พระศาสดาขงจื๊อกล่าวพระวจนะเอาไว้ในคัมภีร์ "จงอยง" หรือ "ทางสายกลาง" เอาไว้เป็นสัจธรรมว่า "" สรรพสิ่งมีธรรมะอยู่ในตัวไม่อาจละทิ้งธรรมะแม้ชั่วขณะ มิฉะนั้นแล้วหาใช่ธรรมะไม่""" ถ้าตีความแห่งพระวจนะนี้ก็หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างมีความเป็นกลางอยู่ในตัวเองทั้งนั้น และแท้ที่จริงโลกนี้ดำรงอยู่ได้ด้วย "ความเป็นกลาง" หากปราศจากความเป็นกลางก็ไม่อาจทนอยู่ได้เลยสรรพสิ่งย่อมหมายถึงทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไร้ชีวิต
ธรรมะหมายถึงทางสายกลาง เป็นธรรมะแห่งฟ้า เป็นหลักสัจธรรมอันไม่มีข้อยกเว้นให้แก่ใครเลย สรรพสิ่งที่ไร้ชีวิตมีทั้งที่มนุษย์สร้างขึ้นและเกิดขึ้นด้วยอำนาจของธรรมชาติ และทั้งสองประเภทนี้ย่อมต้องมี "ความเป็นกลาง" สถิตอยู่
ลม น้ำ ดิน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของธรรมชาติ หากรักษาความเป็นกลางเอาไว้ได้ นั่นหมายถึง "ธรรมะ" ความสงบย่อมเกิดขึ้น แต่ที่กลายเป็นลมพายุร้าย น้ำท่วม แผ่นดินไหว เพราะมีสิ่งที่ไปเปลี่ยนแปลงทำลายสภาวะแห่ง "ความเป็นกลาง"สูญเสียไป ผู้ที่ทำลาย "ความเป็นกลาง" ก็คือมนุษย์ ซึ่งคิดว่าตนเป็นสัตว์อันประเสริฐ ตัวอย่างเช่น ตัดไม้ทำลายป่าไม้จนหมด ในที่สุดเมื่อน้ำฝนตกลงมาจากฟ้าจึงไม่มีแผ่นดินและรากไม้ที่จะซับรองรับน้ำเอาไว้มิให้มีมากจนเกิดพอดี จึงก่อให้เกิด "น้ำท่วมใหญ่" คร่าชีวิตผู้คนในโลกนี้ มนุษย์สร้างโรงงานมากมาย มีเครื่องยนต์กลไกประมาณมิได้ สิ่งเหล่านี้จึงระเหยมลพิษขึ้นสู่ฟ้า ทำให้สภาวะแห่งความเป็นกลางของลมเสียหายจนกลายเป็น พายุร้ายทำลายชีวิตผู้คนประมาณมิได้
มนุษย์ก่อสร้างขุดหาทรัพยากร ปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างลงใต้แผ่นดินจนสูญเสีย "ความเป็นกลาง" ความสงบนิ่งไม่เกิดขึ้น แผ่นดินจึงเคลื่อนไหว เมื่อเป็นดั่งนี้ย่อมกล่าวได้ว่า "มนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง" อย่างแท้จริง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือสิ่งของใดก็ตามย่อมคำนึงถึงจุดสูญกลาง หากบ้านปราศจากศูนย์กลางเสียแล้ว บ้านนั้นย่อมตั้งอยู่มิได้ ความเป็นมนุษย์หากปราศจากความเป็นกลางย่อมเกิดทุกข์และเวียนว่ายไม่สิ้นสุด
การสูญเสียความเป็นกลางชั่วคราว แต่ภาวะเดิมยังคงอยู่ ชีวิตก็ยังคงดำเนินไปได้ คนที่มีโทสะจริตแรงกล้าหรือดีใจจนหาที่พักไม่ได้ย่อมสูญเสียชีวิตเพราะอารมณ์ เหล่านั้นทำลายความเป็นกลางของตนเองจึงไม่อาจรักษากายสังขารเอาไว้ได้
พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนให้สัมมามรรคข้อหนึ่งว่า """ จงมีความเห็นชอบ""" ความเห็นชอบเช่นนี้ย่อมมีความหมายหลายสถาน หากปุถุชนผู้ไม่รู้หลักของธรรมะ ก็จะเห็นชอบตามหลักของ "กฏหมาย" หรือตามความพอใจของตนเองและยึดถือในความแตกต่างอานุภาพแห่งความเป็นกลางจึงไม่เกิดขึ้น
ชีวิตของปุถุชนจึงมีแต่จมอยู่ในทะเลทุกข์ ตังอย่างเช่น สัตว์เดรัจฉานทั้งปวง ปุถุชนย่อมแบ่งแยกและปฏิบัติต่อแตกต่างไปจากมนุษย์เพราะต่างมี ธรรมญาณ อย่างเดียวกัน ผู้เขียนเคยเดินไปในทางบรรยาธรรมที่อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีษะเกษ ได้พบสิ่งที่เป็นประจักษ์หลักฐานว่าสรรพสัตว์ล้วนเป็น ญาณ มาแต่ฟ้าเบี้องบนเช่นกัน วัวตังหนึ่งเป็นเพศผู้ เจ้าของซื้อมาเพื่อส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ แต่โรงงานแห่งนั้น กลับคัดเอาออกถึงสองครั้ง เจ้าของจึงจนปัญญานำมาฝากญาติขาย 2400บาท
หน้าบ้านของญาติซึ่งเป็นเพื่อนบ้านจะมีงานบุญจึงติดต่อขอซื้อวัวตัวนี้เพื่อนำไปฆ่าทำอาหารเลี้ยงแขกถวายพระตกลงขายกันในราคา 3000บาท เจ้าของวัวจึงจูงวัวออกมาส่ง ครั้นถึงหน้าบ้านตนเองวัวก็เข่าอ่อนคุกเข่าลงไป เจ้าของวัวจึงเรียกลูกสะใภ้มาดูว่าวัวเข่าอ่อนหรือเปล่า ลูกสะใภ้บอกว่า "วัวมันคุกเข่าขอชีวิต ดูสิน้ำตาไหลพรากเลย" ตกลงจึงตัดใจไม่ขายให้แก่ผู้ซื้อ เรื่องนี้รู้ถึงญาติธรรมต่างช่วยกันเรี่ยไรต่างได้เงิน 2400บาท แล้วไถ่ชีวิตวัวตัวนี้ ผู้ดำเนินการได้อ่านรายชื่อผู้ร่วมทำบุญ ไถ่ชีวิตให้แก่วัวตัวนี้ฟัง วัวได้ฟังผงกหัวรับทุกชื่อ และน้ำตาไหลพราก วัวตัวนี้ได้ชื่อว่าบุญหลาย มีชีวิตอยู่จนบัดนี้ และทุกครั้งที่ให้อาหารเมื่อบอกว่าจงขอบคุณ เจ้าบุญหลายก็จะรีบคุกเข่าทันที ญาติธรรมไปพูดธรรมะให้ฟัง มันฟังไปก็ร้องไห้ไป คำถามที่น่าตอบที่สุดสำหรับท่านผู้ที่สำหรับผู้ปฏิบัติปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่า""การเห็นสรรพสัตว์ เป็นอาหารของคนนั้นเป็นความเห็นชอบหรือไม่ ?