ นั้นเป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่ายานขนาดเล็กเป็นเรื่องเฉพาะตัวและไม่อาจพาตนเองให้พ้นไปจากการเวียนว่ายได้เลย เพราะการฟัง การอ่าน หรือแม้แต่การท่องพระสูตรย่อมพาให้จิตหลงวนเวียนพ้นไปจากหนทางแห่งพุทธธรรมได้ง่ายนัก บางคนท่องพระสูตรด้วยเห็นเป็นความศักดิ์สิทธิ์จนกลายมาเป็นมนต์คาถาและใช้ปลุกเศก เพื่อหวังผลสำเร็จ แท้ที่จริงยิ่งกลายเป็นความมืดมิดหลงไปในวังวนแห่งการเวียนว่ายไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ท่องไม่รู้ความหมายแห่งพระสูตรเหล่านั้น จึงไม่อาจเกิดปัญญาของตนเองได้เลย ส่วนผู้ที่รู้ความหมายแห่งพระธรรมและเข้าถึงความหมายนั้นก็ยังเป็นเพียงผู้ปฏิบัติระดับกลาง เพราะมีแต่ความรู้ แต่หาได้ปฏิบัติให้เป็นจริงได้ไม่ คนเหล่านี้ยังอยู่ในระหว่างกึ่งกลางแห่งความหลงและรู้แจ้ง ถ้าติดในความรู้และความหมายยังคงมีโอกาสหลงวนเวียนได้เพราะยังมิได้ปฏิบัติให้เกิดผลจริง ๆ
สำหรับผู้ที่เอาธรรมะนั้นมาปฏิบัติจนกลายเป็นปกตินิสัยย่อมจัดว่าเป็นยานระดับใหญ่ เพราะยังให้คนทั้งหลายได้เกิดศรัทธาปสาทะปฏิบัติตามได้ ส่วนยานอันสูงสุดนั้นย่อมพ้นไปจาก "ความดี" และ "ความชั่ว" ปล่อยวางได้ทั้งหมดจนเห็นแต่ "ธรรมญาณ" ของตนเท่านั้น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายต่อไป "เนื่องจากคำว่า "ยาน" หมายถึง "เครื่องเคลื่อน" ดังนั้นข้อโต้แย้งในเรื่องเหล่านี้จึงไม่มีความจำเปผ็นเสียเลย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการฝึกฝนตนเอง ดังนั้นท่านจึงไม่จำเป็นต้องถามปัญหาใด ๆ อีกเลย แต่ฉันขอเตือนให้ท่านระลึกไว้ว่า ตลอดทุกกาลเวลา ธรรมญาณ แท้ยังคงดำรงอยู่ในภาวะแห่ง "ความเป็นเช่นนั้น" อยู่เสมอ เมื่อเข้าใจความหมายของคำว่า "ยาน" คือการน้อมนำเข้ามาปฏิบัติจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว และเป็นจิตใจของแต่ละคน เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าเป็นปัญหาที่ต้องโต้แย้งว่า วิธีของใครถูกต้องตรงแท้ ผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังคงเคร่งครัดอยู่กับการสวดมนต์ภาวนา แม้เอาพระสูตรไปอธิบายให้เ้ข้าใจความหมายอย่างไร จิตใจของคนผู้นั้นย่อมไม่เปิดรับเป็นแน่นอน ดังนั้นความหมายแห่งพระสูตร จึงไม่ "เข้าใจ" เพียงแต่ "เข้าหู" คนที่ขยันสวดมนต์ ใจจึงไม่อาจเปิดกว้างได้เพราะเชื่อเสียแล้วว่ามนต์ศักดิ์สิทธิ์ในตัวของมันเอง แต่มิได้รู้ว่าความศักดิ์สิทธิ์แท้จริงอยู่ที่ จิตของแต่ละคนต่างหาก ความเชื่อเหล่านี้จึงปล่อยวางความติดยึดไม่ลง เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้จึงมิได้อะไรเพิ่มเติม แม้เขาจะท่องพระสูตรไปชั่วกัปป์กัลป์ แต่ถ้าเขาปล่อยวางมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้ความลึกซึ้งละเอียดอ่อนของความหมายแห่งพระสูตรนั้น ๆ พระภิกษุจื้อฉังแสดงความเคารพพระธรรมาจารย์ จากนั้นจึงเป็นผู้ปรนนิบัติพระธรรมาจารย์ตลอดพระชนม์ชีพของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง