collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : คำนำ  (อ่าน 44162 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง  ภาคสมบูรณ์  :   พงศาธรรม

       การสืบสายทอดธรรมะเพื่อรักษาประตูศักดิ์สิทธิ์แห่งการคืนกลับสู่ "บ้านเดิม" อันเข้าใจว่าเป็นแดนนิพพาน ผู้รักษาประตูศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า""พระวิสุทธิอาจารย์""ทำหน้าที่ชี้หนทาง ส่วนการบำเพ็ญหรือเดินทาง ต้องกระทำด้วยตนเอง ไม่มีใครช่วยได้เลย การสืบทอดโองการสวรร์เพื่อให้เวไนยสัตว์ทั้งปวงได้คืนกลับเป็นไปตามยุคสมัย ซึ่งแบ่งออกเป็น สามยุค คือ  ยุคที่หนึ่งเรียกว่า ยุคเขียว  ผู้ถือโองการสวรรค์เป็นฮ่องเต้ เพราะฉะนั้นฮ่องเต้จึงเป็นโอรสสวรรค์  พระพุทะเจ้าครองธรรมกาล 1,500 ปี  คือ พระทีปังกรพุทธเจ้า พระวิสุทธิอาจารย์ผู้รับสืบทอด  พงศาธรรมมีอยู่ 18 พระองค์ เรียงลำดับได้ดังนี้  1. พระเจ้าฝูซี  2. ปรมาจารย์เสินหนง   3. เซวียนเอวี้ยนฮ่องเต้  4. เล่าเฮ่า  5. จวนซวี่  6. ตี้คู่ 7. ตี้เหยา  8. ตี้สุ้น  9. เซี่ยอวี่ 10. อีอิน  11. วังทัง  12. ไท่กงอ้วง  13. อ๋นอ๋วงโจวกง  14. เหลาจื้อ  15.ขงจื่อ  16. เอวี๋ยวจื่อ  17. จื่อซือ  18. เมิ่งจื่อ  เมื่อถึงท่านเมิ่งจื่อ ธรรมะที่แท้จริงไม่มีการถ่ายทอด ถือเป็นการเสร็จสิ้นการถ่ายทอดในประเทศจีน ในยุคเขียวตะวันออก  สานุศิษย์พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้เรียนถามว่า ""ท่านจะให้พวกข้าพเจ้าได้ทราบไหมว่า ธรรมนี้ได้ถ่ายทอดกันมากี่ชั่วคนแล้ว นับจากพระพุทธเจ้าพระองค์แรกเป็นต้นมา" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า "พระพุทะเจ้าเสด็จมายังโลกนี้ มีจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน พระองค์ขอให้เรากล่าวนามพระองค์เพียง  7 พระองค์หลังเถิด กัลป์ที่แล้วเรียกว่า อาลัมกรกัลป์มี 4 พระองค์  พระพุทธเจ้าวิปัสสิน   พระพุทธเจ้าสิขิน  พระพุทธเจ้าเสสภู  พระพุทธเจ้ากกุสันธ  ส่วนกัลป์ปัจจุบันเรียกว่า ภัทรกัลป์ มี 3 พระองค์  พระพุทธเจ้าโกนาคมน  พระพุทธเจ้ากัสสป  พระพุทธเจ้าโคดม   จากพระพุทะเจ้าโคดม ได้ถ่ายทอดธรรมะมาสู่  องค์ที่ 1 พระมหากัสสปะเถระ  องค์ที่ 2 พระอานนท์เถระ  องค์ที่ 3 พระสันนวสเถระ  องค์ที่ 4 พระอุปคุปเถระ  องค์ที่ 5 พระธริตกเถระ  องค์ที่ 6 พระมิฉกเถระ  องค์ที่ 7 พระวสุมิตรเถระ  องค์ที่ 8 พระพุทธนันทิเถระ   องค์ที่ 9 พระพุทธมิตรเถระ   องค์ที่ 10  พระวาสวเถระ   องค์ที่ 11 พระปุนยยัสสเถระ  องค์ที่ 12 พระอัสวโฆศ มหาโพธิสัตว์   องค์ที่ 13 พระกปิมลเถระ   องค์ที่ 14 พระนคารชุน มหาโพธิสัตว์   องค์ที่ 15 พระคนเทวเถระ   องค์ที่ 16 พระราหุลตเถระ   องค์ที่ 17 พระสังฆนันทิเถระ   องค์ที่ 18 พระสังฆยัสสเถระ   องค์ที่ 19 พระกุมารตเถระ   องค์ที่ 20 พระฆยตเถระ   องค์ที่ 21 พระวสุพันธุเถระ   องค์ที่ 22 พระมนูรเถระ   องค์ที่ 23 อักเลนยสัสเถระ   องค์ที่ 24 พระสินหเถระ   องค์ที่ 25 พระวสิอสิตเถระ   องค์ที่ 26 พระปุนยมิตรเถระ  องค์ที่ 27 พระปรัชญาตาระเถระ   องค์ที่ 28 พระโพธิธรรม    องค์ที่ 29 พระเสินกวง   องค์ที่ 30 พระเซิงซั่น   องค์ที่ 31 พระเต้าซีน   องค์ที่ 32 พระหงเหยิ่นและฉันเป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่ 33 จากการสืบต่อทางสานุศิษย์ ที่พระธรรมได้ถ่ายทอดจากพระธรรมาจารย์องค์ที่ 1 ไปยังอีกองค์หนึ่ง นับจากนี้ไป ท่านทั้งหลายควรถ่ายทอดต่อไปให้คนรุ่นหลัง จากอนุชนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง  เพื่อเป็นการรักษาประเพณีเอาไว้"" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้กล่าวถึงพงศาธรรม เอาไว้พอเป็นสังเขปเท่านั้น แต่ถ้าจะแบ่งยุคแห่งการถ่ายทอด ธรรมะ อันเป็น พงศาธรรมที่สืบต่อกันมาแล้ว หลังจากยุคสมัยพระพุทธองค์ปัจจุบันซึ่งครองธรรมกาล3,000 ปี ถือเป็นยุคที่ 2 เรียกว่า ยุคแดง   ธรรมะอยู่ที่ปราชญือริยะบุคคล จึงเป็นที่น่าสังเกตุว่า เจ้าชายสิทธัตถะ จึงต้องสละฐานันดรแห่งกษัตริย์แสวงหาความหลุดพ้น   ธรรมะถ่ายทอดมาจนถึง พระโพธิธรรม ได้แลเห็นแสงสว่างแห่งธรรมปรากฏขึ้นที่เมืองจีน  จึงเดินทางไปประเทศจีนเมื่อสมัย เหลียงอู่ตี้ฮ่องเต้  ประมาณปีพุทธศักราช  1050  สมัยนี้จึงถือเป็นยุคแดง ตะวันออก มีพระธรรมาจารย์ถือโองการสวรรค์ 18 รุ่น  โดยพระโพธิธรรมเป็นองค์ที่ หนึ่ง ของจีน  ครั้นถ่ายทอดธรรมะมาถึงพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงองค์ที่ 6 แล้ว  ธรรมะถ่ายทอดลงสู่ครัวเรือน  ผู้ที่รับโองการสวรรค์ตามลำดับพงศาธรรม มีดังนี้  7. หม่าต๋วนเอี๋ยง ไป่อวี้ฉัน  8. หลออุ้ยฉวิน   9. หวงเต๋อฮุย   10. อู๋จื่อเสียง  11. เหอเหลียว   12.เอวี้ยนทุ่ยอัน   13 เอี๋ยงหวนซวี สวีหวนอู๋   14.เอี๋ยวหาวเทียน   15.อ๋วงเจี๋ยอี  16. หลิวชิงซวี  ยุคแดงสิ้นสุดลงที่พระธรรมาจารย์รุ่นที่ 16   จากนี้ไปเป็นการเริ่มต้นยุคขาว ซึ่งธรรมะถ่ายทอดลงสู่สามัญชน และเป็นการโปรดสัตว์ทั่วไปครั้งสุดท้าย พระพุทธเจ้าที่เสวยธรรมกาลคือ พระศรีอริยเมตตรัย ครองธรรมกาล 10,800 ปี  ผู้รับโอกงการสวรรค์สืบสายพงศาธรรมเป้นปฐมบรรพจารย์ในยุคนี้คือ  17.ลู่จงอี  และ 18.กงฉัง จือซี  คือพระพุทธจี้กง  และ  พระโพธิสัตว์จันทรปัญญา    พระพุทธเจ้าทั้ง 10 พระองค์ ที่ลงมาเก็บงานให้สมบูรณ์ก็คือ ชี้หนทางให้เวไนยสัตว์คืนกลับสู่นิพพานนั่นแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง  ภาคสมบูรณ์  :   พญามาร

        การบำเพ็ญปฏิบัติย่อมพบพานกับพญามารอย่างหลีกเลี่ยงมิได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พญามารที่อยู่ภายในย่อมมีฤทธานุภาพมากกว่าพญามารที่อยู่นอกตัวเราเสียอีก  พระอริยเจ้ามีคำกล่าวเอาไว้ว่า "พุทธะสูงหนึ่คืบ  มารสูงหนึ่งศอก"  ความหมายแห่งคำกล่าวนี้ บ่งบอกให้รู้ว่า การบำเพ็ญปฏิบัติต้องฝ่าฟันเอาชนะพญามารภายในตัวเราให้ได้ หากพ่ายแพ้ต่อพญามารเสียแล้วย่อมไม่อาจสำเร็จคืนสู่ "บ้านเดิม"ได้เลย  ก่อนที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจะละกายสังขาร ท่านได้กล่าวโศลก โดยให้ชื่อโศลกนั้นว่า "พุทธะอันแท้จริงของภาวะที่แท้แห่งจิต" มีความว่า "อนุชนรุ่นหลังต่อไปในอนาคต ผู้เข้าใจในความหมายนี้ จะได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งจิตและบรรลุความเป็นพุทธะตามนัยนี้้ ภาวะที่แท้แห่ง ธรรมญาณ หรือ ตถตา เป็นพุทธะอันแท้จริง ส่วนมิจฉาทิฏฐิ และธาตุอันเป็นพิษร้าย 3 ประการ เป็นพญามาร การบรรลุธรรมด้วยสัมมาทิฏฐิ เรามุ่งไปสู่พุทธะในตัวเรา  เมื่อธรรมชาติของเราถูกครอบงำด้วยธาตุอันเป็นพิษร้าย 3 ประการ อันเป็นผลมาจากมิจฉาทิฏฐิ เราก็ได้ชื่อว่าอยู่ภายใต้อำนาจ พญามาร  เมื่อสัมมาทิฏฐิได้ขจัดธาตุอันเป็นพิษร้ายเหล่านี้ออกไปจากจิตของเรา พญามารก้กลายรางเป็น พุทธะอันแท้จริง" ความหมายแห่งโศลกนี้ ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า  พญามาร อยู่ภายในจิตของเรานี่เอง มิต้องไปค้นหาที่ไหนเลย ในครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียร ก็ได้เอาชนะพญามารที่อยู่ภายในจิตใจอันเป็นพิษร้าย สามประการ ได้แก่ โลภ โกรธ หลง  ซึ่งเป็นหัวหน้าสำคัญของมารภายในจิตของเรา และสามารถแตกหน่อก่อลูกหลานมารรุมเร้าภายใน "ธรรมญาณ" ของเราได้มากมายโดยประมาณมิได้เช่นกัน  เมื่อพญามาร ครอบครอง "ธรรมญาณ"  อายตนะหก  อันได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ย่อมกลายเป็นบริวาร และปฏิบัติตามอำนาจของพญามารโดยแท้  เพราะเหตุนี้ จึงไม่ต้องเที่ยวแสวงหารูปลักษณ์แห่งพญามาร จากที่ไหนเลย ขอเพียงพญามารครอบครอง ธรรมญาณ ของเราได้รูปลักษณ์ที่แสดงออกทั้งปวงล้วนเป็น พญามาร  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า ""ธรรมกาย  สัมโภคกาย  และนิรมานกาย  กายทั้งสามนี้ย่อมกำเนิดมาจากสิ่งหนึ่งคือ "ภาวะที่แท้ แห่ง ธรรมญาณ" ใครที่สามารถตระหนักชัดถึงความจริงข้อนี้ ได้ด้วยปัญญาญาณ ย่อมหว่านเมล็ดพืชและจะเก็บเกี่ยวผลถึงการตรัสรู้  จากนิรมานกายที่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของเรา ได้ถือกำเนิดภายในนิรมานกายนั้น และจะพบธรรมชาติอันบริสุทธิ์  และภายใต้การนำของธรรมชาติอันบริสุทธิ์นั้นเอง นิรมานกายจะดำเนินไปตามมรรคอันถูกต้อง ซึ่งวันหนึ่งจะได้บรรลุสัมโภคกายอันสมบูรณ์และไพศาล ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ก็ถือกำเนิดมาจากสันดานในทางกามคุณ เมื่อกำจัดความปรารถนาในทางกามคุณเสียได้ เราก็บรรลุธรรมกาย อันบริสุทธิ์  เมื่ออารมณ์ของเราไม่เป็นทาษของวัตถุแห่งกามทั้งห้าอีกต่อไป และเมื่อเราได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่ง "ธรรมญาณ" แม้เพียงขณะเดียว เมื่อนั้นเราก้แจ้งในสัจจะ" ความปรารถนาทางกามคุณดูเหมือนจะเป็น พญามารตัวร้ายที่ยากขจัดได้เด็ดขาดนัก เพราะโดยธรรมชาติของการสังขารย่อมปรารถนา  การขจัดกามคุณ จึงมิได้อยู่ที่ ปากพูดอย่างเดียว  แต่จิตต้องมั่นและตัดขาด ความสงบนิ่งจึงปรากฏ ในครั้งพุทธกาล บรรดาฤาษีทั้งปวง ล้วนถูกกามคุณตัดรอนการบำเพ็ญเสียนักต่อนักแล้ว  ธรรมชาติ หรือสันดานของคน ย่อมปรารถนาในการสืบเผ่าพันธุ์ เพราะเหตุนี้การตัดกามราคะ จึงเป็นเรื่องยากยิ่งนัก เพราะ กามราคะ ตกอยู่ในองค์ประกอบ 5 ประการ พร้อมมูลคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  ฤาษีตบะแก่กล้าจึง ตบะแตกมาเสียมากแล้ว  การตัดกามราคะออกไปเสียจาก "ธรรมญาณ" ได้ย่อมพบเห็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เพราะ ภายในธรรมญาณนั้นหากามราคะมิได้เลย อันหมายถึงความเป็นพระพุทธะ นั่นเอง  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล็งเห็นภ้ยของกามคุณเพราะฉะนั้นจึงบัญญัติข้อปฏิบัติเพื่อสะกัดกั้น ตัณหาราคะเอาไว้อย่างดี แต่สาวกในภายหลังมิได้เอาใจใส่่ปฏิบัติ พระอานนท์ทูลถามพระพุทธองค์ว่า จักปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร ""อย่าพบสตรีดีที่สุด"" "" ถ้าจำเป็นต้องพบ ควรปฏิบัติอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า"" พระอานนท์ทูลถาม  ""จงพูดให้น้อย พูดแต่ที่จำเป็น"" อิตถีภัยนั้นร้ายแรงนักและยากที่จะผ่านพ้นไปได้  จึงมีคำโบราณของจีนกล่าวเอาไว้เป็นอนุสสติบอกว่า  ""ขุนพลผู้กล้าหาญ สามารถรบชนะผ่านกำแพงเมืองมานับไม่ถ้วน แต่ไม่อาจผ่านพ้นกำแพงแห่งหญิงสาวไปได้เลย"""พญามาร  ปากแดงนัยตาหวาน เสียงไพเราะ จึงมีอานุภาพ ยิ่งนักแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง  ภาคสมบูรณ์  :   ปัจฉิมกาล

        พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึงโศลกสุดท้าย เพื่อฝากบอกเป็นเครื่องเตือนใจอนุชนรุ่นหลังว่า ""เมื่อเราโชคดีที่ได่มาเป็นสานุศิษย์ของสำนักฉับพลันในชาตินี้เราย่อมได้พบพระภควาของภาวะที่แท้จริงแห่ง "ธรรมญาณ" ได้ในทันที ใครที่ค้นหาพุทธะ ด้วยการปฏิบัติตามลัทธิอื่น ย่อมไม่ทราบว่าจะพบพุทธะที่แท้จริงได้ที่ไหน ใครที่ตระหนัดชัดถึงสัจจะ ภายในจิตเขาเองย่อมเป็นผู้หว่านเมล็ดพืชแห่งพุทธะ ใครที่ไม่ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณ และค้นหาพุทธะจากภายนอกย่อมเป็นคนโง่ ที่มีความปรารถนาผิดเป็นเครื่องกระตุ้น   โดยนัยนี้ฉันได้มอบคำสอนของสำนักฉับพลัน ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังแล้ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือมวลสัตว์ ที่สนใจจะปฏิบัติธรรม โปรดฟังฉัน บรดาสานุศิษย์ในอนาคต เวลาของท่านจะสิ้นไปเปลีอยเปล่า ถ้าท่านเพิกเฉยไม่นำคำนี้ไปปฏิบัติ" ความหมายแห่งพระวจนะนี้ได้บ่งชี้ให้เห็นว่า การค้นหาพระพุทธะภายใน เป็นสิ่งพึงกระทำ หากไม่พบธรรมญาณ การค้นหาพุทธะย่อมไร้ประโยชน์ เพราะ "ธรรมญาณ" นั้นคือ สัจธรรมอันจริงแท้ เมื่อกล่าวโศลกจบแล้วพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวต่อไปว่า ""จงรักษาตัวให้ดี เมื่อฉันเข้าปรินิพพานแล้ว จงอย่าเอาอย่างธรรมเนียมโลก อย่าร้องไห้หรือโศกเศร้า ไม่ควรปล่อยให้เกิดความเสียใจ หรือ คร่ำครวญ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องตรงกันข้ามกับคำสอนที่แท้ ใครที่ทำเช่นนั้น ย่อมไม่ใช่ศิษย์ของฉัน  สิ่งที่ควรทำก็คือ จงรู้จักธรมญาณของท่านเอง และตระหนักชัดถึงธรรมชาติแห่งพุทธะของท่าน ซึ่งเป็นสิ่งไม่สงบนิ่งและไม่เคลื่อนไหว  เป็นสิ่งที่ไม่เกิดและไม่ดับ  เป็นสิ่งที่ไม่มาและไม่ไป เป็นสิ่งที่ไม่รับและไม่ปฏิเสธ เป็นสิ่งที่ไม่คงอยู่และไม่จากไป มิฉะนั้น แล้วธรรมญาณของท่านจะถูกครอบงำด้วยความหลงผิด ทำให้ไม่อาจเข้าใจความหมายได้  ฉันทบทวนเรื่องนี้กับท่าน เพื่อให้ท่านสามารถตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณ  เมื่อฉันจากไปแล้ว ถ้าท่านทำตามคำสอนของฉันและนำไปปฏิบัติ การที่ฉันจากท่านไป ก็ไม่เป็นข้อประหลาดอย่างใด ตรงกันข้าม ถ้าท่านฝ่าฝืนคำสั่งของฉัน แม้ฉันจะอยู่ต่อไปก็ไม่เกิดคุณประโยชน์อันใด"  ความหมายอันชดเจนเกี่ยวกับธรรมญาณ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ชี้ให้เห็นภาวะแท้แห่งธรรมญาณซึ่งเป็น อนัตตา  ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเช่นใดสถานภาพอย่างไรก็ไม่แปรเปลี่ยน ยังคงสภาวะเช่นนั้นตลอดกาล เพราะการปราศจากรูปลักษณ์นั่นเองจึงสามารถคงอยู่ในทุกรูปลักษณ์ ซึ่งเหตุปัจจัยที่ตนเองสร้างขึ้นไว้และอาศัยได้ทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้น ธรมญาณจึงอยู่นิ่งหรือเคลื่อนไหวได้ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้กล่าวปัจฉิมโศลกว่า ""ด้วยความเยือกเย็นและไม่กระวนกระวาย บุคคลชั้นเลิศไม่ต้องปฏิบัติความดี ด้วยความเที่ยงธรรมและเป็นตัวของตัวเอง ท่านไม่ต้องกระทำบาป ด้วยความสงบและสงัด ท่านเพิกเฉยการดูและการฟัง ด้วยความเสมอภาคและเที่ยงตรง ธรรมญาณของท่านไม่ได้พำนัก ณ ที่ใด"" เมื่อจบโศลกแล้วพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงก็สงบนิ่งจนถึงยามสามของคืนนั้น ทันใดท่านก้กล่าวแก่สานุศิษย์สั้น ๆ ว่า""ฉันจะไปเดี๋ยวนี้""  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเข้าปรินิพพานไปในขณะนั้น กลิ่นหอมอันประหลาดคลุ้งไปทั่วห้อง รุ้งจากแสงจันทร์ผุดขึ้นประดุจเชื่อมฟ้ากับดิน พรรณไม่ในป่ากลายเป็นสีขาว  นกและสัตว์จตุบาทส่งเสียงร้องระงม  ความหมายแห่งพระวจนะสุดท้ายได้ให้คำกำจัดความของบุคคลชั้นเลิศที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฟ้าดินแล้ว มีความดีเป็นธรรมดาสามัญแล้ว จึงไม่ต้องกระทำความดี  เพราะการกระทำทั้งปวงของบุคคลเหล่านั้นล้วนเป็นเยื่องเดียวกับฟ้าดิน  ครั้นถึงเดือนสิบเอ็ดในปีเดียวกัน ก็มีปัญหาถกเถียงว่า จะเก็บพระสรีรร่างของพระธรรมาจารย์ไว้ที่ไหน  ข้าราชการแห่งเมืองกว่างตง เซ่าโจว และซินโจว ต่างต้องการเก็บไว้ในเมืองของตน ทั้งภิกษุและฆราวาส ต่างโต้แย้งกันเมื่อตกลงกันไม่ได้  จึงพร้อมใจกันจุดเครื่องหอมและอธิษฐาน ขอให้พระธรรมาจารย์บอกทิศทางโดยถือเอาการลอยควันเป็นเกณฑ์ ควันก็ลอยไปทางเฉาซี ฉะนั้น ในวันขึ้นสิบสามค่ำ เดือนสิบเอ็ด จึงได้อัญเชิญพระสรีรร่างพร้อมด้วยบาตรและจีวรของท่านไปยังเฉาซี  ในปีรุ่งขึ้นวันแรมสิบค่ำ เดือนเจ็ด  ได้อันเชิญพระศพของท่านออกจากสถูป ท่านฟังเปี้ยน สานุศิษย์องค์หนึ่งได้หุ้มร่างของท่านด้วยดินหอม เมื่อระลึกถึงคำทำนายของพระธรรมาจารย์ บรรดาสานุศิษย์จึงพร้อมใจกันเอาแผ่นเหล็กมาหุ้มคอของท่านไว้ และพันร่างด้วยผ้าอาบน้ำยา ก่อนอันเชิญเข้าไว้ในสถูปตามเดิม ทันใดนั้น เกิดเป็นแสงสว่างสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากสถูปสู่ท้องฟ้า เป็นเวลาสามวันจึงหายไป  บรรดาข้าราชการแห่งเมืองเซ่าโจว จึงได้กราบทูลรายงานต่อพระมหาจักพรรดิ์ ซึ่งมีพระบรมราชโองการให้สร้างแผ่นจารึกบันทึกชีวะประวัติของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้รับมอบบาตรและจีวรเมื่ออายุ 24 ได้อุปสมบทเมื่ออายุ 39 และเข้าปรินิพพานเมื่ออายุ 76 ท่านได้เทศนาธรรมเพื่อประโยชน์แก่มวลสัตว์เป็นเวลา 37 ปีสานุศิษย์ของท่าน 43 องค์ได้รับมอบธรรมและเป็นผู้สืบต่อจากท่านด้วยกรรมวาจา ส่วนผู้ที่เห็นแจ้งในธรรม จนละฆราวาสวิสัยนั้นมีมากมายสุดประมาณ  จีวรและบาตร อันเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเป็นพระธรรมาจารย์ ซึ่งพระโพธิธรรม ท่านได้มอบตกทอดมาตลอดจนจีวรโมราและบาตรผลึก ซึ่งพระมหาจักรพรรดิ์จงจงได้ส่งมาถวาย ภาพสลักของพระธรมาจารย์โดยท่านพังเปี้ยนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ นั้นอยู่ในความพิทักษ์รักษาของผู้เฝ้าสถูป  เป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ในวัดเป่าหลินชั่วกาลนาน เพื่อเป้นสวัสดิมงคลแก่วัด  พระสูตรที่ท่านได้เทศนา ก็นำมาพิมพ์และแจกจ่ายทั่วกัน เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงหลักการจุดประสงค์ของสำนักธรรมงานต่าง ๆ เหล่านี้ได้จัดทำไปก็เพื่อความรุ่งเรืองสถาพรของพระรัตนตรัยและเพื่อนความเป็นสวัสดิมงคลทั่วไปแก่มวลสัตว์

                                                                   จบบริบูรณ์

อานิสงฆ์จากการเผยแผ่หนังสือธรรมะ

1. กรรมเวรจากอดีตชาติจะได้ลบล้าง
2. หนี้เวรจะได้คลี่คลาย พ้นภัยจากทะเลทุกข์
3. โรคภัยไข้เจ็บจากเจ้ากรรมนายเวรจะพ้นไป
4. วิญญาณทุกข์ของบรรพบุรุษจะพ้นจากถูกทรมานไปสู่สุคติ
5. วิญญาณของเด็กแท้งจะได้ไปเกิดใหม่
6. สามีภรรยาที่แตกแยกจะคืนดีต่อกัน
7. บุตรจะเฉลียวฉลาดเจริญรุ่งเรือง
8. พ่อแม่จะมีอายุยืน
9 . ลูกหลานเกเรจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนดี
10. กิจการงานจะราบรื่น  สมความปรารถนา
11. เป็นบารมีคุ้มครองลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข

บุคคลใดที่ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ แจกจ่ายเป็นวิทยาทาน จำนวนมาก ระยะยาว หรือ บรรยายถ่ายทอดธรรมวิทยา จะพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ และ เภทภัยเหตุร้ายทั้งปวง

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”