collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: คัมภีร์ทางสายกลาง ปฐมบท (จง -- อยง ) เที่ยงตรง -- สัจธรรม  (อ่าน 32386 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       พระศาสดาขงจื๊อกล่าวพระวจนะเอาไว้ในคัมภีร์ "จงอยง" หรือ "ทางสายกลาง" เอาไว้เป็นสัจธรรมว่า "" สรรพสิ่งมีธรรมะอยู่ในตัวไม่อาจละทิ้งธรรมะแม้ชั่วขณะ มิฉะนั้นแล้วหาใช่ธรรมะไม่""" ถ้าตีความแห่งพระวจนะนี้ก็หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างมีความเป็นกลางอยู่ในตัวเองทั้งนั้น และแท้ที่จริงโลกนี้ดำรงอยู่ได้ด้วย "ความเป็นกลาง" หากปราศจากความเป็นกลางก็ไม่อาจทนอยู่ได้เลยสรรพสิ่งย่อมหมายถึงทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไร้ชีวิต
      ธรรมะหมายถึงทางสายกลาง เป็นธรรมะแห่งฟ้า เป็นหลักสัจธรรมอันไม่มีข้อยกเว้นให้แก่ใครเลย สรรพสิ่งที่ไร้ชีวิตมีทั้งที่มนุษย์สร้างขึ้นและเกิดขึ้นด้วยอำนาจของธรรมชาติ และทั้งสองประเภทนี้ย่อมต้องมี "ความเป็นกลาง" สถิตอยู่
     ลม น้ำ ดิน  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของธรรมชาติ หากรักษาความเป็นกลางเอาไว้ได้ นั่นหมายถึง "ธรรมะ" ความสงบย่อมเกิดขึ้น แต่ที่กลายเป็นลมพายุร้าย น้ำท่วม  แผ่นดินไหว เพราะมีสิ่งที่ไปเปลี่ยนแปลงทำลายสภาวะแห่ง "ความเป็นกลาง"สูญเสียไป ผู้ที่ทำลาย "ความเป็นกลาง" ก็คือมนุษย์ ซึ่งคิดว่าตนเป็นสัตว์อันประเสริฐ ตัวอย่างเช่น ตัดไม้ทำลายป่าไม้จนหมด ในที่สุดเมื่อน้ำฝนตกลงมาจากฟ้าจึงไม่มีแผ่นดินและรากไม้ที่จะซับรองรับน้ำเอาไว้มิให้มีมากจนเกิดพอดี จึงก่อให้เกิด "น้ำท่วมใหญ่" คร่าชีวิตผู้คนในโลกนี้  มนุษย์สร้างโรงงานมากมาย มีเครื่องยนต์กลไกประมาณมิได้ สิ่งเหล่านี้จึงระเหยมลพิษขึ้นสู่ฟ้า ทำให้สภาวะแห่งความเป็นกลางของลมเสียหายจนกลายเป็น พายุร้ายทำลายชีวิตผู้คนประมาณมิได้
     มนุษย์ก่อสร้างขุดหาทรัพยากร ปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างลงใต้แผ่นดินจนสูญเสีย "ความเป็นกลาง" ความสงบนิ่งไม่เกิดขึ้น แผ่นดินจึงเคลื่อนไหว เมื่อเป็นดั่งนี้ย่อมกล่าวได้ว่า "มนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง" อย่างแท้จริง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือสิ่งของใดก็ตามย่อมคำนึงถึงจุดสูญกลาง หากบ้านปราศจากศูนย์กลางเสียแล้ว บ้านนั้นย่อมตั้งอยู่มิได้ ความเป็นมนุษย์หากปราศจากความเป็นกลางย่อมเกิดทุกข์และเวียนว่ายไม่สิ้นสุด
     การสูญเสียความเป็นกลางชั่วคราว แต่ภาวะเดิมยังคงอยู่ ชีวิตก็ยังคงดำเนินไปได้  คนที่มีโทสะจริตแรงกล้าหรือดีใจจนหาที่พักไม่ได้ย่อมสูญเสียชีวิตเพราะอารมณ์ เหล่านั้นทำลายความเป็นกลางของตนเองจึงไม่อาจรักษากายสังขารเอาไว้ได้
    พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนให้สัมมามรรคข้อหนึ่งว่า """ จงมีความเห็นชอบ""" ความเห็นชอบเช่นนี้ย่อมมีความหมายหลายสถาน  หากปุถุชนผู้ไม่รู้หลักของธรรมะ ก็จะเห็นชอบตามหลักของ "กฏหมาย" หรือตามความพอใจของตนเองและยึดถือในความแตกต่างอานุภาพแห่งความเป็นกลางจึงไม่เกิดขึ้น
      ชีวิตของปุถุชนจึงมีแต่จมอยู่ในทะเลทุกข์ ตังอย่างเช่น สัตว์เดรัจฉานทั้งปวง ปุถุชนย่อมแบ่งแยกและปฏิบัติต่อแตกต่างไปจากมนุษย์เพราะต่างมี ธรรมญาณ อย่างเดียวกัน ผู้เขียนเคยเดินไปในทางบรรยาธรรมที่อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีษะเกษ ได้พบสิ่งที่เป็นประจักษ์หลักฐานว่าสรรพสัตว์ล้วนเป็น ญาณ มาแต่ฟ้าเบี้องบนเช่นกัน วัวตังหนึ่งเป็นเพศผู้ เจ้าของซื้อมาเพื่อส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์  แต่โรงงานแห่งนั้น กลับคัดเอาออกถึงสองครั้ง เจ้าของจึงจนปัญญานำมาฝากญาติขาย 2400บาท
      หน้าบ้านของญาติซึ่งเป็นเพื่อนบ้านจะมีงานบุญจึงติดต่อขอซื้อวัวตัวนี้เพื่อนำไปฆ่าทำอาหารเลี้ยงแขกถวายพระตกลงขายกันในราคา 3000บาท เจ้าของวัวจึงจูงวัวออกมาส่ง ครั้นถึงหน้าบ้านตนเองวัวก็เข่าอ่อนคุกเข่าลงไป เจ้าของวัวจึงเรียกลูกสะใภ้มาดูว่าวัวเข่าอ่อนหรือเปล่า ลูกสะใภ้บอกว่า "วัวมันคุกเข่าขอชีวิต ดูสิน้ำตาไหลพรากเลย" ตกลงจึงตัดใจไม่ขายให้แก่ผู้ซื้อ เรื่องนี้รู้ถึงญาติธรรมต่างช่วยกันเรี่ยไรต่างได้เงิน 2400บาท แล้วไถ่ชีวิตวัวตัวนี้ ผู้ดำเนินการได้อ่านรายชื่อผู้ร่วมทำบุญ ไถ่ชีวิตให้แก่วัวตัวนี้ฟัง วัวได้ฟังผงกหัวรับทุกชื่อ และน้ำตาไหลพราก วัวตัวนี้ได้ชื่อว่าบุญหลาย มีชีวิตอยู่จนบัดนี้ และทุกครั้งที่ให้อาหารเมื่อบอกว่าจงขอบคุณ เจ้าบุญหลายก็จะรีบคุกเข่าทันที ญาติธรรมไปพูดธรรมะให้ฟัง มันฟังไปก็ร้องไห้ไป คำถามที่น่าตอบที่สุดสำหรับท่านผู้ที่สำหรับผู้ปฏิบัติปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่า""การเห็นสรรพสัตว์ เป็นอาหารของคนนั้นเป็นความเห็นชอบหรือไม่ ?

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       มนุษย์มีความแตกต่างไปจากสัตว์อื่น ๆ ตรงที่มี " พลังแห่งความคิด " ซึ่งเป็นธรรมชาติอันวิเศษสุดของมนุษยชาติ เมื่อสรรพสิ่งผ่านเข้ามาทางอายตนะหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมากระทบต่อ "ธรรมญาณ" ปฏิกิริยาต่อเนื่องที่เกิดขึ้นคือ "ความคิด" ซึ่งผลออกมาย่อม ดี หรือ ชั่ว ตามเหตุปัจจัยที่สั่งสมเอาไว้ในจิตใต้สำนึก
       มนุษย์ได้สร้างหลักการ เหตุผล เอาไว้มากมายล้วนแต่เป็นไปตามความพอใจและความยึดถือของตัวเองทั้งสิ้น กระแสความคิดของมนุษย์ในโลกนี้จึงเดินอยู่สองหนทางดังกล่าวเพราะฉะนั้นชีวิตจึงวนเวียนอยู่แต่ "ความทุกข์" ไม่สิ้นสุด  ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์อันเป็นวัตถุอย่างหนึ่งได้ก้าวหน้าขึ้นมากมาย แต่มนุษย์ไม่รู้เลยว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นร่างแหแห่งความทุกข์ของมนุษย์ไปในที่สุด  สมัยก่อนพลังงานไฟฟ้ายังไม่เจริญถึงปัจจุบัน ปัญหาของมนุษย์เกี่ยวกับการมองเห็นไม่ค่อยเกิดขึ้น แต่บัดนี้พลังงานทางด้านไฟฟ้าเจริญถึงขีดสุด ผู้คนในโลกจึงมีปัญหาเกี่ยวกับโรคตามากที่สุด
      ทุกสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นล้วนตกอยู่ในกฏของ "บวก -ลบ" เพราะฉะนั้นโรงงานทั้งปวงผลิตสิ่งของออกมาให้มนุษย์ได้ใช้กันแต่ในที่สุดก็คายกากของเสียลงสู่แม่น้ำทำให้น้ำเสียและกลายเป็นภัยสร้างความทุกข์ให้มนุษย์ต่อไป
      พระพุทธองค์จึงสั่งสอนให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งปวงเดินสู่หนทางสายกลางอันปราศจากพิษภัยทั้งปวง ความคิดชอบจึงหมายถึงชอบต่อหนทางสายกลางอันเป็นธรรมะแห่งฟ้า ผู้ที่มีความคิดชอบในลักษณะเช่นนี้ย่อมพ้นไปจาก "ความดี" และ "ความชั่ว"ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นความคิดที่เกิดขึ้นจึงมิได้ตั้งอยู่บนหนทางแห่งความ "เห็นแก่ตัว" แตเห็นแก่สรรพชีวิตทั้งมวล เปรียบเช่นฟ้าหลั่งฝนลงมาให้ทุกชีวิตชื่นฉ่ำ
      แต่ความคิดที่ชอบด้วยกฏหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีและความพอใจของตนเองจึงไม่จีรังยั่งยืนแลเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แม้แต่การสั่งสอนให้พุทธศาสนิกชนทำบุญก็ยังติดอยู่ในความโลภ "โยมทำบุญไม่ต้องมากหรอกแล้วตั้งจิตอธิฐานจะขอสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น" "เจ้าประคู้น ลูกช้างบริจาคกระเบื้องมุงหลังคาโบสถ์ขอให้ได้วิมานแก้วบนสรวงสวรรค์" การกระทำเช่นนี้ย่อมพ้นไปจากหนทางแห่งทางสายกลางเพราะติดอยู่ในโลภลงทุนแต่น้อยต้องการผลกำไรมากมาย และที่น่าเศร้าสลดใจนัก มีวิธีการโหมโฆษนาให้คนหลงสร้างพระประจำกายเอาไว้กราบไหว้บูชาองค์ละหนึ่งหมื่นบาทเพื่อตนเองจะได้มรรคผลในวันข้างหน้า
     พระพุทธองค์ไม่เคยสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้เป็นผู้ลุ่มหลงงมงายถึงเพียงนี้  แต่ในชั้นหลังผู้เข้ามาเป็นศิษย์ของตถาคตล้วนแต่จำหน่ายครูบาอาจารย์ของเขาเอง เพื่อเงินตราและสนองตัณหาความโลภไม่มีที่สิ้นสุด "ไหว้พระอย่างเดียวถึงนิพพานหรือ" "ถ้าเช่นนั้นโจรไหว้พระเช้าเย็นก็ย่อมไปนิพพานได้ซี" บัดนี้ทั้งผู้สอนก็งมงายลุ่มหลงจึงพาให้ผู้รับการสั่งสอนงมงายหลงทางไปด้วยกัน แลคนเหล่านี้ไม่ว่าจะอยูาในเพศภาวะใดย่อมพ้นไปจาก "วิถีแห่งสายกลาง"
     เขาเหล่านั้นจึงมิได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมะเพื่อพ้นไปจากทะเลทุกข์แต่กลับเป็นผู้แหวกว่ายในทะเลทุกข์ด้วยความปราบปลื้มปรีดิด้วยเข้าใจว่าเป็นสวรรค์นิพพาน พลังความคิดของมนุษย์จึงมีพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่ควบคุมให้อยู่ในแนวทางแห่งทางสายกลางเสียแล้วย่อมทำลายสรรพสิ่งในโลกนี้ได้จนประมาณมิได้ และทำร้ายตนเองในที่สุด
    การทำลายตนเองย่อมทำลายทั้งกายปลอม และ ธรรมกาย ของตนเอง กายปลอมแตกสลายกลายเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ  แต่ธรรมกายหรือธรรมญาณ ของตนเองนั้น ต้องหลงวนเวียนอยู่ในนรกและอบายภูมิมิมีที่สิ้นสุด กานปฏิบัติธรรมแท้จริงอยู่บนเส้นทางสายกลางนั้น ย่อมปลดระวางสรรพสิ่งลงไปได้หมดสิ้น
     พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนสาวกให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วย อัฐบริขาร เครื่องยังชีวิต 8 อย่างเท่านั้นคือ สบง จีวร สังฆาฏิ บาตร มีดโกนหรือมีดตัดเล็บ เข็ม รัดประคด และกระบอกกรองน้ำ
     นักบวชครองชีพอยู่ด้วยการประหยัดไม่สะสมทรัพย์สมบัติใด ๆ เลย หากมี 8 อย่างนี้ ก็สามารถครองชีวิตกายเอาไว้ได้ แต่บัดนี้ศิษย์ตถาคดพ้นไปจาก อัฐบริขาร 8 อย่างเสียแล้ว เดี๋ยวนี้มีโทรศัพย์มือถือ ทีวี วิทยุ วีดีโอ ตู้เย็น แอร์คอนดิชั่น สบู่กลิ่นหอมราคาแพง ความคิดที่ว่าต้องทันสมัยทันโลกจึงจักพาเวไนยให้ดวงตาเห็นธรรมได้ ล้วนเป็นความคิดที่ผิดไปจากหนทางสายกลางทั้งสิ้นความคิดเห็นมิชอบด้วย ธรรมะสายกลาง เช่นนี้เองจึงพาให้ผู้คนเหล่านั้นพากันจับจองอบายภูมิจนแน่นขนัดไปหมด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      มนุษย์เป็น "สัตว์ประเสริฐ" ได้ด้วยเหตุที่สามารถสื่อสารกันด้วยภาษาพูดและน่าประหลาดนัก "วาจา" นั่นเองที่ก่อให้เกิดความเข้าใจและผิดใจกันจนเกิดทั้งความรักและแตกร้าวกันด้วยวาจานั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงมีกวีแต่สมัยโบราณได้เตือนใจคนเอาไว้ให่ระวังวาจา เช่น ""ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี""  ความสามารถของมนุษย์เปล่งประกายออกมาทางปากแต่ในขณะเดียวกันปากก็ทำร้ายผู้คนและตนเองอย่างประมาณมิได้เช่นกัน 
     กวีเอกรัตนโกสินทร์ เช่น สุนทรภู่ จึงเขียนกลอนเตือนใจไว้ว่า...
  ""อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก
    แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
    เจ็บอื่นหมื่นแสนแม้นแคลนคลาย
    เจ็บจนตายเพราะพูดเหน็บให้เจ็บใจ""
      มนุษย์ในโลกนี้ใช้วาจาประหัตประหารกันและสร้างบาปเวรกรรมเอาไว้มากมายจนประมาณมิได้เพราะมิได้สำรวมวาจา ในชั้นของปุถุชนพระพุทธองค์จึงทรงเตือนใจให้มวลมนุษย์ระลึกไว้ในการสำรวมระวังวาจา ด้วยการรักษาศีลข้อ "มุสาวาทา" อันมีความหมายละเอียดถึง 4 ประการคือ  1.ไม่พูดโกหก  2. ไม่พูดหยาบคาย  3. ไม่พูดเพ้อเจ้อ สิ่งใดไม่รู้จริงไม่พูด  4. ไม่พูดสิ่งที่ไม่ดีของผู้อื่น ซึ่งเรียกว่า "นินทา"   แม้การพูดของพระพุทธองค์ก็ได้ทรงกำหนดเอาไว้ 4 ประการเช่นกันว่าควรพูดอย่างไร     
1 . พูดเพราะ แต่โกหก   2. พูดหยาบ  แต่โกหก   3. พูดหยาบ  แต่จริง   4. พูดเพราะ  แต่จริง      สามข้อแรกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงประพฤติ แต่ควรประพฤติใน ข้อสี่ แม้กระนั้นพระพุทธองค์ทรงเลือกเวลา  สถานที่  และบุคคล จึงเป็นการสำรวมวาจาอันแท้จริงและวาจาเช่นนี้ล้วนแต่เกิดประโยชน์ต่อผู้รับฟังทั้งสิ้นเพราะตรงต่อสัจธรรม
       ""วาจา"" นั้นส่อสำแดงถึงนิสัยธาตุแท้ของมนุษย์ว่าเป็นคนประเภทใด หากพิจารณาจากคำสอนของท่านเมิ่งจื้อ ปราชญ์ของจีนท่านหนึ่ง ท่านบอกเอาไว้ว่า "เมื่อพูดคุยกันจะต้องตั้งใจฟังคำพูด ถ้าเขาพูดออกมากำกวมไม่ชัดเจนแสดงว่าผู้พูดไม่เข้าใจปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ถ้าพูดกลับไปกลับมาแสดงว่าเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ ถ้าพูดจาให้ร้ายป้ายสีแสดงว่าเป็นผู้ไร้คุณธรรม ถ้าชอบพูดถึงวิธีการหลบหลีกแสดงว่า เขากำลังเดินไปสู่ทางตัน
       ท่านศาสดาขงจื๊อยังเคยกล่าวเอาไว้ในคัมภีร์ "หลุนอวี่" ว่า ""ไม่สดับฟังคำพูดเขาจะรู้จักเขาได้อย่างไร"  วาจา ของมนุษย์จึงทรงความสำคัญยิ่งนักเพราะสามารถสร้างสิ่งที่ดีงามหรือบาปเวรกรรมเอาไว้ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นท่านศาสดาขงจื๊อจึงสอนเอาไว้ว่า ""อยู่คนเดียวให้ระวังจิต  อยู่สองคนจงระวังวาจา"" การที่เราอยู่คนเดียวความคิดย่อมฟุ้งซ่าน เพราะเหตุนี้อาจทำให้เป็นบ้าได้ แต่การอยู่ร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป จำเป็นต้องพูดวาจาเพราะ ฉะนั้นจึงต้องสำรวมระวังวาจาให้มากที่สุดมิเช่นนั้นย่อมก่อเกิดเภทภัยขึ้นมาได้  ท่านศาสดาขงจื๊อได้กล่าววิจารณ์คนพูดคล่องเอาไว้ว่า "" กัลยาณชนจะต้องพูดไม่คล่อง ตีฝีปาก  คนรู้น้อยพูดมาก คนรู้มากพูดน้อย "" บรรดาทุรชนหรือคนพาลโดยมากเป็นคนพูดตีฝีปากและพูดคล่องแคล่วนัก คนเหล่านี้ขาดหลักธรรมเพราะหลบหลีกเก่งแลอวดดีเพื่อต้องการให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองเป็นคนเก่งและดี อันเป็นการหลอกลวงชนิดหนึ่ง
       แต่วาจาที่ตรงต่อสัจธรรมอันเป็นทางสายกลาง นั้นย่อมก่อกำเนิดมาจากธรรมญาณอันปราศจากความดีและความชั่ว ผู้เปล่งวาจาชนิดนี้จึงมิได้หวังชื่อเสียงเกียรติยศลาภผลแต่ประการใดเลย เฉกเช่นเดียวกับฟ้าดินหรือ บิดา มารดาของบุตร แม้วาจาไม่เป็นที่ชอบใจของบุตรธิดา แต่ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของคำพูดเหล่านั้นคือ ความรักและเมตตา ซึ่งปรารถนาแต่จะให้บุตรธิดาของตนเป็นคนดี มีแต่ความสุขความเจริญทั้งสิ้น
       วาจาของบิดามารดา ที่สั่งสอนบุตรจึงเปรียบได้กับความเมตตาจากฟ้าเบื้องบนเฉกเช่น ธรรมทางสายกลาง เพราะไม่มีการหลอกลวงบุตรของตนและไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุตร
       แต่คนทุกวันนี้เข้าใจผิดว่า วาจาชอบ  นั่นคือ วาจาที่ไม่ผิดต่อกฏหมายบ้านเมืองขนบธรรมเนียมประเพณีพูดเพียงเท่านี้เรียกว่าเป็นคำพูดของปุถุชน ที่ยังปรารถนาลาภผลจากคำพูดของตนเอง  แม้นักบวชนักเทศน์ทั้งปวง หากใช้วาจาให้ผู้อื่นลุ่มหลงพ้นไปจากทางสายกลาง ล้วนเป็นทุวาจาทั้งสิ้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ท่านพุทธทาสภิกขุเคยกล่าวเอาไว้เป็นสัจธรรมว่า "การปฏิบัติงานคือการทำหน้าที่ และการทำหน้าที่คือ การปฏิบัติธรรม" ความหมายแห่งคำพูดนี้น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่งว่า การงานที่ปุถุชนปฏิบัติอยู่นั้นมีทั้งชอบด้วยสัจธรรมและไม่ชอบด้วยสัจธรรม ทำงานอย่างไรจึงชอบด้วยสัจธรรมเล่า ?และทำงานอย่างไรจึงไม่ชอบด้วยสัจธรรม ?
       การทำงานที่เป็นการปฏิบัติธรรมนั้นย่อมหมายถึงเป็นการทำงานที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวตน หรือเพื่อประโยชน์แห่งตนสถานเดียวซึ่งปุถุชนทั้งปวงล้วนยึดถือตัวตนเป็นเกนสำคัญเพราะฉะนั้นกระทำการงานอะไรล้วนคำนึงถึงผลได้ของตนเองเป็นปฐม คนที่ทำการงานโดยยึดถือตัวเองเป็นหลักสำคัญล้วนแต่ต้องการผลตอบแทนเสมอ ถ้าไม่ได้ตามประสงค์ก็เกิดโทสะจริต คนทำงานเช่นนี้จึงมีหนทางอยู่สองประการเท่านั้น ประการแรก ถ้าชอบก็จะกระทำโดยไม่หวั่นเกรงต่อความเหนื่อยยากแม้แต่เบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่นก็กระทำ โดยมิได้คิดถึงบาปเวรกรรมที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวพันกันต่อไปชาติแล้วชาติเล่า
ประการที่สอง หากไม่ชอบก็จะปฏิเสธ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเอื้อประโยชน์ต่อผู้อื่น และการปฏิเสธเช่นนี้จึงกลายเป็นความเห็นแก่ตัวเช่นเดียวกับการละโมบ กระทำเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
       การทำงานโดยคำนึงว่าเป็นการปฏิบัติธรรมนั้น ย่อมหมายถึงกระทำโดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทนใด ๆ เลย การกระทำเช่นนี้ย่อมได้ผลตอบแทนอย่างประมาณมิได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการทำงานของธรรมชาติ อันหมายถึงฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป ล้วนก่อให้เกิดสรรพสิ่งขึ้นในโลกนี้
       ฝนตก แดดออก ลมพัด เหล่านี้ล้วนเป็นการงานของธรรมชาติอย่างแท้จริง ธรรมชาติเช่นนี้ กระทำไปโดยมิหวังผลตอบแทนแต่ประการใดเลยแต่ก่อให้เกิดสรรพสิ่งขึ้นมากมายและเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งปวง ดังนั้นผู้ที่ทำการงานโดยชอบต่อหลักสัจธรรมย่อมกระทำโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ย่อมได้ผลแห่งการงานนั้นอย่างประมาณมิได้
       พระพุทธองค์หลังจากได้ตรัสรู้ "ธรรมญาณ" แล้ว พระองค์ทรงเมตตาต่อเวไนยสัตว์โดยมิได้เลือกชนชั้นวรรณะ และมิได้ประสงค์ผลตอบแทนใด ๆ เลย การประกาศพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์จึงกว้างไกล และเป็นที่พึ่งของเวไนยสัตว์โดยประมาณมิได้ ด้วยระยะเวลาอันยาวนานนับเป็นพัน ๆ ปี
      คำสอนทั้งปวงของพระอริยะเจ้า ที่ประกาศด้วยสัจธรรมและหนทางของทางสายกลางจึงมิได้เหือดหายไปจากโลกนี้ เพราะคำสอนเหล่านั้นเปรียบดั่งเช่นดวงอาทิตย์ ที่ส่องสว่างให้แก่สัตว์โลกโดยไม่ต้องการผลตอบแทนประการใดเลย
       แต่การทำงานของมนุษย์ทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่ชอบด้วยจิตใจขอองตนเองเป็นหลัก เพราะฉะนั้นผลตอบแทนจึงสั้นและไม่มีประโยชน์ต่อมวลชน คำสอนนั้นแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  แต่การทำการงานที่ชอบด้วยหลักของทางสายกลางย่อมไม่เคยแปรเปลี่ยนใด ๆ แม้ปุถุชนผู้ไม่เข้าใจจะแปรความหมายไปในทางใดก็ตาม ก็ไม่อาจลบล้างสัจธรรมนั้นได้
       สัจธรรมยังคงเป็นสัจธรรมที่ส่องแสงสว่างตลอดกาลนาน ผู้ที่ทำการงานโดยชอบด้วยหลักสัจธรรมจึงเป็นสุขเพราะมิต้องคิดมากและหวาดระแวงแคลงใจต่อผู้ใด ดิน ฟ้า ไม่เคยสนใจว่าสรรพสัตว์จะเป็นอย่างไรแต่ก็ยังทำหน้าที่ของตนอย่างสม่ำเสมอ แม้ถูกตำหนิติเตียนจากมนุษย์ ฟ้าดินก็ไม่เคยตอบโต้ด้วยการประท้วงไม่กระทำการงานใดเลย  แต่ถ้าเป็นปุถุชน ชอบตอบโต้ เพราะต่างเห็นแก่หน้าตนเอง และประโยชน์ของตนเป็นสำคัญ ปุถุชนต้องการรักษาผลประโยชน์ตนจึงปกป้องตนเองเสมอ เพราะมีอัตตาตัวตน  แต่ ฟ้าดิน ปราศจากตัวตน ธรรมะทางสายกลางก็ปราศจากตัวตนเช่นเดียวกัน
       ผู้ปฏิบัติธรรมทางสายกลางจึงไม่ตอบโต้ ไม่ว่าสิ่งที่ตอบสนองกลับมาเป็นผลดี หรือผลร้ายต่อตนเอง เพราะเหตุที่ผู้นั้นปราศจากตนเองที่จะต้องรักษาเสียแล้ว จึงป่วยการที่จะตอบโต้เพื่อรักษาอัตตาตัวตนนั่นเอง การปราศจากตัวตนมิได้หมายความว่า กระทำการงานมิได้ แต่เป็นการกระทำไปตามธรรมชาติแห่ง "ธรรมญาณ" นั่นเอง ธรรมญาณ นั้นมาจาก ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นถ้าทำการงานโดยใช้ธรรมญาณของตนเองเป็นหลักจึงกระทำเยี่ยงเดียวกับฟ้าดินนั่นแล   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      เมื่อมนุษย์มีกายสังขาร ย่อมมีความจำเป็นในการหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโต เพราะกายนี้ต้องการอาหาร อากาศ และน้ำ  การเลี้ยงชีพของปุถุชนอันพ้นไปจากทางสายกลาง จึงก่อทุกข์ภัยให้แก่มนุษย์จนเหลือที่จะพรรณนา เพราะกระทำไปด้วยความไม่รู้จึงเบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น
     ความโลภได้เป็นตัวการยั่วยุให้รู้จักสะสมเพื่อได้เปรียบผู้อื่น  ความโกรธ  เป็นตัวการก่อให้เกิดการแข่งขันชิงดีชิงเด่น  ความหลงเป็นตัวการให้เกิดการปรุงแต่งทั้งรูปแบบและรสชาติของอาหาร
     การเลี้ยงชีพเช่นนี้ย่อมก่อความเสียหายให้แก่มนุษย์สถานเดียว เพราะเขาโลภมากจึงไม่สนใจว่าการกระทำเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติทั้งปวงเป็นการทำลายตนเอง บางคนเหน็ดเหนื่อยจนกายเจ็บป่วย  บางคนยอมคดโกงเพราะต้องการรวยอย่างเดียว บางคนยอมผิดศีลธรรมเพราะเห็นเงินมีค่ามากกว่า ปุถุชนเหล่านี้จึงไม่เข้าใจ ""กฏแห่งกรรม"" ด้วยซ้ำไป เขาจึงก่อ ""กรรมชั่ว"" ส่งผลให้ต้องเวียนว่ายไปในทะเลทุกข์มิสิ้นสุด
     ชายขายหมูคนหนึ่งอยู่ทางปักษ์ใต้ เขาฆ่าหมูขายมานับสิบปีด้วยคำโฆษณาที่ว่า ""หมูร้านนี้ไส้สะอาดที่สุดในโลก"" วิธีฆ่าหมูนั้นพิสดารนัก ด้วยการจับหมูมัดขาแล้วแขวนด้วยไม้หลักสองต้นและใช้เชือกดึงปากหมูให้ถ่างออกจากกัน แล้วใช้น้ำร้อนที่กำลังเดือดพลุ่ง ๆ กรอกลงไปในปากหมู เพื่อล้างใส้หมูและเครื่องในให้สะอาด หมูร้องไม่ออกได้แต่ดิ้นกระแด่ว ๆ นำ้ร้อนและขี้หมูไหลออกมา เขายังคงกรอกน้ำร้อนเดือด ๆ ลงไปในปากหมู จนไส้หมูสะอาดหมดจดและหมูขาดใจตายด้วยอาการทรมาน น่าสงสารนักแต่ชายหนุ่มมิได้มีจิตสำนึกในความเมตตาแม้แต่นิดเดียว มีแต่ความดีใจที่ขายหมูจนร่ำรวยเพราะวิธีการอันชาญฉลาดนี้เอง ชายขายหมูรู้ตัวอีกครั้งหนึ่งก็ตอนที่ตนเองเจ็บป่วยใกล้ตายได้แต่ร้องสั่งลูกสาวว่า ""ไปต้มน้ำร้อนเดือด ๆ มาเร็วเข้า"" เมื่อได้น้ำร้อนแล้วก็กรอกปากตัวเอง แต่กลับร้องบอกลูกสาวว่า ""ยังไม่ร้อนโว้ย เอาที่ร้อน ๆ กว่านี้"" เขากรอกปากตนเองด้วยน้ำร้อนที่เดือดพลุ่งและถึงแก่ความตาย ไส้พองด้วยอาการอย่างเดียวที่ได้ฆ่าหมูด้วยด้วยวิธีพิสดาร
     การเลี้ยงชีพชอบนั้นหมายความว่า ชอบด้วยหลักสัจธรรมของฟ้าดิน มิได้หมายถึงชอบด้วยประเพณีหรือกฏหมาย แม้การเลี้ยงชีพด้วยถูกต้องมิได้เบียดเบียนชีวิตของใคร แต่กลับไม่พอใจอาชีพของตนในขณะที่นำไปเปรียบเทียบกับอาชีพอื่น เห็นว่าอาชีพของตนเองต่ำต้อย สู้อาชีพของผู้อื่นดีกว่าตนไม่ได้ ขณะใดที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้ย่อมกลายเป็นการเลี้ยงชีพแล้วเบียดเบียนตนเอง
     การเลี้ยงชีพชอบด้วยทางสายกลาง จึงถูกต้องตรงตามหลักสัจธรรม  สรรพชีวิตในโลกนี้เลี้ยงชีพโดยปราศจากความ ""โลภ โกรธ หลง"" จึงเป็นการเลี้ยงชีพชอบด้วย ทางสายกลาง อย่างแท้จริง
     ฟ้า ดิน เลี้ยงทุกชีวิตในโลกนี้ โดยปราศจากความต้องการผลตอบแทน น้ำ อากาศ และดิน  เลี้ยงทุกชีวิตโดยไม่ต้องการผลตอบแทนใด ๆ และทุกชีวิตสามารถเจริญเติบโตขึ้นมาได้เพราะความเป็นธรรมะทางสายกลางของฟ้าดิน อย่างแท้จริง  แต่มนุษย์มิได้เลียนแบบ ฟ้า ดิน เพราะฉะนั้นจึงเกิดทุกข์ภัยเพราะการเลี้ยงชีพเป็นเหตุ ตัวอย่างจากการกินด้วยการทำลายชีวิตสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพตนเอง ความไม่รู้ได้สร้างความเข้าใจผิดว่าสัตว์ เป็นอาหารของมนุษย์ ทั้ง ๆ ที่สรีระร่างกายของมนุษย์มิได้เป็นสัตว์โลกที่ กินเนื้อสัตว์เลย เพราะเมื่อพิจารณาจาก ฟัน ลำไส้ การระบายเหงื่อ แล้วมนุษย์ผิดกับสัตว์ประเภทกินเนื่อสัตว์อย่างตรงกันข้าม
     เมื่อใช้ร่างกายผิดรูปแบบที่ธรรมชาติสร้างมาจึงทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยทุกข์ทรมานแสนสาหัสด้วยโรคนานาชนิด แต่มนุษย์ก็ไม่รู้และตั้งหน้าตั้งตาหาทุกข์ใส่ตัวต่อไป
     การปฏิบัติผิดต่อสัจธรรม ""ทางสายกลาง"" จึงพ้นไปจากวิถีแห่งธรรม เมื่อผิดศีล ในข้อเบียดเบียนชีวิตสัตว์คนเหล่านี้จึงได้รับผลตอบแทนจากความทุกข์ที่ตนเองได้สร้างสมเอาไว้จนเป็นเหตุให้เวียนว่ายในวัฏสงสารต่อไป
    "" คนกินพืชไม่มีกิเลส โลภ โกรธ หลง กระนั้นหรือ"" ปุจฉา
    "" พืช มิใช่ตัวกำจัดกิเลส เพราะเป็นเรื่องของกาย ถ้ากำจัดกิเลสต้องกำจัดที่จิตแต่เพียงสถานเดียว "" วิสัชนา

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ผู้คนในโลกนี้แบ่งวิถีชีวิตออกเป็นสองหนทางและสับสนด้วยความเข้าใจผิดว่าสองหนทางนี้แยกจากกันเด็ดขาด ทางหนึ่งคือทางโลกีย์  ทางหนึ่งคือทางธรรมะ  เมื่อต้องการสร้างบุญกุศลจึงไปวัด คนหลงเหล่านี้จึงขาดความเพียรทางธรรม แต่มีความเพียรพยายามทางกายสังขารด้วยการเอาใจใส่และตั้งเป้าหมายในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน คนหลงเหล่านี้จึงยอมทุ่มเททุกสิ่งอย่างรวมตลอดทั้งชีวิตเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์หรือชื่อเสียงอันจอมปลอมเท่านั้นเอง แม้ไปสู่วัดวาอารามคนหลงเหล่านี้ก็เพียรพยายามขอโชคลาภจากพระ ถ้าหลวงพ่อนั้นให้หวยแม่น มีเวทย์มนต์คาถา ผู้นับถือศรัทธาก็เพียรพยายามที่เฝ้ารอขอตัวเลข ขอน้ำมนต์ เป็นอวิชชา"และเกิดความสับสนปนเประหว่างการปฏิบัติธรรมและครองชีวิตในโลก" แม้เข้ามาปฏิบัติธรรมก็ยิ่งหลงหนทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปฏิบัติธรรมที่คิดว่าตนเองตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่พระนิพพานจักหวังผลสำเร็จ
      ความเพียรที่ไม่ชอบด้วยหนทางสายกลาง จึงไม่ต่างอะไรกับความเพียรของฤาษีที่นั่งเข้าฌาณสมาบัตินิ่งเงียบไปเป็นร้อยปีแม้สำเร็จขึ้นไปก็ยังอยู่ในชั้นของ รูปพรหม และอรูปพรหม ไม่อาจชำระล้างกิเลสของตนได้หมดจดเลย ฤาษีผู้นิยมนั่งเข้าฌาณจึงต้องตกอยู่ในวังวนของการเวียนว่ายตายเกิด """เพราะเหตุใด การเข้าฌาณจึงมิใช่หนทางสายกลาง""" ปุจฉา  """การบังคับจิตให้เงียบสงบเป็นเรื่องชั่วคราวและหลงในความเงียบจึงมิใช่ทางสายกลาง คนติดความเงียบจึงหลงและทำการงานอะไรมิได้เลย แม้เจอรูปลักษณ์ก็หลงในรูปนั้นด้วยขาดปัญญา คนเหล่านี้จึงตัดกิเลสไม่ขาด""" วิสัชนา
     อาการหลงทางจึงเป็นสิ่งที่น่าสงสารนักเพราะคนหลงย่อมไม่รู้ตัวเองหลง เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่กระทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องตรงแท้ต่อสัจธรรม คนเหล่านี้จึงระดมความเพียรเอาเป็นเอาตาย ซึ่งมีมาตั้งแต่พุทธกาล มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นในสมันนี้ ความหลงจึงไม่เลือกกาลเวลา บุคคล สถานที่ จำนวนบุคคล  การถอน ""ความหลง"" จึงมิใช่เรื่องที่กระทำให้ง่าย ๆ เพราะอาการยึดมั่นของคนหลงย่อมแข็งแรงมั่นคงนัก   
     ทางสายกลาง ปราศจากรูปลักษณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่คนหลงกลับคิดว่า ลูกแก้ว พระพุทธรูป สวรรค์  วิมาน เป็นทางสายกลางอันแท้จริง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะจิตของคนหลงสร้างสวรรค์ขึ้นเองและยึดมั่นเอาไว้เหนียวแน่นยากที่จะแกะออก แม้พระพุทธองค์ตรัสสอนแล้วว่า ทางสายกลางปราศจากรูปลักษณ์ทั้งปวง คนหลงเหล่านี้หาเชื่อถือไม่ กลับโจมตีว่าการกล่าวอ้างเช่นนั้นผิดและเผยแพร่คำสอนของตนเองด้วยการอ้างว่าถูกต้องตรงต่อสัจธรรม 
     ""ความเพียรชอบต่อสัจธรรมเป็นไฉน"" ถาม  ""ก่อนอื่นต้องพิจารณาคำว่า ความเพียร เสียก่อน"" ตอบ  ""แล้วความเพียรหมายความว่าอย่างไรล่ะ"" """กระทำสิ่งที่ซ้ำซากจำเจได้บ่อย ๆ เรียกว่า ความเพียร"""
     ด้วยเหตุนี้ผู้กระทำความเพียรจึงต้องตั้งใจหรือมีปณิธานจึงจักมีความเพียรให้ตลอดรอดฝั่ง ด้วยเหตุนี้ความเพียรที่ตรงต่อสัจธรรมนั้นไม่มีสิ่งใดตอบแทนหรือเป็นเครื่องเร่งเร้าให้เกิดความเพียรด้วยการระดมกำลังใจเลย สิ่งที่ฟ้าดินกระทำต่อมนุษย์ในโลกนี้ ล้วนจัดเป็นความเพียรอันตรงต่อสัจธรรม
     เมื่อฟ้าดินกระทำหน้าที่ไปตามปกติ ความสุขสมบูรณ์จึงเกิดขึ้นในโลกนี้ แต่ทำไมจึงเกิดการแปรเปลี่ยนของธรรมชาติ จนสร้างความวิบัติให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตมนุษย์ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุร้อน อันเป็นมหันตภัยของมนุษย์
     วิบัติภัยที่เกิดขึ้นนั้นมิได้เป็นความเพียรของธรรมชาติที่ทำหน้าที่ของตนเองอย่างถูกต้อง แต่เป็นเพราะความเพียรที่ผิดต่อสัจธรรมของมนุษย์ทั้งปวงที่ทำลายการหมุนเวียนของธรรมชาติอันเกิดจากความโลภของตนเองเป็นปฐมเหตุ
     มนุษย์ทำลายธรรมชาติก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเป็นกลางของธรรมชาติ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงและเป็นผลร้ายแรงตามมา ถ้าเปรียบไปแล้ว ตราบใดที่มนุษย์สามารถรักษาความเป็นกลางของ ""จิต"" ตนเองเอาไว้ได้ มนุษย์ก็ไม่ทำร้ายตนเอง แต่ครั้งใดที่ ""จิต"" เคลื่อนไหวพ้นไปจากความเป็นกลางไปสู่ความ โลภ  โกรธ  หลง  ผลที่ตามมาคือ การทำร้ายตนเองให้วิบัติลงไป เพราะฉะนั้นความเพียรชอบต่อทางสายกลางจึงกรำทำได้โดยไม่เบื่อหน่ายและเกิดความสงบสุขอันแท้จริงนั่นเอง
 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      โจรคนหนึ่งกำลังวางแผนปล้นธนาคาร เขาคิดถึงทางหนีทีไล่เพื่อให้พ้นเงื้อมมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเพื่อให้การปล้นครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ โจรจึงกำหนดเวลาที่ปลอดผู้คน เส้นทางของการหนี  การหลบซ่อนตัว  การใช้เงินที่ปล้นได้ควรทำอะไรบ้าง โจรคิดกลับไปกลับมา เช่นนี้เรียกว่า  โจรมีสติ แต่เป็น  สติชั่ว  เพราะล้วนทำการเพื่อประโยชน์ของตนเองสถานเดียว ส่วนใครจะเดือดร้อนไม่สนใจ  นักการเมืองคนหนึ่งก้าวขึ้นสู่อำนาจการบริหารบ้านเมืองต้องใช้จ่ายงบประมาณเพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองและงบประมาณนั้นมีเป็นจำนวน หมื่นล้านบาทขึ้นไป นักการเมืองผู้มีอำนาจเริ่มต้นคิดว่า ""อำนาจอนุมัติอยู่ที่เรา หากไม่มีน้ำใจจากผู้รับเหมาอนุมัติไปก็ไม่ได้อะไร""เขาเริ่มต้นคิดใหม่ว่าจะทำวิธีอย่างไรจึงให้ผู้รับเหมารู้ว่าการอนุมัตินั้นสร้างความร่ำรวยให้ผู้รับเหมามากมายแค่ไหน หากอนุมัติช้าสักหน่อยเดียว ผู้รับเหมาจะต้องจ่ายดอกเบี้ยไปอีกเท่าไหร่ นักการเมืองจึงเรียกผู้ใกล้ชิดมากระซิบว่า ""ช่วยไปบอกพ่อค้าผู้รับเหมาทีเถอะว่า สมัยหน้าพรรคจำเป็นจะต้องใช้จ่ายเงินเพื่อการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นถ้าผู้รับเหมามีน้ำใจ เราก็มีน้ำเงินให้เหมือนกัน""" และเพื่อให้ประชาชนรู้ว่านักการเมืองท่านนี้เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ ไม่เคยกินตามน้ำหรือทวนน้ำเพราะฉะนั้นจึงประกาศให้สื่อมวลชนได้รับรู้ว่างานนี้มีการประมูลอย่างโปร่งใส และนักการเมืองนั้นมิได้ใช้อำนาจเข้าไปก้าวก่ายเจ้าหน้าที่ประจำเลยแม้แต่นิดเดียว  นักการเมืองคนนี้ย่อมคิดกลับไปกลับมาว่าทำอย่างไรจึงจะได้เงินมาใช้จ่ายสำหรับตนเองและพรรคของตนเอง อาการเช่นนี้เรียกว่า นักการเมืองท่านนี้มี ""สติ""แต่ก็ยังเป็น ""สติชั่ว"" อยู่นั่นเองเพราะเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและกลุ่มของตนเท่านั้น
       ""สติ"" เช่นนี้จึงไม่ต่างไปจากโจรปล้นธนาคาร เมื่อมีสติชั่ว ปัญญาจึงชั่วตามไปด้วย  ผู้มี ""สติปัญญาชั่ว"" ล้วนก่อกำเนิดมาแต่การสั่งสมความชั่วเอาไว้ในตัวเองหลายชาติ เพราะเหตุนี้อาการลักษณะแห่ง ""ความชั่ว""จึงปรากฏให้เห็นเป็นสัญญลักษณ์บนใบหน้าของคนเหล่านี้ชัดเจน
      แต่นักบุญคนหนึ่ง คิดถึงการทำบุญเพื่อยังประโยชน์เกิดขึ้นแก่ตนเองทั้งในชาตินี้แลชาติหน้า เขาคิดถึงการทำบุญที่จะเป็นผลบุญอย่างแท้จริงนั้นควรกระทำอย่างไรจึงจักได้เป็นบุญแท้
     ครั้งหนึ่งเขาพบแม่ค้าเอานกใส่กรงมาเร่ขายเพื่อให้คนทำบุญปล่อยนก นักบุญท่านนี้คิดว่าการปล่อยนกย่อมให้บุญแน่นอน แต่การสนับสนุนให้แม่ค้าจับนกมาขายอย่างนี้เป็นการได้ บาป เพราะแม่ค้าคนนี้จักต้องรับบาปเวรกรรมไปอีกนานนัก
     คนที่เป็นนักบุญถ้าจัดการซื้อนกปล่อย การกระทำเช่นนี้เรียกว่า  ไม่มีสติ  แต่ถ้าเขาไม่ซื้อเพราะเกรงว่าเป็นการสนับสนุนแม่ค้าให้ทำบาปอย่างนี้เรียกว่า ""มีสติ"" และเป็น ""สติดี""
   ""สติดี"" กับ ""สติชั่ว"" เป็นสองหนทางที่อยู่ตรงกันข้าม เหมือนคนหนึ่งอยู่ในมุมมืด  อีกคนหนึ่งอยู่ในมุมสว่าง แต่ที่เหมือนกันก็คือ ต่างยังหวังผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง
     สติเช่นนี้จึงมิใช่  สติชอบ  ตามทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะเอาไว้ แต่เป็นสติที่พ้นไปจากหนทางสายกลางอย่างแท้จริง และยังเป็นสติที่ก่อให้เกิดการเวียนว่ายไม่มีที่สิ้นสุด  คนมี ""สติชั่ว"" ย่อมเวียนลงสู่นรก  คนมี ""สติดี"" ย่อมขึ้นอยู่สวรรค์ชั้นเทพเทวา  เมื่อทั้งสองฝ่ายเสวยผลบุญและบาปแล้วย่อมเวียนมาก่อสร้างเวรกรรมของตนเองต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
   ""ทำไมสร้างกรรมดีแล้วยังต้องเวียนว่ายอีกเล่า""" คนที่สร้างบุญกุศลเอาไว้เปรียบดังฝากเงินเอาไว้ในธนาคาร เงินนั้นเป็นของตนเมื่อใช้หมดแล้วย่อมต้องได้รับความทุกข์ที่ยังเกาะติดตัวเองอยู่"""
   ""สติชอบ""ตามหลักการของทางสายกลางนั้นย่อมพ้นไปจาก ""ความชั่ว"" และ ""ความดี"" เพราะเป็นสติที่ชอบด้วยหลักสัจธรรม  การกระทำทุกประการของสติที่ชอบด้วยหลักของทางสายกลางนั้น ย่อมไม่คิดถึงบุญและผลที่ตนเองจักได้รับเลย แต่เป็นสติที่จะยังให้มวลชนทั้งปวงได้รับความสุขถ้วนหน้าโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แม้ตนเองได้รับทุกข์ แต่เพื่อความสุขของสรรพชีวิตทั้งหลายก็ยินยอม
     การตั้งสติชอบ  เช่นนี้จึงจักเป็น สติชอบด้วยหลักของทางสายกลางและเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์และเวียนว่ายตายเกิดด้วย ""จิต"" ไม่เกาะเกี่ยวในความดี ความชั่ว อีกต่อไปนั่นแล  ""สติ""เช่นนี้แลเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      อาการของจิตที่ตั้งมั่นไม่วุ่นวายฟุ้งซ่านอย่างนี้เรียกมี ""สมาธิ"" แต่ทำไมจึงมี ""สมาธิชั่ว"" ซึ่งเรียกว่า ""มิจฉาสมาธิ"" และ""สมาธิชอบ"" ซึ่งเรียกว่า ""สัมมาสมาธิ""
   ""เหตุไฉน จึงไม่มี สมาธิดี สมาธิชั่ว และสมาธิชอบเล่า "" การที่จิตตั้งมั่นเสียแล้วย่อมไม่มีหนทางที่สามมีแต่สองหนทางเท่านั้น"" แต่เพราะไม่เข้าใจใช้ปัญญาพิจารณากันให้ถ่องแท้ว่า สมาธิ นั้นมีถึงสองหนทางเพราะฉะนั้นนักปฏิบัติจำนวนไม่น้อยจึงหลงไปสู่หนทางของ ""สมาธิชั่ว"" และช่วยกันเผยแพร่ว่าหนทางของสมาธิย่อมพาไปถึงนิพพานพ้นเวียนว่ายตายเกิด
    ""ผลของสมาธิไปสู่นิพพานจริงหรือไฉน"" ปุจฉา 
    ""ผลของสมาธิมิใช่หนทางไปสู่นิพพานเลย เพราะมีผลแต่เพียงทำให้จิตตั้งมั่นเท่านั้นเอง ถ้าผลเพียงเท่านี้ไปนิพพานกันได้แล้วไซร้ ฤาษีย่อมไปถึงนิพพานได้เช่นกัน""  วิสัชนา
      สรรพชีวิตในโลกนี้เผชิญต่อความทุกข์เพราะฉะนั้นจึงแสวงหาหนทางที่จะพ้นไปจากทะเลทุกข์ แต่เพราะมิได้ประจักษ์แจ้งในสัจธรรมจึงตกไปเป็นเหยื่อของผู้ที่อาศัยสมาธิมาเป็นสินค้า หลอกลวงให้เกิดความหลงกันทั่วหน้าเพียงเพื่อตนเองจักได้มีทรัพย์ศฤงคารมากมาย ผู้ที่หลอกลวงให้ผู้คนหลงไปในทางที่ผิดเช่นนี้ บาปเวรกรรมนั้นหนักหนาสาหัสนัก จนยากที่ชดใช้ได้หมดเพียงกัปล์เดียว หนทางไปสู่ความเป็น สมาธิ มีอยู่หลายแบบ แต่ละแบบล้วนมุ่งหมายให้ได้ผลเพียงจิตใจสงบตั้งมั่นเท่านั้นเอง
      คำภาวนา พุทโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอ พองหนอ นับตัวเลข ยกมือ กำหนดลมหายใจ ล้วนมีจุดหมายหลอกให้จิตตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วมีหนทางใช้อยู่สองหนทาง ทางหนึ่งนั้นหวังอิทธิฤทธิ์ ระลึกชาติได้ เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน ไม่หนาวไม่ร้อน รักษาโรคภัยไข้เจ็บ เสกของขลัง แปลงกาย หายตัว
      การใช้อานุภาพของจิตที่ตั้งมั่นไปในลักษณะเช่นนี้ มิได้มีผลแห่งการพ้นทุกข์ แต่กลับหลงไปสู่หนทางอบายภูมิ เพราะในที่สุดผู้นิยมยกย่องหลงใหล และในที่สุดตัวเองก็หลงตัว ผู้มีญาณสมาธิเช่นนี้จึงเสื่อมได้ โลกียฤทธิ์เหล่านั้นจึงเสื่อมถอยไปด้วย ฤาษีนิยมเข้าฌานสมาธิเช่นนี้
      พระพุทธองค์ทรงผ่านวิธีการเช่นนี้มาแล้วกับมหาฤาษีสองตน คือ อุทกดาบส กับ อาฬารดาบส แต่พระองค์พิจารณาว่า สมาธิเช่นนี้มิใช่หนทางแห่งการพ้นเวียนว่ายตายเกิด ไม่อาจบรรลุสู่นิพพานได้เลย พระพุทธองค์จึงทรงเลิกวิธีการนี้เสียหันมาบำเพ็ญเองพระพุทธองค์ทรงใช้ปัญญาพิจารณาและรู้ได้ด้วยว่าสมาธิแห่งฤาษีนั้นมิได้ส่งผลดี มีแต่หนทางหลงเพราะเมื่อพ้นไปจากสมาธิเช่นนี้แล้ว จิตยังคงวนเวียนอยู่กับ ทุกข์ สุข ของโลกนี้ มิได้เป็นความสงบอันแท้จริง
      แต่บรรดาผู้ปฏิบัติทั้งปวงมิได้พิจารณาถึงกรณีนี้ กลับนับถือพระพุทธองค์ แต่ใช้วิธีของฤาษีสั่งสอนให้ผู้คนนั่งสมาธิกัน บางแห่งยึดติดสมาธิยังหลงไม่พอกลับหาทางให้ยึดติดรูปปั้นทองคำ บางแห่งต้องการคนมานั่งกันเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ความหลงเหล่านี้ล้วนเป็นบาปเวรทั้งสิ้น
      อีกทางหนึ่งของความเป็นสมาธิใช้ไปในทางตัดกิเลสทั้งปวงที่เกิดขึ้นแต่จิต สมาธิเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดสัมมาปัญญาอันแท้จริงการเรียนรู้หรือรู้เท่าทันกิเลสที่เกิดขึ้นภายในจิตของตนเองย่อมต้องใช้ปัญญาแยกแยอะและเอาชนะด้วยตนเอง
      การบำเพ็ญของพระพุทธองค์แสวงหาสัจธรรมภายในจิตและทรงค้นพบว่า แท้ที่จริงแล้ว ""ธรรมญาณ"" อันเป็นตัวตนที่แท้จริงนั้นยิ่งใหญาไพศาล ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ทำลายไม่ได้ โดยสภาวะเดิมแล้วเป็นสมาธิอยู่ในตัวเองเสร็จสรรพ ไม่ต้องกำหนดหมาย ไม่ต้องหลอกล่อ หรือกำหนดรูปแบบใด ๆ เลย เมื่อพระองค์คืนกลับสู่สภาวะเดิมของ ""ธรรมญาณ"" จึงย้อนระลึกได้ว่าการทำลายกิเลสและเอาชนะตัวเองได้จึงเป็นการชนะที่ยิ่งใหญ่
      สมาธิเช่นนี้จึงเป็นหนทางสายกลางอันแท้จริง เพราะรู้ตัวทั่วพร้อมและสามารถทำการงานได้ ยังประโยชน์ให้แก่เวไนยสัตว์ได้  แต่มิจฉาสมาธิล้วนแต่กระทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองทั้งสิ้น สมาธิเช่นนี้จึงยังคงมีความรักและเกลียดอยู่ไม่รู้หาย
      สภาวะแห่งจิตยังคงหมุนเวียนอยู่ในทางดีและชั่ว เพราะปรารถนาให้ได้ ให้เป็น เพื่อตนเอง 
      แต่สัมมาสมาธิ มิได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพราะเป็นสมาธิแห่งธรรมญาณ จึงกระทำการทุกอย่างดั่งฟ้าดินที่ต้องการให้เวไนยสัตว์ทั้งปวงพ้นไปจากทุกข์  สัมมาสมาธิ จึงไม่มีอาการเห็นแก่ตัวตน ไม่ต้องการทรัพย์ศฤงคาร ไม่ต้องการคนมานั่งเป็นหมื่นเป็นแสนไม่จำเป็นต้องปั้นรูปทองคำให้คนกราบไหว้บูชา สมาธิชอบจึงเป็นสมาธิที่ชอบด้วยหลักสัจธรรม อันปราศจากรูปลักษณ์ใด ๆ

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”