ผู้ที่มิได้ปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของธรรมะ แม้อยู่ในศาสนา นับถือศาสดาองค์เดียวกันก็มีความเห็นแตกต่างกันและลุกลามกลายเป็ยข้อขัดแย้งทะเลาะกัน ข้ามศตวรรษก็มีอยู่ทั่วทุกศาสนา ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาใหญ่ ๆ ในโลกที่มีศาสนิกนับถืออยู่มากมายนับเป็นล้าน ๆ คน แต่ก็เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ทุกศาสนาต่างแตกแยกกลายเป็นนิกายต่าง ๆ มากมายจนประมาณมิได้ ศาสนาคริสต์มีนิกายนับร้อย ศาสนาอิสลามก็แบ่งแยกนิกายนับไม่ถ้วน ศาสนาพุทธก็มีนิกายมากมายเช่นกัน
สมัยที่องค์พระศาสดาทรงพระชนม์ชีพอยู่ การแบ่งแยกเป็นนิกายไม่เกิดขึ้นเพราะเหตุที่พระศาสดาดำรงอยู่ในฐานะที่ตรัสรู้ธรรมะเพราะฉะนั้นสาวกองค์ใดมีปัญหานอกรีตนอกรอยก็พอที่จะปรามหรือแก้ไขปัญหาทั้งปวงได้ ตัวอย่างสมัยพุทธกาล พระเทวทัต ตั้งตนเป็นใหญ่เพื่อแบ่งแยกการปกครอง ออกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการยื่นข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ต่อพระพุทธองค์ว่า
1. ภิกษุทั้งหลายควรอยู่ป่าตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่มีความผิด
2. ภิกษุทั้งหลายควรเที่ยวบิณฑบาตรตลอดชีวิต รูปใดรับกิจนิมนต์มีความผิด
3. ภิกษุทั้งหลายควรถือผ้าบังสุกุลตลิดชีวิต รูปใดใช้ผ้าคหบดีมีความผิด
4. ภิกษุทั้งหลายควรอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต รูปใดอยู่ที่มุงที่บังมีความผิด
5. ภิกษุทั้งหลายไม่ควรฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันมีความผิด
ข้อขัดแย้งทั้งห้าประการนี้ล้วนเป็นอุบายที่จะแบ่งแยกการปฏิบัติศาสนิกออกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในครั้งนั้นพระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตตามที่พระเทวทัตทูนขอ พระเทวทัตจึงแบ่งแยกสงฆ์ออกไปจากการปกครองของพระพุทธองค์ด้วยพระบวชใหม่ยังไม่เข้าใจในธรรมะจึงติดตามพระเทวทัตไปหมู่หนึ่ง
และในที่สุดข้อขัดแย้งนี้ก็ยุติลงด้วยพระสารีบุตรไปชี้แจงแสดงธรรมะแก่สาวกของพระเทวทัตจนกลับใจ ความแตกแยกทางความคิดของพระศาสนาที่บรรดาศาสนิกทั้งหลาย กระทำขึ้นย่อมระงับได้ด้วยพระบัญชาของพระพุทธองค์ การแบ่งแยกนิกายจึงไม่เกิดขึ้นในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ แม้ในศาสนาคริสต์ อิสลามก็เช่นเดียวกัน
แต่ภายหลังที่พระศาสดาสำเร็จธรรมคืนกลับสู่เบื้องบนแล้ว บรรดาสาวกทั้งปวงต่างตีความคำสอนพระศาสดาตามใจของตนเองจึงแบ่งแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ มากมาย การตีความนั้นย่อมผิดเพี้ยนออกไปจากหนทางของ "" ธรรมะทางสายกลาง "" เพราะต่างก็จะตีความไปตามความพอใจและความคิดของตนเอง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ คัมภีร์ อัล-กรุอาน ของศาสนาอิสลามมีอายุยืนยาว 1,416 ปีแล้ว ตัวพระคัมภีร์ไม่มีการแก้ไขแต่ประการใด เพราะถือเป็นบัญญัติของพระอัลเลาะห์ อันเป็นพระผู้เป็นเจ้าอันสูงสุด แต่เหตุไฉนจึงแบ่งแยกนิกายออกไปมากมายได้ เป็นเพราะศาสนิกในรุ่นหลังเอาพระคัมภีร์นั้นมาตีความและปฏิบัตไปตามจริตของตนเอง จึงกลายเป็นข้อขัดแย้งและแบ่งแยกเป็นนิกาย
ส่วนในพุทธศาสนานั้นแบ่งออกเป็นนิกายใหญ่ ๆ สองนิกายคือ หินยาน และมหายาน แต่ละนิกายก็แบ่งออกเป็นอีกหลายนิกายเพราะความคิดไม่ลงรอยกันในความเชื่อและการตีความพระวจนะของพระพุทธองค์
ทางมหายานอันเป็นยานอันใหญ่ก็มีความเชื่อว่า พระศากยมุนีพระพุทธเจ้าที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์เป็นพระพุทธเจ้าแท้จริงหรือว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่ "พระพุทธเจ้าองค์แท้จริง" บันดาลให้มีขึ้นเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ แต่ทางหินยานหรือเถรวาท ยึดถือว่า พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ แม้ความเชื่อในทางหลุดพ้นก็แตกต่างกัน หินยานเชื่อว่าความเป็นพระอรหันต์ เป็นทางหลุดพ้นสูงสุด มหายานเชื่อว่าความสำเร็จของพระอรหันต์เป็นธรรมดาของการปฏิบัติ พระพุทธภูมิจึงถือว่าเป็นขั้นสูงสุด แม้ความคิดทางด้านนิพพานก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มหายานเชื่อว่านิพพานคือความเป็นสูญที่สมบูรณ์ที่สุดหมายถึง นิจจัง สุขขัง อัตตา ความเห็นอันแตกต่างกันเช่นนี้เองจึงทำให้ต่างฝ่ายต่างโทษกันว่า "ผิด" เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่าตนเอง "ถูก" จึงมองเห็นอีกฝ่ายหนึ่ง "ผิด"
ที่เป็นเช่นนี้เพราะทั้งสองฝ่ายเดินออกนอกหนทางแห่งกรอบของธรรมะอันเป็นทางสายกลาง ความแตกต่างทางความคิดและความเชื่อของ ปุถุชน ย่อมยึดเอาอารมณ์ของตน เป็นที่ตั้ง แต่ในกรอบของ "ธรรมะ" ย่อมปราศจากอารมณ์ เพราะฉะนั้นพระศาสดาตรัสรู้ทางสายกลางจึงเห็นเป็นอย่างเดียวกันไม่ว่าพระศาสดาองค์นั้นจะถือสัญชาติอะไรก็ตามที
พระศาสดาจึงไม่มีการขัดแย้งและทะเลาะกัน เพราะต่างอยู่ในแนวทางเดียวกัน แต่บรรดาสาวกในชั้นหลังต่างหลุดพ้นไปจาก"ทางสายกลาง" เพราะฉะนั้นต่างคนต่างจึง "เพี้ยน" กันไปโดยไม่รู้ว่าตนเอง " เพี้ยน" ไปจากหนทาง "สายกลาง" ล่วงมาจนถึงพ.ศ.นี้ ศาสนาทั้งปวงจึงเสื่อมไปจากจิตใจของมนุษย์