พอ ธรรมญาณ เคลื่อนไหวก็ผลิต จิต ออกมามากมายนับไม่ถ้วนจนได้รับการกล่าวขานว่ามีอยู่ 84,000 ดวง แต่ละดวงจิตรับรู้และยึดติดและตกอยู่ในของกฏอนิจจัง คือ ไม่เที่ยง เกิด - ดับ ตลอดเวลา ขอให้สังเกตุตัวเองตื่นเช้าขึ้นมาจนถึงเย็นย่ำ เข้านอน มีเรื่องราวให้คิดมากน้อยเพียงใด และทุกเรื่องราวที่คิดเคยอยู่ตัวคงที่ไม่เหือดหายไปหรือไม่ ถ้าต้องคิดเรื่องใหม่ย่อมลืมเรื่องเก่า เรื่องใหม่มาเรื่องเก่าย่อมหายไป ถ้าติดตรึงอยู่แต่เรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ปล่อยวางหรือคิดหลายเรื่องราวในคราเดียวกันความผิดปกติจักเกิดขึ้นและไม่ช้านานต้องเข้าไปบำบัดในโรงพยาบาลโรคจิต เพราะจิตวิปริตไปเสียแล้ว เพราะเหตุนี้คนนั่งสมาธิผิดจึงเป็นโรคบ้า
ในสมัยหนึ่งพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง จึงแสดงธรรมเพื่อชี้ให้เห็นความเป็นจริงว่าด้วยเรื่องของการนั่งกัมมัฏฐานว่า "อย่างไรเรียกว่า การนั่งเพื่อการกัมมัฏฐานภาวนา ในนิกายของเรานี้ ""การนั่ง" หมายถึงการได้รับอิสรภาพอันเด็ดขาดและมีจิตสงบได้ในทุก ๆ กรณีที่มีสิ่งแวดล้อมเข้ามาจากภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายข้างดีหรือเป็นอย่างไรมา กัมมัฏฐานภาวนา จึงหมายถึงการเห็นแจ้งชัดในภายในต่อความแน่วแน่ไม่หวั่นไหวของ ธรรมญาณ เพราะฉะนั้นการนั่งที่ไม่เป็นอิสระเด็ดขาดก็คือการสร้างภาพมายาหลอกหลอนตนเอง และเข้าไปติดยึดในภาพ ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ นรก ดอกบัว หรือ พระพุทธรูป คนเหล่านี้จึงสำคัญตนผิดหลงติดยึดเอารูปนิมิตนั้นมาเทิดทูนบูชาหรือขจัดรูปอับลักษณ์ที่ตนไม่ต้องการ บรรดาผู้ที่ยึดติดในสิ่งที่ไร้สาระเช่นนี้ความคิดของเขาจึงมีอาการวิปริตไปด้วย แม้พูดเรื่องเมตตาก็สร้างความสับสนให้แก่ผู้ฟัง "การปล่อยสัตว์และการกินสัตว์เป็นเรื่องเดียวกัน" ""กินสัตว์บาปหรือไม่"" ไม่บาป ก็เหมือนปล่อยสัตว์นั่นแหละ ความคิดความเห็นของคนประเภทนี้มิได้ตั้งอยู่กับหลักสัจธรรมแต่ไปตามกระแสของชาวโลก เพราะฉะนั้นนั่งกัมมัฏฐานไปนานแสนกัลป์ เขาจึงมิอาจพ้นไปจากวัฏสงสารได้เลย
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึง ฌานสมาธิว่า "อะไรเรียกว่า ฌาน และ สมาธิ ฌานหมายถึงการหลุดจากความพัวพันด้วยอารมณ์ภายนอกทุกประการสมาธิหมายถึงการได้รับศานติในภายใน ถ้าเราพัวพันอยู่กับอารมณ์ภายนอก จิตภายในก็จะปั่นป่วน เมื่อเราหลุดพ้นจากการพัวพันด้วยอารมณ์ภายนอกทุกอย่างแล้ว จิตก็จะตั้งอยู่ในศานติ
ธรรมญาณ ของเราเป็นของบริสุทธิ์อยู่แล้วอย่างแท้จริิิง แล้วเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงปั่นป่วนนั้น ก็เพราะเรายอมตัวให้อารมณ์ภายนอกซึ่งแวดล้อมเราอยู่ลากเอาตัวเราไปผู้ที่สามารถรักษาจิตของตนไว้ไม่ให้ปั่นป่วนได้ ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมชนิดไหนทั้งหมดนั่นแหละชื่อว่าได้บรรลุถึงสมาธิ
ความหมายของการหลุดพ้นจากอารมณ์ภายนอกทุกประการนั้น หมายถึงพ้นไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่า รูป รส กลิ่น เสียง หรือแม้แต่จิตที่เกิดจากธรรมญาณด้วย เมื่อไม่มีอารมณ์ใดมาแผ้วพาลนานเท่าใดความสงบสันติภายในย่อมเป็นต่อเนื่องกันไป แลจึงเป็นสภาวะแห่ง สมาธิ หญิงสาวคนหนึ่งเธอต้องการยกฐานะของตนเองให้คนทั่วไปเห็นถึงความสูงส่งด้วยอาภรณ์อันมีค่าคือ เพชร แต่เพราะเธอไม่มีปัญญาหาเพชรมาใส่แต่โชคดีมีเพื่อนเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เธอจึงออกปากขอยืมสร้อยเพชรของเพื่อนเพื่อใส่ไปในงานราตรีสโมสร ท่ามกลางสายตาของแขกเหรื่อ เธอชูคอกรีดกรายด้วยความลำพองใจ ยิ้มแย้ม ส่งเสียงหัวเราะสดใส แต่พอกลับมาถึงบ้าน สร้อยเพชรหายไปโดยไม่รู้ว่าหายไปที่ไหนและอย่างไร ครั้งนี้ความทุกข์เข้ามาครอบงำ หน้าตาเศร้าหมองแทบอยากจะฆ่าตัวตายเพราะ สร้อยเพชร ราคาแพงเส้นนี้เธอต้องขายบ้านเพื่อซื้อเพชรนำไปคืนเพื่อน พอเพื่อนได้รับสร้อยเพชรคืน ก็บอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า "เก็บเอาไว้ใช้เถอะ เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็ใส่เพชรปลอมทั้งนั้น"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า การเป็นอิสระไม่พัวพันด้วยอารมณ์ภายนอกทุกอย่าง ชื่อว่าฌาน การลุถึงศานติภายในชื่อว่าสมาธิ เมื่อใดที่เราอยู่ในฐานะที่จะเล่นฌานและดำรงจิตภายในให้ตั้งอยู่ในสมาธิเมื่อนั้นจึงได้ชื่อว่าเราได้ลุถึง ฌาน และ สมาธิ
ข้อความในโพธิสัตว์ศีลสูตรมีอยู่ว่า ธรรมญาณ ของเราเป็นของบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นการเข้าฌานสมาบัติ จึงไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในรูปลักษณ์ใด ๆ เพราะการลุถึงฌานสมาธิ มิได้เกี่ยวกับรูปลักษณ์ทั้งภายในและภายนอกเลย ทำได้ดั่งนี้จึงจัดว่าเป็น ฌานสมาบัติอันแท้จริง นอกจากนี้แล้วล้วนเป็นฌานสมาธิ ที่ไร้สาระเพราะยังตกอยู่ในวังวนแห่งการเวียว่ายไม่สิ้นสุด เพราะมันเริ่มต้นวนเวียนอยู่ในจิตนั่นเอง