collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: คัมภีร์ทางสายกลาง ปฐมบท (จง -- อยง ) เที่ยงตรง -- สัจธรรม  (อ่าน 32401 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

         "" ทำไมจึงต้องไปรับธรรมะ  ผมทำทุกอย่างตามธรรมชาติอยู่แล้ว "" ผู้ไม่รู้จักธรรมะมักตอบอย่างนี้
       "" ธรรมชาติดูจากอะไร ""  ผู้ปฏิบัติธรรม ถาม
     "" ผมไม่ทำให้ใครเดือดร้อน อยากินก็กิน  อยากนอนก็นอน  เท่านั้นเอง ""
   "" อย่างนี้ยังไม่ใช่ตามธรรมชาติเพราะเป็นเรื่องของกาย ทำตามความปรารถนาของกาย มิใช่ธรรมะ ""
"" อะไรเล่าคือ  ธรรมะ ""
   
    นักปฏิบัติธรรมที่ผิดเพื้ยน และหลงหนทางมักมองดูการปฏิบัติธรรมมิใช่เรื่องธรรมดา ต้องมีอะไรผิดแปลกไปจากคนทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปลักษณ์
    ความจริง การปฏิบัติธรรมะอยู่ที่ ""จิต"" และเข้าถึง ""ธรรมะ"" ย่อมมองเห็น ""ธรรมญาณ"" สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาอันปราศจากรูปลักษณ์ทั้งปวง เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติธรรมยิ่งเพี้ยนก็ยิ่งไปกำหนดรูปลักษณ์ ที่แปลกประหลาดจนผิดธรรมดา
    สมัยพระพุทธองค์ออกบวช พระองค์มีจุดประสงค์เพื่อทำลายชนชั้นวรรณะของชาวชมพูทวีป จึงเอาเครื่องทรงกษัตริย์คืนไปและปฏิบัติเยี่ยงขอทาน เพื่อให้ทุกชนชั้นวรรณะเข้ามาปฏิบัติธรรมได้เสมอกัน
    ""ธรรมดาของกาย"" ต้อง กิน นอน แก่ เจ็บ ตาย เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
  "" ธรรมดาของจิต""  ไม่เคยหยุดนิ่ง ไหวทุกครั้งที่มีสิ่งมากระทบ เกิด -- ดับ  ตลอดกาล
 "" ธรรมดาของธรรมญาณ "" จึงเงียบ สงบ  สว่าง  ว่างเปล่า  ไม่ยึดติดสิ่งใด  และไม่เกิด -- ดับ  ทำลายมิได้
ผู้ปฏิบัติธรรมที่หลงหนทางของกายจึงแปลก แยกทำตัวให้ไม่ธรรมดา
ผู้ปฏิบัติธรรมที่หลงในหนทางของจิต จึงพยายามแสดงอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช เพื่อให้คนทั้งปวงเลื่อมใสว่าตนเองเป็นผู้สำเร็จและศักดิ์สิทธิ์  แต่ผู้ปฏิบัติธรรมที่เข้าใจสภาวะแห่งธรรมญาณ จึงมองทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา  นักธรรมอาวุโสท่านหนึ่ง ท่านเป็นธรรมปริณายกที่ผู้ปฏิบัติธรรมยกย่องฉายาว่า ""ผู่เฒ่าน้ำใส"" ท่านปฏิบัติจนแลเห็นเป็นธรรมดา  มีนักธรรมจากทั่วโลกเข้าไปกราบพระบาทของท่านเพื่อฟังอรรถาธรรม ซึ่งท่านก็จะประทานพระวจนะอย่างธรรมดา ๆ ว่า "" การปฏิบัติธรรมนั้นอยู่ที่มโนธรรมสำนึก จิตที่มีมโนธรรมสำนึกรู้จักขอบคุณทุกสิ่งอย่างนั่นแหละ คือ ธรรมะ ""
     เวลานักธรรมลากลับ ท่านธรรมปริณายกเดินออกมาส่งถึงประตูรถและโบกมืออำลาให้แก่ทุกคน ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ในฐานะสูงต่ำอย่างไร ท่านปฏิบัติต่อนักธรรมเสมอเหมือนกันหมด จนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา มีแต่นักธรรมผู้อ่อนด้อยในการปฏิบัติเท่านั้นจึงแลดูว่าท่านสูงส่ง ท่านอายุ 90 กว่าปี แล้วยังยกย่องให้เกียรติผู้น้อยเสมอเหมือนกัน ในความรู้สึกของเราจึงไม่ธรรมดา แต่ในความรู้สึกของท่านธรรมปริณายก เป็นเรื่องธรรมดา  เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เปลี่ยนแปลงหรือสรรพสิ่งที่ไม่เปลี่ยนจึงกล่าวว่าเป็นธรมดาสามัญ แต่ปุถุชนทั่วไปมิได้เป็นเช่นนั้น พบคนถูกใจก็พูดเพราะ พบคนที่ไม่ถูกใจก็พูดหยาบ คนที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้จึงมิใช่ทางสายกลาง  ทางสายกลางจึงเป็นธรรมะที่ไม่เปลี่ยนแปลงและคงที่ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งใดก็ยังคงลักษณะเดิมเอาไว้ได้ตลอดเวลา  การปฏิบัติทางสายกลางจึงมีความเที่ยงตรงและสม่ำเสมอ กับทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการแบ่งแยก
     ผู้ประคองรักษาสภาวะจิตของตนเอาไว้ได้เช่นนี้ตลอดเวลา จึงไม่เกิดความทุกข์ เพราะเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า หนทางสายกลางเป็นหนทางแห่งการดับทุกขืที่แท้จริง
     ผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจของ ""จิต"" ย่อมเคลื่อนไหวไปตามความพอใจและไม่พอใจของอารมณ์ที่สั่งสมเอาไว้ คนเหล่านี้จึงหาทุกข์ใส่ตนเองตลอดเวลา  เพราะเหตุนี้ผู้ปฏิบัติที่เข้าใจธรรมญาณ จึงมองดูสรรพสิ่งเท่าเทียมกันและเป็นธรรมดา เพราะต่างมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน แต่มาแตกต่างกันด้วยวิบากรรมที่ต่างสร้างขึ้นด้วยความหลงผิดนั่นเอง
     ถ้าทุกคนมองเห็นเท่ากันไม่มีการแบ่งแยกแล้ว การแข่งขันชิงดีชิงเด่นก็ไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร แม้สัตว์ทั้งปวงก็มีรากเหง้าแห่งธรรมญาณมาจากที่เดียวกันแต่ที่แตกต่างกันเพราะ ตัวปลอมที่ธรรมญาณไปอาศัยอยู่ตามกรรมที่ตนเองก่อเอาไว้  เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนไปร่ามงานประชุมธรรมะที่อำเภอปากช่อง นครราชสีมา ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งมีสุนัขมากมายหลายตัวล้วนส่งเสียงเห่ารบกวนการประชุม  ตอนที่มีการเตรียมงานประชุมธรรม มีอาจารย์บรรยายธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งถูกสุนัขเหล่านั้นเห่ารบกวน ท่านจึงเดินไปดูว่าตัวไหนมีท่าทีเป็นจ่าฝูง สุนัขจ่าฝูงนั้นมองหน้าอาจารย์ อาจารย์ท่านนี้จึงจ้องหน้าสุนัขตรงจุดญาณทวารแล้วพูดว่า ""ชาตินี้เจ้าเกิดมาเป็นสุนัขถือว่ามีบาปแวรกรรม เราจะมาประชุมธรรมะที่นี่เจ้าจงอย่ารบกวน แล้วไปบอกพวกเจ้าด้วย จะเป็นการสร้างบุญกุศลในครั้งนี้ เมื่อเจ้าเกิดใหม่ธรรมะนี้ยังอยู่ก็จะมีโอกาสได้รับธรรมะนี้ ""
      หลักฐานพยานปรากฏชัดว่าธรรมญาณของสุนัขกับคนเหมือนกัน เพราะตลอดสองวันของการประชุมทุกอย่างสงบเรียบร้อยเป็นธรรมดา

   


ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ปุถุชนชอบแบ่งแยกและเปรีบยเทียบโดยเอาตัวเองเป็นหลัก เพราะเหตุนี้จิตใจของเขาจึงไม่เที่ยงตรงและตกอยู่ในภาวะที่เรียกกันว่า ""ลำเอียงเพราะรัก  ลำเอียงเพราะชัง"" ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่ทราบว่า จิตญาณเดิมล้วนเสมอเหมือนกันและมาจากแหล่งเดียวกัน แต่ที่แตกต่างกันเพราะรูปลักษณ์อันเป็นไปตามวิบากกรรมที่ต่างสร้างสมเอาไว้ไม่เหมือนกัน  ถ้าทุกคนมองดูสรรพสัตว์เท่าเทียมกัน ""ความเมตตา"" อันแท้จริงย่อมเกิดขึ้นและต่างไม่เบียดเบียนกันด้วยเห็นเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นเดียวกัน
       พระศาสดาขงจื๊อกล่าวว่า ""ความเที่ยงตรงเป็นธรรมะอันเที่ยงแท้ของจักรวาล"" ความหมายแห่งพระวจนะนี้หากพิจารณาการหมุนเวียนของดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ย่อมเห็นชัดเจนว่าหากดวงดาวเหล่านี้ไม่มีความเที่ยงตรงแห่งการหมุนเวียนแล้วไซร์ย่อมจะเกิดเหตุวิบัติกระทบถึงความปกติสุขอย่างแน่นอน
      มนุษย์ก็เช่นเดียวกันหากจิตใจไม่เที่ยงตรงเยี่ยงเดียวกับจักรวาลแล้วย่อมก่อให้เกิดความทุกข์เพราะเกิดความผันแปร แต่ความเที่ยงตรงย่อมไม่เปลี่ยนแปลง
      สภาวะแห่งทางสายกลางก็เช่นเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลงเพราะฉะนั้นจึงก่อเกิดความเที่ยงตรงแห่งจักรวาลนี้ได้ จนกลายเป็นกฏเกณฑ์ธรรมดาของจักรวาล ฝนตก น้ำท่วม ฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ แล้วก็ถึงฤดูใบไม้ร่วง หมุนเวียนไปจนแลดูเป็นธรรมดาถ้าหากความธรรมดาเช่นนี้เกิดผิกแผกขึ้นมาเมื่อไร ก็กล่าวได้ว่า ไม่เป็นปกติธรรมดาย่อมก่อให้เกิดภัยพิบัตินานาขึ้นมา
     ดังนั้นถ้ามนุษย์มีความเป็นธรรมดาก็สามารถเข้ากับทุกคนได้หมดเฉกเช่นเดียวกับฟ้าดิน เพราะจักปฏิบัติต่อทุกคนเท่าเทียมกันแต่ถ้าเลือกที่รักมักที่ชังแล้วย่อมไม่เป็นธรรมดาและความทุกข์ย่อมติดตามมา ตังอย่างเช่นนี้มีให้เห็นทั่วไป
     บางคนปฏิบัติต่อคนรวยและมียศฐาบรรดาศักดิ์อย่างหนึ่งด้วยความนอบน้อม แต่กลับวางอำนาจข่มขู่ผู้ด้อยด้วยเงินตราและยศศํกดิ์ คนที่ปฏิบัติเช่นนี้เขาย่อมต้องปรับเปลี่ยนจิตใจอยู่ตลอดเวลา จิตใจย่อมไม่เที่ยงตรง จึงหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ เพราะต้องคอยถอดหน้ากากและสวมหน้ากาก
    ""คนเช่นไรเล่าจึงจักปฏิบัติได้อย่างธรรมดา"" ถาม  ""ผู้ที่เผชิญหน้ากับธรรมญาณของตนเอง เท่านั้นจึงปฏิบัติได้อย่างธรรมดา"" ตอบ  นักปฏิบัติธรรมที่มิได้ถ่ายทอดวิถีจิตย่อมยากที่จะมองย้อนส่องตนเองได้ หรือแม้แต่ผู้ที่ได้รับถ่ายทอดวิถีจิตแล้วหากไม่ใส่ใจศึกษา สภาวะแห่งทางสายกลางก็ยากที่จะเกิดขึ้นหรือเกิด ๆ ดับ ๆ อยู่อย่างนี้
       บรรดาผู้ปฏิบัตธรรมทีี่่กล่าวว่าตนเองอยู่ในทางสายกลางแท้ที่จริงแล้วเป็นหนทางแห่งการกำหนดหมายขึ้นเท่านั้นเอง เมื่อคิดขึ้นมาได้ ก็เป้นทางสายกลางเสียทีหนึ่ง แต่พอลืมไปก็เป็นทางสายเอียง
       ความจริงผู้ปฏิบัติทางสายกลางอันแท้จริง ย่อมเผชิญหน้าแห่งธรรมญาณแห่งตนจึงพบภาวะนั้นอย่างแท้จริงและเป็นอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกดังเช่นพระพุทธองค์ทรงปฏิบัตได้  ถ้าทุกคนในสังคมมีความเป็นธรรมดาเท่าเทียมกันหมดก็ไม่จำเป็นต้องมีกฏหมายหรือกฏเกณฑ์ใด เพราะความเป็นธรรมดาจะกลายเป็นกฏเกณฑ์ที่ควบคุมสังคมซึ่งจะมีความสุข โลกนี้ก็จะมีสันติสุข แต่เพราะความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนี้ เพราะจิตใจของคนพ้นไปจากความเป็นธรรมดา โลกจึงเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ มีอุทกภัย ข้าวยากหมากแพง สิ่งแวดล้อมเป็นมลพิษ
       จิตใจของคนที่พ้นไปจากธรรมดาแห่งทางสายกลางจึงต้องสร้างกฏหมายต่าง ๆ ขึ้นมาบังคับแต่ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้เลย เพราะกฏเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้นมีพื้นฐานมาจากความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบด้วยความโลภ โกรธ หลง
       มนุษย์จึงสร้างกฏเกณฑ์ที่ขัดแย้งกันเอง ความวุ่นวายจึงตามมา และลามปามไปจนถึงการฆ่าฟันกันไม่รู้จบ  ทางสายกลางนั้นจึงเป็นเรื่องกับจิตโดยตรง แม้พระพุทธองค์กับพระศาสดาขงจื๊อต่างมีคำสอนที่ตรงกันให้ระวังรักษาจิตของตนเองให้เที่ยงตรงต่อฟ้าดิน อันเป็นทางสายกลางที่แท้จริงตามธรรมชาติ
       พระพุทธองค์ตรัสธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร ก็ทรงสอนถึงความเป็นธรรมดาแห่งจิต ที่เที่ยงตรงไม่เวียนว่ายไปสร้างชาตสร้างภพไม่จบสิ้นเพราะวิบากกรรมที่ตนเองสั่งสมเอาไว้แต่ละชาติเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธรรมญาณไปเวียนว่ายอาสัยรูปร่างต่าง ๆ กัน  ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิถีจิตย่อมรู้หนทางแห้งการบำเพ็ญมิให้จิตเคลื่อนไหวและกลับคืนสู่สภาวเดิมแห่งธรรมญาณ การไม่เคลื่อนไหวไปตามแรงแห่งอารมณ์ย่อมจบสิ้นมิต้องสร้างกรรมเวรอีกต่อไป ภาวะแห่งการไม่เคลื่อนไหวเช่นนี้จึงกลายเป็นนิพพานแห่งตัวเอง พระพุทธองค์จึงทรงมีพระพุทธวจนะว่า "ไม่ต้องไปแสวงหานิพพานที่ใด นิพพานอยู่ในตัวเรา" คนที่แสวงหานิพพานจากภายนอกหรือจากเกจิอาจารย์ใดย่อมไม่พานพบโดยเด็จขาดเพราะนิพพานคือความเที่ยงตรงแห่งจิตใจอันเหมือนกับความเที่ยงตรงแห่งจักรวาลนั่นเทียว
 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       พุทธศาสนิกชนมักเข้าใจกันว่า "ทางสายกลาง" มีแต่ในพุทธศาสนาเท่านั้นส่วนศาสนาอื่นไม่มี นับเป็นความเข้าในที่ผิด เพราะทางสายกลางเป็นสากลมิได้แบ่งแยกหรือมีแตเฉพาะคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็หาไม่
      พระเยซูคริสต์อันเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์สั่งสอนเวไนยทั้งปวงว่า "เมื่อถูกตบแก้มซ้าย จงเอียงแก้มขวาให้เขาตบด้วย"ควมหมายนั้ชัดแจ้งว่า พระองค์มิได้สอนให้โต้ตอบ ด้วยการกระทำชั่วเลย แต่จงยอมรับแม้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าใครมีจิตใจเช่นนี้แน่นอนย่อมเป็นจิตใจของทางสายกลางโดยแท้ แม้ในสมัยที่พระเยซูถูกทหารโรมันตรึงกางเขน ด้วยความทุกข์ทรมานแต่พระเยซูเจ้ากลับอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าให้อภัยแก่ผู้หลงผิดเหล่านี้และพระองค์ยินยอมไถ่บาปให้แก่ผู้ทำร้ายพระองค์ ถ้าหากพระองค์มิได้มีจิตใจเป็นทางสายกลางแล้วย่อมเสียสละเช่นนี้มิได้ พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึง ""ชีวิตนิรันดร์"" ว่าหากต้องการมีชีวิตนิรันดร์จงเชื่อและศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า
      พระวจนะนี้จงเทียบเคียงสมัยที่พระเยซูรับศีลจุ่ม  ณ แม่น้ำจอร์แดนจากนับุณโยฮัน พระองค์ตรัสว่า "ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปิดกว้างขึ้น พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาอย่างรวดเร็วดังนกพิราบเข้ามาสถิตในพระองค์"
      ความหมายแห่งชีวิตนิรันดร์ คือ การไม่ตาย ไม่ดับ อันหมายถึง ""ธรรมญาณ"" พระพุทธองค์ตรัสถึงสภาวะแห่ง ""ความไม่เกิด -- ไม่ตาย""ว่า ""ความเชื่อว่าตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิด ล้วนเป็นควมเชื่อที่ผิด"" พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่าเป็น ""ตถาคต"" มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะเหตุที่ธรรมญาณ ไม่มีเกิดและไม่มีตาย แม้ภาษาแตกต่างกันแต่ความหมายแห่งพระวจนะของพระศาสดาทั้งสองเหมือนกัน
      ที่ประเทศอินโดนีเซียมีบาทหลวงคาทอริกอยู่ท่านหนึ่งวึ่งเป็นผู้ที่มีควมศรัทธาแรงกล้าในคริสต์ศาสนา คืนวันหนึ่งท่านนิมิตเห็นพระเยซูเจ้า ตรัสว่า ""เจ้านั้นเคารพนับถือเราแต่เจ้าไม่รู้หนทางชีวิตนิรันดร์เพราะฉะนั้นจึงไม่พ้นไปจากการเวียนว่าย"" ในฝันนั้นพระเยซูได้พับกระดาษแผ่นหนึ่งเป็นเหมือนเครื่องบินที่เด็กเล่นแล้วตัดด้วยกรรไกรสองครั้ง เมื่อนำกระดาษกลางออกมาเป็นรูปเครื่องหมายแห่งกางเขน ส่วนกระดาษที่เหลือจากการตัดนำมาต่อเป็นตัวอักษรได้ถึงสามภาษาคือ อังกฤษ จีน และไทย เรียงเป็นตัวอักษรจีนได้คำว่า ""หย่งเซิน"" แปลความว่า ""ชีวิตนิรันดร์"" บาทหลวงผู้นั้นจึงถามพระเยซูว่า ""ถ้าต้องการได้ชีวิตนิรันดร์จะทำอย่างไร""พระเยซูจึงชูแผ่นใบฏีกาที่เป็นภาษาจีน หากมีชื่ออยู่ในแผ่นนี้จักได้ชีวิจนิรันดร์  เมื่อเอาเศษกระดาษนั้นมาเรียงกัน อีกก็จะเป็นภาษาจีนอีกสองคำคือ ""สื่อหวัง แปลว่า ""ตายตกนรก""  หากนำมาเรียงเป็นภาษาอังกฤษจะได้คำว่า "" HELL"" แปลว่า"นรก""หลังจากนั้นบาทหลวงก็ออกตามหาใบฏีกาตามศาลเจ้าต่าง ๆ จนกระทั้งได้พบอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม และได้ดูใบฏีกาซึ่งเหมือนกับที่พระเยซูได้แสดงให้เห็นในฝัน บาทหลวงจึงรู้ว่าการแบกไม้กางเขนนั้น หากไม่รู้ประตูแห่งธรรมญาณแล้วย่อมไม่พานพบ""ชีวิตนิรันดร์"" ธรรมญาณ  จึงเป็นชีวิตนิรันดร์  ที่ไม่เกิดและไม่ดับ  แต่ผู้ที่ติดอยู่กับกายเนื้อจึงเกิดดับไม่อาจได้สัมผัสกับชีวิตนิรันดร์   พระศาสดาทั้งปวงและพระอริยะเจ้าทุกพระองค์ย่อมไม่ดับสูญไปจากธรรมจักรวาล เราจะเห็นได้ว่า  บัดนี้  สาธุชนกราบไหว้พระองค์เฉกเช่นผู้ยังมีชีวิตอยู่ และยังกล่าวพระนามของพระองค์เสมือนหนึ่งยังทรงพระชนม์ชีพ แต่สำหรับ ปู่ ย่า ตา ทวด ปีหนึ่งจึงนึกถึงครั้งหนึ่งและถ้าไม่รู้จักเลยก็ไม่ได้นึกถึง จึงเสมือนหนึ่งตายจากไปแล้วอย่างแท้จริง
       ความหมายแห่ง ""ชีวิตนิรันดร์"" จึงไม่ได้เป็นอยู่อย่างที่นึกถึงเท่านั้น พระองค์จึงทรงอยู่ในถิ่นที่ปราศจากการปรุงแต่งใดๆที่เราเรียกว่า ""โลกุตตรภูมิ"" หรือ ""นิพพาน""  และนำเอาสภาวะแห่ง ""ทางสายกลาง"" มาพิจารณาแล้วก็จะรู้ได้ว่าสภาวะเช่นนี้ ไม่เกิดไม่ดับเพราะมิได้สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่งจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแต่ประการใด
       ถ้าเทียบเคียงกับปุถุชนจึงรู้ได้ว่า เวลาโกรธจัด อารมณ์รุนแรงไปทางหนึ่งที่จะทำลายทุกอย่าง แต่พออารมณ์สงบ อาการโกรธหายไปนั่นหมายถึง "อารมณ์ดับ" คนที่มีอารมณ์ดีใจก็เช่นเดียวกัน เขาไม่อาจรักษาอารมณ์นี้ไว้ได้ตลอดไป ในที่สุดก็ต้องดับอารมณ์เช่นนี้เหมือนกัน แต่สภาวะแห่งความเป็นกลาง ไม่มีการเกิด จึงไม่มีการดับ
       """ชีวิตนิรันดร์"" จึงเป็น ""ทางสายกลาง"" โดยแท้
      "" ชีวิตนิรันดร์ "" เป็นเช่นใด  ""ธรรมญาณ"" ก็เป็นเช่นนั้น""" 
 
 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

         ความผิดพลาดของมนุษย์จนก่อให้เกิดความหายนะต่อชีวิตและทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากเหตุที่ไม่สำรวมระวัง ปลอ่ย กาย วาจา ใจ ให้เป็นไปตามอารมณ์ ซึ่งมักจะพาไปสู่หนทางแห่งอบายมากกว่า หนทางอริยะ
        พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนให้าำรวมระวัง จิต วาจา และกาย
สำรวมจิต    คือ ระวังจิตมิให้วอกแวกหรือสั่นไหวไปตามอารมณ์ทั้งปวง
สำรวมวาจา คือ  ระวังมิให้ก่อวจีกรรมอันลามก
สำรวมกาย  คือ  มิให้กระทำในสิ่งที่ผิดธรรมะ
        การสำรวมระวังนี้ต้องกระทำทุกเวลา  แต่คนส่วนใหญ่ มักระวังเวลาอยู่กับผู้คนด้วยห่วงใยชื่อเสียงของตนเอง แต่ถ้าลับตาคนแล้วก็ปราศจากความสำรวมระวังปล่อยกายปล่อยใจตามอารมณ์
       อาการสำรวมระวัง คือ ระวังให้ ""จิต"" อยู่ในทางสายกลางเสมอ   สภาวะจิตเช่นนี้จึงเป็น"มหาสติปัฏฐาน 4" อันได้แก่
1. กายานุปัสสนา   การตามพิจารณาเห็นกายว่ามิใช่ตัวตนอันแท้จริงและรู้ความเคลื่อนไหวของกายตลอดเวลา
2. เวทนานุปัสสนา  การพิจารณาเห็นอารมณ์ทุกข ์ -- สุข ที่กำลังครอบครองเราอยู่
3. จิตตานุปัสสนา   การพิจารณาเห็นจิตที่เคลื่อนไหวก่อเกิด ตัณหา ราคะ หดหู่แล การเกิด-ดับของจิต
4. ธรรมานุปัสสนา  การพิจารณาเห็นธรรมอันเป็นไปตามนิวรณ์ 5 ความพอใจ ความพยาบาท ความง่วงเหงาหาวนอน ความฟุ้งซ่าน รำคาญ ถ้ารู้ชัดในสิ่งเหล่านี้ แล้วย่อมควบคุมได้
       ถ้าสภาวะจิตมิได้อยู่ในทางสายกลาง ก็ยากที่จะมี ""มหาสติ"" และไม่เกิดปัญญาพิจารณาตนเองตามนัยที่พระพุทธองค์ได้กล่าวไว้ ในคัมภีร์จงยง ทางสายกลาง ของท่านขงจื๊อ  ได้กล่าวเอาไว้ทำนองเดียวกัน มีความว่า...
     
        ซื่อ กู้ จวิน เจี้ย เซิ่น ฮู ฉี สั่ว ปู้ ตู่     ข่ง จวี้ ฮู ฉี สั่ว  ปู้ เหวิน  แปลความว่า ""กัลยาณชนผู้บำเพ็ญต้องตักเตือนระวังตนในสิ่งที่ผู้อื่นไม่เห็นและไม่ได้ยิน  เพื่อละเว้นการก่อบาปสร้างเวร"""
   
      การตักเตือนตนเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะตามปกติแล้วปุถุชนไม่เคยตักเตือนตนเองมีแต่จะตักเตือนผู้อื่นเสมอเพื่อสำแดงว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น เก่งกว่า  สภาวะจิตอย่างนี้ล้วนพ้นไปจาก "ทางสายกลาง"
     แต่การตักเตือนตนเองย่อมต้องอาศัย สติปัญญา สำรวจความผิดพลาดของตนเองอย่างถี่ถ้วนและเป็นธรรม หากไม่มีสภาวะแห่งทางสายกลางอยู่แล้วย่อมไม่อาจสำรวจความผิดพลาดของตนเองได้เลย เพราะปุถุชนย่อมมองเห็นแต่ความดีงามของตนเป็นสำคัญและเห็นความชั่วของคนอื่นก่อนเสมอ ""เห็นความดีของตน"" กับ ""เห็นความชั่วของคนอื่น"" ทั้งสองกรณีนี้สภาวะจิตอยู่ตรงกันข้ามเพียงแต่เหมือนกันที่พ้นไปจากทางสายกลางและเป็นการกระทำของจิตใจที่ไร้สติ และประการสำคัญไม่มีผลแห่งการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น  คนที่เห็น ""ความดีของตน"" ย่อมมีแต่ความพึงพอใจไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแก้ไข เช่นเดียวกับ ""ความชั่วของคนอื่น"" ก็ไม่มีใครยอมให้แก้ไข
      ความชั่วที่ปุถุชนกระทำได้ง่ายที่สุดก็คือ ในที่ลับตาคน เพราะคิดว่าไม่มีใครรู้ใครเห็น จิตใจของคนย่อมปล่อยไปตามอารมณ์ขาดความระวังสำรวมเพราะเหตุนี้จึงสร้างเวรกรรมเอาไว้มากมาย
      ท่านขงจื๊อ ตักเตือนให้ผู้บำเพ็ญระวังสำรวม ก็โดยรู้ถึงธรรมชาติของจิตมนุษย์ชอบฟุ้งซ่าน  และปฐมเหตุแห่งความชั่วทั้งปวงเริ่มต้นที่ ""จิต"" โดยเฉพาะความคิดชั่วที่เกิดขึ้นหากไม่ระงับยับยั้งเอาไว้ย่อมสานต่อไปจนถึงการกระทำด้วยวาจาและกายในที่สุด  มนุษย์ชอบปิดบังความชั่วของตนเองไม่ต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ สถาวะแห่งจิต จึงทุกข์ทรมานเพราะพ้นไปจากทางสายกลาง  แต่ถ้าหากเราคิดว่าการกระทำนั้นไม่มีใครรู้ใครเห็น ""จิต"" ย่อมตกอยู่ในสภาวะแห่งความประมาทโดยแท้
      พระพุทธองค์ตรัสว่า ""ความลับไม่มีในโลก"" ความหมายก็คือ แม้ไม่มีใครรู้เลยเราเองเป็นผู้รู้ในการกระทำตลอดเวลาและบันทึกเอาไว้เสมือนหนึ่งถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้ในจิตใต้สำนึก และพระอริยะเจ้ากล่าวเอาไว้ว่า ""เหนือศรีษะสามฟุต มีเทพเจ้าอยู่"" เพระฉะนั้นไม่ว่ากระทำการสิ่งใด เทพเจ้าย่อมรับรู้เสมอไป  อีกประการหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า กระแสจิตที่เริ่มคิดดีหรือคิดชั่วนั้นย่อมก่อให้เกิดคลื่นและแผ่รังษีออกไปเพราะฉะนั้นเราจะสังเกตุเห็นได้ว่า คนที่กำลังคิดชั่วหากเราอยู่ใกล้ก็จะรับรู้พลังนั้น
      ความคิดดีก้เช่นกันย่อมมีพลังส่งกระแสออกไป เพราะฉะนั้นผู้มีจิตสงบจึงสัมผัสได้กับความรู้สึกของผู้คนเหล่านั้น  แต่การสำรวมระวังให้""จิต"" อยู่ในทางสายกลางย่อมไม่ปรากฏ พลังดี-ชั่ว แผ่ออกมาเลยนั่นหมายถึงว่า ภาวะจิตสงบ  เพราะฉะนั้นการสำรวมระวังจิตจึงต้องกระทำทุกเวลานาที     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      มีคำพังเพยอยู้วลีหนึ่งที่เราเอามาใช้กันจนคิดว่าเป็นของไทยคือ ""อยู่คนเดียวระวังความคิด อยู่ในหมู่มิตรระวังวาจา"" ความจริงคำพังเพยนี้เป็นพระวจนะของศาสดาขงจื๊อแห่งศาสนาปราชญ์ ที่กล่าวเอาไว้ในคัมภีร์จงยง  หรือ ทางสายกลาง ซึ่งมีถ้อยคำประโยคหนึ่งที่ว่า...
                      ม่อเจี้ยน ฮู อิ่น   ม่อเสี่ยนฮูเหวย  กู้ จวิน จื่อ เซิ่น ฉี ตู๋ เหย่   แปลความหมาย ว่า ""ในที่ลับตาคนย่อมกระทำความผิดได้ง่าย แม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ฉะนั้น ผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรมจึงควรระวังจิตของตนเองในขณะที่อยู่ตามลำพง"""
   
     ขณะที่เราอยู่ตามลำพังโดยมากจิตย่อมคิดฟุ้งซ่านเพราะปราศจากการบังคับ แต่การอยู่ในหมู่คนอย่างน้อยมีเป้าหมายที่เราต้องระมัดระวังกริยาท่าทางและวาจา เพราะฉะนั้นความเป็นสมาธิของจิตย่อมเกิดขึ้น ความคิดฟุ้งซ่านย่อมไม่มี  คนที่อยู่คนเดียวจึงไม่อาจบังคับจิตให้หยุดอยู่กับที่ได้ ความคิดแล่นไปไกลจนหาขอบเขตที่หยุดมิได้
     และความคิดที่แล่นออกไปโดยปราศจากกรอบบังคับย่อมไปทั้งใน "ความดี-ความชั่ว" แต่เพราะการสั่งสม "ความชั่ว" เอาไว้มาก เพราะฉะนั้นความคิดจึงโลดแล่นไปในทางชั่วมากกว่าความดี  เมื่อปราศจาก "สติ" ยั้งคิดย่อมปล่อยปละละเลยแลเห็นความผิดเล็กน้อยเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไร แต่เมื่อก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ และสั่งสมเอาไว้ในที่สุดควมชั่วนิดเดียวก็กลาบเป็นความชั่วที่ใหญ่โตขึ้นมาได้
    "จิต" ที่โลดแล่นไปตามอายตนะทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ย่อมก่อให้เกิด""พลังอารมณ์"" ในขณะจิตคิดไปในทางที่ดีย่อมเบิกบานสราญใจ แต่ในทางตรงกันข้ามเมื่อคิดไปในทางไม่ดีย่อมเกิดความเศร้า คับแค้น อารมณ์ทั้งปวงไม่ว่าจะอยู่ทางฝั่งดีหรือชั่วล้วนเป็นเรื่องของการเสวยอารมณ์และเป็นภาวะที่พ้นไปจากทางสายกลางอย่างแท้จริง
     การระวังจิตของตนเองจึงควรมีวิธีอันถูกต้อง หาไม่แล้วจะตกอยู่ในฟากของความหลงอย่างเช่น ฤาษีทั้งหลายที่นั่งเข้าฌานสมาบัติหรือเข้าสมาธิล้วนแต่กำหราบจิตของตนเองให้อยู่นิ่งเฉย ดุจก้อนศิลาจึงหาค่าแต่ประการใดมิได้เลย
     สมัยหนึ่งท่าน ซูตงพอ กวีเอกสมัยราชวงศ์ซ้องเดินทางไปกับมหาสมณะ ฝ่าอิ้น  ซึ่งเป็นสหายธรรม   ท่านซูตงพอแลเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิม ก้มพระพักตร์นับลูกประคำอยู่ จึงถามท่านฝ่าอิ้นว่า "เหตุไฉน  พระโพธิสัตว์บรรลุธรรมแล้วยังคงภาวนานับลูกประคำอยู่เล่า"  ""อ้าว  ท่านไม่รู้หรือว่าพระโพธิสัตว์ เมื่อว่างจากการโปรดเวไนยสัตว์แล้ว พระองค์ย่อมต้องระวังจิตด้วยการสำรวมเช่นกัน"ถ้อยคำเช่นนี้ย่อมเป็นประจักษ์หลักฐานให้รู้ว่า "จิต" ไม่วา่จะเป็นของปุถุชนหรือพระอริยะบุคคลย่อมฟุ้งซ่านได้เสมอ เพียงแต่ปุถุชนมิได้สำรวมผิดแผกไปจากพระอริยะ ท่านมีวิธีแห่งสำรวมจิต
     การสำรวมระวังจิต ผิด กับการกำหราบจิต ให้อยู่นิ่งของฤาษีเป็นแน่นอน  พระอริยเจ้าสำรวมจิตให้อยู่ในทางสายกลางย่อมผ่องใสเพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงมีรอยยิ้มแห่งมหาเมตตาปรากฏอยู่เนืองนิตย์  แต่เหตุไฉน  รูปปั้นของพระศรีอริยเมตตรัยจึงไม่เพียงแต่มีรอยยิ้มแต่หัวเราะและมองตรงไปเบื้องหน้า มิเป็นการไม่สำรวมจิตหรือ  ปริศนาธรรมเช่นนี้ได้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า พระศรีอริยเมตตรัยทรงได้รับเปิดประตูศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธจิตแล้ว เพราะฉะนั้น สภาวะแห่งความเป็นกลางของจิตมีอยู่ตลอดเวลา และการที่พระศรีอริยเมตตรัยมีท้องใหญ่โตมโหฬารก็เพื่อแสดงให้รู้ว่าพระองค์เก็บได้ทั้งความทุกข์และสุขของเหล่าเวไนยสัตว์ พระองค์จึงหัวเราะได้ทุกเวลาไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับความทุกข์หรือสุข
     """เหตุใดจึงมีพระนามว่า   พระศรีอริยเมตตรัย"""   
    """ปณิธานของพระองค์ทรงเมตตาอย่างไม่มีเงื่อนไขและเมตตาสามโลก คือ มนุษย์ สวรรค์ และนรก"""
      พระศรีอริยเมตตรัยทรงต้องการให้ทั้งสามโลกนี้กลมกลืนกันลและเป็นอย่างเดียวกันนั่นคือ แดนสุขาวดี
     ผู้ที่สามารถปฏิบัติได้เช่นนี้ย่อมอยู่ในทางสายกลางโดยแท้ แต่ใครที่ได้รับได้แต่ ""ความดี"" หรือ ""ความชั่ว"" เพียงอย่างเดียวย่อมพ้นไปจากทางสายกลาง เพราะจะติดอยู่ในฝั่งใดฝั่งหนึ่ง  การปฏิบัติทางสายกลางจึงต้องกลมกลืนกับคนได้ทุกประเภทสามารถรักทุกคนได้เสมอเหมือนกัน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะแตกต่างกันด้วย ฐานะ หรือ คุณสมบัติใด ๆ ก็ตาม  แต่ถ้าแบ่งแยกอยู่นั่นหมายถึง ""จิตใจ"" ของเราพ้นไปจากทางสายกลาง
     ทางสายกลาง จึงเป็นธรรมอันสูงสุด เป็นอนุตตรธรรม และพาให้เวไนยสัตว์ทั้งปวงพ้นไปจากการเวียนว่ายอันเป็นทะเลทุกข์การระวังความคิดของตนเองจึงเป็นการกำหนดมิให้คิดฟุ้งซ่าน เพื่อมิให้""จิต"" พ้นไปจากทางสายกลางนั่นเอง

             ปริศนาธรรม

        รูปปั้นพระศรีอริยเมตตรัย  ทรงมีรอยยิ้ม หัวเราะ  มองตรงไปเบื้องหน้า   ปริศนาธรรมชี้ให้เห็นความเป็นจริงว่าพระองค์
ได้   รับเปิดประตูศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธจิตแล้ว

        รูปปั้นพระศรีอริยเมตตรัย   ทรงมีท้องใหญ่โตมโหฬาร  ปริศนาธรรมก็เพื่อแสดงให้รู้ว่า พระองค์เก็บได้ทั้งความทุกข์และสุขของเวไนยสัตว์

        เหตุใดจึงได้รับพระนามว่า พระศรีอริยเมตตรัย  ปริศนาธรรมเพราะเป็นปณิธานของพระองค์ทรงเมตตาอย่างไม่มีเงื่อนไขและเมตตาสามโลก คือ มนุษย์ สวรรค์ และนรก  พระองค์ทรงต้องการให้ทั้งสามโลกนี้กลมกลืนกันและเป็นอย่างเดียวกันคือแดนสุขวดี

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       คำพูดติดปากของคนที่ทำผิดแม้เป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็จะบอกกับตัวเองเสมอมาว่า "ไม่เป็นไร" แต่ที่น่าแปลกประหลาดมากกว่านั้น ในการกระทำผิดเยี่ยงเดียวกัน แม้เล็กน้อยก็ไม่อาจกล่าวคำว่า ""ไม่เ็ป็นไร"" หากการกระทำนั้นเป็นของผู้อื่น เรามักจะมองเห็นเป็นเรื่องคอขาดบาดตายและต้องเอาเรื่องจนถึงที่สุด
      ปุถุชนจึงใช้คำว่า ""ไม่เป็นไร""  ผิดความหมาย เพราะเป็นคำที่สมควรจะใช้กับผู้อื่นมากกว่าใช้กับตัวเอง ด้วยเหตุนี้ความทุกข์จึงเกิดขึ้นเสมอ เพราะเราไม่ยอมอภัยให้แก่ผู้อื่น แต่รีบอภัยให้แก่ตนเอง
      พระศาสดาขงจื๊อจึงกล่าวเอาไว้ว่า ""จงอภัยให้คนอื่นเยี่ยงเดียวกับอภัยให้ตนเอง  จงลงโทษตนเองเยี่ยงเดียวกับลงโทษผู้อื่น""   การที่เราอภัยให้ตนเองอย่างง่ายดายเพราะเล็งเห็นว่า กรรมที่กระทำไปนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยจึงยอมอภัยให้ด้วยความง่ายดาย เพราะไม่เห็นเป็นโทษผิดบาปแต่ประการใด  เมื่ออภัยให้ตนเองบ่อย ๆ เข้าก็กลายเป็นควมเคยชินและบาปเวรกรรมที่กระทำลงไปก็มากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นนิสัยและต่อไปกระทำกรรมชั่วหนักหนาก็เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ความเห็นผิดเช่นนี้จึงก่อกรรมชั่วได้ง่ายดายนัก แลเห็นบาปเป็นบุญไปในที่สุด
      คนที่ฆ่าสัตว์บ่อย ๆ จนเคยชินย่อมเห็นว่าไม่ผิดบาปแต่ประการใดกลับคิดว่าสัตว์เหล่านั้นเกิดมาเพื่อให้คนฆ่ากินเป็นอาหาร ในขณะเดียวกันความผิดที่ตนเองกระทำเรามักลงโทษเพียงนิดเดียวเพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กแต่ในความผิดอย่างเดียวกันถ้าผู้อื่นเป็นคนกระทำเราจะลงโทษอย่างรุนแรง
      ความประพฤติเช่นนี้เป็นเรื่องของปุถุชนผู้หลงผิด และไม่ได้ปฏิบัติธรรม แต่คนที่ปรารถนาความสุขพ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวง สมควรที่จะลงโทษตนเองเยี่ยงเดียวกับที่ลงโทษคนอื่น แต่กลับลงโทษคนอื่นเยี่ยงเดียวที่อยากลงโทษตัวเอง
     ผู้ที่มีจิตใจเยี่ยงฟ้าดินนี้ย่อมอยู่ในหนทางสายกลาง เพราะความเคร่งครัดต่อตนเองแต่ผ่อนปรนผู้อื่นนั้นเป็นอานุภาพของ"ความเมตตา"โดยแท้จริง การลงโทษตนเองย่อมเมตตาต่อตนเองมิให้กระทำผิดอีกต่อไป เมื่อเมตตาต่อตนเองเช่นนี้ ความเมตตาย่อมเผื่อแผ่ไปถึงผู้อื่นโดยไม่ต้องสงสัย ความเมตตาที่ไม่หวังผลตอบแทนเป็นเมตตาแท้เฉกเช่นเดียวกับความเมตตาที่แม่มีต่อบุตรของตนเอง  คำว่า ""ไม่เป็นไร"" จึงสมควรที่จะพูดกับผู้อื่นที่กระทำความผิดต่อเรา แต่ถ้าใช้กับตัวเองเมื่อไรก็จงรับรู้ว่ากำลังเดินเข้าสู่หนทางหลงผิดอย่างแท้จริงเพราะจิตใจย่อมขาดความระมัดระวังหรืออาการสำรวมโดยแท้
    ในสมัยหนึ่งพระพุทธองค์ตรัสชาดกเรื่องนกกระทาเพื่อเป้นอุทธาหรณ์แก่ภิกษุหมู่หนึ่งในกรุงโกสัมพี "อดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตครองสมบัติในกรุงพาราณสี มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดในตระกูลพราหมณ์แต่กลับไม่ยินดีในสมบัติของบิดาได้ออกไปบำเพ็ญเพียรเป็นฤาษี และเพลิดเพลินอยู่แต่ในฌานสมาบัติในป่าหิมพานต์ ฤาษีเข้าไปยังหมู่บ้านชายแดน ผู้คนในหมู่บ้านเลื่อมใสศรัทธาจึงปลูกบรรณศาลาให้ฤาษีพำนักและอยู่บำรุงด้วยปัจจัยอาหารอยู่ทุกวัน  ในหมู่บ้านนั้นมีพรานนกคนหนึ่งอาศัยอยู่ เขาจับนกกระทามาตัวหนึ่งขังกรงไว้และฝึกสอนให้ร้องเพื่อเป้น "นกต่อ" ซึ่งทำให้นายพรานสามารถจับนกได้มากมายด้วยวิธีการเช่นนี้เอง แต่นกกระทากลับคิดว่า "พวกญาติของเราต้องบรรลัยไปเพราะเสียงของเรานี่เอง เราช่างมีบาปมากมายเสียเหลือประมาณ" เมื่อนกกระทาคิดได้ดังนี้จึงหุบปากไม่ยอมส่งเสียงเป็นนกต่ออีกต่อไป ทำให้นายพรานเดือดดาลนักจึงไปเอาแขนงไม้ไผ่มาตีหัวนกอย่างรุนแรงจะหยุดก็ต่อเมื่อนกกระทายอมร้อง นกกระทาต้องร้องด้วยความเจ็บปวดอาดูรนัก นกกระทาทั้งหลายจึงบินมาติดกับนายพรานได้เลี้ยงชีพต่อไป นกกระทาจึงคิดว่า "เราไม่มีเจตนาร้ายแต่เพราะเราถูกบังคับ ไม่รู้ว่าบาปเวรกรรมนี้จะตกต้องตกถึงเราหรือไม่หนอ และใครเล่าจักตอบปัญหานี้แก่เราได้" วันหนึ่งนายพรานจับนกกระทาได้เป็นจำนวนมาก ในขณะเดินทางกลับเกิดอาการหิวกระหายน้ำ นั่งพักแล้วเผลอหลับไป นกกระทาจึงห่อปีกคารวะฤาษีแล้วถามปัญหาขึ้นว่า "ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเป็น "นกต่อ"และถูกบังคับให้เป็นสื่อแห่งความตายแก่ญา๖ิพี่น้องเช่นนี้จักมีบาปกรรมเช่นไรพระคุณเจ้า"  ""ถ้าใจ ของเจ้าไม่มีเจตนาในการทำบาปแล้ว ใจย่อมไม่แปดเปื้อนต่อบาปนั้น แต่วิบากทางกายและวาจายังจะต้องชดใช้อยู่"" ชาดกนี้ชี้ให้เห็นสัจธรรมว่า เรื่องเล็กน้อยย่อมไม่สามารถบำบัดได้ด้วยคำว่า ""ไม่เป็นไร""

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ในที่ลับตาคนมักง่ายต่อการกระทำบาปเวรกรรมเพราะจิตของคนธรรมดาย่อมคิดว่าไม่มีใครรู้เห้นเป็นพยานและโฆษนาบาปกรรมของตนเอง  หารู้ไม่ว่า การกระทำทั้งปวงมีผู้รู้เห็นจดจำเอาไว้อย่างไม่ลืมเลือนคือ ""ตัวเราเอง"" และการสั่งสมเอาไว้ในจิตใต้สำนึก สักวันหนึ่งย่อมสำแดงออกมาโดยไม่รู้ตัว
       ท่านขงจื๊อ จึงกล่าวเอาไว้ว่า""สิ่งใดก็ตามที่อยู่ในที่เร้นลับเท่าไร ก้ยิ่งค้นหาได้ง่ายเท่านั้น สิ่งใดยิ่งละเอียดก็ยิ่งประจักษ์ได้ง่าย"" เพราะการซ่อนตัวอยู่ในที่เร้นลับย่อมจูงใจให้ผู้คนยิ่งระดมค้นหาเพราะฉะนั้นจึงค้นหาได้ง่ายนัก ตัวอย่างเช่น โจรคนหนึ่งหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากเข้าไปในที่เร้นลับย่อมเป็นเป้าสายตาคนแต่ถ้าเขาซ่อนตัวอยู่ในที่เปิดเผยเช่นในกรุงเทพฯ ซึ่งมีแต่คนแปลกหน้า ตำรวจย่อมค้นหาได้ยากเย็นนัก แต่ในชนบทความแปลกหน้ามิใช่ธรรมดาย่อมเป้นที่สนใจ
      ถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับกำแพงสูงใหญ่ สีขาว แต่มีสีดำเพียงจุดเล็กนิดเดียว  เวลาผู้คนยืนมองกำแพงนี้จะพบจุดดำนิดเดียวนั้นก่อนอื่น การกระทำของมนูษย์ก็เช่นเดียวกัน ความผิดบาปนิดเดียวย่อมอยู่ในความสนใจของคนทั่วไปเพราะจิตที่มีความชั่วนั้นตกอยู่ในสถาวะมืด ระหว่างสีดำกับสีขาวคนย่อมมองเห็นสีดำได้เร็วกว่า
     และเพราะเหตุใดผู้คนชอบเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นเล่า เพราะการเวียนว่ายของมนุษย์ต่างได้สร้างบาปกรรมเอาไว้ในจิตใต้สำนึกเอาไว้มากมายจนกลายเป็นพลังที่สามารถสื่อถึงสิ่งที่ไม่ดีได้เร็วและง่ายกว่าสิ่งดี การกระทำที่ไม่ดีย่อมเป็นไปตามกระแสความดึงดูดของโลกเพราะฉะนั้นจึงกระทำได้อย่างรวดเร็ว  แต่การกระทำความดีย่อมเป็นสิ่งที่ยากลำบากเพราะเป็นการฝึกกระแสของโลก และความชั่วที่แฝงไว้ในจิตใจของตนเอง คนจึงมองไม่เห็นความดีของคนอื่นได้ง่าย ๆ เพราะความดีเปรียบเสมือนหนึ่งเป็นพลังบวก เบา และว่างเปล่า ยิ่งเป็นคนดีแท้ปราษจากรูปลักษณ์แล้วยิ่งหาคนเห็นได้ยากนัก ดังนั้นผู้คนที่ยังต้องการคำสรรเสริญจึงพยายามโฆษนาความดีของตนเอง
      การกระทำ ""ความดี"" และ ""ความชั่ว"" ที่ยังติดอยู่ในรูปลักษณ์ย่อมกลายเป็นสิ่งที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานหรือจิตใต้สำนึกนั่นเอง เพราะฉะนั้นภาวะจิตที่เอนเอียงไปข้างหนึ่งข้างใดจึงเป้นเรื่องที่พ้นไปจาก ""ทางสายกลาง"" พลานุภาพแห่งการกระทำนั้นจึงมิได้แปล่งประกายออกมาตามธรรมญาณของตนเอง
     ปุถุชนทำความดีต้องการเสียงสรรเสริญเยินยอ เมื่อไม่ได้ตามที่ตนเองปรารถนาจึงเกิดความทุกข์และท้อถอยต่อการกระทำความดีนั้น แต่ผู้ที่มีสภาวะจิตอยู่ในหนทางสายกลาง ย่อมกระทำไปตามหน้าที่แห่งธรรมญาณเพราะไม่ยึดติดในรูปลักษณ์และผลประโยชน์ตอบแทนทั้งปวง
     การกระทำความดีของบุคคลที่สภาวะจิตอยู่ในทางสายกลางจึงกระทำได้ต่อเนื่องและยาวนาน ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมิได้หวังผลแต่ประการใด มีความต้องการเพียงสถานเดียวเท่านั้นคือ ความสุขของผู้อื่น แม้ตนเองจักทุกข์ยากอย่างไรก็ไม่เคยต้ดพ้อต่อว่าและน้อยใจ เมื่อกระทำแล้วจึงปล่อยวางทั้งการกระทำและผลแห่งการกระทำบุคคลเหล่านี้จึงไม่ต้องทุกข์ แม้ผลแห่งการทำความดีจะได้รับผลตอบแทนในทางร้ายก็ตามที
     แต่ปุถุชนที่ยังติดยึดอยู่ในความดีและความชั่วจึงห่วงใยกังวลว่า กระทำความดีแล้วไม่ได้รับผลตอบแทน และยิ่งได้รับสิ่งเลวร้ายสนองตอบยิ่งทุกข์หนักยิ่งขึ้นและกลายเป็นคนเคียดแค้นชิงชังไป คนที่กระทำความดีติดอยู่ในความดีย่อมได้รับผลเพียงจำกัดไว้แค่จิตใจที่ต้องการเท่านั้น แต่คนที่กระทำความดีแล้วปล่อยวาง อานุภาพแห่งความดีย่อมแผ่กว้างไพศาลและผลที่ได้รับย่องยิ่งใหญ่สุดประมาณ ""เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้""  ""จิตใจแห่งทางสายกลางย่อมว่างเปล่าสามารถบรรจุทุกสิ่งอย่างได้ไม่จำกัดจำนวนไงล่ะ"" เพราะฉะนั้นที่พระพุทธองค์มีพระวจนะว่า ""ยิ่งอยากได้สิ่งใด ย่อมไม่ได้สิ่งนั้น"" ข้อความนี้เป็นความจริงแท้เพราะยิ่งแสวงหายิ่งไม่ได้เพราะใจที่มีแต่ความละโมบย่อมทำให้เกิดความคับแค้นไม่อาจบรรจุสิ่งใดได้เลย ""คนทำความดีโดยหวังผลจึงมักไม่ได้รับผลดี"" แต่ทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทนในตัวความดีนั้นมีคุณค่าสามารถบรรจุลงไว้ในธรรมญาณของตนได้โดยไม่มีขีดจำกัด แม้กระทำความดีในที่ลับตาของใครก็ตาม ความดีนั้นย่อมไม่รับไปจาก ธรรมญาณ โดยแท้เพราะมันเป็นต้นกำเนิดแห่งความดีที่แท้จริงนั่นแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรมด้วยวิธีการนั่งสมาธิมักมีความเข้าใจผิดคิดว่า อาการของจิตที่สงบนิ่งนั้นเป็นหนทางสายกลางอันแท้จริงคงามสงบนิ่งแบบสมาธิเป็นการกำหนดหมายบังคับให้สงบนิ่ง มิได้เป็นไปตามธรรมชาติแท้ของธรรมญาณ เพราะฉะนั้นการบังคับจิตด้วยการสะกดจิตก็ดี ด้วยเล่ห์เพทุบายร้อยแปดวิธีที่จะทำให้จิตสงบจึงล้วนเป็นหนทางแห่งการหลง "ด้วยหลงผิดคิดว่าจิตสงบนิ่ง"ความนิ่งในลักษณ์เช่นนี้จึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่ประการใด ฤาษีทั้งปวงจึงสูญเสียทั้งชีวิตและเวลาเพื่อสงบนิ่งและไม่พบหนทางสายกลางอันแท้จริง จึงไม่พ้นไปจากสภาวะแห่งการเวียนว่ายของจิต
       ศาสดาขงจื๊อได้กล่าวเอาไว้ในคัมภีร์แห่งทางสายกลางว่า  สี่ นู่ ไอ เล่อ จือเว่ย ฟา   เว่ย จือ จง    แปลเป็นไทยได้ใจความว่า ""เมื่อจิตสงบนิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน  ไม่มีอารมณ์ใดมากระทบ สภาวะเช่นนี้จึงเรียกว่า ทางสายกลาง""
     ทางสายกลางเช่นนี้ย่อมมีภาวะที่สามารถเปล่งอานุภาพออกมาได้อย่างเต็มกำลังแห่งธรรมญาณ อันเป็นอานุภาพแห่งปัญญาญาณอันแท้จริงที่มองทะลุไปในหมื่นโลกธาตุได้และทำให้พ้นสภาวะไปจากการเวียนว่ายแม้ภายในจิตของตนเอง  แต่อาการสงบนิ่งแบบสมาธิของฤาษีนั้น แม้มีอิทธิฤทธิ์ ก็เป็นไปในทางหลง เพราะกลายเป็นอารมณ์แห่งความยินดีที่จักสำแดงฤทธิ์ด้วยอานุภาพของจิต มิใช่อานุภาพของธรรมญาณ
      ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ พระเทวทัตผู้บำเพ็ญสำเร็จโลกียฤทธิ์  แม้สำแดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้ แต่ไม่อาจข่มอารมณ์แห่งความมักใหญ่ใฝ่สูง ละโมบอยากเป็นพระศาสดาเสียเอง จึงก่อมหันตกรรมให้แก่ตนเองจนต้องจมอยู่ในอเวจีเป็นแสนกัปน์
      เมื่อมีความสงบนิ่งดั่งฟ้าดิน นั่นหมายความว่าอาการแห่งจิตมิได้เกิดขึ้นอีกแต่เป็นความสงบนิ่งตามธรรมชาติของธรรมญาณ ฟ้าดินมีความเที่ยงตรงทำหน้าที่โดยสม่ำเสมอ มิได้ผิดเพี้ยนใด ๆ เลย เพราะฉะนั้น ความเป็นไปของสรรพชีวิตในโลกนี้จึงเป็นไปด้วยความสงบสุข แต่จิตมนุษย์หาความเที่ยงตรงสม่ำเสมอยากนัก เพราะจักแปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ที่ผ่านจากอายตนะหกมากระทบและเคลื่อนไหวไปตามกระแสของอารมณ์ แม้การสงบนิ่งด้วยการกำหนดหมายก็เป็นอารมณ์ชนิดหนึ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า"ไม่สุข ไม่ทุกข์"" อารมณ์เช่นนี้ย่อมพาให้มืดบอดทางปัญญา เพราะมิได้ใช้อานุภาพแห่งปัญญาญาณของตนเองได้เลย เมื่อมีอารมณ์หลงผิดครอบงำบรรดาผู้มีฤทธิ์ด้วฌานสมาบัติจึงสำแดงฤทธิ์ไปในทางทำลายเพื่อสนองอารมณ์แห่งตนสถานเดียว
      ความไม่ทุกข์ไม่สุข ดูเหมือนเป็นอารมณ์แห่งการสงบนิ่งที่ปราศจากความเคลื่อนไหว เพราะเหตุนี้จึงไม่อาจทำการงานที่เป็นประโยชน์ต่อใครได้ แม้แต่ตนเองก็ไม่สามารถช่วยได้ แต่ความสงบนิ่งดั่งฟ้าดินเป็นความเคลื่อนไหวที่ปราศจากแรงผลักดันของอารมณ์ใด ๆ เพราะฉะนั้นจึงกระทำไปตามหน้าที่อันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
     พระพุทธองค์อยู่ในทางสายกลางตลอดเวลาแห่งลมหายใจเข้าออก เพราะฉะนั้นอารมณ์ใด ๆ เข้ามาแผ้วพาล พระองค์ก็มิได้ไหวไปตามอารมณ์นั้น แต่ทรงใช้พุทธิปัญญาอันสูงส่งฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งปวงได้ สมัยหนึ่งเมื่อพวกเดียรถีร์ให้นางจิญจมาณวิกาใส่ร้ายพระพุทธองค์ด้วยวิธีการอันแยบยลดังนี้ """ตอนเช้า บรรดาผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเดินทางไปเฝ้า ณ วัดพระเชตวัน นางจิญจมาณวิกาก็ทำทีเดินกลับบ้าน ตรั้นตกเย็น บรรดาพุทธศาสนิกชนเดินทางกลับบ้าน นางจิญจมาณวิกาก็เดินทางสวนกลับเข้าไปในวัดพระเชตวัน กระทำเช่นนี้ติดต่อกันหลายสัปดาห์และเป็นที่น่าสังเกตุว่า ท้องของนางก็โตขึ้นทุกวัน เมื่อมีคนถามไถ่นางก็ตอบว่าไปหาพระพุทธองค์ ครั้นท้องโตเต็มที่แล้ว วันหนึ่งท่ามกลางพุทธศาสนิกชนที่กำลังฟังเทศนาของพระพุทธเจ้า นางจิญจมาณวิกาก็ลุกขึ้นสำแดงวาจาอันหยาบหยามพระพุทธองค์ว่าดีแต่เทศนาสั่งสอนคนทั้งหลาย ทารกในครรภ์ของนางไม่รับผิดชอบหรือไร ท่ามกลางพุทธบริษัทพระพุทธองค์มิได้หวั่นไหวเพียงแต่ตรัสว่า""เรื่องของน้องหญิงมีแต่เรากับน้องหญิงเท่านั้นที่รู้ความเป็นจริง"" นางจิญจมาณวิกาจึงสำแดงอาการโมโหโกรธาเต้นเร่า ๆ จนกระทั่งไม้ที่ผูกเอาไว้ที่ท้องเกิดหลุดออกมาเรื่องจึงแดงและถูกประชาทัณฑ์จมดินตรงนั้นเอง"""
       เมื่อพระพุทธองค์ทรงดำรงอยู่ในธรรมญาณเพราะฉะนั้นเมื่อมีอารมณ์ใดมากระทบพระองค์จึงมิได้ตอบโต้แก้ข้อกล่าวหาใด ๆ เลยดุจดังเช่นฟ้าดิน แม้มนุษย์แหงนหน้าขึ้นด่าฟ้า ฟ้าก็ไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบโต้ใด ๆ เลยและนั่นเป็นอานุภาพแห่งความสงบนิ่งอันแท้จริง

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”