ตรีกาย อันหมายถึง กายทั้งสามของพระพุทธเจ้านั้น ธรรมกายและสัมโภคกาย ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยนัยตาเนื้อ แต่นิรมานกายเป็นกายเนื้อที่มองเห็นได้ แต่ที่ทำความเข้าใจกันยากก็อยู่ที่ว่า เหตุไฉนจึงมีมากมายนับด้วยหมื่นแสน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงให้คำอธิบายว่า "อะไรเล่าได้ชื่อว่า นิรมานกายอันมากมายนับด้วยหมื่นแสน เมื่อใดที่ทำตัวเรา ให้เข้ามาอยู่ในฝักฝ่ายของความรู้จักแบ่งแยกว่าอะไรเป็นฝ่ายไหน และรู้จักระบุออกไปว่า อะไรเป็นสิ่งที่ควรต้องการได้แม้แต่เพียงนิดเดียวเท่านั้น เมื่อครั้นความเปลี่ยนแปลงรูปร่างก็จะเกิดขึ้นถ้าผิดไปจากนี้ สิ่งทุกสิ่งก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนกับอวกาศ ดังเช่นที่มันเป็นอยู่ในตัวมันเองมาแต่เดิม โดยการโอนอิงจิตของเราลงไปบนความชั่วนรกก็เกิดขึ้น โดยการโอนอิงจิตของเราลงไปบนการกระทำความดี สวรรค์ก็ปรากฏ
การกำเนิด รูปธรรม และ นามธรรม แท้ที่จริงล้วนก่อขึ้นมาจากธรรมญาณ ที่ไหวตัวด้วยเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งทั้งสิ้น นรก และ สวรรค์ ล้วนถือกำเนิดจากการสร้างของมนุษย์ทั้งมวลด้วยความคิดดีหรือชั่ว ดังคำกล่าวที่ว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ เป็นปฐมเหตุแห่งการสร้างนรกจริงและสวรรค์จริง ถ้าตัดเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งธรรมญาณได้ สวรรค์ และ นรก ก็ปราศนาการหาปรากฏไม่ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "มังกรและงูร้าย คือการแปลงร่างมาเกิดของเวรภัยอันมีพิษ เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ก็คือ ตัวตนของความเมตตากรุณา จับกลุ่มกันมาเกิด ซึกบนคือ ปัญญาซึ่งจับตัวกันเป็นผนึกส่องแสงจ้าอยู่ ในขณะที่โลกซีกล่างเป็นเพียงอีกรูปหนึ่งของสิ่งที่ก่อรูปมาจากอวิชชาและความมัวเมาการเปลี่ยนรูปแปลงร่างของธรรมญาณช่างมีมากมายเสียจริง ๆ "
พระวจนะตอนนี้น่าพิจารณาถึงเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งให้การเวียนว่ายของธรรมญาณ ที่ได้สร้างกรงขังให้แก่ตนเองแต่ละภพแต่ละชาติแตกต่างกันไปตามแต่สภาวะแห่งจิตที่สร้างเหตุแห่งกรรมเอาไว้ "ชาตินี้กินหมู ฆ่าหมู แน่นอนชาติต่อไปย่อมได้กรงขังเป็นหมู" มนุษย์ไม่รู้จัก ธรรมญาณ ของตนเองเพราะฉะนั้นการเวียนว่ายจึงสร้างกรงขัง ธรรมญาณ ด้วยรูปลักษณ์แตกต่างกันจนประมาณมิได้ แต่เมื่อ ธรรมญาณ ตกลงมาสู่โลกนี้ย่อมอยู่ภายใต้อิทธิพลของ ดี และ ชั่ว มืด และ สว่าง มีปัญญาและมืดมัว เพราะฉะนั้นผู้ที่คงสภาวะแห่งความเมตตา กรุณา เอาไว้ได้ในทุกกาลเวลาย่อมได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ในขณะเดียวกันการหมุนเวียนแห่งวัฏจักรย่อมทำให้เกิดความแปรเปลี่ยนไม่รู้จักจบสิ้น พระโพธิสัตว์จึงมีรูปลักษณ์มากมายจนประมาณมิได้เช่นกันไม่ว่ามนุษย์ หรือ สัตว์ถ้าคงความเมตตากรุณาเอาไว้ได้ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "พวกที่ตกอยู่ภายใต้ความหลงก็ไม่มีวันตื่นและไม่มีวันเข้าใจ เขาจึงน้อมใจลงสู่ความชั่วเสมอและประพฤติความชั่วนั้นเป็นปรกติวิสัย แต่ถ้าเขาน้อมจิตเลี้ยวจากความชั่วมายังความดีงาม แม้เพียงสักขณะจิตเดียวเท่านั้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้นทันที นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า นิรมานกายของพระพุทธเจ้าแห่ง ธรรมญาณ" นิรมานกาย นี้ย่อมหมายถึงการแปรเปลี่ยนแห่งธรรมญาณแต่มุ่งตรงไปสู่สัจธรรมอันพ้นไปจากวิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเป็นการปฏิบัติทางจิตแห่งพระพุทธะนั่นเอง
พระธรรมาจารย์สรุปเอาไว้อย่างแจ้งชัดว่า "ธรรมกาย คือสิ่งซึ่งมีความเต็มเปี่ยมอยู่ในตัวเองอย่างแท้จริง สัมโภคกายคือการเห็นอยู่อย่างเผชิญหน้ากับธรรมญาณของตนอยู่ในทุกขณะจิต นิรมานกายคือการเอนอิงจิตของเราลงไปที่สัมโภคกายจนเกิดปัญญาสว่างไสว" เพราะฉะนั้น ตรีกาย ของท่านฮุ่ยเหนิงจึงรวบสรุปอยู่ที่ ธรรมญาณ ของตนเองทั้งสิ้น มิได้อยู่ที่นอกตัวเราเลย ซึ่งเป็นการยอมรับว่า มนุษย์ทุกรูปสามารถบำเพ็ญปฏิบัติให้บรรลุซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณและเป็นพระพุทธเจ้าได้ทุกคนไป แต่มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นและไม่ศรัทธาต่อตนเองว่า มีทุกอย่างเยี่ยงเดียวกับพระพุทธองค์ ผิดกันแต่เพียง ปณิธานความตั้งใจเท่านั้น
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงยืนยันความข้อนี้เอาไว้ว่า "การปฏิบัติให้ลุถึงการตรัสรู้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง และการปฏิบัติความดีงาม ตามที่มีอยู่ในธรรมญาณของตนเองนั่นแหละคือสิ่งที่ดีเลิศของการ ถือที่พึ่ง" กายเนื้อของเราประกอบไปด้วยเนื้อหนังมันจึงมีประโยชน์ไม่มากไปกว่าเป็นที่อาศัยพักแรมชั่วคราว ดังนั้นมันจึงเป็นที่พึ่งมิได้ แต่เราจงพยายามให้เห็นแจ้งในตรีกายแห่งธรรมญาณของเราเถิดและเรารู้จักพระพุทธเจ้าแห่งธรรมญาณของเราเอง การพึ่งพาแต่ภายนอกธรรมญาณของตนเองจึงกลายเป็นคนโง่หลงงมงาย เพราะแม้แต่กายของเรายังพึ่งไม่ได้เลยเพราะฉะนั้นนอกตัวเราจึงมิใช่ที่พึ่งอันเกษมความหมายอันแท้จริงที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ "ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน" จึงมีความเป็นไปเช่นนี้แล