collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรัชญาเมิ่งจื่อ : ปราชญ์เมิ่งจื่อ : เริ่มเรื่อง  (อ่าน 68395 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวต่อไปว่า "หากสมมุติว่า ขุนนางของอ๋องท่านได้ฝากภรรยาไว้ในความดูแลของเพื่องสนิท ตนเองต้องเดินทางไปเมืองฉู่ พอกลับมาได้พบว่า ภรรยาของตนถูกทอดทิ้งอยู่กับความหิวหนาว เพื่อนอย่างนี้ควรจะทำอย่างไรกับเขา"  อ๋องว่า "ตัดขาดกัน" ปราชญ์เมิ่งจื่อสมมุติอีกว่า "หากผู้บังคับการในลหุฯ ไม่อาจควบคุมจำกัดลูกน้องของตนได้เล่า ควรทำอย่างไร" อ๋องตอบว่า "ไล่ออกจากงาน"  ปราชญ์เมิ่งจื่อสมมุติอีกว่า "หากประมุขของบ้านเมือง ไม่อาจควบคุมความสงบภายในเขตบ้านเมืองรอบด้านได้เล่า ควรจัดการอย่างไร" อ๋องเหลียวดูขุนนางซ้ายขวา หาคำตอบไม่ได้ แล้วเฉไฉพูดเรื่องอื่นไป (บทนี้ ปราชญ์เมิ่งจื่อยกตัวอย่างเพื่อให้อ๋องตื่นใจ ได้ข้อคิดพิจารณาตน)  อีกครั้งหนึ่ง ที่ปราชญ์เมิ่งจื่อได้พบกับฉีเซวียนอ๋วง กล่าวว่า "อันบ้านเมืองเก่าแก่นั้น มิใช่เห็นได้ด้วยต้นไม่เก่าแก่ยืนต้นเต็มบ้านเมือง แต่เห็นได้จากขุนนางเก่าแก่จงรักภักดีมาหลายชั่วคน  ขณะนี้ อ๋องท่านไม่มีแม้แต่ขุนนางที่สนิท ที่เพิ่งแต่งตั้งเมือ่วันก่อน วันนี้ก็ยังมิรู้ว่า จะยั่งยืนหรือไม่เพียงไร" อ๋องว่า "ถ้าเช่นนั้น ทำอย่างไรเราจึงจะดูออกว่านั่นไม่ใช่คนที่มีคุณสมบัติ จะได้เพิกถอนเสีย" ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "กษัตริย์จะคัดขุนนางเข้าวังถ้าจำเป็นจะต้องยกย่องผู้อยู่ตำแหน่งล่างให้สูงขึ้นกว่าคนที่อยู่เหนือกว่า ยกย่องขุนนางที่อยู่ห่าง ให้ขึ้นมาใกล้ชิดกว่าคนสนิทที่มีอยู่ก่อน การนี้ จะไม่รอบคอบระมัดระวังไม่ได้ หากบุคคลผู้รับการยกย่องนั้น ขุนนางซ้ายขวาต่างชื่นชมว่าดีเช่นนี้ ก็ยังรับไม่ได้ หากขุนนางทั้งหมดล้วนว่าดี ก็ยังเชื่อไม่ได้ แต่ถ้าชาวเมืองทั้งหมดชมว่าดี อย่างนี้สมควรที่จะพิจารณา เมื่อเห็นเป็นเมธีแท้ จากนั้นจึงแต่งตั้ง  คนซ้ายขวาล้วนว่าใช้ไม่ได้ อย่าได้เชื่อความ แต่คนทั้งบ้านเมืองล้วน
ว่าใช้ไม่ได้ จึงพิจารณา เมื่อเห็นว่าใช้ไม่ได้จริง จากนั้นจึงปลดไป หากคนซ้ายขวาว่าประหารได้ อย่าฟัง ขุนนางทั้งหมดล้วนว่าประหารได้ อย่าฟัง คนทั้งบ้านเมืองว่าประหารได้ จึงพิจารณา เมื่อเห็นว่าประหารได้จึงประหาร  จึงกล่าวได้ว่า "เป็นโทษประหารจากมติของคนทั้งบ้านเมือง" ทำดังนี้ได้ จึงเป็นพระบิดาแห่งประชาราษฏร์" พระเจ้าฉีเซวียนอ๋วง ถามอีกว่า "กษัตริย์ซังถัง เนรเทศกษัตริย์เซี่ยเจี๋ย (ทรราช) กษัตริย์อู่อ๋วงยกทัพปราบกษัตริย์โจ้วอ๋วง (ทรราช) เรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่" ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "มีประวัติจารึกไว้" ถามอีกว่า "ถ้าเช่นนั้น ขุนนางล้มล้างปลงพระชนม์กษัตริย์ได้หรือ" ตอบว่า "คนที่ทำลายกรุณาธรรม เรียกว่า "ปล้น" (เจ๋ย) คนที่ทำลายหลักมโนธรรม เรียกว่า "โหด" (ฉัน) คนที่ปล้นฆ่ากรุณามโนธรรม เรียกว่า "ทรชน คนโฉด" (ตู๋ฟู) ข้าพเจ้าได้ยินแต่ว่า กษัตริย์โจวอู่อ๋วงนั้น ได้ล้มล้างทรชนคนหนึ่งนามว่าโจ้ว ไม่ได้ยินว่า กษัตริย์โจวอู่อ๋วงปลงพระชนม์กษัตริย์เลย"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        ท่านปราชญืเมิ่งจื่อพบกับฉีเซวียนอ๋วง กล่าวว่า "เมื่อจะสร้างพระราชฐานใหม่ จะต้องให้ช่างหาต้นไม้ขนาดใหญ่ เมื่อช่างได้ต้นไม้ขนาดใหญ่มา อ๋องก็จะดีใจมาก คิดว่าช่างคนนี้รับผิดชอบต่อหน้าที่ดีนัก เมื่อช่างไม้จัดการถากไม้ ตัดแต่งให้ได้ตามสัดส่วนที่ต้องการ อ๋องกลับพิโรธ เมื่อเห็นไม้ใหญ่กลายเป็นไม้เล็ก คิดว่าช่างนี้ทำหน้าที่ไม่ได้เสียแล้ว คนทั่วไปเรียนรู้การช่างตั้งแต่เด็ก ล้วนหวังว่าเมื่อวัยฉกรรจ์จะได้แสดงฝีมือเต็มที่ แต่หากอ๋องบอกแก่เขาว่า "หยุดความคิดของเจ้าได้แล้ว จงทำตามที่เราจะบอกให้สร้าง" ถ้าเป็นเช่นนี้ อ๋องท่านลองประมาณการสิว่า พระราชฐานหลังนั้นจะงดงามหรือไม่ สมมุติอีกว่า ขณะนี้ มีหินหยกที่ยังไม่ได้เจียระไนก้อนหนึ่ง แม้ค่าของหยกจะมหาศาล แต่จะต้องผ่านการ แกะ สกัด เจียระไน จากช่างหยก จึงจะเป็นเครื่องหยกล้ำค่าได้ สำหรับการปกครองบ้านเมืองก้เช่นกัน หากพูดว่า "ท่านจงหยุดพูดถึงหลักธรรมที่เรียนมาจากอริยปราชญ์เสียก่อนเถิด แต่จงทำตามความคิดของเรา ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน" หากเป็นเช่นนี้ ก็จะต่างอะไรกับการสอนให้ช่างหยกตกแต่งหินหยกตามใจตนซึ่งเป็นผู้ไม่รู้เล่า" เมืองฉียกทัพไปตีเมืองเอียน ได้ชัยชนะ ฉีเซวียนอ๋วงถามปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "มีคนเสนอความเห็นว่า เราอย่าได้ยึดครองแผ่นดินเอียน แต่บ้างก็เสนอให้ยึดครอง  เมืองฉีที่มีหมื่นคันรถม้าศึก ยกทัพไปรบรากับเมืองเอียนที่มีหมื่นคันรถม้าศึก ใช้เวลาเพียงห้าสิบวัน ก็ได้ชัยชนะ ถ้าเพียงใช้กำลังคน (ทหาร) คงไม่เร็วได้เพียงนี้ ชนะศึกแล้วไม่ยึดครองแผ่นดิน เกรงฟ้าจะบันดาลโทษภัย... เราว่า ยึดครองเสียจะดีหรือไม่" ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "หากยึดครองแล้วชาวเมืองเอียนยินดีปรีดา ก็จงยึดครองเถิด กษัตรย์ก่อนเก่าก็เคยปฏิบัติมา เช่นกษัตริย์อู่อ๋วง ที่ปราบปรามทรราชโจ้วนั่นเอง หากยึดครองแผ่นดินแล้ว ชาวเมืองเอียนไม่พอใจ ก็อย่าได่ยึดครอง ซึ่งกษัตริย์ก่อนเก่าก็เคยปฏิบัติมา คือ กษัตริย์เหวินอ๋วง การใช้รถม้าศึกหนึ่งหมื่นคัน ปราบปรามบ้านเมืองที่มีรถม้าศึกหนึ่งหมื่นคันเสมอกัน เมื่อได้รับชัยชนะ ประชาชนฝ่ายผู้แพ้จะนำข้าวใส่กระบอกไม้ใผ่ นำจอกใส่เหล้ามาต้อนรับกองทัพผู้ชนะจะด้วยสาเหตุใดอีกเล่า ทั้งนี้ก็คือ อยากพ้นจากปกครองที่ " น้ำลึก ไฟร้อน " แต่ก่อนมา (สุ่ยเซินหั่วเย่อ) อยากจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมที่ต้องทนรับสภาพเท่านั้นเอง" (บทนี้ ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อให้ข้อคิดว่า ยกทัพปราบปรามยึดครองแผ่นดิน จะต้องไม่ฝืนใจชาวประชา จึงจะสอดคล้องต่อพระประสงค์ฟ้าเบื้องบน)  เมืองฉียกทัพปราบศึกเมืองเอียน ยึดครองแผ่นดิน เจ้าเมืองหัวเมืองน้อยใหญ่รวมใจกัน จะกอบกู้เมืองเอียนกลับคืนมา ฉีเซวียนอ๋วงถามปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "เจ้าเมืองน้อยใหญ่รวมใจ จะยกทัพจับศึกต่อเรา จะทำอย่างไรดี" ตอบว่า "ข้าฯ ได้ยินมาว่า มีพื้นที่โดยรอบเพียงเจ็ดสิบลี้ ก็เป็นอ๋องปกครองบ้านเมืองได้แล้ว นั่นคือ กษัตริยฺซังทังผู้ทรงธรรม ข้าฯ ไม่เคยได้ยินว่า บ้านเมืองที่มีพื้นที่กว้างใหญ่โดยรอบถึงหนึ่งพันลี้ ต้องตกอยู่ในภาวะระแวงภัย" ในหนังสือซั่งซู จารึกไว้ว่า "ครั้งแรกที่กษัตริย์ซังทังยาตราทัพ เริ่มจากเมืองเก่อ ผู้คนทั่วหล้าฟ้ากว้างต่างเชื่อว่า กษัตริย์ซังทังยกทัพจับศึก ก็เพื่อจะปลดปล่อยชาวบ้านชาวเมืองที่ถูกกดขี่ข่มเหง ดังนั้น หากกษัตริยฺซังทังยาตราทัพไปทางตะวันออก ชาวเมืองอี๋ทางทิศตะวันตกก็จะน้อยใจ หากยาตราทัพไปทางใต้ ชาวเหนือก็น้อยใจ ต่างกล่าวกันว่า  "ไฉนให้เราลำดับหลัง"  ประชาราษฏร์ทุกบ้านเมือง รอคอยการปกครองโดยธรรมจากกษัตริย์ซังทัง ไม่ต่างคอยเมฆฝนจากหน้าแล้ง ไม่ต่างจากทุกเช้าคอยรุ้งกินน้ำให้ฝนฉะนั้น ทุกหนแห่งที่กองทัพของกษัตริย์ซังทังไปถึง คนซื้อขายในตลาดยังคงซื้อขายไปตามปกติ ไม่วิตกกังวล หยุดชะงัก ชาวไร่ชาวนายังคงก้มหน้าคราดไถต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กองทัพจับทรราชสำเร็จโทษ ให้ประโยชน์ปลอบขวัญชาวบ้านชาวเมือง เหมือนฝนอมฤตชโลมลง ประชาชนต่างยินดีปรีดา ดังได้จารึกไว้ในหนังสือซั่งซูว่า  "รอคอยกษัตริย์ผู้ทรงธรรมของเรามาถึง จากนั้น พวกเราก็จะได้ฟื้นคืนชีพ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        วันนี้  อ๋องแห่งเมืองเอียน ขูดรีดประชาชน อ๋องท่าน (ฉี) ยาตราทัพเข้าไป ชาวประชาเข้าใจว่า ทั้งนี้ เพื่อการกอบกู้พวกเขาให้พ้นจากสภาพน้ำลึกไฟร้อน (สุ่ยเซินหั่วเย่อ) จึงต่างนำกระบอกข้าว จอกเหล้า มาต้อนรับกองทัพของอ๋องท่าน แต่หากทำการฆ่าพ่อฆ่าพี่ของเขา มัดตัวลูกหลานของเขา ทำลายศาลบรรพชน ขนข้าวของมีค่าของเขาไป ทำให้พวกเขาผิดหวัง ดังนี้จะได้หรือ ทั่วหล้าจะขยาดเมืองฉี อีกทั้งบัดนี้ เมืองฉีได้แผ่นดินจากการยึดครองไปอีกหนึ่งเท่าตัว แต่ไม่ครองแผ่นดินโดยธรรม ไม่บริหารบ้านเมืองโดยการุณย์ เห็นได้ชัดเจนว่า หาศึกทั่วหล้ามาประชิดตน  อ๋องท่านรีบมีพระบัญชาเถิด รีบปล่อยเฉลยศึก ทั้งผู้เยาว์ เฒ่าชรา หยุดการโยกย้ายกอบโกยของมีค่า รีบปรึกษาหารือขอความเห็นจากชาวเมืองเอียน แต่งตั้งประมุขคนใหม่ให้เรืองรุ่ง จากนั้นถอนทัพกลับออกมา ยังจะแก้ไขเหตุร้ายที่เกิดขึ้นแก่เมืองฉีของอ๋องท่านได้  เมืองโจว กับ เมืองหลู่ พิพาทบาดหมางกัน  พระเจ้าโจวมู่กง ถามท่านปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ขุนนางปกครองท้องถิ่นของเรา สู้รบตายไปสามสิบสามคน ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีที่จะทะยานตนเข้าช่วยเหลือสักคน การนี้ หากเอาโทษชาวบ้าน จัดการประหารเสียก็มากมาย ประหารได้ไม่หมด แต่หากไม่ประหารก้เท่ากับยอมรับการเฉยเมยมองดูผู้ปกครองท้องถิ่นถูกฆ่าตายของพวกเขา เราจะจัดการอย่างไรดี"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ปีฝนแล้งไร่นาล่ม ประชาชนของอ๋องท่านทั้งผู้เยาว์ เฒ่าชรา  อ่อนกำลังต่างอดตาย ศพมากมายเหล่านี้ถูกนำไปทิ้งลงหลุมในหุบเขา คนที่ยังแข็งแรงก็กระจัดกระจายไปตายเอาดาบหน้า คนเหล่านี้มีจำนวนหลายพัน... ...แต่ในยุ้งฉางของอ๋องท่านนั้น กักตุนข้าวเปลือกไว้เต็มเพียบ ท้องพระคลังก็มั่งคั่งมากล้น ขุนนางผู้ปกครองท้องถิ่นต่างเพิกเฉย ไม่กราบทูลความทุกข์ยากของประชาชน ให้ทรงทราบ เช่นนี้คือ ลบหลู่เบื้องสูง ดูดายเบื้องต่ำ  ลบหลู่กับดูดายเช่นนี้ ท่านปราชญ์เจิงจื่อเคยกล่าวไว้ว่า "ทำการใด ๆ ให้รอบคอบระวังตั้งใจหนอ ระวังตั้งใจหนอเรื่องร้ายที่ออกไป (เกิด) จากตัวท่าน จะต้องสนองตอบแก่ตัวท่านหนอ"  นั่นก็คือ ชาวบ้านจะต้องเสียหายจากการดูดายของขุนนางผู้ปกครองอยู่ทุกวัน สุดท้าย ขุนนางเหล่านั้น ย่อมต้องได้รับผลนั้นตอบสนอง  ฉะนั้น อ๋องท่านมิพึงกล่าวโทษชาวบ้าน ขอเพียงดำเนินการปกครองด้วยการุณย์ธรรม ชาวบ้านทุกคนก็จะชิดใกล้ ยอมตายเพื่อขุนนางปกครอง"  พระเจ้าเถิงเหวินกง เรียนถามท่านปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "เถิงของเราเป็นเมืองเล็ก อีกทั้งถูกขนาบสองข้างด้วยฉีกับฉู่เมืองใหญ่ เราควรจะสวามิภักดิ์กับเมืองใด"  ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า " แผนรับมือนี้ มิใช่ข้า ฯจะคิดให้รอบคอบได้ (ใจคนหยั่งยาก) หากจำเป็น มีทางเดียวคือ ขุดคูล้อมเมือง สร้างกำแพงป้องกันโดยรอบ ประชาชนอยู่ภายใน ให้ร่วมใจรักษาเมือง ไม่ทิ้งไปทำเช่นนี้จะดีกว่า (บทนี้ ปราชญ์เมิ่งจื่อสอนให้ยืนหยัดด้วยตน "พึง" อาจล้ม) 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        ถามอีกว่า "เมืองฉีกำลังจะสร้างปร้อมปราการเขตเมืองเซวีย ที่ฉียึดครองมาได้ เมืองเซวียอยู่ติดชายแดนเมืองเถิงของเรา ทำให้ประวั่นนัก จะทำอย่างไรดี" ตอบว่า "ครั้งกระโน้น กษัตริย์โจวไท่อ๋วง (ต้นตระกูลราชวงศ์โจว) ตั้งเมืองอยู่ที่ปิน ถูกชนเผ่าชาวเหนือ รุกรานทำร้ายอยู่เนือง ๆ สุดท้ายต้องทิ้งเมืองปินไปอยู่เชิงเขาฉีซัน  โจวไท่อ๋วง มิใช่จงใจจะเลือกใช้สถานที่ใหม่แห่งนี้ แต่เป็นเพราะจำใจ แต่หากสร้างคุณความดีมีกรุณาธรรม ลูกหลานภายหน้าก็จะได้ปกครองแผ่นดินสืบสานงานใหญ่ต่อไป นั่นคือ ฟ้าลิขิตให้ตรงต่อจิตดีงาม ขณะนี้ อ๋องท่านจะทำอะไรได้กับเมืองฉี มีแต่ปกครองแผ่นดินโดยธรรมเท่านั้น ให้ลูกหลานได้สืบสานต่อไป" เถิงเหวินกงถามอีกว่า "เถิงของเราเป็นเมืองเล็กนัก พยายามเอาใจพวกเมืองใหญ่ แต่ยังไม่วายถูกรุกราน จะรับมืออย่างไรดี" ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "แต่ก่อน โจวไท่อ๋วงตั้งเมืองอยู่ที่ปิน ถูกชนเผ่าเหนือรุกรานเป็นประจำ โจวไท่อ๋วงส่งเครื่องบรรณาการเป็นประจำ เช่น หนังสัตว์  แพรพรรณ ไปแสดงความสวามิภักดิ์  การรุกรานยังคงมีมาไม่ขาด จึงส่งสุนัขพันธุ์ดีและม้าไปให้ การรุกรานของชนเผ่าเหนือยังคงไม่หยุดยั้ง แม้แต่บรรณาการด้วยหยก ด้วยอัญมณีล้ำค่า ก็ไม่อาจยับยั้งได้ สุดท้าย โจวไท่อ๋วงจึงเรียกประชุมผู้ใหญ่ทั้งหลาย ประกาศให้เห็นจริงว่า "สิ่งที่ชนเผ่าเหนือต้องการนั้น มันคือแผ่นดินโจวของเรา"  กษัตริย์โจวไท่อ๋วง กล่าวต่อผู้ใหย๋ที่ทรงคุณวุฒิทั้งหลายต่อไปว่า "เราได้ยินมาว่า กัลยาณชนประมุขผู้ทรงธรรม จะไม่ทำให้ชีวิตคนต้องเสียหาย เพื่อที่จะเลี้ยงดูผู้คน (แย่งชิงดินแดนจนต้องเข่นฆ่ากัน)  ท่านทั้งหลายไม่ต้องห่วงใยว่าจะไม่มีประมุข เราจะย้ายถิ่นฐาน" ในที่สุด โจวไท่อ๋วงไปจากเมืองปิน เดินทางข้ามเขาเหลียงซัน ไปสร้างเมืองใหญ่ที่เชิงเขาฉีซัน ชาวเมืองปินที่อยู่ร่วมกันมา ต่างกล่าวว่า "โจวไท่อ๋วงทรงมีกรุณาธรรมยิ่งนัก  เราจะผิดไปจากการปกครองของพระองค์ไม่ได้" ฝูงชนที่ติดตามโจวไท่อ๋วง อพยบเดินเบียดเสียดเป็นขบวนยาวเหมือนคนซื้อขายกันในตลาด แต่มีคนกล่าวว่า "แผ่นดินผืนนี้ที่อยู่มา น่าจะรักษาไว้ให้เป็นสมบัติของลูกหลานสืบต่อไป ไม่ใช่ว่าปู่ย่ารักษามาแล้ว เราก็จะทิ้งไป เราจะยอมสู้ตายกับผู้รุกราน จะไม่ยอมไปจากที่นี่  วิธีการทั้งสองแล้วแต่อ๋องท่านจะเลือกสรร" (บทนี้ปราชญ์เมิ่งจื่อชี้ให้เห็นหลักเหตุผล ของการรุกและรับ)  พระเจ้าหลู่ผิงกง กำลังจะออกจากพระราชฐาน ขณะนั้น ขุนนางคนสนิทชื่อว่า จังชัง ทูลถามว่า "ทุกครั้งที่จะออกจากวัง ฝ่าบาทจะบอกกล่าวเจ้าหน้าที่รักษาการ ให้รู้รายละเอียดของการเสด็จไป แต่วันนี้ รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว เจ้าหน้าที่กลับไม่มีใครทราบเลย ได้โปรด..." หลู่ผิงกงตอบว่า "จะไปพบปราชญ์เมิ่งจื่อ" คนสนิทว่า "เหตุใดฝ่าบาทจึงลดองค์ลงยกย่องสามัญชนเช่นนั้น หรือสำคัญผิดว่า เขาคือเมธีผู้มีคุณธรรม  เมธีจะต้องแสดงจริยมโนธรรมจากการกระทำของตน แต่ในภายหลัง เมิ่งจื่อจัดงานศพให้มารดาสูงส่งกว่างานศพของบิดาก่อนหน้านั้น เท่ากับดูเบาบิดาตน ฝ่าบาทไม่น่าลดองค์ลงไปหา" หลู่ผิงกงตอบว่า "ใช่"  เอวี้ยเจิ้งจื่อ (ศิษย์เมิ่งจื่อ เป็นขุนนางเมืองหลู่)  เห็นหลู่ผิงกงเปลี่ยนใจจึงว่า "ไฉนฝ่าบาทจึงไม่ไปพบท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ" หลู่ผิงกงตอบว่า "มีคนบอกเราว่า เมิ่งจื่อจัดงานศพมารดาในภายหลังสูงส่งกว่าบิดาในครั้งก่อน ดูอย่างกับเมธีที่ไม่รู้จริยมโนธรรม จึงไม่ไปพบ" เอวี้ยเจิ้งจื่อว่า "ที่ว่าสูงกว่านั้น หรือเป็นเพราะในครั้งก่อน ครูปราชญ์ยังเป็นนักศึกษา แต่ครั้งหลังเป็นขุนนาง เป็นเพราะครั้งก่อน ใช้เครื่องเซ่นไหว้ระดับสาม ครั้งหลังใช้ระดับห้าตามสถานภาพ" หลู่ผิงกงว่า "มิใช่เหตุนี้ แต่เป็นเพราะครั้งหลังนี้ การตกแต่ง เสื้อผ้า โลงศพหรูหรากว่าครั้งก่อนมาก" เอวี้ยเจิ้งจื่อว่า "ดังนี้มิใช่เจตนาจัดงานเหลี่ยมล้ำ แต่เป็นเพราะฐานะก่อนหลังต่างกัน" เอวี้ยเจิ้งจื่อ มาพบครูปราชญ์เมิ่งจื่อ กล่าวว่า "ศิษย์ได้กล่าวขวัญคุณธรรมแห่งปราชญ์ของครูท่าน จนหลู่ผิงกงจะมาพบครูท่านอยู่แล้ว แต่มีขุนนางคนสนิทชื่อจังซัง ยับยั้งไว้ ทำให้หลู่ผิงกงไม่อาจมาได้ตามพระประสงค์เดิม" ครูปราชญ์ว่า "คน ดำเนินการย่อมมีผู้ยับยั้ง ธรรมะ จะดำเนินการหรือไม่ มิใช่ใครจะบงการได้ ที่ครูกับหลู่ผิงกงไม่ได้พบกัน นั่นเป็นเจตนาของฟ้าเบื้องบน จังซังคนนี้ จะยับยั้งให้เราไม่ได้พบกันได้หรือ" (บทนี้ ปราชญ์เมิ่งจื่อแสดงความแห่งบุญวาระอันเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของบ้านเมืองที่เป็นไปตามพระโองการฟ้า)

                                     จบบทเหลียงฮุ่ยอ๋วงตอนท้าย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                       ๒. บทกงซุนโฉ่ว  ตอนต้น

        กงซุนโฉ่ว ศิษย์ของครูปราชญ์เมิ่งจื่อ ขุนนางเมืองฉี เรียนถามครูปราชญ์ว่า "สมมุติว่า ครูท่านกุมอำนาจใหญ่ทางการปกครองบ้านเมืองฉี การกระทำของสองอภิขุนนาง คือ ก่วนจ้ง กับ เอี้ยนจื่อ  จะปรากฏใช้ได้อีกหรือไม่" ครูปราชญ์เมิ่งจื่อตอบแก่ศิษย์ว่า "ศิษย์ช่างเป็นคนของเมืองฉีนัก รู้จักแต่ก่วนจ้ง กับเอี้ยนจื่อ (ไม่รู้จักปราชญ์เมธี)" แต่ก่อน มีคนถามเจิงซี หลานชายของท่านปราชญ์เจิงจื่อ (ศิษย์เมธีของท่านบรมขงจื่อ) ว่า "ระหว่างท่านกับจื่อลู่ (ศิษย์เมธีของท่านบรมครูจอมปราชญ์ขงจื่อ) ผู้ใดจะสามารถปราดเปรื่องกว่ากัน" เจิงซี (ซึ่งเป็นรุ่นหลาน) อกสั่นขวัญหายไม่สบายใจ ตอบไปว่า " ท่านปราชญ์จื่อลู่เป็นผู้ที่บรรพชนเราเคารพยำเกรง เราจะบังอาจเปรียบกับท่านได้อย่างไร" ผู้นั้นถามอีกว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านเปรียบกับอภิขุนนางก่วนจ้งล่ะ ใครจะสามารถปราดเปรื่องกว่ากัน" เจิงซีได้ยินคำถามนี้เกิดโทสะทันทีตอบว่า "ทำไมท่านจึงเอาเราไปเปรียบกับก่วนจ้งอีก ก่วนจ้งเป็นขุนนางที่ฮ่องเต้โปรดปราณไว้วางใจ การกระทำของเขาล้วนใช้อภิสิทธิ์ คิดเองตัดสินใจเอง หากพูดถึงบริหารบ้านเมือง ถือว่าเขาทำมานาน แต่หากพูดถึงผลงาน สิ่งที่เขาทำล้วนต่ำช้าสามานย์ ทำไมท่านจึงเอาเราไปเปรียบกับก่วนจ้งคนพรรค์นั้น" ครูปราชญเมิ่งจื่อยกตัวอย่างเรื่องนี้ให้ศิษย์กงซุนโฉ่วฟัง เพื่อจะบอกว่า ความประพฤติกับการกระทำของอภิขุนนางก่วนจ้ง แม่แต่เจิงซียังไม่อยากเห็นดีด้วยเลย ศิษย์คิดว่าครูจะเห็นดีด้วยหรือ  ศิษย์กงซุนโฉ่วกล่าวอีกว่า "ก่วนจ้งทำให้ฮ่องเต้เขาเป็นจักรพรรดิ์ผู้พิชิต ส่วนเอี้ยนจื่อทำให้อำนาจของฮ่องเต้โด่งดังน่าคร้ามไปทั่ว ความดีความชอบของทั้งสอง ยังไม่เพียงพอที่จะทำตามอีกหรือ" ครูปราชญ์ตอบว่า "ความยิ่งใหญ่ของเมืองฉีขณะนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ขุนนางชั่วช่วยเสริม หากเปลี่ยนเป็นปกครองโดยธรรม จะง่ายดั่งพลิก  ศิษย์กงซุนโฉ่วยังคงสงสัย เรียนถามต่อไปว่า "ถ้าอย่างนี้ ศิษย์ยิ่งไม่เข้าใจ เหตุใดคุณธรรมของกษัตริย์โจวเหวินอ๋วง ซึ่งมีพระชนม์ยืนยาวเกือบร้อย (เก้าสิบเจ็ดปี) ยังไม่อาจปรกแผ่กรุณาบารมีไปทั่วหล้าได้ จนถึงรัชสมัยอู่อ๋วงราชบุตรกับปู่เจ้าโจวกงสืบต่อ จึงได้สำเร็จการปกครองโดยกรุณาธรรม ดู "ง่ายอย่างกับพลิกฝ่ามือ" ถ้าเช่นนั้น วิธีการของเหวินอ๋วง ก็เอาหาใช้ไม่ได้น่ะสิ" (้พราะใช้เวลาเกือบชั่วชีวิต ยังไม่สำเร็จได้)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                       ๒. บทกงซุนโฉ่ว  ตอนต้น

        ครูปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "เหวินอ๋วงจะเทียบอย่างไรได้ เนื่องจากช่วงเวลาที่กษัตริย์ทังราชวงศ์ซัง จะสืบต่อจนถึงอู่ติงนั้น ยังมีกษัตริย์เมธีเกิดขึ้นอีกถึงหกเจ็ดสมัยทั่วหล้าสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ซังมาช้านาน ด้วยเหตุที่เนิ่นนานมาก ฉะนั้น จะปรับเปลี่ยนจึงยากมาก เมื่อกษัตริย์อู่ติงฟื้นฟูความสำพันธ์กับเจ้าเมืองทั่วหน้าด้วยมิตรไมตรีทุกอย่างจึงง่ายดายเหมือนสิ่งอันอยู่กลางใจมือ จึงได้รับความเคารพสนิทใจจากเจ้าเมืองทั้งหลาย ยิ่งกว่านั้น ช่วงที่ทรราชโจ้วอ๋วงก่อการ ยังห่างจากกษัตริย์อู่ติงไม่นาน ลูกหลานขุนนางก่อนเก่ายังยึดถือในคุณงามความดีดั้งเดิมอยู่ อีกทั้งยังมีขุนนางคนดี อาทิ เอว๋ยจื่อ เอว่ยจ้ง  หวังจื่อ ปี่กัน จีจื่อ  เจียวเก๋อ ล้วนขุนนางศรีเมธีปราชญ์ ช่วยกันบริหารบ้านเมือง ฉะนั้น ภายหลังแม้ทรราชโจ้วอ๋วงจะชั่วร้าย แต่บ้านเมืองก็ยังดำรงอยู่ได้ (เนื่องจากพื้นฐานดีมานาน ลูกหลานขุนนางดี ยังรักษาความดีอยู่ มีเมธีชนช่วยอุ้มชู) ช่วงนั้น แผ่นดินทุกตารางนิ้วถูกทรราชยึดครอง ประชาราษฏร์ทุกคนอยู่ใต้อาณัติของทรราช อีกสาเหตุหนึ่งที่เหวินอ๋วงยังไม่อาจสำเร็จคุณของการปกครองแผ่นดินโดยธรรมได้ เพราะเหวินอ๋วงเริ่มก่อร่างสร้างบ้านเมืองด้วยเนื้อที่โดยรอบเพียงหนึ่งร้อยลี้เท่านั้น กับการจะปกครองแผ่นดินด้วยกรุณาธรรม ดังนั้น ความสำเร็จที่จะเกิดมีได้จึงยากแท้  ชาวเมืองฉีกล่าวกันว่า "แม้ฉลาดปราดเปรื่องนัก มิสู้รู้จักฉวยโอกาส แม้มีเครื่องมือไถคราด มิสู้ลมฟ้าอากาศมาอำนวย" (ซุยโหย่วจื้อฮุ่ย ปู้หยูเฉิงซื่อ  ซุยโหย่วจือจี ปู้หยูไต้สือ)  บัดนี้ เป็นโอกาสที่จะดำเนินการปกครองบ้านเมืองด้วยกรุณาธรรมอย่างง่ายดายแล้ว  ในรัชสมัยเซี่ย ซัง และโจว เป็นยุดเฟื่องฟูที่สุด ที่ดินกรรมสิทธิ์ของแต่ละเจ้าเมือง ยังไม่มีที่จะเกินหนึ่งพันลี้ แต่บัดนี้เมืองฉีกลับครอบครองที่ดินกว้างใหญ่ไพศาล เสียงไก่ขันสุนัขเห่า ก็ต้อนรับกันไปทั่วถึงชายแดน (เพื่อนบ้านเรียกขานกันไม่ห่าง) เมืองฉีในบัดนี้ มีประชากรมากมาย ที่ดินทำกินก้ไม่ต้องบุกเบิกใหม่อีก ประชาชนก็ไม่ต้องโยกย้ายถิ่นฐานเหมือนแต่ก่อน  ฉะนั้น จึงถือโอกาสนี้ดำเนินการปกครองด้วยกรุณาธรรม ประกาศตนเป็นอ๋องผู้ทรงธรรมจะไม่มีผู้ใดขัดขวางเป็นแน่ อีกทั้งการไม่ปรากฏอ๋องผู้ทรงธรรม ไม่มีช่วงใดน้อยไปกว่านี้อีกแล้ว ประชาราษฏร์ที่ซูบโทรม ครวญคร่ำ ภายใต้ระบบกดขี่ก็ไม่มีที่เลวร้ายไปกวานี้ คน ขณะหิว จะง่ายต่อการให้อาหาร ขณะกระหาย จะง่ายต่อการให้ดื่ม ท่านบรมครูกล่าวไว้ว่า "เกียรติคุณของการปกครองโดยธรรม แพร่สะบัดรวดเร็วยิ่งกว่าการส่งสาส์น" ยุคนี้ หากบ้านเมืองมีรถม้าศึกหมื่นคัน ยินดีดำเนินธรรมประชาราษฏร์ย่อมยินดีปรีดา ประหนึ่งช่วยพวกเขาให้พ้นทุกข์จากการผู้แขวนห้อยหัวลง ฉะนั้น สิ่งที่ทำ ขอเพียงยอมเหนื่อยแค่ครึ่งเดียวของท่านทั้งหลายในกาลก่อน ผลงานที่เกิดก่อนย่อมทวีคูณกว่าท่านแต่กาลก่อนอย่างแน่แท้  "มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่จะปฏิบัติการได้" (บทนี้ ปราชญ์เมิ่งจื่อให้ศิษ์กงซุนโฉ่วพิจารณาโอกาสของการดำเนินธรรม)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                       ๒. บทกงซุนโฉ่ว  ตอนต้น

        ศิษย์กงซุนโฉ่วเรียนถามครูปราชญ์อีกว่า "หากครูท่านอยู่ในตำแหน่งมุขมนตรีแห่งเมืองฉี ได้ดำเนินการปกครองโดยธรรม จากนั้น ก็ได้เป็นใหญ่เหนือบรรดาเจ้าเมือง ยิ่งกว่านั้น ยังได้เป็นมหาราชา  ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ ครูท่านจะหวั่นไหวหรือไม่" ครูปราชญ์ตอบว่า "ไม่ เมื่อครูอายุได้สี่สิบ ก็ไม่หวั่นไหวแล้ว"  "ถ้าเช่นนั้น ครูท่านก็เหนือกว่าเมิ่งเปินยิ่งนัก" นักรบผู้กล้าของเมืองเอว้ย ไม่เกรงกลัวภยันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น)  ครูปราชญ์ตอบว่า ทำได้ไม่ยาก ปราชญ์เก้าจื่อ (ศิษย์ของครูเอง) ยังทำใจไม่หวั่นไหวได้ก่อนครู" ศิษย์เรียนถามอีกว่า "ใจไม่หวั่นไหวมีวิธีฝึกหรือไม่" ครูปราชญ์ตอบว่า "มี จะเล่าตัวอย่างคนสองคนให้ฟัง เป่ยกงอิ่ว นักรบผุ้กล้าแห่งเมืองฉี ประคองรักษาความไม่หวั่นไหวด้วยการไม่หดหนีเมื่อเนื้อหนังถูกเข็มทอง ไม่เคลื่อนไหว ดวงตาเหมือนดวงตาถูกเข็มแทง ความคิดของเขา การถูกเหยียบย่ำแม้ขนอ่อนหนึ่งเส้น ก้จะน่าอับอาย เท่ากับถูกตีด่าในท้องพระโรงหรือตลาดนัด เขาจะไม่ยอมให้สามัญชนสบประมาท ไม่ยอมจน แม้ว่าเจ้าเหนือหัวผู้ครอบครองรถม้าศึกถึงหมื่นตัวมาสบประมาท (ไม่หวั่นไหว ใจเข็ง กล้าสู้กล้าเผชิญ) แม้เห็นเจ้าเมืองถูกแทงตาย ก็เห็นเป็นธรรมดา เหมือนคนทั่วไปถูกฆ่า ไม่หวดหวั่นต่ออิทธิพลอ๋องใด หากมีเสียงด่าทอเข้าหู เขาก็จะตอบโต้หยาบคายกลับไปทันที  อีกคนหนึ่งชื่อ เมิ่งซือเซ่อ เขามีวิธีการฝึกความกล้าคือ เห็นความพ่ายแพ้เป็นชนะ (ไม่กลัวพ่ายแพ้) แต่จะประมาณกำลังคู่ต่อสู้เสียก่อน เห็นว่าสู้ได้ จึงรุก เห็นว่าชนะจึงประจัญรบ นี่คือไม่ประมาท ด้วยเกรงว่ากำลังศัตรูจะมากกว่าสามกองรบ (กองรบละหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อย คูณสาม) เขากล่าวว่า มิใช่ว่าข้าฯ เมิ่งซือเซ่อ จะชนะศึกได้ ทุกครั้งเพียงแต่เตรียมใจได้ไม่ให้หวาดหวั่นเท่านั้นเอง" ศิษยฺเรียนถามอีกว่า " เมิ่งซือเซ่อ มีส่วนคล้ายท่านปราชญ์เจิงจื่อ ที่เรียกร้องความถูกต้อง เป็นไปได้จากตนเอง เป่ยกงอิ่ว มีส่วนคล้ายท่านปราชญ์จื่อเซื่ยที่มุ่งชนะ หนักแน่นมั่นคงต่อการรักษาสัตย์สัญญา ถ้าเช่นนั้น ผู้แกร่งกล้าที่ไม่หวั่นไหวทั้งสองนี้ ใครหรือที่ปัญญาปราดเปรื่อง คุณธรรมงามสง่ากว่ากัน" ครูปราชญ์ตอบว่า "เมิ่งซือเซ่อ รักษาความกล้าแกร่งแห่งธรรมได้ดีกว่าเป่ยกงอิ่ว  ท่านปราชญ์เจิงจื่อ (ศิษย์บรมครู) เคยกล่าวแก่ศิษย์จื่อเซียงว่า"ศฺิษย์จื่อเซียง เธอใฝ่ฝันมนความกล้ากระนั้นหรือ ครูเอง (เจิงจื่อ) เคยได้ยินท่านบรมครู กล่าวถึงความกล้าอันยิ่งใหญ่มาแล้ว นั่นก็คือ "หากย้อนถามใจตนเอง รู้ว่าเหตุผลของตนไม่ตรงไม่ถูกต้อง  แม้คู่กรณีจะเป็นเพียงสามัญชน  เราก็จะยอมรับผิด ไม่หวั่นเกรงอัปยศอดสูกระนั้นหรือ หากถามใจตน ตรงต่อหลักธรรมไม่ผิด แม้จะมีผู้ต่อต้านนับหมื่นพัน ก็จะก้าวต่อไปไม่หวั่นกระนั้นหรือ" เห็นเช่นนี้แล้ว การรักษาความกล้าของเมิ่งซือเซ่อ ก้ยังมิอาจเทียบได้กับท่านปราชญ์เจิงจื่อ (เมิ่งซือเซ่อรักษาพลังความกล้าของกาย แต่ปราชญ์เจิงจื่อ ท่านรักษาหลักธรรมความถูกต้อง โดยไม่หวั่นไหวไว้ได้)  ศิษย์ (กงซุนโฉ่ว) บังอาจเรียนถามครูปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ที่ใจท่านไม่หวั่นไหว กับที่ใจของท่านปราชญ์เก้าจื่อไม่หวั่นไหวนั้น เป็นเช่นไร" ความไม่หวั่นไหวของปราชญ์เก้าจื่อนั้น ท่านกล่าวว่า "เกิดมีคำพูดไม่เหมาะ ไม่ใฝ่ใจครุ่นคิด เกิดมีความคิดไม่เหมาะ เป็นผลให้จิตใจวุ่นวาย สับสน กระวนกระวาย ให้ระงับจิตใจ ไม่อาศัยพลังในกาย แสดงออกด้วยการกระทำ ประการหลังนี้ใช้ได้ แต่ในข้อ "คำพูดไม่เหมาะ ไม่ใฝ่ใจ ครุ่นคิดนั้น" ใช้ไม่ได้ อันความมุ่งมั่นนั้น เป็นตัวเอกของพลังกาย พลังกายประจุอยู่ทั่วตัว เมื่อถึงที่สุดของใจมุ่งมั่น พลังกายจะเป็นตัวรอง จึงกล่าวว่า ดำรงความมุ่งมั่น แต่อย่าได้เสียหายแก่พลัง (ความคิดของท่านปราชญ์เมิ่งจื่อคือ หากไม่ได้คำพูดที่เหมาะที่ควรจากผู้ใด ให้พิจารณาตน)  (ความมุ่งมั่นของท่านปราชญ์เมิ่งจื่อคือ สร้างสันติธรรมทั่วหล้า "จึงสู้อุตสา่ห์จาริกกล่อมเกลา แต่คำตอบที่สะท้อนกลับมาล้วนไม่เหมาะต่อการดำเนินสันติธรรม จึงต้องครุ่นคิดพิจารณา หาทางสร้างสรรค์ต่อไป ประโยคสุดท้ายจึงกล่าวว่า " ดำรงความมุ่งมั่น แต่ไม่ให้เสียหายแก่พลัง") เรียนถามต่อไปว่า " ในเมื่อกล่าวว่า "มุ่งมั่นเป็นเอก พลังเป็นรอง" อีกทั้งกล่าวว่า "ดำรงความมุ่งมั่น แต่ไม่ให้เสียหายแก่พลัง" แล้วจะเป็นเช่นไร ครูปราชญ์ว่า "ใครก็ตามที่มุ่งมั่นต่อการหนึ่งก็จะสะเทือนถึงพลังในกาย หากเจาะจงใช้พลังในกายทำการหนึ่งการใด ความมุ่งมั่นก็จะหวั่นไหว" ตัวอย่างเช่น คนหกล้มกับวิ่งเร็ว มันเริ่มจากพลังในกายใช้งาน แต่สุดท้ายผลก้กระทบใจ มันเกี่ยวเนื่องกัน ฉะนั้น เมื่อตั้งความมุ่งมั่นแล้ว ยังจะต้องสงบใจ รักษาพลังไว้ให้ปกติ (มุ่งมั่นแต่อย่าทะยานฮึกเหิม)"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                       ๒. บทกงซุนโฉ่ว  ตอนต้น

        บังอาจเรียนถามครูปราชญ์  "ความประณีตในการ "ไม่สะเทือนแก่ใจ" มีข้อดีอะไร" ครูปราชญ์ตอบว่า "พูดเท่าที่ครูรู้ ครูประคองหล่อเลี้ยงพลังแกร่งตรงคงมั่นของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ได้"  (หว่อเหนิงหันหย่างต้าจื้อหยันเตอเจิ้งต้ากังจื๋อจือชี่)
บังอาจเรียนถาม "อย่างไรคือ "มหาพลานุภาพ" อันเป็นเช่นนั้นเอง" ครูปราชญ์ว่า "ตอบยาก มหาพลังนี้กว้างไกลไม่ประมาณ แกร่งกล้าไม่ประมาณ ใช้มหาพลานุภาพเที่ยงธรรมนี้ ดำรงเลี้ยงจิตภายในเรื่อยไป อย่าให้เสียหายแก่เขา มหาพลานุภาพนั้น ก็จะประจุเต็มท่ามกลางฟ้าดิน มหาพลานุภาพเที่ยงธรรมนี้ปลูกฝังสร้างสรรค์ บำรุงเลี้ยงด้วยสัจจมโนธรรมประกอบกัน หากปราศจากสัจจมโนธรรมกับสัจจธรรมประกอบกันไว้ มหาพลานุภาพก็จะเหี่ยวแห้งอับเฉา ไม่อาจเติมเต็มเป็นจริง มหาพลานุภาพเที่ยงธรรมนี้ ก่อเกิดเติบโตได้ด้วยสัจจมโนธรรม แต่มิใช่บรรจบพบกับสัจจมโนธรรมโดยบังเอิญ แล้วก็จะรับเอาได้ง่าย ๆ เลย การกระทำ  ความประพฤติ มีส่วนไม่เหมาะกับน้ำใจงาม มหาพลานุภาพนั้นก็จะเหี่ยวแห้งอับเฉา ไม่อาจเติมเต็มได้"  ครูจึงได้กล่าวว่า "ปราชญ์เก้าจื่อ ยังเข้าไม่ถึงความหมายอันแท้จริงของมหาพลานุภาพ เพราะเขาเข้าใจว่า มหาพลานุภาพนี้ มีได้ด้วยการรับเอาจากภายนอก ซึ่งยังจะต้องรู้อีกว่า มหาพลานุภาพนี้ จะมุ่งกระทำการใดเพื่อให้เกิดมีก็มิได้เพราะจะไม่เที่ยงธรรม ขอเพียงรักษาภาวะจิตสัจจมโนธรรมไว้ไม่ลืม (ดำรงความเป็นเช่นนั้นเอง มีอยู่  เป็นอยู่  ด้วยภาวะของธรรมชาติ)  แต่อย่าได้ยึดหมายในความมีอยู่นั้น อีกทั้งอย่าได้หาทางสร้างเสริมเพิ่มพูน ด้วยว่าภาวะของมหาพลานุภาพ เป็นสิ่งซึ่งจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ จึงอย่าได้ทำอยางชาวซ่งคนหนึ่ง กล่าวคือ... ชาวเมืองซ่งคนหนึ่ง ห่วงกังวลว่าข้าวกล้าที่หว่านไว้ไม่เติบใหญ่  จึงช่วยดึงต้นให้สูงขึ้น เขากลับบ้านด้วยความอ่อนล้า บอกแก่ทุกคนในบ้านว่า ฌหนื่อยนัก ฉันได้ช่วยข้าวกล้าสูงขึ้น"  (อย้าเหมียวจู้จั่ง).....
บุตรชายรีบวิ่งไปดู ปรากฏว่าข้าวกล้าในนาเหี่ยวเฉาหมดสิ้น
        คนในโลกนี้ ที่ไม่ช่วยดึงต้นกล้าให้สูงขึ้นนั้นน้อยนัก (รวบรัดสุกเอาเผากิน)  เห็นความประณีต สุขุมลึกล้ำอย่างธรรมชาติ เช่น การสั่งสมมหาพลานุภาพอันเป็นเช่นนั้นเอง ดำรงอยู่เอง เป็นเรื่องเสียเวลาหาประโยชน์มิได้  จึงเท่ากับไม่บำรุงรักษาข้าวกล้า  แต่เร่งถอนให้ต้นสูงขึ้น ซึ่งเท่ากับทำลายไป ไม่เกิดผลดี"  กงซุนโฉ่ว เรียนถามครูปราชญ์อีกว่า "อย่างไรจึงจะรู้วาจา" (รู้เจตนาเบื้องหลังของคำพูด)   ครูปราชญ์ว่า
"วาจาที่โน้มเอียง                      ก็จะรู้ว่า เขาถูกผลประโยชน์บดบังใจ
วาจาลามกเสียจรรยา                  จะรู้ได้ว่า เขาถูกตัณหาราคะครอบงำ
วาจาลื่นไหลไม่เข้าหลักเที่ยงตรง     ก็จะรู้ว่า เขาห่างสัจจมโนธรรม
วาจาที่หลีกเลี่ยงวกวน ปฏิเสธปิดบัง  นั่นคือ เขากำลังอับจนลำบากใจ
        ส่วนใหญ่หนึ่งคำพูดล้วนเกิดจากใจ หากเป็นขุนนางใจเสียหาย จะเสียหายต่องานความรับผิดชอบ จากนั้นสู่คนร่วมงาน สุดท้าย เสียหายต่อการปกครองบ้านเมืองอันเป็นเรื่องใหญ่ หลักเหตุผลนี้  แม้พระอริยะอุบัติมา ก็จะอบรมเช่นเดียวกันนี้  ปราชญ์ไจหว๋อ  จื่อก้ง  ศิษย์เมธีทั้งสองของท่านบรมครูเป็นผู้มีวาทะศิลป์ดีมาก  ปราชญ์หยั่นหนิว  หมิ่นจื่อ  เอี๋ยนเอวียน (หยั๋นป๋อหนิว   หมิ่นจื่อเซียน  เอี๋ยนหุย)  อรรถาจริยคุณธรรมได้ดีเลิศ  (ด้วยท่านเป็นเช่นนั้น)   ท่านบรมครูขงจื่อมีความล้ำเลิศทั้งสองประการ  แต่ท่านกลับน้อมใจกล่าวว่า "เรายังไม่สามารถใช้ถ้อยคำวาจาดีได้ดังนี้เลย" กงซุนโฉ่วว่า "ครูปราชญ์ (เมิ่งจื่อ) ท่าน "รู้วาจา" ได้ถึงเพียงนี้ (อีกทั้งดำรงเลี้ยงมหาพลานุภาพจิตให้คงอยู่อย่างธรรมชาติได้) ท่านก็คืออริยปราชญ์แล้ว"  (ปราชญ์เมิ่งจื่อแดสงความเป็นผู้ "รู้วาจา" เข้าถึงมหาพลานุภาพเที่ยงธรรมแห่งฟ้า" มิใช่โอ้อวด แต่เพียงนำทางและแสดงหลักหลักสัจธรรมแก่ศิษย์กงซุนโฉ่ว ส่วนท่านบรมครูที่กล่าวว่า "เรายังไม่สามารถใช้ถ้อยคำวาจาดีได้ดังนี้เลย" นั้น  เป็นการสะท้อนความชื่นชมต่อศิษย์ที่ทำได้ดีแล้ว อีกทั้งเสริมส่งศิษย์ข้างหลังต่อไป มิใช่เพื่อแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อตน"

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”