collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: คัมภีร์ทางสายกลาง ปฐมบท (จง -- อยง ) เที่ยงตรง -- สัจธรรม  (อ่าน 32365 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      ความเมตตาของปุถุชนมิได้เกิดจาก " ธรรมญาณ " หรือ " ความเป็นกลาง "  ย่อมมีเงื่อนไข กาลเวลา ชนชั้น และต้องการค่าตอบแทน เพราะเหตุนี้คำกล่าวที่ยีนยันความจริงข้อนี้จึงมีอยู่ว่า "" ยามรักน้ำต้มผักยังว่าหวาน ยามชังแม้น้ำตาลยังว่าขม ""
      เมตตาของปุถุชนจึงเป็นสิ่งจอมปลอม เมื่อสิ้นเหตุปัจจัย ย่อมหมด " เมตตา " ได้ง่าย ๆ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่าปุถุชนไร้เมตตา มีแต่ " ความเห็นแก่ตัว " จึงก่อทุกข์สถานเดียว  เมตตา เช่นนี้จึงไม่อาจค้ำจุนโลก มีแต่ทำลายโลกและทำลายตนเอง ปุถุชนจึงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามปากพูดอย่างหนึ่ง แต่กระทำอีกอย่างหนึ่ง อย่างกรณีการทำบุญตักบาตร ปากพร่ำบ่นว่า "" สัพเพสัตตาสัตว์ทั้งหลายอันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงอย่าได้มีเวรแก่กันและกัน จงอย่ามีความอาฆาตพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงเป็นสุข ๆ เถิด ""
     แต่อาหารที่ใส่ลงไปในบาตรนั้นล้วนเป็นชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เขาจึงทำตรงกันข้ามกับปากที่พูด หากจะพูดตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ก็ต้องกล่าวว่า  "" สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายอันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงได้มีเวรแก่กันและกัน จงมีความอาฆาตพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงเป็นทุกข์ ๆ เถิด "" ดังนั้นการทำบุญของปุถุชนจึงมีบาปปนเปไปด้วย
     ถ้าพิจารณา " เมตตา " อันเป็นทางสายกลางของพระอริยเจ้าทั้งสามพระองค์ ประกอบไปด้วย พระพุทธเจ้า  ท่านเหลาจื้อ ท่านขงจื้อ  จะเห็นความเป็นจริงว่า เป็นเมตตาที่ตรงต่อ " ทางสายกลาง " ชัดเจนที่สุด ทั้งสามศาสนามีคำพูดอย่างเดียวกันเพียงแต่ภาษาต่างกันเท่านั้นเอง   ท่านเหลาจื้อ   ให้บำเพ็ญ      ธาตุไม้   มู่
                                  ท่านขงจื้อ      ให้บำเพ็ญ      เมตตา   เหยิน
                                  พระพุทธเจ้า   ให้รักษาศีล     ปาณาติปาตา เว้นจากการเบียดเบียนชีวิตสัตว์
     ธาตุไม้ในตัวคน เมตตา ล้วนเป็นสิ่งที่สงบเยือกเย็น เป้นผู้ให้โดยปราศจากข้อผูกมัดใด ๆ ทั้งสิ้น
                       
                             เมตตาที่แท้จริง จึงประกอบไปด้วยลักษณะ 4 ประการ
1.  ไม่มีเงื่อนไขผูกมัดใด ๆ จะเป็นญาติ หรือคนที่รัก หรือชัง ล้วนได้รับความเมตตา
2.   ไม่มีเวลาจำกัดไม่ว่าจะตายไปแล้วหรือล่วงไปนานเท่าใดก็บังเมตตา
3.   ไม่ต้องการค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น แม้เมตตาแล้วจะได้รับผลเลวร้ายก็ยังคงเมตตา
4.   ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะสูงส่งต่ำต้อย ยากไร้อย่างไร ก็ได้รับความเมตตาเท่าเทียมกัน
     ความเมตตาเช่นนี้จึงมีค่า " ค้ำจุนโลก "  ได้หรือมิได้ทำลายสรรพชีวิตใด ๆ เลย มีแต่ทำให้ชีวิตทั้งปวงเจริญงอกงามขึ้นมาดั่งฟ้าดินที่ให้ทุกสิ่งอย่างแก่ชีวิตโดยไม่ต้องการผลตอบแทนและเงื่อนไขใด ๆ ทุกชีวิตต่างได้รับ อากาศ น้ำ ยืนอยู่บนแผ่นดินเท่าเทียมกัน  ความเมตตาธรรมเช่นนี้จึงทำให้ชีวิตมีความสุขอันแท้จริง เพราะฉะนั้นถ้ามนุษย์เรียนรู้เมตตาเช่นนี้จึงก่อให้เกิด สันติสุขแก่ตนเองและชาวโลกทั้งปวง แต่ถ้าประพฤติผิดต่อหลักสัจธรรมของเมตตา ย่อมส่งผลร้ายต่อร่างกายเพราะคนที่ไร้เมตตามักจะเป็นผู้ที่มีโทสะจริตครอบงำ โมโหโกรธามาก ๆ ย่อมกระทบกระเทือนต่ออวัยวะสำคัญของร่างกาย คือ " ตับ " ถ้าตับเสีย ย่อมมีผลต่อการกรองของเสียจากอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย
     ผู้บำเพ็ญ " เมตตา " อย่างแท้จริงและตรงต่อทางสายกลางจึงเป็นการกำจัด " โทสะ " ได้และย่อมมีผลต่อร่างกายของผู้นั้นเอง หน้าตาจึงผ่องใสยิ้มแย้ม  ผู้ทีเมตตาธรรม อันตรงต่อสัจธรรมจึงไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เพราะถือเป็นการเบียดเบียนชีวิต พืชผักสีเขียวจึงเป็นคุณต่อตับ  "" ยกเว้นเพียง กุ้ยฉ่าย เท่านั้นที่เป็นพิษต่อตับ ""
     และเพื่อ "" รักษา ตับ """ มิให้กระทบกระเทือนรสชาดของอาหารจึงหลีกเลี่ยง " รสเปรี้ยวจัด "  การดำรงเช่นนี้จึงเป็นทางสายกลางอันนแท้จริง เมื่อทั้ง " กาย " และ " จิต " อยู่ในทางสายกลาง ความเมตตาจึงมีพลานุภาพต่อสรรพชีวิต
     ความหมาย " แห่ง เมตตา " จึงทนมิได้กับความทุกข์ยากของผู้อื่น  "" ความกรุณา "" จึงใคร่แบ่งปันความสุขของตนเองเพื่อให้คนอื่นมีความสุขเยี่ยงเดียวกัน  ครั้งหนึ่งผู้เขียนควรชวนเพื่อนคนหนึ่งให้เข้าปฏิบีติธรรม แต่เขากลับตอบว่า "" อ้าว ก็ทางสายกลางซีครับ "" ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า จิตใจของคุณเป็นเช่น ฟ้า ดิน น้ำ อากาศ อย่างนั้นละซี  "" ไม่ใช่ อยากกินก็กิน อยากเที่ยวก็เที่ยว ไม่เบียดเบียนให้ใครเดือดร้อนเป็นใช้ได้ ""  แล้วนี่เบียดเบียนตัวเองล่ะ ใช้ได้หรือไม่
      การสนทนานั้นจบลงตรงที่ฝ่ายเพื่อนนั่งนิ่งเงียบ เพราะเขาคงได้คิดว่า เมตตาธรรมมิได้หมายความว่า เมตตาต่อผู้อื่นแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แท้ที่จริงยังต้องเมตตาต่อตนเองด้วย
      " ไม่สร้างกรรมให้ชีวิตจริงของตนเองต้องตกต่ำลงสู่ห้วงเหวแห่งนรกนั่นเอง " ถ้าธรรมญาณตกต่ำออกทางหู ย่อมไปเกิดเป็นตังมิ้ง ออกทางปากย่อมไปเป็นปลาวาฬ เพื่อบำเพ็ญ "" เมตตา "" ให้สมบูรณ์นั่นแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       พ่อทำงานแสนเหน็ดเหนื่อยกลับมาถึงบ้านควรได้รับการพักผ่อน แต่กลับมาต้องเสียอารมณ์เพราะลูกชายสองคนกำลังเถียงกันพ่อได้ยินน้องชายเถียงพี่ชายด้วยท่าทีเอ็ดอึงและขาดความเคารพจึงตรงเข้าไปตบหน้าน้องชายหนึ่งที ลูกชายวิ่งหนีเข้าไปในครัว พ่อยังคงมีโทสะครอบงำจึงตามเข้าไปตบซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
      แต่คราวนี้โทสะจริตครอบงำ ลูกชายจึงคว้ามีดบางในครัวเสียบเข้าที่ลิ้นปี่ของพ่อเลือดไหลนองล้มลงขาดใจตายอยู่ในครัวนั่นเอง เมื่อสติคืนกลับมา ลูกชายถือมึดเดินขึ้นโรงพักและร่ำร้องบอกว่า "" ประหารชีวิตผมเถอะ ประหารชีวิตผมเถอะ "" มโนธรรมสำนึกอันมีอยู่แล้วใน " ธรรมญาณ " ได้สำแดงอานุภาพออกมาเพราะรู้อยู่ว่าการสังหารพ่อนั้นเป็นลูกอกตัญญูโดยแท้ จึงพร้อมที่จะรับโทษทันฑ์ที่ตนเองก่อขึ้น
      ปัญหาของปุถุชนจึงอยู่ที่ว่า ทำอย่างไร ให้มโนธรรมสำนึก มีอานุภาพก่อนที่โทสะสำแดงตนออกมาก่อน แต่เพราะความเคยชินและพ้นไปจาก " หนทางสายกลาง " จึงไม่อาจใช้มโนธรรมได้ทันที
      ท่าเหลาจื๊อ  จึงให้บำเพ็ญธาตุทอง       ซึ่งภาษาจีนเรียกว่า  จิน
      ท่านขงจื๊อ   จึงให้บำเพ็ญมโนธรรมสำนึก ซึ่งภาษาจีนเรียกว่า อี้
      พระพุทธองค์ทรงให้เจริญศีล อทินนาทานา  ซึ่งหมายถึง ไม่เอาของผู้อื่น
      มโนธรรมสำนึกนี้ตรงต่ออวัยวะภายในตัวเรา คือ ปอด
      ความหมายแห่งคำสอนของพระศาสดาทั้งสาม แม้แตกต่างกันด้วยภาษา แต่ความเป็นจริงแห่งวิถีปฏิบัติแล้วเป็นเช่นเดียวกันการบำรุงเลี้ยงรักษาธาตุทองในตนเองย่อมทำให้สามารถผนึกลมปราณให้เป็นเอกภาพได้ และการควบคุมลมปราณจำเป็นอยู่เองที่ต้องอาศัยปอดที่แข็งแรง
     ธาตุทอง มีความหมาย เป็นความแข็งแกร่งและพลานุภาพ สามารถตอบแทนต่อสรรพสิ่งที่เป็นคุณแก่ตนเองได้  การไม่เอาของผู้อื่นมาเป็นของเราย่อมต้องอาศัยมโนธรรมสำนึก รู้ถึงความเดือดร้อนที่ผู้อื่นพึงได้รับ หากตนเองเห็นแก่ตัวหยิบฉวยของผู้อื่นมาเป็นของตน เป็นการขจัดความเห็นแก่ตัวโดยแท้จริง จึงเป็นผู้เสียสละเพื่อคนอื่นได้
    ศีลข้อสอง อทินนาทานา ที่พระพุทธองค์ทรงเตือน ให้สาธุชนทั้งหลายให้ระลึกถึงคุณงามความดีของตนเองนั้น มิได้มีความหมายคับแคบอยู่แต่การที่ " ลักขโมย " เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการเก็บของผู้อื่นได้ ยังต้องคืนเจ้าของ
    มโนธรรมสำนึกนั้น มีความรู้สึกอยากตอบแทนผู้มีพระคุณ ดังนั้นการที่มนุษย์มีความรู้สึกกตัญญูต่อพ่อแม่ก็เพราะ อานุภาพแห่งมโนธรรมสำนึกนี่เอง
    ท่านศาสดาขงจื๊อ จึงสอนให้รู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่เป็นอันดับแรก หากใครก็ตามที่ขาดความรู้สึกเช่นนี้ถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติผิดต่อสัจธรรมของฟ้าดิน และโทษที่เขาได้รับนั้นย่อมไปเกิดเป็นสุนัขเพื่อให้บำเพ็ญกตัญญูรู้คุณ ในโลกนี้จึงได้เห็นคุณงามความดีของสุนัขที่รู้จักตอบแทนคุณเจ้าของ แม้จะได้รับการตอบสนองด้วยความโหดร้ายตบตีอย่างไร สุนัขก็ยังคงไม่หนีหายไปไหน ยังคงติดตามรับใช้ด้วยความจงรักภัคดีและกตัญญูยิ่ง
    ที่ญี่ปุ่นมีสุนัขตัวหนึ่ง ทุกเช้าจะเดินมาส่งเจ้านายที่สถานีรถไฟ ตกเย็นก็มารับที่สถานีรถไฟทุกวัน สุนัขตัวนี้ประพฤติเช่นนี้เป็นแรมปีและหลายปี แต่เย็นวันหนึ่งมารอรับเจ้านาย ผู้คนลงจากรถไฟหมดแล้วแต่ไม่เห็นเจ้านายเลย มันเดินคอตกกลับบ้าน
    สุนัขตัวนี้ประพฤติเช่นนี้เป็นระยะเวลานานเป็นปี จนมีผู้สังเกตุเห็นจึงไปแจ้งกับตำรวจสะกดรอยตามจนไปถึงที่พัก ปรากฏว่าบ้านรกรุงรังเก่าคร่ำคร่าและเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า เจ้านายของหมาตัวนี้ได้ไปสิ้นชีวิตที่เมืองตนเองทำงานอยู่ สุนัขตัวนี้จึงมีชื่อเสียงเลื่องลือในฐานะที่มีมโนธรรมกตัญญูยิ่ง
    การบำเพ็ญมโนธรรมสำนึกนี้ที่เป็นไปตามทางสายกลางจะเห็นได้ว่า การสำนึกรู้ในบุญคุณย่อมพ้นไปจากการเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง ผู้มีมโนธรรมสำนึกย่อมระลึกถึงสรรพสิ่งที่เป็นคุณแก่ตนเองและด้วยระยะเวลาอันยาวนานตราบจนหมดลมหายใจ
    การบำเพ็ญมโนธรรมสำนึกเกี่ยวพันกับกายสังขารคือปอด ความคิดฟุ้งซ่านย่อมทำให้ปอดใช้พลังงานมากและเสียหายได้ พืชที่เป็นใบยาสูบ เป็นพิษต่อปอดคนที่สูบบุหรี่จึงคิดมากจึงทำลายอานุภาพของปอดและในที่สุดก็เจ็บป่วยสิ้นพลัง
    รสชาติของอาหารที่เป็นอันตรายต่อปอด คือ รสเผ็ด
    ถ้าพิจารณาจากวงจรของธรรมชาติจะเห็น "" มโนธรรม "" ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดวงอาทิตย์แผดเผาน้ำระเหยกลายขึ้นไปเป็นไอน้ำจับกันหนาแน่น จึงกลายเป็น เมฆ  ครั้นเมฆลอยต่ำกระทบความเย็นจึงกลั่นเป็นน้ำฝน
    น้ำฝนตกลงสู่แผ่นดินเกิดความชุ่มชื้น พืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญงอกงาม ทำให้น้ำท่าอุดมสมบูรณ์จนระเหยกลายเป็นไอน้ำขึ้นไป ต่างตอบแทนกันเช่นนี้ จึงเป็นมโนธรรมสำนึกอันแท้จริงตรงตาม "" ทางสายกลาง ""

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      อริสโตเติล   ปรัชญาเมธีของกรีก กล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า " มนุษย์เป็นสัตว์สังคม "  นั่นหมายความว่า มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เหล่า คำกล่าวนี้นับเป็นระยะเวลาสองพันปี 
     และในช่วงก่อนหน้านั้น ปราขญ์ของจีน พระศาสดาขงจื๊อ ได้สอนมนุษย์เอาไว้แล้วว่า หากต้องการให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขทุกคนต้องปฏิบัติ "" จริยธรรม ""  ซึ่งอ่านออกเสียงเป็นภาษาจีนว่า " หลี่ " อันหมายถึง จริยธรรม ซึ่งครอบคลุมความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสามระดับ คือ  1. กษัตริย์กับขุนนาง
                  2. บิดากับบุตร
                  3. สามีกับภริยา
     ความสันติสุขของสังคมจักเกิดขึ้นได้หากบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทั้งสามระดับนี้มี จริยธรรม  และจริยธรรมที่ตรงต่อความเป็น"" กลาง "" ประหนึ่ง ฟ้า - ดิน แล้วไซร้ย่อมมีความร่มเย็นสงบสันติแต่เพียงสถานเดียว
     ถ้าจะเปรียบเทียบกับคำสอนของท่านเหลาจื๊อ ซึ่งเป็นปราชญ์โบราณ ท่านสอนให้สำรวมธาตุไฟในตัวตน  โลกนี้อยู่ได้เพราะมีดวงอาทิตย์ให้ความร้อนและต้องพอดี จึงจะเกิดประโยชน์ ภายในกายของคนก็มีธาตุไฟ หากควบคุมให้อยู่ในความพอดีย่อมทำให้พลังการขับเคลื่อนภายในเป็นเสมือนหนึ่งพลังงานมีความอบอุ่น ถ้าหากควบคุมมิได้เกิดมากเกินไปย่อมเป็นไข้ หรือน้อยเกินไปย่อมหนาวสั่น ความพอดีนั้นเป็นกลาง
     เมื่อเทียบกับคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว ข้อจริยธรรมนี้ได้แก่ ศีลกาเมสุมิจฉา  โดยแท้ หากไม่ควบคุมกามตัณหาย่อมก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจของผู้นั้น ใครที่ล่วงละเมิด ความเป็นกลางของจริยธรรม ในข้อนี้ย่อมเสียหายไปถึงหัวใจเพราะเป็นเสมือนหนึ่งไฟเผาผลาญดวงใจให้เร่าร้อน มีตัณหาย่อมก่อให้เกิด ความดีใจ และ เสียใจ เสมอ
    จริยธรรม นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันเป็น "สังคม" เพราะ " กามคุณ " ทำลายทุกสิ่งอย่างของมนุษย์ได้รวดเร็วนัก
    ในสมัยหนึ่งพระพุทธองค์เกิดกายบำเพ็ญเป็น ฤาษี อยู่ในป่าหิมพานต์ จนสำเร็จโลกียฤทธิ์ หูทิพย์ ตาทิพย์ เหาะได้ ปรารถนาจะลงมาจากป่าหิมพานต์ เพื่อโปรดสัตว์ในกรุงพารารณสี  ชาวเมืองพาราณสีรวมทั้งพระราชาต่างพากันเลื่อมใสในจริยวัตรของฤาษีตนนี้ จนพระราชานิมนต์ให้จำศีลอยู่ในราชอุทยานด้วยการสร้างบรรณศาลาให้ฤาษีได้ปฏิบัติกิจ
    พระราชาแห่งกรุงพาราณสีปรนนิบัติฤาษีด้วยความเลื่อมใส จนกระทั่งวันหนึ่ง พระราชาจำเป็นต้องเสด็จไปปราบการจลาจลชายแดนจึงมอบหมายให้พระมเหสีผู้เลอโฉมทำหน้าที่แทน  วันนั้นฤาษีเหาะมารับบาตรสายมาก พระมเหสีจึงนอนรออยู่ ครั้นเห็นฤาษีเหาะลงมาโดยที่ตนเองไม่ทันระวังจึงลุกขึ้นจนเครื่องทรงหลุดลุ่ยเปลือยเปล่า  ตัณหาราคะของฤาษีที่ข่มเอาไว้ด้วยญาณจึงถึงแก่เสื่อมสูญสิ้นหมดฤทธิ์เดช วันนั้นฤาษีต้องเดินกลับบรรณาศาลา เหาะไม่ได้ ฉันภัตตาหารก็ไม่ได้กลับไปนอนซมด้วยพิษแห่งราคะ จนพระราชากลับจากราชการชายแดนมาเยี่ยมจึงเล่าความจริงให้พระราชาฟัง
    "" อาตมาถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ คือ กามราคะ ติดตรึงจนขาดปัญญา แม้ไม่มีบาดแผลแต่มันก็ทำให้หัวใจเจ็ยปวดและเร่าร้อนไปทั่วร่าง "" เมื่อได้ระบายความทุกข์จนสติกลับคืนมาแล้ว ฤาษีนั้นจึงเข้าฌานแล้วเหาะกลับไปบำเพ็ญในป่าหิมพานต์มิกล้าออกมาสู่นครอีกเลย
      กามราคะ จึงเป็นเรื่องที่กำจัดและควบคุมยากที่สุดด้วยเหตุที่มีปัจจัยครบ 6 อย่าง ตามอายตนะหก   รูปงาม   
เสียงไพเราะ   กลิ่นเย้ายวนใจ   รสต้องใจ   สัมผัสนุ่มนวล    อารมณ์อ่อนไหว
      เพราะการตัดกามตัณหาจึงมิใช่เรื่องปากคุยโอ้อวดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  แม้ฌานแก่กล้าเพียงใดยังเสร็จอิสตรี  เมื่อเป็นดังนี้ การครองชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกันจึงต้องสำรวมระวังมิล่วงละเมิดลูกเมียคนอื่น เพื่อความสัมพันธ์ที่เป็นคุณแก่ตนเองและผู้อื่นจึงต้องระมัดระวัง ผู้ที่ล่วงละเมิดในข้อจริยธรรมจึงต้องไปเกิดกายเป็นเดรัจฉาน ถือชาติกำเนิดเป็น ม้า เพื่อบำเพ็ญจริยธรรมเพราะลูกม้าตัวผู้จะไม่ล่วงเกินแม่ของมันเป็นอันขาด
     ชนชาติตะวันตกได้ทดลองนำลูกม้าตัวผู้ ผูกตาแล้วให้อยู่กับแม่ของมันในฤดูผสมพันธุ์ เมื่อลูกขึ้นขี่แม่ เขาก็เปิดตาออก พอลูกม้าเห็นเป็นแม่จึงลงจากหลังแม่ วิ่งเอาหัวชนกำแพงตายทันที
     การบำเพ็ญจริยธรรม จึงประกอบไปด้วยมารยาท อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เนืองนิจ จึงสามารถรักษาจิตของตนให้อยู่ในทางสายกลางได้และพ้นภัยในที่สุด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ใครก็ตามที่สามารถทำใจของตนเองให้ว่างดังเป็น " กลาง " ได้แล้วย้อมได้ "" ปัญญาบริสุทธิ์ "" เหมือนอย่างที่พระพุทธองค์ทรงมี พระปัญญาคุณอันบริสุทธิ์  "" ความบริสุทธิ์แห่งปัญญาหมายความว่าอย่างไร ""  " การใช้ปัญญานั้นมิได้เห็นแก่ตัว แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสัจธรรมแห่งฟ้าดิน "
        อานุภาพอันแท้จริงของปัญญามีอยู่ในทุกตัวคนเท่าเทียมกันมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากันแม้นิดเดียว แต่เหตุไฉนจึงมี คนโง่และฉลาด แตกต่างกัน ธรรมชาติเดิมแท้ของ " ธรรมญาณ " มีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่เพราะการเวียนว่ายสังคม บาปกรรม แตกต่างกันสภาวะแห่ง "" ความเป็นกลาง ""  จึงผิดเพี้ยนกันไป ดังนั้นอานุภาพแห่งปัญญาจึงแตกต่างกันไป  ถ้าจะเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับน้ำ บางคนใช้ประโยชน์ได้มากกว่า แต่บางคนกับใช้ได้น้อยกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกบรือแลความรู้เกี่ยวกับน้ำ
       ปัญญา ก็เช่นเดียวกัน  บริสุทธิ์ปราศจากอารมณ์ทั้งปวงมิได้ทำให้ ธรรมญาณ หันเหไปสู่หนทางแห่ง ดี หรือชั่ว อานุภาพย่อมไร้เทียมทานสามารถตัดทุกข์ทั้งปวงได้ ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงให้สมาทานศีลข้อ ห้า มิให้จิตมัวเมาตกอยู่ภายใต้อำนาจเมาทั้งปวง  คนที่ถูกอานุภาพของน้ำเมา ยาเสพติด ย่อมทำให้สติเลอะเทอะ มีอารมณ์ครอบงำ ภาวะแห่งปัญญาจึงสูญเสีย บุคคลเช่นนี้จึงคิดผิด ทำผิด และหลงผิดได้โดยง่าย และเท่าเทียมเสมอกันหมด
       อารมณ์ จึงเป็นทะเลทุกข์ของคนทุกชั้นวรรณะ
       ความรู้ และ ปัญญา   จึงแบ่งแยกได้ตรงนี้
       มนุษย์มีความรู้แตกต่างกันอันเกี่ยวกับการสั่งสมของสัญญาขันะ์ที่แตกต่าง  แต่ความแตกต่างเช่นนี้หายไปทันทีที่อารมณ์ครอบงำ คนมีความรู้จึงกระทำความผิดได้เท่าเทียมกับคนที่ไม่มีความรู้ เพราะอารมณ์กวาดความรู้ทิ้งไปหมดสิ้นเหมือนกันอารมณ์มิสามารถหยั่งถึงอะไรได้เลยนอกจากกระทำสิ่งที่ขัดต่อสัจธรรมเท่านั้น
        แต่ ปัญญา  หยั่งถึงสรรพสิ่งได้เพราะ คุณสมบัติแห่งปัญญานั้นต้องอ่อนน้อมเข้าถึงสรรพสิ่งได้ เพราะเหตุนี้ท่านเหลาจื๊อจึงสอนให้บำเพ็ญธาตุน้ำ  ธาตุน้ำมีแต่ความเยือกเย็นสงบ ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ชะล้างทุกสิ่งอย่างโดยไม่ถือตัว และเข้าสู่ภาชนะใดก็จะอยู่ในรูปลักษณ์ของภาชนะนั้น ๆ
        ท่านศาสดาขงจื๊อ กล่าวว่าธาตุแท้ธรรมญาณของทุกคนมีปัญญาอยู่แล้ว อักษรจีน คำว่าปัญญา อ่านว่า "" จื้อ "" ปัญญานั้นมีมาแต่เดิมและอานุภาพเทียบเท่าฟ้าดินหรือสามารถใช้ปัญญา อันเป็นแสงสว่างในตัวเองพาตัวไปถึงฟ้าดินหรือสวรรค์ได้
        การสำแดงปัญญาให้ปรากฏ ย่อมใช้วาจาหรือปากเป็นช่องทางแสดงออก  การบำเพ็ญปัญญาจึงต้องควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้ มิให้ตกใจ หรือ กลัว หากเกิดอารมณ์เช่นนี้แล้ว สภาวะแห่ง " ปัญญา " ย่อมสูญหายไป  ถ้าเทียบเคียงกับร่างกายของคนเราแล้วจะตรงกับอวัยวะสำคัญคือ ไต  ผู้ที่สูญเสีย "" ปัญญา "" อยู่บ่อย ๆ อันเนื่องมาจาก อารมณ์กลัว หรือตกใจ ย่อมทำให้ ไต เสีย  หรือพิจารณาอีกแง่หนึ่ง ผู้ที่ ไต ไม่ปกติมักมีอารมณ์ทั้งตกใจและกลัวง่าย
        ไต       มีหน้าที่ขับของเสียที่มีอยู่ในเลือด
        ปัญญา  เป็นเรื่องของการแยกแยะสิ่งดี และ เลว
         การทำหน้าที่ทั้งสองประการจึงสอดคล้องประสานกันดังนี้  ดังนั้นผู้ที่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำสูญสิ้นปัญญาอยู่บ่อย ๆ ย่อมสร้างชาติภพเดรัจฉานให้ตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากชำนาญการใช้นัยน์ตา ธรรมญาณ ออกทางตา ย่อมไปได้กายเป็นนก ซึ่งมีปัญญารู้จักสร้างรังของตนเองได้อย่างสวยงาม  แต่ถ้าเคยชินด้วยยาเสพติดเพราะติดในกลิ่นย่อมออกจากจมูกและไปกำเนิดเป็นมด ปลวก แมงมุม สัตว์เหล่านี้มีปัญญาในการรู้จักสะสมอาหาร สร้างใยดักจับสัตว์อื่น
       ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมจึงพยายามรักษาไต ให้อยู่ในสภาวะปกติ เพราะฉะนั้นจึงงดเว้นอาหารเนื้อสัตว์และพืชที่เป็นหัวหอมซึ่งเป็นพิษต่อ ไต โดยตรง  ส่วนสีของพืชที่เป็นคุณกับ ไต คือ สีดำ เช่น ถั่วดำ เป็นต้น  รสชาติที่เป็นอันตรายต่อไตคือ รสเค็ม
      การบำเพ็ญให้ " กาย " และ ""จิต "" อยู่ในทางสายกลางย่อมถือว่าเป็นการปฏิบัติตรงต่อสัจธรรมของฟ้าดินและความเที่ยงตรงย่อมปรากฏโดยมิต้องกำหนด ปัญญาที่สำแดงออกมาในลักษณะเช่นนี้จึงเป็นปัญญาธรรมอันบริสุทธิ์ นอกจากสามารถฉุดช่วยตนเองให้พ้นไปจากทะเลทุกข์แล้ว เขาย่อมสามารถฉุดช่วยผู้อื่นได้ด้วย
      เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญ ทางสายกลาง จึงมิได้อยู่ที่การภาวนาสถานเดียว แต่เป็นการใช้ "" ปัญญาบริสุทธิ์ "" อย่างแท้จริง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ปุถุชนคนที่ไม่รู้จัก " ทางสายกลาง " มักเพ่งเล็งสัตยธรรมอยู่ที่ความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นการตีความหมายเป็นศีลข้อที่ 4 ที่พระพุทธองค์ทรงเตือนเอาไว้ว่า " มุสาวาทาเวรมณีสิกขาปะทังสมาทิยามิ " โดยกำหนอขอบเขตแห่งการปฏิบัตินี้เอาไว้แต่เพียงการไม่โกหกต่อผู้อื่นเท่านั้นเอง การแปลความเช่นนี้จึงเป็นความคับแคบและไม่เกิดผลอันแท้จริงต่อ " ทางสายกลาง " ของธรรมญาณของตนเอง คนในโลกนี้จึงโกหกกันได้ตลอดเวลา
      ความหมายอันแท้จริงที่ตรงต่อสัจธรรม คือ การซื่อสัตย์ต่อตนเองเป็นเบื้องต้น แต่คนมักจะลืมเลือนความสำคัญข้อนี้ซึ่งโดยธาตุแท้แล้ว ทุกคนมีความซื่อสัตย์อยู่แล้วในตนเอง เพียงแต่ถูกสิ่งแวดล้อมชักจูงให้หลงลืมหรือมิอาจใช้ศักยภาพนี้ได้เต็มที่เท่านั้น ผู้ที่มีจิตสำนึกอันดีจึงไม่อาจให้คำมั่นสัญญาต่อใครได้โยง่ายด้วยเกรงว่าจะผิดต่อสัญญานั่นเอง
     " โจร " มีความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติอาชีพของโจร ถือว่าเป็นผู้มีสัจธรรมหรือ "
     " ความซื่อสัตย์ของโจรเป็นความซื่อสัตย์ต่อจิตชั่วเท่านั้นเอง "
     " และอย่างไรถึงจะเรียกว่าซื่อสัตย์ต่อตนเองแท้จริงเล่า "
     """  ต้องซื่อสัตย์ต่อสัจธรรมของตนเองดังฟ้าดิน """
     ความซื่อสัตย์ของฟ้าดินจะเห็นได้ว่า การหมุนเวียนเปลี่ยนผันฤดูกาล ถ้าเป็นไปตามกาลเวลาอันถูกต้องสรรพสิ่งก็หมุนเวียนถูกต้อง ความสันติสุขจึงเกิดขึ้น ดวงดาวทั้งปวงต่างหมุนถูกต้องก็ไม่เกิดเหตุวิบัติ เพราะฉะนั้นความเป็นสัตยธรรมของฟ้าดินคือ การกระทำที่ตรงต่อสัจธรรมและสม่ำเสมอ หากเิกิดอาการผิดแม้นิดเดียวภัยพับัติก็ย่อมเกิดขึ้น
     มนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกันถ้าผิดต่อสัตยธรรมของตนเองแล้วภัยพิบัติย่อมบังเกิดขึ้นต่อตนเอง สัตยธรรมจึงเป็นความหนักแน่นท่านเหลาจื๊อจึงให้บำเพ็ญธาตุดิน อันตรงต่ออวัยวะสำคัญของคนคือ " ม้าม "  ท่านศาสดาขงจื๊อ ให้บำเพ็ญธาตุแท้ซึ่งมีมาแล้ว คือ สัตยธรรม ภาษจีน อ่านว่า " ซิ่น " อันมีความหมายว่า คำพูด กับ คน
    คน มีความหมายว่า ตรงต่อฟ้าดิน   คำพูด มีความหมายว่า ก่อนจะพูดถ้าได้ไตร่ตรองถึงสามครั้งย่อมไม่มีผิดพลาด  การบำเพ็ญสัตยธรรม ย่อมระมัดระวังต่ออารมณ์ของตัณหา หากปล่อยให่อารมณ์เช่นนี้ครอบงำจิตใจแล้วย่อมทำลาย " ม้าม " ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือด เพราะฉะนั้นคนที่มัวเมาต่อตัณหาราคะจึงทำให้อายุสั้น คนที่ปฏิบัติผิดต่อสัตยธรรมเมื่อพ้นจากกายสังขารอันเป็นมนุษย์แล้วย่อมไปถือกำเนิดเป็นเดรัจฉาน เพื่อบำเพ็ญสัตยธรรมเพราะฉะนั้นจึงได้กายเป็น "ไก่ " ทำหน้าที่บอกเวลาแก่มนุษย์โดยไม่ผิดพลาด
     การบำเพ็ญสัตยธรรมมิใช่เป็นเรื่องง่ายแต่ใครสามารถปฏิบัติได้ตรงต่อฟ้าดินแล้วย่อมอยู่ในหนทางแห่งความเป็นกลางโดยแท้จริง สมัยที่แผ่นดินจีนแบ่งแยกออกเป็น " สามก๊ก " ท่านกวนอู อันเป็นผู้เก่งกล้าสามารถ สาบานเป็นพี่น้องกับ เล่าปี่ เตียวหุย  ในสวนท้อ ทั้งสามรักษาคำมั่นสัญญานี้ไว้ว่า "" แม้เกิดคนละวัน แต่ขอตายร่วมวันเดียวกัน "" คำสัญญานี้จึงลือเลื่องมาจนตราบเท่าทุกวันนี้  และท่านกวนอู นั้นเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์นัก แม้ถูกโจโฉจับไปพร้อมกับฮูหยินของเล่าปี่ก็มิได้ล่วงเกิน จุดเทียนอ่านหนังสือตลอดคืนเพื่อพิทักษ์พี่สะใภ้  ความซื่อสัตย์อันยิ่งใหญ่เช่นนี้เทียมฟ้าเทียมดิน ชื่อเสียงจึงขจรขจายมาถึงทุกวันนี้  ชาวจีนจึงเคารพกราบไหว้เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ และแน่นอนมรรคผลย่อมเกิดขึ้นจนได้รับอริยะฐานะเป็น "" ท้าวสักกะเทวราช ""ในสมัยยุคปัจจุบัน  การบำเพ็ญสัตยธรรมอันตรงต่อฟ้าดินมิใช่เป็นเรื่องที่กระทำได้ง่ายดายนัก เพราะคนเรามักจะอภัยให้ตนเองง่ายดายยิ่งกว่าอภัยให้ผู้อื่น  ท่านขงจื๊อ จึงให้คำสอนอันน่าประทับใจในการปฏิบัติยิ่งนัก  "" จงอภัยให้ผู้อืน เช่นเดียวกับอภัยให้ตนเอง  จงลงโทษตนเองเยี่ยงเดียวกับลงโทษผู้อื่น ""
        ถ้าใครสามารถกระทำได้ดังนี้จิตใจย่อมซื่อตรงต่อตนเองสม่ำเสมอและปฏิบัติสัตยธรรมได้ตรงต่อฟ้าดินอย่างแน่นอน การบำเพ็ญสัตยธรรมอันตรงต่อธนนมญาณของตนเองก็ย่อมตรงต่อฟ้าดิน และเป็นหนทางแห่ง " ทางสายกลาง " โดยแท้จริง
       เพราะฉะนั้นการรักษาวาจาเพียงอย่างเดียว โดยไม่พิจารณาถึงสัตยธรรมแห่งฟ้าดินแล้วไซร์ " สัตยธรรม " นั้นย่อมมิใช่  "ทางสายกลาง"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมด้วยกรรมวิธีนั่ง "สมาธิ" จึงปรารถนาให้จิตรวมเป็น "หนึ่ง" อันหมายถึงความสงบระงับมิให้ฟุ้งซ่าน แต่ทำไมจึงมิใช่หนทางแห่งการบรรลุถึงจุดหมายปลายทางของอนุตตรธรรม เมื่อจิตยังเป็นหนึ่งอยู่เอาอะไรมาเทียบก็ย่อมเป็นสอง  ความเป็นสมาธิของจิตจึงหายไป
       การเทียบย่อมก่อให้เกิด "ชอบ" และ "ชัง" เพราะความคิด "ดี" กับ "เลว" ทำให้จิตฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง บรรดาคนที่ปฏิบัตในศาสนาใดก็ตามหากยังติดยึดอยู่กับ "หนึ่ง"  แล้วย่อมมองเห็นแต่ความดีงามของตนเองเป็นสำคัญและพาลมองเห็นวิธีการของผู้อื่นเป็นสิ่งผิดเสมอ บุคคลเหล่านี้จึงมิอาจก้าวพ้นไปจากวิถีแห่งการเวียนว่ายได้เลย
      " ทางสายกลาง " จึงไม่มีการเปรียบเทียบและยอมรับได้ในทุกสภาวการณ์และในสรรพสิ่งเพราะความไม่มี " หนึ่ง " จึงไม่มีการเปรียบเทียบกังนั้นจึงมองไม่เห็น "ดี" หรือ "เลว" ของใครเลย ความเป็นสัมมาสมาธิจึงเกิดขึ้นตรงนี้
       สัมมามรรค ทั้ง 8 ประการ จึงปฏิบัติได้เป็นจริงและเดินไปสู่หนทางแห่ง "ทางสายกลาง" อันแท้จริง พระศาสดาทั้งปวงที่ลงมาฉุดช่วยเวไนยสัตว์ก็ล้วนเดินอยู่บนหนทาง "สายกลาง " เช่นเดียวกัน ลำพังพระศาสดาแล้วพระองค์มิได้ทรงแบ่งแยกหรือเปรียบเทียบว่าของใครดีกว่ากัน เพราะ มีความเป็นอย่างเดียวกัน แต่ศิษย์โง่เขลาทั้งปวงต่างมาแบ่งแยกเปรียบเทียบทะเลาะกันเองด้วยเชื่อว่าคำสอนของพระศาสดาของตนเองเหนือกว่าพระศาสดาองค์อื่น ๆ
      ศิษย์โง่ย่อมมองเห็นวิธีการของพระศาสดาของตนเป็น " หนึ่ง " จึงมองเห็นและเข้าใจว่าพระศาสดาองค์อื่น ๆ เป็นสองนั่นเองพระเยชูคริสต์จึงตรัสอย่างเดียวกับพระศาสดาขงจื๊อที่ว่า " จงปฏิบัตต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่ท่านต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน"แม้ภาษาแตกต่างกันแต่ความหมายแห่งคำสอนของพระศาสดาทั้งสองพระองค์นี้เป็นอย่างเดียวกัน เช่น เราต้องการให้ผู้อื่นอ่อนน้อมต่อเรา เราจึงควรอ่อนน้อมต่อผู้อื่น
      ดังนั้นพระศาสดาทั้งปวงจึงมีแนวทางในการฉุดช่วยผู้คนในโลกนี้ให้ประพฤติปฏิบัติในแนวทางเดียวกันทั้งสิ้น และถ้านำเอาร่างกายของมนุษย์มาเทียบเคียงกันก็จะเห็นเป็นความจริงว่า ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดย่อมมีอวัยวะภายในเหมือนกันหมดและจิตใจย่อมเป็นเช่นเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งมี "" ธรรมญาณ"" เหมือนกันเพราะมีต้นกำเนิดมาจากแห่งเดียวกัน
      ดังนั้น ถ้านำเอาคำสอนขององค์พระศาสดาทั้งสามคือ พระพุทธเจ้า ท่านเหลาจื๊อ  และท่านขงจื๊อ  มาเปรียบเทียบกับกายของมนุษย์รวมทั้งอาหารด้วยแล้วย่อมมีหนทางอยู่ในแนวเดียวกัน ดังนี้
พระพุทธเจ้า       ปาณาติบาต     อนิทนาทา     กาเมสุมิจฉา     สุราเมระยะ     มุสาวาทา
ท่านเหลาจื๊อ       ธาตุไม้           ธาตุทอง       ธาตุไฟ           ธาตุน้ำ           ธาตุดิน
ท่านขงจื๊อ          เมตตาธรรม      มโนธรรม      จริยธรรม         ปัญญาธรรม     สัตยธรรม
อวัยวะสำคัญ          ตับ                ปอด          หัวใจ               ไต               ม้าม
อารมณ์ที่เป็นพิษ    โกรธ           วิตกกังวล      ดีใจ เสียใจ         ตกใจ           ตัณหา
อาหารที่เป็นพิษ    กุ้ยฉ่าย           ยาสูบ          กระเทียม         หัวหอม         กระเทียมโทนจีน
รสชาตเป็นพิษ       เปรี้ยว            เผ็ด             ขม                 เค็ม              หวาน
สีอาหารเป็นคุณ     เขียว              ขาว            แดง                 ดำ               เหลือง
      การปฏิบัติบำเพ็ญธรรมจำเป็นต้องอาศัยกาย ยาววาหนาคืบนี้เพราะการควบคุมกายให้ถูกต้องตามหลักของฟ้าดินจึงเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เมื่อสามารถควบคุมธาตุของตนให้รวมเป็นหนึ่ง ภาวะแห่งอารมณ์ย่อมปราศนาการไป เพราะเหตุนี้การเริ่มต้นทำสมาธิ จึงต้องให้ทุกคนทำสมาทานศีล 5 เสียก่อน ก็โดยหวังว่าจิตใจของคนเหล่านั้นจักปราศจากความคิดฟุ้งซ่าน
      การสมาทานศีลเฉพาะแต่ก่อนการนั่งสมาธิจึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเพราะเป็นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น  แต่การปฏิบัติมิให้ละเมิดศีลอยู่เป็นนิจย่อมเป็นหนทางแห่งการบำเพ็ญที่แท้จริง  สมาธิที่ได้ย่อมคงที่ตลอดเวลา แล้วสามารถก้าวไปถึงขั้นการปล่อยวางสรรพสิ่งได้หมดสิ้น
      การปล่อยวางทั้งภายในและภายนอกจนหมดสิ้นนั้นย่อมเข้าสู่หนทางแห่งความเป็น "กลาง " อันแท้จริง  เมื่อ " หนึ่ง" ไม่มีเสียแล้ว ความฟุ้งซ่านสัดส่ายย่อมหายไปมิใช่หรือ "           

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ปุถุชนในโลกนี้มักสับสนด้วยคำว่า " ธรรมะ " กับ " ศาสนา " แลเห็นเป็นอย่างเดียวกัน เพราะเหตุนี้คนเป็นจำนวนมากปฏิบัติกิจของศาสนาแล้วอ้างว่า " ได้ปฏิบัติธรรมะ " ที่น่าสมเพชยิ่งกว่านั้น ใครมิได้ปฏิบัติกิจของศาสนากลับกล่าวหาว่าเป็นผู้ไม่มี "ธรรมะ"  ธรรมะ กับ ศาสนา มีข้อแตกต่างกันอย่างแน่นอน
       เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสนิกของศาสนาพราหมณ์เพราะเป็นชนชั้นกษัตริย์ แต่เมื่อตัดสินพระทัยออกค้นหาหนทางแห่งการพ้นเวียนว่ายตายเกิด ยอมสละฐานันดรแห่งกษัตริย์ มาประพฤติเช่นเดียวกับคนวรรณะต่ำสุดคือ ภิกขาจาร เป็นผู้ขอ ไร้บ้านเรือนบริวารอาหารเลิศรส และความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย แต่มีความยากลำบาก เช่น วรรณิพกหรือขอทาน
       การกระทำในครั้งนั้นถือเป็นผู้ละเมิดบทบัญญัติแห่งศาสนาพราหมณ์อย่างชัดเจนที่สุด  พระองค์ไม่ยอมปฏิบัติศาสนกิจของศาสนาพราหมณ์ แต่ออกมาค้นหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์  ในครั้งนั้นผู้คนย่อมบริภาษด่าทอเจ้าชายสิทธัตถะและประนามว่า ไร้ศาสนา ย่อมถูกพราหมณ์สาปแช่ง ให้ลงนรกโลกันต์อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะปฏิบัติในระหว่างนั้นคือ ""การปฏิบัติธรรมะ "" เพื่อความรู้แจ้งในสัจธรรมนั่นเอง
       เมื่อพระองค์ทรงค้นพบทางสายกลางในวันเพ็ญเดือนหก  ก็ยังมิได้สถาปนาพุทธศาสนาขึ้นมาแต่ประการใด เป็นเพียงแต่ผู้ค้นพบหนทางแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น  แม้ได้โปรดปัญจวัคคีย์จนดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้งในสัจธรรมแล้วก็ยังมิได้เกิดศาสนาพุทธขึ้นมาในโลก  ศาสนาพุทธได้บังเกิดขึ้นมาในโลกนี้เมื่อมีพุทธบริษัทสี่ครบถ้วนคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งในวันนั้นเรียกว่า "" วันอาสาฬหบูชา ""
       พระพุทธองค์ทรงบัญญัติกรอบการปฏิบัติพุทธกิจของ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา  ให้ปฏิบัติอยู่ในแนวทางเดียวกันเพราะบุคคลเหล่านี้แม้เข้ามานับถือพระพุทธองค์ เป็นศาสดา แต่ก็ยังคงเป็นผู้ไม่รู้แจ้งในสัจธรรม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่ายังไม่รู้หนทางแห่งการพ้นทุกข์อันเป็นทางสายกลาง บัญญัติต่าง ๆ อันเป็นคำเทศนาของพระพุทธองค์นั่นแหละเรียกว่า ""ศาสนา""
       การปฏิบัติกิจของศาสนาจึงกระทำไปตามแนวทางแห่งคำสอนขององค์ศาสดา ซึ่งพระองค์ทรงวางแนวทางปฏิบัติของบุคคลแต่ละกลุ่มแต่ละเหล่าไม่เหมือนกัน
       ผู้ครองเรือนปฏิบัติอย่างไร ชีวิตจึงจะมีความสุขเยี่ยงโลกียสุข  ผู้แสวงหาหนทางแห่งความหลุดพ้นไปจากทะเลทุกข์ควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะถึงซึ่งโลกตตระ
       คำสอนขององค์พระศาสดาต่าง ๆ จึงแตกต่างกันด้วยวิธีการ แต่หลักสัจธรรมยังคงเป็นเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นศาสนาจึงเป็นการแสดงออกของ ""ธรรมะ""   ถ้าธรรมะขาดศาสนาย่อมไม่อาจสั่งสอนผู้คนให้อยู่ในแนวทางแห่งสัจธรรมของฟ้าดินได้  ถ้าศาสนาขาดธรรมะ ย่อมกล่อมเกลาจิตใจของผู้คนให้ตั้งอยู่ในคุณงามความดีของฟ้าดินมิได้
       ""ธรรมะ กับ ศาสนา"" จึงต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน  ในคัมภีร์"จงยง" หรือ ทางสายกลางของท่านขงจื๊อจึงกล่าวเอาไว้ว่า ชิว เต้า จือ เว่ย เจี้ยว  อันมีความหมายว่า "การบำเพ็ญจิตให้อยู่ในกรอบของธรรมะ จึงเรียกว่า ""ศาสนา""
       พระศาสดาทั้งปวงทรงรู้ถึงสัจธรรมที่มีอยู่ในตัวตนของมนุษย์ เพราะฉะนั้นด้วยพระเมตตาจึงใช้ปัญญาอันบริสุทธิ์นั้นวางแนวทางหรือกรอบให้ผู้คนได้บำเพ็ญปฏิบัติอยู่ในแนวทางแห่งธรรมะ และคนเหล่านี้เป็นเพียงคนดีที่ยังคงต้องเวียนว่ายในวัฏจักร์แห่งการเกิด-ตายต่อไป แต่เป็นการปลูกฝังรากฐานแห่ง""ธรรมะ"" เอาไว้ในจิตใจ
       แต่ในความเป็นจริงคนเหล่านี้ล้วนมีภาวะแห่ง""สัจธรรม"" อยู่ในตนเองด้วยกันทั้งนั้นเพียงแต่ลืมเลือนไป พระศาสดาจึงทรงเป็นเพียงผู้สกิดหรือชี้แนะให้ตื่นตัวขึ้นมาเอง  การชี้แนะการตักเตือนเพื่อปลุกให้ตื่นขึ้นมาย่อมบังเกิดผลไม่เหมือนกัน บางคนตื่นทันทีเพราะรากฐานดี บางคนต้องสะกิดกันหลายชาติเพราะรากฐานยังหย่อนยาน การบำเพ็ญจิตของตนเองให้อยู่ในกรอบแห่งคำสอนขององค์พระศาสดาย่อมมีปัณหาในภายหลัง เมื่อพระศาสดาไม่อยู่แล้วต่างจึงเอาคำสอนนั้นมาปฏิบัติและต่างก็ตีความหมายจนผิดเพี้ยนหันเหไปจากเจตนาของพระศาสดา ด้วยเหตุนี้ศาสนาในโลกนี้จึงไม่มีศาสนาใดอยู่ไปตราบนิรันดร  มีแต่ ตั้งอยู่ เสื่อมไป  และดับลง เพราะมีคำสอนเป็นตัวตน  แต่ ""ธรรมะ"" มีอยู่ตลอดไปเพราะปราศจากตัวตนรูปลักษณ์จึงไม่เสื่อมสลาย
       ถ้าเปรียบเทียบระหว่าง ""กาย""  กับ  ""ธรรมญาณ""  ธรรมญาณอันเป็นตัวจริงเป็นหลักบงการให้กายแสดงออกตามท่าทาง ถ้าบงการผิดหลัก กาย ก็แสดงออกผิดแบบ  ถ้าธรรมญาณไม่ใช้กายนี้แล้วทิ้งไป กายก็เป็นซากศพหาประโยชน์มิได้ และกายย่อมเปลี่ยนแปลง แก่ เฒ่า และใช้ไม่ได้ในที่สุด  ธรรมญาณจึงต้องแสวงหากายใหม่ ซึ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ตนเองสร้างเอาไว้  """ธรรมญาณ""จึงเป็นธรรมะ  """กาย"""จึงเป็นศาสนา  ถ้าปฏิบัติอยู่ในกรอบของธรรมะจึงมีแต่ความสุขดังนี้แล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      ผู้ที่มิได้ปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของธรรมะ แม้อยู่ในศาสนา นับถือศาสดาองค์เดียวกันก็มีความเห็นแตกต่างกันและลุกลามกลายเป็ยข้อขัดแย้งทะเลาะกัน ข้ามศตวรรษก็มีอยู่ทั่วทุกศาสนา  ศาสนาพุทธ  ศาสนาคริสต์  ศาสนาอิสลาม  เป็นศาสนาใหญ่ ๆ ในโลกที่มีศาสนิกนับถืออยู่มากมายนับเป็นล้าน ๆ คน แต่ก็เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ทุกศาสนาต่างแตกแยกกลายเป็นนิกายต่าง ๆ มากมายจนประมาณมิได้  ศาสนาคริสต์มีนิกายนับร้อย   ศาสนาอิสลามก็แบ่งแยกนิกายนับไม่ถ้วน   ศาสนาพุทธก็มีนิกายมากมายเช่นกัน
      สมัยที่องค์พระศาสดาทรงพระชนม์ชีพอยู่ การแบ่งแยกเป็นนิกายไม่เกิดขึ้นเพราะเหตุที่พระศาสดาดำรงอยู่ในฐานะที่ตรัสรู้ธรรมะเพราะฉะนั้นสาวกองค์ใดมีปัญหานอกรีตนอกรอยก็พอที่จะปรามหรือแก้ไขปัญหาทั้งปวงได้  ตัวอย่างสมัยพุทธกาล พระเทวทัต ตั้งตนเป็นใหญ่เพื่อแบ่งแยกการปกครอง ออกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการยื่นข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ต่อพระพุทธองค์ว่า
1. ภิกษุทั้งหลายควรอยู่ป่าตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่มีความผิด
2. ภิกษุทั้งหลายควรเที่ยวบิณฑบาตรตลอดชีวิต รูปใดรับกิจนิมนต์มีความผิด
3. ภิกษุทั้งหลายควรถือผ้าบังสุกุลตลิดชีวิต รูปใดใช้ผ้าคหบดีมีความผิด
4. ภิกษุทั้งหลายควรอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต รูปใดอยู่ที่มุงที่บังมีความผิด
5. ภิกษุทั้งหลายไม่ควรฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันมีความผิด
      ข้อขัดแย้งทั้งห้าประการนี้ล้วนเป็นอุบายที่จะแบ่งแยกการปฏิบัติศาสนิกออกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในครั้งนั้นพระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตตามที่พระเทวทัตทูนขอ พระเทวทัตจึงแบ่งแยกสงฆ์ออกไปจากการปกครองของพระพุทธองค์ด้วยพระบวชใหม่ยังไม่เข้าใจในธรรมะจึงติดตามพระเทวทัตไปหมู่หนึ่ง
      และในที่สุดข้อขัดแย้งนี้ก็ยุติลงด้วยพระสารีบุตรไปชี้แจงแสดงธรรมะแก่สาวกของพระเทวทัตจนกลับใจ ความแตกแยกทางความคิดของพระศาสนาที่บรรดาศาสนิกทั้งหลาย กระทำขึ้นย่อมระงับได้ด้วยพระบัญชาของพระพุทธองค์  การแบ่งแยกนิกายจึงไม่เกิดขึ้นในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ แม้ในศาสนาคริสต์ อิสลามก็เช่นเดียวกัน
     แต่ภายหลังที่พระศาสดาสำเร็จธรรมคืนกลับสู่เบื้องบนแล้ว บรรดาสาวกทั้งปวงต่างตีความคำสอนพระศาสดาตามใจของตนเองจึงแบ่งแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ มากมาย  การตีความนั้นย่อมผิดเพี้ยนออกไปจากหนทางของ "" ธรรมะทางสายกลาง "" เพราะต่างก็จะตีความไปตามความพอใจและความคิดของตนเอง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ คัมภีร์ อัล-กรุอาน ของศาสนาอิสลามมีอายุยืนยาว 1,416 ปีแล้ว ตัวพระคัมภีร์ไม่มีการแก้ไขแต่ประการใด เพราะถือเป็นบัญญัติของพระอัลเลาะห์ อันเป็นพระผู้เป็นเจ้าอันสูงสุด แต่เหตุไฉนจึงแบ่งแยกนิกายออกไปมากมายได้ เป็นเพราะศาสนิกในรุ่นหลังเอาพระคัมภีร์นั้นมาตีความและปฏิบัตไปตามจริตของตนเอง จึงกลายเป็นข้อขัดแย้งและแบ่งแยกเป็นนิกาย
     ส่วนในพุทธศาสนานั้นแบ่งออกเป็นนิกายใหญ่ ๆ สองนิกายคือ หินยาน  และมหายาน แต่ละนิกายก็แบ่งออกเป็นอีกหลายนิกายเพราะความคิดไม่ลงรอยกันในความเชื่อและการตีความพระวจนะของพระพุทธองค์
     ทางมหายานอันเป็นยานอันใหญ่ก็มีความเชื่อว่า พระศากยมุนีพระพุทธเจ้าที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์เป็นพระพุทธเจ้าแท้จริงหรือว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่ "พระพุทธเจ้าองค์แท้จริง" บันดาลให้มีขึ้นเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ แต่ทางหินยานหรือเถรวาท ยึดถือว่า พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ แม้ความเชื่อในทางหลุดพ้นก็แตกต่างกัน หินยานเชื่อว่าความเป็นพระอรหันต์ เป็นทางหลุดพ้นสูงสุด มหายานเชื่อว่าความสำเร็จของพระอรหันต์เป็นธรรมดาของการปฏิบัติ พระพุทธภูมิจึงถือว่าเป็นขั้นสูงสุด  แม้ความคิดทางด้านนิพพานก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มหายานเชื่อว่านิพพานคือความเป็นสูญที่สมบูรณ์ที่สุดหมายถึง นิจจัง สุขขัง อัตตา  ความเห็นอันแตกต่างกันเช่นนี้เองจึงทำให้ต่างฝ่ายต่างโทษกันว่า "ผิด"  เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่าตนเอง "ถูก" จึงมองเห็นอีกฝ่ายหนึ่ง "ผิด"
      ที่เป็นเช่นนี้เพราะทั้งสองฝ่ายเดินออกนอกหนทางแห่งกรอบของธรรมะอันเป็นทางสายกลาง ความแตกต่างทางความคิดและความเชื่อของ ปุถุชน ย่อมยึดเอาอารมณ์ของตน เป็นที่ตั้ง แต่ในกรอบของ "ธรรมะ" ย่อมปราศจากอารมณ์ เพราะฉะนั้นพระศาสดาตรัสรู้ทางสายกลางจึงเห็นเป็นอย่างเดียวกันไม่ว่าพระศาสดาองค์นั้นจะถือสัญชาติอะไรก็ตามที
     พระศาสดาจึงไม่มีการขัดแย้งและทะเลาะกัน เพราะต่างอยู่ในแนวทางเดียวกัน แต่บรรดาสาวกในชั้นหลังต่างหลุดพ้นไปจาก"ทางสายกลาง" เพราะฉะนั้นต่างคนต่างจึง "เพี้ยน" กันไปโดยไม่รู้ว่าตนเอง " เพี้ยน" ไปจากหนทาง "สายกลาง" ล่วงมาจนถึงพ.ศ.นี้ ศาสนาทั้งปวงจึงเสื่อมไปจากจิตใจของมนุษย์

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”