"" ทำไมจึงต้องไปรับธรรมะ ผมทำทุกอย่างตามธรรมชาติอยู่แล้ว "" ผู้ไม่รู้จักธรรมะมักตอบอย่างนี้
"" ธรรมชาติดูจากอะไร "" ผู้ปฏิบัติธรรม ถาม
"" ผมไม่ทำให้ใครเดือดร้อน อยากินก็กิน อยากนอนก็นอน เท่านั้นเอง ""
"" อย่างนี้ยังไม่ใช่ตามธรรมชาติเพราะเป็นเรื่องของกาย ทำตามความปรารถนาของกาย มิใช่ธรรมะ ""
"" อะไรเล่าคือ ธรรมะ ""
นักปฏิบัติธรรมที่ผิดเพื้ยน และหลงหนทางมักมองดูการปฏิบัติธรรมมิใช่เรื่องธรรมดา ต้องมีอะไรผิดแปลกไปจากคนทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปลักษณ์
ความจริง การปฏิบัติธรรมะอยู่ที่ ""จิต"" และเข้าถึง ""ธรรมะ"" ย่อมมองเห็น ""ธรรมญาณ"" สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาอันปราศจากรูปลักษณ์ทั้งปวง เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติธรรมยิ่งเพี้ยนก็ยิ่งไปกำหนดรูปลักษณ์ ที่แปลกประหลาดจนผิดธรรมดา
สมัยพระพุทธองค์ออกบวช พระองค์มีจุดประสงค์เพื่อทำลายชนชั้นวรรณะของชาวชมพูทวีป จึงเอาเครื่องทรงกษัตริย์คืนไปและปฏิบัติเยี่ยงขอทาน เพื่อให้ทุกชนชั้นวรรณะเข้ามาปฏิบัติธรรมได้เสมอกัน
""ธรรมดาของกาย"" ต้อง กิน นอน แก่ เจ็บ ตาย เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
"" ธรรมดาของจิต"" ไม่เคยหยุดนิ่ง ไหวทุกครั้งที่มีสิ่งมากระทบ เกิด -- ดับ ตลอดกาล
"" ธรรมดาของธรรมญาณ "" จึงเงียบ สงบ สว่าง ว่างเปล่า ไม่ยึดติดสิ่งใด และไม่เกิด -- ดับ ทำลายมิได้
ผู้ปฏิบัติธรรมที่หลงหนทางของกายจึงแปลก แยกทำตัวให้ไม่ธรรมดา
ผู้ปฏิบัติธรรมที่หลงในหนทางของจิต จึงพยายามแสดงอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช เพื่อให้คนทั้งปวงเลื่อมใสว่าตนเองเป็นผู้สำเร็จและศักดิ์สิทธิ์ แต่ผู้ปฏิบัติธรรมที่เข้าใจสภาวะแห่งธรรมญาณ จึงมองทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา นักธรรมอาวุโสท่านหนึ่ง ท่านเป็นธรรมปริณายกที่ผู้ปฏิบัติธรรมยกย่องฉายาว่า ""ผู่เฒ่าน้ำใส"" ท่านปฏิบัติจนแลเห็นเป็นธรรมดา มีนักธรรมจากทั่วโลกเข้าไปกราบพระบาทของท่านเพื่อฟังอรรถาธรรม ซึ่งท่านก็จะประทานพระวจนะอย่างธรรมดา ๆ ว่า "" การปฏิบัติธรรมนั้นอยู่ที่มโนธรรมสำนึก จิตที่มีมโนธรรมสำนึกรู้จักขอบคุณทุกสิ่งอย่างนั่นแหละ คือ ธรรมะ ""
เวลานักธรรมลากลับ ท่านธรรมปริณายกเดินออกมาส่งถึงประตูรถและโบกมืออำลาให้แก่ทุกคน ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ในฐานะสูงต่ำอย่างไร ท่านปฏิบัติต่อนักธรรมเสมอเหมือนกันหมด จนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา มีแต่นักธรรมผู้อ่อนด้อยในการปฏิบัติเท่านั้นจึงแลดูว่าท่านสูงส่ง ท่านอายุ 90 กว่าปี แล้วยังยกย่องให้เกียรติผู้น้อยเสมอเหมือนกัน ในความรู้สึกของเราจึงไม่ธรรมดา แต่ในความรู้สึกของท่านธรรมปริณายก เป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เปลี่ยนแปลงหรือสรรพสิ่งที่ไม่เปลี่ยนจึงกล่าวว่าเป็นธรมดาสามัญ แต่ปุถุชนทั่วไปมิได้เป็นเช่นนั้น พบคนถูกใจก็พูดเพราะ พบคนที่ไม่ถูกใจก็พูดหยาบ คนที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้จึงมิใช่ทางสายกลาง ทางสายกลางจึงเป็นธรรมะที่ไม่เปลี่ยนแปลงและคงที่ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งใดก็ยังคงลักษณะเดิมเอาไว้ได้ตลอดเวลา การปฏิบัติทางสายกลางจึงมีความเที่ยงตรงและสม่ำเสมอ กับทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการแบ่งแยก
ผู้ประคองรักษาสภาวะจิตของตนเอาไว้ได้เช่นนี้ตลอดเวลา จึงไม่เกิดความทุกข์ เพราะเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า หนทางสายกลางเป็นหนทางแห่งการดับทุกขืที่แท้จริง
ผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจของ ""จิต"" ย่อมเคลื่อนไหวไปตามความพอใจและไม่พอใจของอารมณ์ที่สั่งสมเอาไว้ คนเหล่านี้จึงหาทุกข์ใส่ตนเองตลอดเวลา เพราะเหตุนี้ผู้ปฏิบัติที่เข้าใจธรรมญาณ จึงมองดูสรรพสิ่งเท่าเทียมกันและเป็นธรรมดา เพราะต่างมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน แต่มาแตกต่างกันด้วยวิบากรรมที่ต่างสร้างขึ้นด้วยความหลงผิดนั่นเอง
ถ้าทุกคนมองเห็นเท่ากันไม่มีการแบ่งแยกแล้ว การแข่งขันชิงดีชิงเด่นก็ไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร แม้สัตว์ทั้งปวงก็มีรากเหง้าแห่งธรรมญาณมาจากที่เดียวกันแต่ที่แตกต่างกันเพราะ ตัวปลอมที่ธรรมญาณไปอาศัยอยู่ตามกรรมที่ตนเองก่อเอาไว้ เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนไปร่ามงานประชุมธรรมะที่อำเภอปากช่อง นครราชสีมา ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งมีสุนัขมากมายหลายตัวล้วนส่งเสียงเห่ารบกวนการประชุม ตอนที่มีการเตรียมงานประชุมธรรม มีอาจารย์บรรยายธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งถูกสุนัขเหล่านั้นเห่ารบกวน ท่านจึงเดินไปดูว่าตัวไหนมีท่าทีเป็นจ่าฝูง สุนัขจ่าฝูงนั้นมองหน้าอาจารย์ อาจารย์ท่านนี้จึงจ้องหน้าสุนัขตรงจุดญาณทวารแล้วพูดว่า ""ชาตินี้เจ้าเกิดมาเป็นสุนัขถือว่ามีบาปแวรกรรม เราจะมาประชุมธรรมะที่นี่เจ้าจงอย่ารบกวน แล้วไปบอกพวกเจ้าด้วย จะเป็นการสร้างบุญกุศลในครั้งนี้ เมื่อเจ้าเกิดใหม่ธรรมะนี้ยังอยู่ก็จะมีโอกาสได้รับธรรมะนี้ ""
หลักฐานพยานปรากฏชัดว่าธรรมญาณของสุนัขกับคนเหมือนกัน เพราะตลอดสองวันของการประชุมทุกอย่างสงบเรียบร้อยเป็นธรรมดา