กาย เป็นรูปธรรมเพราะเหตุนี้จึงสามารถกำหนดให้หยุดนิ่งได้ไม่ยากนัก แต่ กาย กับ จิต มักเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม พอกายนิ่ง จิตจะวิ่ง ถ้ากายวิ่ง จิตย่อมนิ่ง เมื่อมีภาวะตรงกันข้ามเช่นนี้ เวลาทำ ""จิตนิ่ง"" กายจึงต้องเคลื่อนไหวแม้การกำหนดด้วยลมหายใจ การนับตัวเลขย่อมเป็นความเคลื่อนไหวของกายทั้งสิ้น อาการเคลื่อนไหวของจิตจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้อยู่นิ่ง ๆ ได้ เพราะโดยพลังงานของจิตย่อมไม่อยู่นิ่งอยู่แล้ว ยิ่งมีปัจจัยมาปรุงแต่ง จิตย่อมเคลื่อนไหวได้รวดเร็วจนยากที่จะจับให้อยู่นิ่งได้
ปัจจัยปรุงแต่งมาจากใหน สิ่งที่ไหลเลื่อนมาจากอายตนะหกคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าไปสู่การปรุงแต่งเป็นอายตนะภายใน ตาจึงเห็นรูป หูจึงได้ยินเสียง จมูกจึงได้รับกลิ่น ลิ้นจึงได้สร้างรส กายจึงได้ผัสสะ ใจจึงเกิดเป็นอารมณ์
ทั้งหมดนี้จึงไปปรุงแต่งกับจิตจึงก่อให้เกิด ดี และ ชั่ว เมื่อยึดถือเอาไว้จึงกลายเป็น ""ชอบ"" และ ""ชัง"" จิตจึงแสดงออกตามสิ่งที่ตนเองปรุงแต่งถ้าชอบก็ดีใจ ถ้าไม่ชอบก็เสียใจ กายจึงแสดงออกตามจิต รู้สึก ดีใจก็หัวเราะ เสียใจถึงร้องไห้ อาการอย่างนี้จึงเป็นการเคลื่อนไหวของจิต และเมื่อมีกายอยู่ ปัจจัยปรุงแต่งก็ย่อมมีเข้ามาตามอายตนะสม่ำเสมอเพราะฉะนั้น จิตจึงวิ่งรับตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จิตจึงได้รับการเปรียบเทียบดั่งลิง การกำกับให้ลิงอยู่นิ่งยากเย็นฉันใด การกำกับจิตให้อยู่นิ่งก็ยากเย็นฉันนั้น
เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังเป็นสภาวแห่ง ""จิต"" อยู่แล้วย่อมมิได้หยุดนิ่งเลย การภาวนาและหาหนทางกำกับด้วกลอุบายใด ๆ เพื่อให้ ""จิตนิ่ง""จึงเป็นการหลอกลวงจิตโดยแท้จริง และมิได้เป็นหนทางแห่งการพ้นการเวียนว่ายแต่ประการใด
ถ้ารูปแตกกายทำลายลงไป อายตนะหกหมดไป ยังจะมีอะไรปรุงแต่งหรือไม่.....แม้รูปแตกไปแล้วแต่สภาวะแห่งจิตก็ยังเกาะกุมไปด้วย รูป รส กลิ่น เสัยง ผัสสะ และอารมณ์ เหล่านี้จึงกลายเป็นแรงผลักให้ ""จิตวิ่ง"" ไปสู่วิบากกรรมที่ตนเองสร้างเอาไว้
ตังอย่างที่แสดงให้เราเห็นได้ชัดแจ้ง.....ชายคนหนึ่งอยู่จังหวัดบุรีรัมย์มีนิสัยชอบกินเต่า เขาจึงจับเต่าในละแวกบ้านเอามาผ่าอกและยำเนื้อเต่ากินกับเหล้าด้วยความเอร็ดอร่อย กินจนกระดองเต่าสูงเป็นภูเขาขนาดย่อมและเต่าหมดไปจากหมู่บ้าน วันหนึ่งชายคนนี้ได้เดินทางไปหาเต่ายังต่างหมู่บ้านและได้เต่าตัวใหญ่มาตัวหนึ่งแสนดีใจเอามีดผ่าอกเต่าและต้มยำกินด้วยความดีอกดีใจนัก แต่พอกินเต่าตัวนี้หมดเท่านั้น เขาก็ล้มป่วยด้วยโรคประหลาด นอนไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นเอง แต่ตอนกลางคืนกลับสามารถคลานอยู่ในห้องได้ วันหนึ่งหายไปจากที่นอนป่วย ผู้คนในบ้านตามหาจนทั่วจึงไปพบที่ใต้ถุนบ้าน นอนหมอบดังเต่าอยู่ในแอ่งน้ำ เมื่อนำขึ้นมาล้างทำความสะอาดแล้ว ชายคนนี้ก็นอนแบบหมดแรง แต่พอตกดึกในคืนวันนั้นเอง ชายคนนี้ได้เอามีดที่เคยผ่าอกเต่าเป็นประจำมาผ่าอกตนเองตายอย่างเอน็จอนาถนัก และที่แปลกประหลาดก็คือ มีดที่ผ่าอกเต่านี้ ภรรยาเอาไปซ่อนไว้อย่างดีแต่ชายคนนี้กลับหาพบ เมื่อเขาทำลายตัวเองพ้นไปจากมนุษย์แล้ว จิต ของเขาซึ่งยังคงยินดีในรสชาติของเนื้อเต่าย่อมปรุงแต่งให้ตัวเองไปเกิดเป็นเต่า อันเป็นวิบากกรรมที่ได้สร้างเอาไว้ในจิตนั่นเอง
การสำรวม กาย วาจา ใจ ที่พระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้ก็เพื่อให้พ้นไปจากการปรุงแต่งของจิต นั่นหมายถึง การตัดการไหลเลื่อนของอายตนะทั้งภายในและภายนอก
เมื่อมีปัจจัยมากระทบอายตนะ ปัญญาต้องรู้เท่าทันและไม่ยึดติดต่อปัจจัยเหล่านี้ หากไม่สามารถตัดได้ขาดย่อมเป็นพลังก่อให้เกิดอาการปรุงแต่งและเก็บเอาไว้ภายในจิตของตนเอง
การสั่งสมภาวะทั้งดีและชั่วเอาไว้ภายในจิตของตนเองจึงก่อให้เกิดอาการเคลื่อนไหวของจิต พ้นไปจากหนทางสายกลาง การพ้นไปจากปัจจัยปรุงแต่งจึงมิได้อยู่ที่การบังคับมิได้มันไหลเลื่อนเข้ามาตามช่ิงทางของอายตนะหก แต่ปล่อยให้ไหลเข้ามาแต่มิได้ยึดติดในสิ่งเหล่านี้ อาการปรุงแต่งย่อมหมดไป และสภาวะเช่นนี้จึงเป็นเรื่องของ"ธรรมญาณ"อันเป็นทางสายกลางโดยแท้จริง