collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : คำนำ  (อ่าน 44163 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      ความเชื่อสองชนิดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ ความผิดคือ 1.เชื่อว่า ตายแล้วสูญ  2.เชื่อว่า ตายแล้วเกิด"แล้วความเชื่ออย่างไหนที่ตรงต่อสัจธรรมเล่า"  "ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยย่อมต้องเกิดอีก เมื่อหมดเหตุปัจจัยแล้วย่อมไม่ต้องเกิด" ความหมายแห่งพระพุทธวจนะนี้เพ่งเล็งตรงที่เหตุเป็นสำคัญ ถ้าตัดต้นเหตุเสียได้ย่อมพ้นทุกข์ แต่ความเชื่อทั้งสองอย่างนั้นที่เป็นผิดเพราะไม่เพ่งเล็งเอาที่ผล เพราะฉะนั้นย่อมตัดทุกข์มิได้ แต่เพราะการศึกษาปฏิบัติมิได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ ความเชื่อเช่นนี้จึงได้ยืนยาวมาจนถึงปัจจุบันสมัย บัดนี้ยังมีผู้เชื่อกันว่าหากบำเพ็ญธรรมจนบรรลุเข้าสู่ปรินิพพานแล้วหมายถึงการดับสูญหมดสิ้น ไม่มี้หลือแม้ธรรมญาณของตนเอง "ความว่างที่เรีัยกว่า สูญญตา นั้นคืออะไรกันแน่" "ก็ว่างจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งทั้งปวง" "และอะไรล่ะว่าง"" "ธรรมญาณแท้ซึ่งเป็นตัวจริงนั่นแหล่ะ ว่างจากเหตุปัจจัยทั้งมวล เพราะฉะนั้นสูญญตา จึงมิได้หมายความว่าปราศจากทุกอย่าง อย่างน้อยก็มีธรรมญาณ เป็นตัวตนอันแท้จริงเหลืออยู่ ซึ่งไม่อาจเอาบัญญัติทั้งปวงในโลกนี้มาอธิบาย ธรรมญาณได้เลย"
      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึง คนธรรมดาสามัญทั่วไปว่า "ปุถุชนทำตัวให้ติดพันอยู่กับวัตถุภายนอก ส่วนภายในก็จมอยู่ในความเห็นผิด เรื่อง ความว่างเปล่า เมื่อใดเขาปลดเปลื้องตนเองออกมาเสียจากความผูกพันอยู่กับวัตถุต่าง ๆ ที่เขาได้ประสบและเปลื้องตัวเองออกมาเสียจากความเห็นผิดเรื่องความขาดสูญ อันเกี่ยวกับคำสอนเรื่องสูญญตา เมื่อนั้นเขาจะเป็นคนอิสระจากอวิชชาความหลงผิดภายใน และจากสิ่งอันเป็นมายาภายนอก บุคคลที่เข้าใจอันแจ่มแจ้งในความจริงอันนี้และใจของเขาสว่างไสวออกไปทันที นี่แหละควรเรียกว่าผู้ได้เปิดตาของเขาแล้วเพื่อการเห็นแจ้งซึ่งพุทธธรรม
      คนธรรมดาสามัญยังติดอยูกับรูปลักษณ์ทั้งปวงเพราะฉะนั้นจึงยึดถือว่าเป็นสิ่งที่ยั้งยืนหรือมีตัวตนอยู่ตลอดกาล เพราะฉะนั้นพอหันเข้าหาภายในย่อมเห็นเป็นตรงกันข้ามคือ ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย บุคคลเหล่านี้จึงมีความเชื่อสุดโต่งสองอย่างคือ ตายแล้วสูญ กับ ตายแล้วเกิด  เพราะฉะนั้นชีวิตจริงของคนเหล่านี้จึงเวียนว่ายไม่มีที่สิ้นสุด เพราะไม่ทราบเหตุปัจจัยแห่งการเกิดและไม่เกิด ปุถุชนจึงเห็นมายาเป็นของจริง และเห็นของจริงเป็นมายา  ความรู้ที่ผิด จึงกลายเป็นควมไม่รู้ และก่อให้เกิดการยึดถือกันอย่างผิด ๆ  การกระทำของคนเหล่านี้จึงกลายเป็นการส่งเสริมตนเองเข้าสู่วังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด คนที่เชื่อว่า ตายแล้วสูญย่อมเสพสุขเบียดเบียนผู้อื่น กลายเป็นผู้เห็นแก่ตัว คนที่เชื่อว่าตายแล้วเกิดย่อมละโมบโลภมากสร้างสมบุญเอาไว้เสวยสุขในชาติหน้า
      เพราะฉะนั้นคนทั้งสองประเภทนี้ จึงไม่มีอิสระอย่างแท้จริงเพราะถูกความเห็นผิดครอบงำและตกไปสู่วิถีแห่งการเวียนว่าย ธรรมญาณ จึงถูกร้อยรัดด้วยวิบากกรรมของตนเอง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึง "พุทธธรรม" ว่า คำว่า พุทธะ มีความหมายเท่ากับคำว่า ตรัสรู้ ซึ่งควรถูกกำหนดไว้ภายใต้หัวข้อ 4 หัวข้อดังนี้...
เปิดตาขึ้น เพื่อการเห็นแจ้ง ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู้""
แสดงความเห็นแจ้งใน      ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็"" นั้นให้ปรากฏ
ตื่นขึ้นเพื่อการเห็นแจ้งใน  ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็""
เป็นผู้ตั้งมั่นใน               ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็""
       ความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้แสดงให้รู้ว่า ภาวะแห่งการตรัสรู้ นั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัว ดังนั้นจึงมิอาจประกาศป่าวร้องบอกใครได้เลยเพราะเหตุนี้การตรัสรู้จึงไม่ใช่เรื่องที่เกจิอาจารย์ผู้มรฤทธิ์ที่ไหนจักมาสั่งสอนได้ถ้าหากผู้นั้นปราศจากรากฐานแห่งการบำเพ็ญ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายต่อไปว่า  เมื่อได้รับการสั่งสอนแล้ว ถ้าเราสามารถจับฉวยและเข้าใจโดยทั่วถึงในคำสอนอันว่าด้วย ""ธรรมอันเป็นเหตุแห่งการตรัสรู้"" เมื่อนั้นแหละ คุณสมบัติอันประจำอยู่ภายใน หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมชาติอันแท้จริงอันได้แก่ ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็""นั้นก็มีโอกาสแสดงตัวออกมาให้ปรากฏ
       ท่านไม่ควรตีความหมายในตัวพระสูตรอย่างผิด ๆ แล้วลงมติเสียในที่สุดว่า พุทธธรรมนั้นเป็นสิ่งมีไว้สำหรับพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะไม่เป็นของทั่วไปสำหรับเราทั้งหลายด้วย โดยที่เผอิญไปพบข้อความในพระสูตรที่กล่าวไว้ว่า "เปิดตาขึ้นเพื่อการเห็นแจ้งในพุทธธรรม" แสดงความเห็นแจ้งให้ปรากฏ ฯลฯ ดังนี้  การตีความหมายผิดเช่นนี้ จึงถึงกับเป็นการป้ายร้ายให้แก่พระพุทธเจ้า และเป็นการแช่งด่าพระสูตรนั่นเองทุก ๆ คำที่ตนพูด เพราะเขาก็เป็นพุทธะด้วยองค์หนึ่ง เขาจึงมีโพธิธรรมอันนี้มาด้วยพร้อมแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสำหรับเขาเองที่จะเปิดตาดูสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นท่านควรรับเอาการตีความหมายที่ว่า พุทธธรรม นั้นคือ พุทธธรรมของใจเราเอง หาใช่ของพระพุทธเจ้าอื่นใดที่ไหนไม่""
      ใครพบธรรมญาณของตนเอง จึงประจักษณ์แจ้งว่า สูญญตามิใช่สิ่งที่ขาดสูญเสีย แต่การบำเพ็ญเพื่อตรัสรู้นั้น จึงจักทำให้ธรรมญาณเป็นอิสระพ้นไปจากวิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั่นแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

          มีคำกล่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการมองดูสิ่งต่าง ๆ ของคนในโลกนี้ว่า นกไม่เห็นฟ้า  ปลาไม่เห็นน้ำ  คนไม่เห็นโลก  ความหมายแห่งคำกล่าวนี้ชี้ให้เห็นสัจธรรมว่า บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่เกิดกายอยู่ในโลกนี้ต่างไม่รู้ถึงสภาพความเป็นจริงของสิ่งแวดล้อมรอบตัวเอง เพราะฉะนั้น จักษุของสัตว์จึงบอกต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมองไม่เห็นสภาพอันแท้จริงของมัน จึงหลงใหลและติดยึดกับสิ่งเหล่านั้นต่างพากันแย่งชิงครอบครองในสิ่งที่ไม่ยั่งยืน จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าใจนัก
         บรรดากิเลสทั้งปวงที่ปถุชนสั่งสมเอาไว้ จึงกลายเป็นผงปิดบังดวงตาของตนเอง หรืออีกนัยหนึ่ง ดวงตาคือแว่นของโลกีย์ทำให้มองเห็นของปลอมเป็นของจริงและพากันดิ้นรนอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อคนไม่เห็นโลก ดังนั้น จึงไม่รู้จักทุกข์ ซ้ำร้ายเห็นทุกข์เป็นสุข ดังนั้น จึงแก้ไขทุกข์มิได้เลย  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวแก่ พระภิกษุฝ่าต๋าต่อไป "เมื่อถูกทำให้หลงรักโดยอารมณ์อันยั่วยวนและปิดกั้นตัวเองเสียจากแสงสว่างของตัวเอง ด้วยเหตุอันนี้ สัตว์ทั้งปวงจึงระทมทุกข์อยู่เพราะอารมณ์ภายนอก และความเร่าร้อนภายใน จึงได้ตกเป็นเหมือนทาสแห่งตัณหาของตนเองโดยหมดสิ้น เมื่อทรงเห็นเหตุการณ์อันนี้พระพุทธองค์ของเราจึงได้ทรงลุกออกจากสมาธิ เพื่อเร้าใจสัตว์เหล่านั้นด้วยพระโอวาทอันเป็นเครื่องกระตุ้นมีประการต่าง ๆ ให้ย่ำยีตัณหาของตนเอง และเว้นขาดเสียจากการแสวงหาความสุขจากอารมณ์ภายนอกเพื่อว่าเขาจะได้เป็นผู้เสมอกันกับพระพุทะเจ้า เพราะเหตุอันนี้เอง ข้อความในตัวสูตรจึงมีว่า "เปิดตาขึ้นเพื่อเห็นแจ้งพุทธธรรม ฯลฯ"
      ข้อความตอนนี้ได้ชี้ให้เห็นความเป็นจริง แห่งการแก้ไขทุกข์ของเวไนยสัตว์ทั้งปวงย่อมต้องอาศัยแสงสว่างแห่งปัญญาของตนเอง พระพุทธองค์ทรงเป็นเสมือนหนึ่งผู้ชี้แนะหรือให้กำลังใจเท่านั้นเอง พระพุทธองค์ทรงมีปัญญาอันสุงส่งและสามารถอรรถาะิบายความทุกข์ทั้งปวงได้ละเอียดอ่อนไพเราะ หากแต่ปวงสัตว์ถ้าปราศจากปัญญาของตนเองแล้วไซร์ย่อมไม่อาจรับรสแห่งโอวาทนั้นได้เลย เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้ายังมีผู้คนที่ได้สดับพระธรรมแล้วมิอาจพรตนเองให้พ้นไปจากห้วงแห่งการเวียนว่ายยังคงจ่มลงสู่ห้วงอเวจีนรกเพราะปัญญาของตนเองถูกบดบังด้วยบาปของเวรกรรมแลอารมณ์ทั้งปวง พระเทวทัตน่าจะเป็นประจักษ์พยานความข้อนี้ได้อยู่ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่าข้าพเจ้าได้ตักเตือนคนทั่วไปอยู่เสมอให้เปิดตาของตนเองเพื่อเห็นแจ้งพุทธธรรมในภายในใจของตน แต่ด้วยอำนาจความผิดปรกติของเหล่านั้น เขาพากันทำบาปภายใต้อวิชชาความโง่เขลา ปากของเขาว่ากรุณาแต่ใจของเขาโหดร้าย เขาเป็นคนตะกละ มุ่งร้าย ริษยา คดโกง สอพอ เข้าข้างตัว รุกรานคนอื่น เป็นผู้ทำลายกระทั่งสิ่งที่ไม่มีชีวิต  ดังนั้นจึงชื่อว่าเขาเปิดตาของเขาขึ้นเพื่อ "ปุถุชนธรรม" ถ้าเขากลับใจของเขาเสียในลักษณะที่ปัญญาปรากฏตัวอยู่ตลอดกาล ใจก็จะมีความเห็นแจ้งในภายในอยู่เป้นปรกติ การทำชั่วก็จะมีการทำดีมาแทนที่ แล้วเขาก็จะลากตัวเองเข้ามาในทางแห่งพุทธรรมได้ด้วยเหตุนั้นความประพฤติหลายประการของปุถุชนมันขัดแย้งกันเองแต่เขาหารู้ตัวไม่และเชื่อว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตรงต่อสัจธรรม มีผู้ที่คิดว่าตนเองใจบุญกำลังยกไก่ย่างขึ้นจบแล้วกล่าวว่า "สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายจงพ้นไปจากเวรภัยทั้งปวง พ้นไปจากทุกข์โศกโรคภัย อย่าจองเวรจองภัยซึ่งกันและกันเลย สาธุ" ผู้กล่าวถ้อยคำเช่นนี้คิดว่าตนเองกำลังสร้างบุญกุศลอย่างใหญ่หลวงแต่เขาหารู้ไม่ว่า วิญญาณของสัตว์เหล่านั้นกำลังโกรธและอาฆาตแค้นเขาอย่างแสนสาหัส เพราะเขากำลังกล่าววาจาอันเป็นเท็จและเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด สัตว์เหล่านั้นมันร้องว่า "แน่ละซี ข้าสุกบนเตาของเจ้าเมื่อเช้านี้แล้วยังไงและใครกันเล่าควรจะเป็นผู้กล่าววาจาว่า อย่าเบียดเบียนอย่าเป็นเวรเป็นภัยซึ่งกันและกันเลย" เพราะฉะนั้นปุถุชนจึงเดินไปสู่หนทางหลงอันแท้จริง แม้มีผู้พยายามชักจูงเข้าสู่หนทางอันถูกต้องปุถุชนเหล่านี้กลับกล่าวหาว่าเป้นผู้หลงเพราะดวงตาของเขาเหล่านั้นเปิดขึ้น เพื่อติดอยู่ในโลกเสมือนหนึ่งปลาที่แวกว่ายอยู่ในสายธารย่อมไม่รู้จักน้ำรอบตัว
       ในกรณีของปุถุชน "ความรู้ท่วมหัวจึงเอาตัวไม่รอด" ด้วยประการฉะนี้ เพราะความรู้จักอยู่ในสัญญาขันธ์ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน มันย่อมแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา ถ้า "ความรู้ " แก้ทุกข์ได้ผู้ที่ร่ำเรียนมีความรู้มากมายย่อมปราศจากทุกข์ แต่ตามความเป็นจริง "ยิ่งรู้มากก็ยิ่งทุกข์มาก" เพราะผู้ที่มีความรู้ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมหรือทางโลกก็ยังคงเป็นไปตามสภาพของ "จักษุแห่งปุถุชน" นั่นแล
       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       พุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนไม่น้อยมีความเข้าใจผิดต่อการท่องบ่นพระสูตรต่าง ๆ ด้วยความหลงว่าเป็น มนตราอันศักดิ์สิทธิ์สามารถดลบันดาลสิ่งที่ตนเองปรารถนาได้ "สวดยอดกระกัณฑ์ไตรปิฏก 108 จบเมื่อไหร่ก็ไปนิพพานได้" "ถ้าเช่นนั้นนกแก้วก็คงมีโอกาสไปนิพพานเช่นกันนะ"
      ความจริงพระสูตรต่าง ๆ นั้นเป็นคำสอนของพระศาสดาหรือพระอริยเจ้าทั้งปวงผุ้ที่เคยสดับคำสอนเหล่านี้มีความซาบซึ้งจึงบันทึกเอาไว้ แต่พอพุทธศาสนาแผ่เข้าไปในประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาแตกต่างกันชนชาวพื้นเมืองต่างไม่รู้จักภาษานั้น จึงได้แต่ท่องบ่นและเห็นเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระสูตรมิได้อยู่ที่อักษรหรือสำเนียงการท่องบ่นแต่ประการใด ความหมายของพระสูตรนั้นมีความสำคัญยิ่งกว่า แต่เพราะอ่านไม่เข้าใจและไม่รู้ความหมายการท่องจำจึงผิดเพี้ยนกลายมาเป็นการสวดเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ และส่งเสริมกิเลสความโลภเข้าครอบงำไปโดยไม่รู้ตัว
     พระธรรมาจารย์ฮู่ยเหนิงกล่าวแก่พระภิกษุฝ่าต๋าว่า "ท่านควรจะเปิดตาของท่านอยู่ทุกขณะ มิใช่เพื่อปุถุชนธรรมแต่เพื่อพุทธธรรมซึ่งเป็นสิ่งอยู่เหนือวิสัยโลก ในเมื่อปุถุชนธรรมเป็นของอย่างโลก ๆ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากท่านติดแน่นอยู่แต่ในความคิดของตัวเองว่าเพียงแต่สาธยายพระสูตรประจำวันอย่างเดียวก็เป็นการดีเพียงพอแล้ว ดังนี้ท่านจะหลงรักมันเหมือนจามรีหลงรักพวงหางของมันเอง" คนที่ติดยึดอยู่แต่การท่องบ่นมนตราตามพระสูตรจึงไม่พ้นเวียนว่ายในวัฏสงสาร จิตจึงวนอยู่แต่ในความโลภ โกรธ หลง และมือทึบต่อหนทางแห่งปัญญา คนหลงเหล่านี้จึงไม่รู้ว่าตนเองมีกิเลสร้อยแปดบิดบังธรรมญาณของตนเองไว้  พระภิกษุฝ่าต๋าจึงถามว่า " ถ้าเป้นดังนั้น เราเพียงแต่รู้ความหมายของพระสูตรก็พอแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องสาธยายข้อความนั้น ๆ ถูกไหมขอรับ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า  "ไม่มีอะไรเป็นของผิดอยู่ในพระสูตรจนถึงกับท่านจะเลิกท่องเสียเลย การสาธยายพระสูตรจะช่วยให้ท่านตรัสรู้ธรรมหรือไม่ จะเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านหรือไม่ ข้อนั้นทั้งหมดมันเนื่องอยู่ที่ตัวท่านเอง" ความหมายแห่งการสาธยายพระสูตร จึงอยู่ที่คนท่องมากกว่าอยู่ที่พระสูตร เพราะเนื้อหาใจความแห่งพระสูตรล้วนแล้วแต่เป็นหนทางแห่งปัญญาพาให้พ้นทุกข์ทั้งสิ้น แต่เพราะผู้สาธยายมืดบอดทางปัญญาจึงมองไม่เห็นอัญมณีในพระสูตรนั้น ๆ  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "ผู้ที่ท่องพระสูตรอยู่ที่ปากและเอาข้อความไปปฏิบัติอยู่เสมอด้วยใจ คนนั้นชื่อว่า"พลิก"พระสูตร ส่วนผู้ที่ท่องพระสูตรแต่ปาก ปราศจากการปฏิบัติแต่อย่างใดผู้นั้นชื่อว่า "ถูกพลิกเสียแล้ว" โดยพระสูตรที่เขาท่องนั่นเอง "เมื่อใจของเราตกอยู่ภายใต้อวิชชา สัทธรรมปุณฑริกสูตร "พลิกเรา" เมื่อมีใจสว่างไสวในธรรม เมื่อนั้นเรากลับ"พลิก" สัทธรรมปุณฑริกสูตร การสาธยายสูตรนับครั้งไม่ถ้วนโดยไม่ทราบความหมายย่อมแสดงว่า ท่านเป็นแขกแปลกหน้าต่อใจความของพระสูตร วิธีที่ถูกต้องสำหรับการสาธยายพระสูตรก็คือ อย่ายึดถือตามความเห็นของตัว มิฉะนั้นแล้วมันจะต้องพลาด ผู้ที่อยู่เหนือ "การรับ" และ "การปฏิเสธ" ย่อมนั่งอยู่เนืองนิจบนเกวียนม้าขาว" ความหมายของเกวียนม้าขาวคือ พุทธยานอันเป็นการเหนือวิสัยแห่งโลกโลกีย์ เพราะผู้ที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของโลกย่อมมีการตอบโต้ยอมรับในสิ่งที่ปรารถนา แต่ปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ปรารถนา คุณภาพของโลกีย์มี ดี และ ชั่ว  คุณภาพจิตใจอย่างโลกีย์ จึงมี บาป และ บุญ  แต่พุทธจิตย่อมอยู่เหนือ ดี ชั่ว เพราะฉะนั้นดวงตาแห่งพุทธธรรมจึงมองได้รอบด้าน ความเข้าใจในพระสูตรจึงถูกต้องตรงต่อสัจธรรมที่พระศาสดาตรัสเอาไว้  ผู้ที่ติดอยู่ใน ความดี หรือ ความชั่ว ย่อมมองเห็นเพียงด้านเดียว เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นสภาพแห่งความเป็นจริงอันแท้ของสิ่งเหล่านั้น   หลวงพ่อองค์หนึ่งบอกกับชายยากจนคนหนึ่งว่า "ถ้าเธออยากร่ำรวยก็จงท่องคาถาบทนี้ให้ขึ้นใจ ถ้าท่องได้วันละหนึ่งร้อยเที่ยวเธอก็มีโอกาสเป็นเศรษฐีอย่างน้อย ๆ ก็ร้อยล้าน"  "แล้วคาถานั้นว่าอย่างไรครับหลวงพ่อ" "จำไว้นะ ถ้าจำไม่ได้ก็จดเอาไว้ วิริเย ทุกขมัจเจติ" ชายผู้นั้นแสนดีใจนัก กลับไปถึงบ้านไหว้พระทุกเช้าและท่องคาถานี้มิได้ขาด แต่ท่องไปเป็นหมื่นครั้งแล้วความรวยก็ไม่เคยย่างกรายเข้ามาหาสักที เขาก็ได้แต่โทษตัวเองว่าท่องสำเนีบงไม่ถูกต้อง ศรัทธาของตัวเองก็ยังไม่กล้าแข็ง เพราะฉะนั้นท่องคาถานี้ไปตลอดชีวิตชายผู้นี้ย่อมยากจนไปตลอดชีวิตด้วยไม่เข้าใจความหมายแห่งคาถาและไม่อาจนำไปปฏิบัติได้เลย  ความโลภได้ปิดบังดวงตาปัญญาโดยสิ้นเชิง เขามองเห็นแต่คนอื่นที่รวยและเชื่อว่าคนเหล่านั้นประสบผลสำเร็จเพราะคาถาอันศักดิ์สิทธิ์นี้เอง แม้เขารู้ถึงความหมายของคาถาว่า "คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร" แต่เพราะจิตใจยังข้องแวะอยู่กับโลกีย์ จึงมองเห็นความทุกข์มิใช่การเวียนว่าย แต่เป็นเพราะปราศจากทรัพย์ ด้วยเหตุนี้ จึงแสวงหาทุกข์ใส่ตัวชาติแล้วชาติเล่าไม่สิ้นสุด เขาจึงเป็นผู้ถูกอิทธิพลของคาถาลากจูงไปในความโง่นั่นแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        แต่ละศาสนาในโลกนี้ภายหลังสิ้นพระศาสดาของตนไปแล้วบรรดาสาวกต่างคนต่างตีความหมายคำสอนของศ่สดาแตกต่างกันจึงแบ่งแยกออกเป็นนิกายมากมายจนสุดประมาณและเข่นฆ่าล้างผลาญกันจนไม่น่าเชื่อว่านับถือศาสดาองค์เดียวกันเหตุไฉนจึงทะเลาะกันไม่เลิก "ทำไมถึงเป็นอย่างนี้"  "เพราะศาสนามีรูปลักษณ์ย่อมตั้งอยู่ในกฏของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสื่อมสิ้นสลายไปเพราะ "มี" เป็นเหตุ"  "มีศาสนาใดบ้างที่ไม่เปลี่ยนแปลง" "มีเพียงศาสนาเดียวในโลกนี้ที่ไม่มีนิกาย จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบ่งแยก ได้แก่ ศาสนาปราชญ์ของท่านขงจื๊อ เพราะมีแต่บำเพ็ญคุณธรรมปราศจากรูปลักษณ์"
      ศาสนิกทั้งปวงไม่ทราบถึงความแตกต่างระหว่าง "ธรรมะ" กับ "ศาสนา" จึงมีความคิดอันผิดแผกว่า ศาสนาคือธรรมะ หรือ ธรรมะคือศาสนา  ความจริงตัวศาสนามิใช่สัจธรรม แต่เพราะพระศาสดาตรัสรู้ สัจธรรมและนำเอามาเผยแผ่จนกลายเป็นพระคัมภีร์ให้คนเคารพนับถือเชื่อฟังเท่านั้น
      สัจธรรมไร้รูปลักษณ์แต่คงทนไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นบรรดาศาสนาโบราณที่ล้มหายตายจากไปมีอยู่มากมาย แต่สัจธรรมที่ศานานั้น ๆ นำมาเผยแผ่ยังคงเป็นสัจธรรมมิได้สูญหายไปจากไหน แต่พระคัมภีร์ได้กลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของศาสนิก เพราะฉะนั้นบางคนบูชาคัมภีร์เฉกเช่นพระศาสดาไม่ยอมให้ใครเตะต้อง แต่บางคนมีสติปัญญาล้นเหลือตีความหมายของอารมณ์ตนเองจนกลายเป็นคัมภีร์ใหม่และเผยแผ่หาผู้มายึดถือจนกลายเป็นนิกายใหม่ ๆ เมื่อภิกษุฝ่าต๋าได้ฟังคำอธิบายจากพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแจ่มแจ้งว่าแท้ที่จริงมิได้อยู่ที่คัมภีร์แต่อยู่ที่ตนเองหากยังมืดมัวต่อธรรมญาณแล้วย่อมถูก พระสูตร พลิก ไปตลอดน้ำตาแห่งความปลื้มปรีติ จึงหลั่งออกมาแล้วกล่าวว่า "เป็นความจริงที่ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าไม่สามารถ "พลิก" พระสูตร มีแต่พระสูตรเท่านั้นที่ พลิก ข้าพเจ้า พระภิกษุฝ่าต๋าจึงกราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงต่อไปว่า "พระสูตรได้กล่าวว่านับแต่พระสาวกขึ้นไปจนถึงพระโพธิสัตว์แม้ท่านเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดกำลัง ก้ไม่สามารถที่จะเข้าใจทั่วถึงในพุทธธรรม"ดังนั้น แต่ใต้เท้าได้ทำให้กระผมเข้าใจว่า แม้คนธรรมดาเราถ้าเข้าใจแจ่มแจ้งในธรรมญาณของตน เขาก็ได้ชื่อว่าลุถึงพุทธธรรมแล้ว ดังนี้กระผมเกรงไปว่ายกเว้นพวกที่เฉียบแหลมอย่างยิ่งเสียแล้ว คนนอกนั้นจะสงสัยไม่เชื่อคำสองของใต้เท้า ยิ่งกว่านั้น ในสูตรมีกล่าวถึงยาน 3 ชนิด คือเกวียนเทียมด้วยแพะ (สาวกยาน) เกวียนเทียมด้วยกวาง (ปัจเจกพุทธยาน) และเกวียนเทียมด้วยวัว(โพธิสัตว์ยาน) แล้วก็ยานทั้งสามนี้ผิดแผกแปลกแตกต่างไปจากเกวียนวัวขาวอย่างไรเล่า" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า"ในข้อนี้พระสูตรได้แสดงไว้ชัดเจนแล้ว ท่านเองต่างหากที่เข้าใขผิด เหตุผลที่ว่าทำไมพระสาวก พระปัจเจกพุทธะและพระโพธิสัตว์ไม่สามารถเข้าใจในพุทธธรรมได้ก้เพราะท่านเหล่านั้นเพ่งจ้องต่อพุทธธรรมท่านเหล่านั้นสามารถประมวลกำลังความเพียรทั้งหมดเพื่อเพ่งก็จริง แต่เขายิ่งเพ่งหนักเท่าไร เขาก็ยิ่งห่างออกไปจากธรรมนั้นมากขึ้นเพียงนั้น ความหมายแ่ห่งคำตอบนี้หากนำเอาเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พระอานนท์พุทธอุปฐากที่พยายามเร่งบำเพ็ญเพื่อให้พบธรรมญาณ อันเป็นทางแห่งการตรัสรู้เพื่อให้ทันต่อการเข้าประชุมสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งแรกอันประกอบไปด้วยพระอรหันต์ทั้งสิ้น พระอานนท์ยิ่งเร่งก็ยิ่งห่างไกลต่อความสำเร็จจนกระทั่งปล่อยวางเอนตัวลงนอน ในภาวะบัดนั้นก็พบธรรมญาณแห่งตนเป็นผู้บรรลุพระอรหันต์ด้วยท่าเอนกายลงนอนนั่นเอง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปอีกว่า พระโคตมะพุทธะได้ตรัสพระสูตรนี้แก่คนธรรมดาทั่วไป มิใช่ตรัสแก่พระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ด้วยกัน แต่สำหรับผู้ที่ไม่สามารถรับเอาคำสอนที่พระองค์ทรงแนะให้ พระองค์ก็ปล่อยให้เขาหลุดจากหมู่ดูเหมือนท่ายังไม่ทราบว่า เพราะเหตุได้นั่งอยู่บนเกวียนวัวขาวเรียบร้อยแล้วเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะออกเที่ยวแสวงหาเกวียนอื่นอีกสามชนิดเหล่านั้น ยิ่งกว่านั้นพระสูตรก้ได้บอกแก่ท่านอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า มีแต่พุทธยานเท่านั้นไม่มียานอื่นที่ไหนอีกในฐานะเป็นยานที่สองที่สาม เหตุที่จะให้เราเข้าใจในยานอันเอกอันนี้เอง พระพุทธองค์จึงได้ทรงสั่งสอนเรา ด้วยวิธีที่พระองค์ทรงช่ำชองมาแล้วมีปริยายต่าง ๆ ทรงใช้เหตุผลและข้อถกเถียงมีปริยายต่าง ๆ พร้อมทั้งนิทานและภาพเปรียบเทียบและอื่น ๆ ทำไมท่านจึงไม่อาจเข้าใจได้ว่ายานทั้งสามเหล่านั้นเป็นของชั้นสมมุติให้เด็กเล่น สำหรับใช้กับเรื่องที่ล่วงไปแล้ว ๆ ส่วนยานอันเอกคือพุทธยานนั้นเป็นของชั้นยอดเยี่ยมและเพื่อใช้ในเรื่องปัจจุบัน ๆ
     ความหมายแ่ห่งพุทธยานคือ ผู้รู้ความเคลื่อนไหวแห่งจิตของตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นความรู้อันสูงสุดและถ้าสามารถใช้กำลังปัญญาตัดกิเลสทั้งปวงได้หมดสิ้นย่อมเป็นปัญญาอันเลิศ ดังนั้นผู้ที่สามารถใช้ปัญญาเช่นนี้ได้ทันท่วงทีในปัจจับันสมัยเท่านั้น จึงพ้นไปจากการเวียนว่ายทั้งปวง เมื่อก้าวไปถึงความสูงสุดแล้วย่อมไม่จำเป็นต้องแสวงหายานใด ๆ สภาวะเช่นนั้น จึงเรียกว่าเป็น "ธรรมญาณ" ของตนเองที่ไม่มีใครมาบัญญัติว่าเป็นอะไรได้เลย   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       พุทธะภาวะมีอยู่แล้วในทุกตัวคน เพียงแต่ใครสามารถค้นพบด้วยตนเองได้ก่อนเท่านั้น แต่มีคนเป็นจำนวนมากเข้าใจผิดคิดว่า พุทธะ อยู่นอกตัว จึงค้นหาจากตำราบ้าง จากเกจิอาจารย์บ้างหรือแม้แต่รูปปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ส่วนอีกพวกหนึ่งแสวงหาพุทธะในตัวเองด้วยการนั่งสมาธิค้นหากันชาติแล้วชาติเล่าก็ยังหาไม่พบ เพราะประเภทหลังนี้ต่างนั่งหลับหูหลับตากำหนดท่าทางต่าง ๆ ด้วยคิดว่าวิะ๊การเช่นนี้จักค้นพบธรรมญาณของตน คนทั้งสองประเภทนี้ล้วนหลงผิดทั้งสิ้น  ครั้งหนึ่งภิกษุจื้อทง ซึ่งเป็นชาวบ้านโซ่วโจวแห่งอันเฟิง อ่านลังกาวตารสูตรเกือบพันครั้ง แต่ไม่สามารถเข้าใจความหมายของ ตรีกายและปัญญาทั้งสี่  ด้วยเหตุนี้จึงไปหาพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเพื่อให้ช่วยอธิบายความหมาย พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงอธิบายว่า "ในการทั้งสามนั้นธรรมกายอันบริสุทธิ์ก็คือตัวธรรมชาติตัวแท้ของท่านนั่นเอง สัมโภคกายอันสมบูรณ์ก็คือ ตัวปรีชาญาณของท่าน ส่วนนิรมานกายนับด้วยหมื่นแสนก็คือการกระทำกรรมต่าง ๆ ของท่าน ถ้าหากจะให้กายทั้งสามนี้เป็นของต่างหากจาก ธรรมญาณ มันก็เกิดมี "กายซึ่งปราศจากปัญญา" ขึ้นมาเท่านั้นเอง ถ้าท่านเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า กายทั้งสามนี้ ไม่มีตัวตนแท้จริงของมันเองอะไรที่ไหนอีก เพราะมันเป็นเป็นแต่เพียงสมบัติของธรรมญาณดังนี้แล้วท่านก็จะบรรลุถึงโพธิของปัญญาสี่ประการโดยแน่นอน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็น ตรีกาย หรือ ปัญญาทั้งสี่ประการ ล้วนรวมอยู่ภายในธรรมญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสรรพสิ่งที่สร้างขึ้นมากมายล้วนแต่มีแหล่งกำเนิดมาจากธรรมญาณทั้งหมด แต่สรรพสิ่งนั้นมิใช่ธรรมญาณอันแท้จริง เพราะสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นหามีวิญญาณความรับรู้ไม่  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวโฉลกอันน่าสนใจว่า "กายทั้งสามมีอยู่แล้วในธรรมญาณของเราซึ่งโดยการงอกงามของธรรมญาณนั่นเอง ปัญญาทั้งสี่ก็ปราฏกตัว เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านไม่ต้องหลับหูหลับตาหรืออุดหูของท่านเพื่อหลีกอารมณ์ภายนอก ท่านก็สามารถเข้าถึงพุทธะภาวะได้โดยจัง ๆ หน้ากับอารมณ์ เมื่อข้าพเจ้าได้อธิบายแก่ท่านอย่างเปิดเผยจนเห็นเองเช่นนี้แล้ว จงเชื่ออย่างแน่วแน่เถิด ท่านจะหลุดพ้นจากความหลงตลอดไป อย่าไปตามคนพวกที่แสวงหา "การตรัสรู้" จากภายนอกกาย คนพวกนี้พูดถึงโพธิอย่างพร่ำเพรื่ แต่ตัวเองยังไม่เคยรู้เห็นเสียทีความหมายแห่งโฉลกนี้ชี้ให้เห็นว่าการค้นพบภาวะแห่งพุทธะไม่จำเป็นต้องสลัดตัดอารมณ์แต่อย่างใดเพราะ ตรีกายและปัญญาที่มีอยู่แล้วในธรรมญาณย่อมไม่หนีไปไหน เพียงแต่เกิดปัญญาสว่างโพลงขึ้นมาก็สามารถรู้แจ้งในโพธิปัญญาเหมือนดังตัวอย่่างของอาจารย์ผู้แสวงหาธรรมญาณ ด้วยการคร่ำเคร่งนั่งหลับตาทำสมาธิในที่วิเวกชายป่า พระอาจารย์ผู้รู้แจ้งท่านหนึ่งจึงได้ไปนั่งขัดหินอยู่หน้าอาศรม อาจารย์ผู้นั่งหลับตาทำสมาธิลืมตาขึ้นเห็นพระอาจารย์ขัดหินอยู่ ทีแรกก็มิได้ว่ากระไร แต่ลืมตาทีไรก็เห็นพระอาจารย์ขัดหินอยู่จึงอยากรู้ว่าขัดไปทำไม "ท่านมานั่งขัดหินทำอะไรหรือ" "เราต้องการหินนี้กลายเป็นกระจก"พระอาจารย์ตอบ  "เอ๊ะในโลกนี้มีด้วยหรือที่ขัดหินจนได้กระจก"  ""อ้าวแล้วนั่งสมาธิหลับตาหาพระพุทธะพบหรือ""พระอาจารย์ถามกลับ  การหลับหูหลับตาหาพระพุทธะในตัวเองย่อมไม่อาจพบได้ เพราะกิริยาอาการเช่นนี้ก็ยังคงเป็นการแสวงหาพระพุทธะนอกตัวจริงของตนเอง "ตัวจริงแท้เป็นไฉน" "ไม่มีรูปลักษณ์ให้พบเห็นได้เลย" "แต่พอหลับตาภาวนาจิตก็สงบ มิใช่พุทธะหรือ" "เมื่อเป็นจิตย่อมมิใช่พุทธะ เพราะจิตที่สงบย่อมคิดอะไรมิได้ มีแต่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปตามธรรมชาติของจิต"
     ปัญหาที่โต้ตอบและหาข้อยุติกันมิได้มีอยู่สองประการคือ จิต กับ  ธรรมญาณเพราะผู้ปฏิบัติบำเพ็ญมักสับสนเห็นเป็นเรื่องเดียวกันโดยสภาวะของจิตที่เคลื่อนไหว คิดเรื่องร้อยแปดพันประการนั้นย่อมิใช่สภาวะแห่ง "ธรรมญาณ" อย่างแน่นอน การนั่งหลับตาภาวนาจึงเป็นเพำียงการพบจิตที่นิ่งสงบเท่านั้น แตมิได้พบ "ธรรมญาณ" ของตนเองเพราะฉะนั้นบรรดานักนั่งสมาธิทั้งปวงจึงไม่อาจค้นพบธรรมญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงแท้ของตนเองได้เลยเพราะจิตติดยึดต่ออุปาทานทั้งปวงที่สร้างขึ้นมากมายหลายหมื่นรูป เมื่อ "ธรรมญาณ" ไหวตัว ได้สร้างจิตขึ้นมามากมายตามเหตุปัจจัยส่งเสริม บรรดา " จิต" เหล่านี้จึงเป็นของนอก "ธรรมญาณ" ทั้งสิ้นเพราะฉะนั้นใครติดยึดอยู่เพียงแค่นี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นหา "พระพุทธะ" นอกตัวเอง แม้การบำเพ็ญภาวนา "จิต" จนมีกำลังกล้าแข็งแสดงอิทธิฤทธิ์ได้มากมายก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าค้นพบ "ธรรมญาณ" เพราะคนเหล่านั้นไม่มีทาง "รู้แจ้ง" หรือพบ ธรรมญาณ อันแท้จริงซึ่งเป็นสภาวะอันยากที่จักใช้ภาษาในโลกนี้มาบรรยายให้เข้าใจได้เลย เพราะฉะนั้นการหลับหูหลับตาค้นหา "พระพุทธะ" จึงเป็นเรื่องน่าสมเพชเพราะค้นกันข้ามภพข้ามชาติก็ไม่อาจพบได้เลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       มีพระพุทธวจนะอยู่บทหนึ่งซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ของผู้สนใจใฝ่ศึกษาพระพุทธธรรมว่า "ยิ่งอยากได้ ย่อมไม่ได้" และแม้ในทางการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า "ยิ่งแสวงหาพระนิพพานยิ่งไม่พบพระนิพพาน" ความนัยแห่งพระพุทธวจนะนี้ย่อมต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญ ซึ่งผลสำเร็จของการใช้ปัญญาแยกแยะก็คงกลายเป็นเพียงความรู้เท่านั้น แต่การปฏิบัติให้เป็นไปตามพระพุทธวจนะนับเป็นเรื่องยากที่พานพบ แต่ก็ไม่ยากจนเกินวิสัยของมนุษย์ เพราะตามความเป็นจริงนิพพานมีอยู่ในธรรมญาณของตนเองแล้ว เหตุไฉนจึงต้องขนขวายหาจากที่อื่นด้วยเล่า  พระภิกษุจื้อทงจึงขอร้องต่อพระธรรมาจารย์ได้กรุณาชี้แจงเกี่ยวกับปัญญาทั้งสี่นั้นมีภาวะเป็นอย่างไร พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า"ถ้าท่านเข้าใจในเรื่องกายสามนี้แล้ว ท่านก็จะเข้าใจในเรื่องปัญญาทั้งสี่ได้เอง ฉะนั้น คำถามของท่านจึงเป็นของไม่จำเป็น ถ้าท่านทำให้ปัญญาทั้งสี่อยู่ต่างห่างจากกายทั้งสามเสียแล้ว ก็จะเกิดปัญญาที่ปราศจากกายขึ้นโดยแน่นอน ซึ่งเมื่อเป็นดังนี้ มันหาใช่ปัญญาไม่" ความหมายแห่งพระวจนะตรงนี้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า ปัญญามีอยู่แล้วในธรรมญาณและมิใช่ของสองสิ่งที่แยกออกจากกันได้ แต่ที่เห็นเป็นปัญญาก็เพราะแสดงบทบาทของธรรมญาณ ออกมาเป็นปัญญา เพราะฉะนั้น ตรีกาย อันประกอบไปด้วย ธรรมกาย สัมโภคกาย และ นิรมานกาย ล้วนแล้วแต่มีปัญญาอยู่ด้วยทั้งสามกาย หากมีแต่กายก็ไร้ปัญญา กายนั้นหาใช่ ตรีกายความหมายอันแท้จริงไม่ แต่กายเป็นรูปนิมิต ที่ไร้สาระแต่ทำให้ผู้ไร้ปัญญาหลงติดยึดกันชั่วกัปกัลป์  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวโฉลกอันเนื่องด้วยปัญญาว่า " ปัญญาอันเปรียบด้วยกระจกส่อง" นั้นบริสุทธิ์อยู่เองโดยธรรมชาติ ปัญญาเห็นความเสมอภาค"นั้นย่อมเปลื้องจิตเสียจากเครื่องกั้นทั้งปวง "ปัญญาเห็นสิ่งทั้งปวง"นั้น เห็นสิ่งทั้งปวงแจ่มแจ้งโดยไม่ต้องอาศัยแนวแห่งเหตุผล "ปัญญาเครื่องกระทำสิ่งทั้งปวง"นั้นมีลักษณะอย่างเดียวกับ "ปัญญ่อันเปรียบเหมือนกระจกส่อง" ความหมายแห่งโฉลกนี้ยืนยันสัจธรรมว่าปัญญาอันแท้จริงมีความบริสุทธิ์สะอาดอยู่แล้ว เพราะปราศจากเครื่องปรุงแต่งทั้งปวงเป็นความสะอาดพิสุทธิ์ที่ไม่สามารถนำเอาทั้งความดีและความชั่วลงไปได้ คนทุกคนจึงเสมอภาคเท่าเทียมกัน เศรษฐีและยาจก จึงมีโอกาสทำบาปและทำดีได้เท่าเทียมกัน แม้ผลแห่งการกระทำนั้นก็เสมอกัน เศรษฐีดีใจที่มีกำไรพันล้าน ขอทานย่อมดีใจที่หาเงินได้พันบาท ความดีใจของสองคนมีค่าเสมอกัน และที่ชัดเจนที่สุดเมื่อขอทานและเศรษฐีทิ้งกายสังขารต่างก็ไปมือเปล่าด้วยเหมือนกัน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "วิญญาณทั้งห้าข้างต้น และ อาลัยวิญญาณ ย่อมแปรรูป เป็นปัญญาในขั้นที่ตรัสรู้เป็นพุทธะอย่างเดียวกับที่  กลิษตมโนวิญญาณและ มโนวิญญาณแปรรูปเป็นปัญญาในขั้นที่เป็นเพียงโพธิสัตว์  คำที่เรียกว่า "การแปรรูปของวิญญาณ" ดังที่กล่าวมานี้เป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อที่ใช้เรียกเท่านั้น ส่วนตัวจริงก็หามีอะไรเปลี่ยนไม่ เมื่อใดท่านสามารถเปลื้องตัวเองให้หมดจดจากความผูกพันธ์์ของโลกิยารมณ์ในขณะที่มี "การแปรรูปของวิญญาณ" ดังกล่าวมาแล้ว เมื่อท่านได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในนาคสามธิอันทยอยกันเกิดขึ้นติดต่อกันไปตลอดกาลเนืองนิจ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ชี้ให้เห็นว่า วิญญาณทั้งห้าอันประกอบไปด้วย จักษุ โสต ฆาน ชิวหา ผัสสะ จิต กับ การเห็นโลกย่อมแปรเปลี่ยนเป็นการตรัสรู้เป็นพระพุทธะได้ เช่นเดียวกับวิญญาณเฉพาะตนและความนึกคิดย่อมแปรรูปเป็นปัญญาขั้นพระโพธิสัตว์ และไม่แน่ว่าความรู้สึกนึกคิดแปรเปลี่ยนไปแปดหมื่นสี่พันรูปและนาม ตัวจริงแท้เรียกว่า ธรรมญาณ แห่งตนนั้นมิได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยเลย
     เมื่อเข้าถึงพุทธะภาวะ วิญญาณทั้งห้าจะแปรรูป เป็นปัญญา เครื่องกระทำทั้งปวง อาลัยวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องของโลกจึงเป็นเช่นกระจกส่อง แต่ใน ธรรมญาณ ไม่มีอะไรที่เป็นการแปรรูป แต่การตรัสรู้ที่เรียก "ปัญญา" หากยังไม่ตรัสรู้ ก้เรียกว่า วิญญาณคือการรับรู้ มิได้เกิดความรู้แจ้ง ปุถุชน ซึ่งเป็นผู้รับรู้แต่เพียงอย่างเดียว ไม่อาจแยกแยะได้ว่า สิ่งใดเป็นสัจธรรมหรือไม่ แต่พอแยกแยะและกระทำตามสภาพแห่งความรู้นั้นจึงกลายเป็นปัญญาแห่งการตรัสรู้ เมื่อสภาวะเป็นเช่นนี้ การแสวงหานิพพานนอกธรรมญาณของตนเองด้วยการไปติดอยู่ที่การปรุงแต่งและกำหนดหมายสิ่งใดก็ตามผู้ปฏิบัติเช่นนี้ก็ติดตรึงหรือสร้างสรรค์ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะอำนาจของตัณหา คือ ความอยากชักนำไปโดยไม่รู้ตัว เช่น นิมิตเห็นดอกบัว และสามารถขยายใหญ่เล็กได้ตามใจปรารถนา ความปรีติย่อมเกิดขึ้นและเห็นเป็นความก้าวหน้าแห่งการปฏิบัติธรรม บางรายได้รับคำชี้แจงว่าการเห็นดอกบัวยังเป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้นเท่านั้น ถ้าปรารถนาความสำเร็จแห่งการบำเพ็ญย่อมต้องเข้าถึงธรรมกายอันเป็นรูปลักษณ์ของพระพุทธรูป ครั้นจิตกำหนดหมายสร้างเป็นพระพุทธรูปใสดังดวงแก้วจึงเกิดความปิติสุขและหลงคิดว่าเข้าถึงพระธรรมกายได้แล้ว เพราะฉะนั้นตัณหาที่ซ่อนอยู่ในรูปของความยินดีจึงกลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้จิตพ้นไปจากภาวะของ "ธรรมญาณ" ชนิดกู่ไม่กลับ คนเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรกับคนแก่สวมแว่นตาเอาไว้บนศรีษะตนเองแล้วหาไม่พบนั่นแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ร่างกายของเราล้วนเป็นของเทียมแท้ เพราะไม่มีใครบังคับหรือกำหนดให้มั่นคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะเหตุนี้จึงกำหนดว่าเป็น "ของปลอม" แต่เพราะคนติดอยู่กับของปลอมจึงเห็นเป็น "ของจริง" ยึดมั่นไม่วางลงไป จิตใจของคนเหล่านั้นจึงสับสนกระวนกระวายเมื่อเกิดอาการเปลี่ยนแปลง พระพุทธองค์ทรงค้นพบว่าภายในกายปลอมนี้มีของจริงอันเป็นสัจธรรมไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยคือ "ธรรมญาณ"  เพราะฉะนั้นจึงสามารถเวียนว่ายอาศัยอยู่ตามรูปลักษณ์แตกต่างไปตามกรรมที่ตนเองปรุงแต่งเอาไว้ ภายใน "ธรรมญาณ" นั้นเองมีพระพุทธะอยู่และมี "มาร" จับจ้องสำแดงเดชอยู่ตลอดเวลาหาก ปัญญา เกิดไม่ทัน มาร ก็เอาธรรมญาณไปครองเสีย ถ้าความเห็นผิด วิถีแห่งการบำเพ็ญปฏิบัติก็ย่อมผิดแผกแตกต่างไปจาก "สัจธรรม" และพ้นไปจากหนทางของพระพุทธะแต่กลับเข้าสู่เส้นทาง มาร โดยตนเองหารู้ตัวไม่ เพราะเหตุนี้ "ความรู้แจ้ง" ในปัญญาของตนเองจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกัน มาร นั่นเอง
      พระภิกษุจื้อทง เห็นแจ้งในปัญญาแห่งธรรมญาณในขณะนั้นเอง จึงได้กล่าวโฉลก แด่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า "แน่นอนเหลือเกิน กายทั้งสามมีอยู่ในธรรมญาณ เมื่อใจเรารู้ธรรมสว่างไสว ปัญญาทั้งสี่ก็ปรากฏเด่นอยู่ในนั้น เมื่อใด กาย และ ปัญญาเหล่านั้น เกิดความรู้แจ้งซึ่งกันและกันว่าเป็นของอันเดียวกันแล้ว เมื่อนั้นเราก็สามารถตอบสนองคำขอร้องของสัตว์ทั้งปวง โดยเหมาะสมแก่อุปนิสัยและอารมณ์ของสัตว์นั้น ไม่ว่าสัตว์นั้นจะอยู่ในรูปร่างชนิดใด  การเริ่มต้นปฏิบัติ ด้วยการแสวงหากายทั้งสามและปัญญาทั้งสี่ นั้นเป็นการถือเอาทางผิดโดยสิ้นเชิง การพยายามจะ "จับฉวย" หรือ " กุมตัว " สิ่งเหล่านี้เป็นการกระทำที่ขัดขวางต่อธรรมชาติแท้ของมันอย่างตรงกันข้าม เพราะอาศัยใต้เท้าแหละขอรับ บัดนี้กระผมจึงสามารถจับใจความอันลึกซึ้งของมันได้ และตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กระผมสามารถสลัดทิ้งความเท็จเทียมและชื่อต่าง ๆ ที่หลงตั้งขึ้นเรียกตามโมหะของตน ตลอดนิจกาล" ความหมายแห่งโฉลกนี้ได้ยืนยันชัดเจนว่า ธรรมกาย  สัมโภคกาย  และนิรมานกาย  ตลอดจนปัญญาทั้งสี่ ล้วนสถิตอยู่ในธรรมญาณเหมือนกัน แต่คนทั่วไปมักคิดว่าเป็นของคนละอย่างเพราะฉะนั้นจึงสำแดงอาการผิดแผกไปจากธรรมดาสามัญโดยจับฉวยเอาอย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นรูปลักษณ์ของตนเอง บางคนอาศัยอำนาจจิตสร้างอิทธิฤทธิ์ บางคนแต่งกายผิดไปจากกลุ่มชนเพื่อสำแดงให้เห็นว่าตนเองสูงส่งกว่าชนทั้งหลาย และผู้ปฏิบัติเช่นนี้ล้วนแยกตนเองไปจากคนทั้งปวง แลเห็นผู้อื่นต่ำกว่าตนเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปกล่าวถึงว่า เขาจะเห็นสรรพสัตว์ทั้งปวงเสมอกันด้วย "ธรรมญาณ" เหมือนมนุษย์เพียงแต่เหตุปัจจัยแตกต่างกัน อาการสำแดงออกจึงไม่เหมือนกัน แต่ความรับรู้เหมือนกัน
    สมัยหนึ่ง ผู้เขียน ได้จ้างให้แม่ค้าคนหนึ่งไปหา รังมดลี่ ซึ่งเป็นมดสีน้ำตาลปนดำชอบคาบดินขึ้นไปทำรังบนต้นไม้ แม่ค้า จัดแจงเอารังมดลี่มาวางไว้หน้าบ้าน มดเหล่านั้นออกจากรังขึ้นบ้านผู้เขียนเต็มไปหมด "แล้วเอารังมดมาทำไมกัน" "เอามาทำยารักษาโรคหืดหอบดีนักแล" "รักษาอย่างไรหรือ" "เอาแต่ดินนั้นมาต้มน้ำจนเดือดและปล่อยให้เย็นลงจนรังมดนอนก้น รินแต่น้ำ และดื่มสามเวลาหลังอาหาร ดื่มเพียงห้ารัง ๆ หนึ่งต้มสามเวลา เช้า กลางวัน และเย็น รับรองว่าหายแล" "เสร็จแล้วต้องทำอะไรอีกมั้ย" "กรุณาถวายสังฆทานเจอุทิศส่วนกุศลให้มดเหล่านั้น" ผู้เขียนกลับมาบ้าน มดขึ้นเต็มบ้าน จึงยืนที่ประตูบ้าน ทำจิตให้สงบและบอกกับมดทั้งหลายว่า "วันนี้ได้เบียดเบียนรังของเธอทั้งหลาย แต่ได้นำเอาไปทำยาสร้างเป็นบุญกุศลขออุทิศส่วนกุศลครั้งนี้แก่เธอทั้งหลาย จงอย่าเบียดเบียนเราเลย จงไปพ้นจากบ้านของเราเถิด" ชั่วเวลาไม่ถึงห้านาที  มดที่ขึ้นอยู่เต็มบ้านต่างเดินพาเหรดลงดินไปจนสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติเดิมแท้ของมดเหล่านี้คือ ธรรมญาณอย่างเดียวกับมนุษย์ จึงรับรู้ได้เช่นเดียวกัน
    เมื่อทุกสิ่งอย่างมีอยู่ในธรรมญาณ ไม่ว่าเป็นนรก - สวรรค์ ความหลุดพ้น มิอาจไปค้นหาจากที่อื่นได้เลย เกาะกุม จับฉวยก็มิได้ เพราะไร้รูปลักษณ์ ล้วนเป็นวิธีที่ผิดทั้งสิ้น ที่ถูกต้องพิจารณาให้เห็นเป็นสัจธรรมว่า ในสรรพสิ่งล้วนมีภาวะเช่นเดียวกันคือ "ในเท็จ" มี "จริง" และใน "จริง" ก็ยังมี "เท็จ" แอบแฝงอยู่ ตราบใดที่ยังค้นไม่พบ "ธรรมญาณ" ย่อมตกอยู่ในภาวะยึด "เท็จ" เป็น "จริง" เยี่ยงนี้แล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      ในทางวิทยาศาสตร์มีการค้นพบทฤษฏีใหม่ ๆ หลายอย่างและต่างเห็นเป็นเรื่องแปกใหม่ แม้แต่ค้นพบชามกระเบื้องฝังอยู่ใต้ดินนับเป็นพัน ๆ ปี ต่างก็ฮือฮาตื่นเต้นเพราะเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่คนสมัยโบราณนับพันปีมีความสามารถสร้างเครื่องปั้นดินเผามีคุณภาพด้ได้ ความแปลกจึงอยู่ที่คาดไม่ถึง แต่สิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่สุดก็คือ "ธรรมญาณ" ของตนเอง อยู่กับเรามาเป็นแสน ๆ ปี ถือว่าคุ้นเคยกันที่สุด เก่าที่สุด ครั้นค้นพบกลับแปลกประหลาดนักภิกษุจื้อฉัง เป็นชาวบ้านตำบลกุ้ยกูแห่งซิ้นโจว เข้ามาบวชตั้งแต่เยาว์วัย และมีความเพียรเพื่อให้เห็น ธรรมญาณ วันนี้ภิกษุรูปนี้จึงมานมัสการพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงซึ่งถามว่า "ท่านมาแต่ไหนและมาทำไม" "เมื่อไม่นานมานี้ กระผมได้ไปที่ภูเขาผาขาวในเขตโหงโจว เพื่อสนทนากับพระอาจารย์ต้าทง ผู้ที่สามารถสอนผมได้เห็นแจ้งในธรรมญาณและลุถึงพุทธภาวะ แต่เพราะเหตุที่กระผมยังคงสงสัยอยู่หลายประการ จึงเดินทางไกลมาถึงที่นี่เพื่อนมัสการท่านอาจารย์ ขอได้โปรดอธิบายข้อสงสัยเหล่านั้นแก่กระผมด้วยเถิด" "เขาแนะนำท่านว่าอย่างไรเล่า" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงถามต่อ หลังจากพักอยู่ที่นั่นจนถึงสามเดือนแล้วโดยมิได้รับคำแนะนำอย่างใดเลย และมีความกระหายในธรรมอย่างแรงกล้าขึ้นทุกที คืนวันหนึ่งภิกษุจื้อฉัง ลำพังผู้เดียวจึงเข้าไปในห้องของอาจารย์ต้าทงและถามท่าน "ท่านอาจารย์ขอรับ ธรรมญาณของผมคืออะไร"  "เธอมองเห็นความว่างอันไม่มีขอบเขตจำกัดไหม" พระอาจารย์ต้าทงถาม "มองเห็น" ภิกษุจื้อฉังตอบ  "ความว่างที่ว่านั้นมีรูปร่างเฉพาะของมันเองหรือไม่" "ความว่างย่อมไม่มีรูปร่างฉะนั้นจึงไม่มีรูปร่างโดยเฉพาะของมันเอง" "ธรรมญาณแท้ของเธอ เป็นเหมือนกับความว่างอย่างตรงเผ็งทีเดียวละ การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราอาจมองพบตัวมันนี่คือ ทิฏฐิอันถูกต้อง การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราอาจรู้จักมันให้ถูกต้องได้นี่แหละคือ ความรู้อันถูกต้อง การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า มันไม่ใช่เขียว มันไม่ใช่เหลือง มันไม่ใช่สั้น มันไม่ใช่ยาว ว่ามันเป็นของบริสุทธิ์อยู่โดยธรรมชาติ และว่าเนื้อแท้ของมันนั้น สมบูรณ์และสดใสนี่แหละคือการเห็นแจ้งธรรมญาณและลุถึงพุทธภาวะได้ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมะที่ทำให้คนเป็นพุทธะ พระอาจารย์ต้าทงอธิบายความ  พระภิกษุจื้อฉังจึงกราบเรียนพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงถึงความสงสัยนานาประการในคำสอนของพระอาจารย์ต้าทง "ขอให้ใต้เท้ากรุณาทำความแจ่มแจ้งให้แก่กระผมด้วยเถิดขอรับ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงชี้ให้เห็นความเป็นจริงถึงคำสอนของพระอาจารย์ต้าทงยังเป็นผู้มีความรู้สึกที่นึกเอาเองในเรื่องอันเกี่ยวกับ "ทิฏฐิ" และ "ความรู้" และอันนี้จึงส่อให้เห็นว่า ทำไมเขาจึงไม่สามารถทำความกระจ่างให้แก่ภิกษุจื้อฉังได้ จงฟังโฉลกต่อไปนี้ "การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราอาจมองพบตัวมันแต่แล้วก็ยังเก็บความรู้สึกว่า "ความไม่อาจจะมองเห็นได้" ไว้อีก ข้อนี้เปรียบเสมือนกับดวงอาทิตย์ ที่ถูกบังอยู่ด้วยเมฆที่ลอยมาขวางหน้า การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราอาจจะรู้จักมันได้แต่แล้วก็เก็บความรู้สึกว่า "ความที่ไม่อาจจะรู้ได้" ไว้อีก ข้อนี้เปรียบได้กับท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง แต่เสียรูปไปเพราะสายฟ้าแลบ การปล่อยให้ความรู้สึกนึกเอาเองเช่นนี้เกิดขึ้นตามสบายในใจของท่าน ย่อมแสดงว่า ท่านไม่รู้จัก ธรรมญาณ อย่างถูกต้องด้วย ทั้งไม่มีเครื่องมืออะไร ที่มีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้ท่านรู้ได้ด้วย ถ้าท่านรู้อย่างแจ้งฉาน แม้เพียงขณะเดียวเท่านั้นว่า ความณุ้สึกที่นึกเอาเองเช่นนี้ เป็นของผิดใช้ไม่ได้แล้ว แสงสว่างภายในจิตของท่านเอง จะลุกโพลงออกมาอย่างถาวร คำสอนของพระอาจารย์ต้าทง เมื่อเทียบกับโฉลกของพระธรรมาจารย์ฮู่ยเหนิงย่องแตกต่างกันอย่างลิบลับ เพราะพระอาจารย์ต้าทงมิได้อธิบายถึง เหตุปัจจัยสำคัญของธรรมญาณ อันกล่าวได้ว่า เหนือเหตุเหนือปัจจัยใด ๆ เพราะโดยธรรมชาติแท้จริงของ "ธรรมญาณ" ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้เหตุปัจจัยทั้งปวง เพราะเหตุนี้จึงอยู่เหนือการเดาหรือกำหนดหมายเอาเอง เมื่อฟังคำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ภิกษุจื้อฉัง ก็รู้สึกว่าใจของตนสว่างไสวในขณะนั้น จึงกล่าวออกมาเป็นโฉลกดังนี้.."การยอมให้ความรู้สึกว่า ""ความไม่อาจจะมองเห็นได้ "" และ ""ความที่ไม่อาจจะรู้ได้ "" เกิดขึ้นในใจตามความพอใจของตัวนั้นเป็นการแสวงหาโพธิโดยไม่ต้องเปลื้องตัวเองให้อิสระจากความคิดต่าง ๆ ที่ตนเดาเอาเองในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวงผู้ที่ผยองพองตัวด้วยความรู้สึกอันเบาเต็งว่า "บัดนี้เรารู้แจ้งแล้ว" นั้นก็ยังไม่ดีไปกว่าเมื่อเขายังไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าหากข้าพเจ้าไม่ได้มาหมอบอยู่แทบเท้าของพระธรรมาจารย์ ข้าพเจ้าก็ยังคงงงงัน ไม่รู้ว่าจะเดินทางไหนถูกอยู่นั่นเอง เพราะเหตุนี้ยิ่งเห็นความแปลกเกิดขึ้นก็ยิ่งห่างไกลต่อ ธรรมญาณ ของตนเองนั่นแล

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”