collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรัชญาเมิ่งจื่อ : ปราชญ์เมิ่งจื่อ : เริ่มเรื่อง  (อ่าน 67672 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        ขุนนางเมืองฉี นามว่าจวงเป้า เข้าพบท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ เรียนถามว่า "วันก่อนข้าพเจ้าเข้าเฝ้าท่านอ๋อง ท่านอ๋องว่า องค์ท่านโปรดดนตรี ข้าพเจ้ายังมิได้ตอบว่ากระไร ข้าพเจ้าจึงใคร่เรียนถามท่านปราชญ์ว่า "เป็นอ๋องโปรดดนตรี จะมีผลต่อการปกครองอย่างไรหรือไม่" ตอบว่า "หากอ๋องโปรดดนตรีอย่างยิ่ง (ขวัญวิญญาณเข้าถึงดนตรีได้อย่างแท้จริง) เมืองฉีก็จะสงบสุขได้ในไม่ช้า"  หลายวันต่อมา ปราชญ์เมิ่งจื่อเข้าพบเจ้าเมืองฉี ถามว่า "อ๋องท่านเคยกล่าวแก่ขุนนางจวงเป้าว่าโปรดดนตรี มีเรื่องนี้หรือไม่" อ๋องมีสีหน้าละอายแก่ใจ ตอบว่า "เราจะชื่นชมดนตรีสมัยอดีตอ๋องหาได้ไม่ แต่กลับชื่นชอบดนตรีดนตรีทางโลกสมัยปัจจุบัน" ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "หากอ๋องท่านโปรดดนตรีเป็นที่ยิ่ง เมืองฉีก็จะมีหวัง (สงบสุข) ดนตรีสมัยปัจจุบัน พลิกแพลงมาจากดนตรีโบราณ" อ๋องว่า "เหตุผลนี้จะพูดให้เราฟังได้หรือไม่"ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ชื่นชมยินดีมีความสุขกับดนตรีคนเดียว หรือชื่นชมยินดีมีความสุขกับดนตรีร่วมกับใคร ๆ ความสุขใดจะดีกว่า" อ๋องว่า "มีความสุขร่วมกับใคร ๆ จะดีกว่า" ถามอีกว่า "มีความสุขร่วมกับคนหมู่น้อยกับหมู่มาก สุขใดจะยิ่งใหญ่กว่า"  อ๋องว่า "มีความสุขกับคนหมู่มากยิ่งใหญ่กว่า" ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็จะพูดหลักเหตุผลนี้แก่อ๋องท่าน"   "สมมุติว่าขณะนี้ อ๋องท่านกำลังทรงดนตรีอยู่ที่นี่ ประชาราษฏร์ได้ยินเสียงดีดสีตีเป่า ทุกคนก็จะปวดหัว หน้านิ่วคิ้วขมวด ตัดพ้อด้วยความขัดเคืองใจ วิพากษ์วิจารณ์กันว่า "อ๋องของเราดปรดดนตรี มีความสุข แต่ทำไมต้องทำให้เราตกอยู่ในความทุกข์เช่นนี้ ดูซิ พ่อลูกต้องจากกัน พี่น้องลูกเมียกระจัดกระจาย"  สมมุติอีกว่า ขณะนี้อ๋องท่านล่าสัตว์อยู่แถบนี้ ประชาราษฏร์ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าขบวนล่าสัตว์ เห็นธงทิวสวยงามที่ประดับด้วยขนนก ทุกคนก็จะปวดหัว จะหน้านิ่วคิ้วขมวดกลัดกลุ้มขัดเคือง จะวิพากษ์วิจารณ์ต่อกันว่า "อ๋องของเราโปรดการล่าสัตว์ สนุกเพลิดเพลิน แต่ทำไมต้องทำให้เราตกอยู่ในความทุกข์เช่นนี้ พ่อลูกต้องพลัดพรากจากัน พี่น้องลูกเมียกระจัดกระจาย เหตุดังนี้มิใช่อื่นใด ด้วยไม่ร่วมสุขกับประชาราษฏร์นั่นเอง  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18/08/2011, 00:24 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        ในทางตรงข้าม วันนี้หากประชาราษฏร์ได้ยินเสียงกลอง ระฆัง ดีดสีตีเป่า เสียงทรงดนตรีจากอ๋อง ประชาราษฏร์ต่างปลาบปลื้มยินดี บอกต่อกันว่า "อ๋องของเราคงจะทรงพระเกษมสำราญ ไม่เจ็บป่วยเป็นแน่ มิฉะนั้น จะทรงดนตรีได้อย่างไร" วันนี้หากองค์ทรงล่าสัตว์ ประชาราษฏร์ได้ยินเสียงรถ เสียงฝีเท้าม้า ได้เห็นธงทิวประดับขนนก งดงามผ่านมา แล้วต่างบอกกล่าวต่อกันด้วยความปลาบปลื้มยินดีว่า "อ๋องของเราคงจะไม่เจ็บไม่ป่วยกันแน่ มิฉะนั้น จะทรงออกล่าสัตว์ได้อย่างไร" เหตุดังนี้มิใช่อื่นใด ก็ด้วยร่วมสุขกับประชาราษฏร์นั่นเอง วันนี้ หากอ๋องท่านจะร่วมสุขกับประชาราษฏร์ได้ ก็จะเป็นอ๋องผุ้ทรงธรรม พระเจ้าฉีเซวียนอ๋วงถามว่า "อาณาเขตวนอุทยานป่าล่าสัตว์ของพระเจ้าโจวเหวินอ๋วง นั้น ได้ยินมาว่า กว้างใหญ่ไพศาลถึงเจ็ดสิบลี้โดยรอบทีเดียว เป็นความจริงหรือไม่" ปราชญืเมิ่งจื่อตอบว่า "หนังสือพงศาวดารได้จารึกไว่เช่นนั้น"  "กว้างใหญ่ปานนั้นเชียวหรือ" อ๋องทรงอุทาน  ปราชญ์เมิ่งจื่อเสริมว่า"กว้างใหญ่เพียงนี้ ประชาราษฏร์ยังว่าเล็กไป" อ๋องว่า"สวนสัตว์ของเรากว้างใหญ่โดยรอบสี่สิบลี้ ประชาราษฏร์ยังว่ากว้างใหญ่เกินไป นี่เป็นเพราะเหตุใด" ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "วนอุทยานของอริยกษัตริย์โจวเหวินอ๋วงกว้างใหญ่เจ็ดสิบลี้ ผู้ประสงค์ตัดหญ้านำไปเลี้ยงม้า วัว ควาย  ประสงค์จะต้ดไม้แห้งไปทำฟืน ประสงค์จะจับกระต่ายป่า ไก่ป่า ล้วนเข้าไปได้ในบริเวณนี้ ด้วยมิได้เป็นเขตหวงห้ามสำหรับประชาราษฏร์ แต่เป็นสมบัติของกษัตริย์ร่วมกันกับประชาราษฏร์ ประชาราษฏร์จึงว่ายังเล็กเกินไป  พอข้าพเจ้าเหยียบย่างเข้าเขตบ้านเมืองนี้ ข้า ฯ ขอถามทันทีว่า ข้อห้ามสำคัญยิ่งของบ้านเมืองนี้คืออย่างไร จากนั้นจึงกล้าเหยียบย่างเข้ามา ข้าฯ ได้ยินว่า นอกปราการบ้านเมืองหนึ่งร้อยลี้ มีสวน (ล่า) สัตว์กว้างใหญ่สี่สิบลี้โดยรอบ หากมีใครฆ่ากวางเล็กกวงาใหญ่ในสวนหนึ่งตัว จะมีโทษกับฆ่าคนตายไปหนึ่งคน เช่นนี้ สวนสี่สิบลี้โดยรอบจะเท่ากับหลุมพลางของบ้านเมือง ประชาราษฏร์จึงว่ากว้างใหญ่เกิน กล่าวเช่นนี้ มิใช่สมควรดอกหรือ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        พระเจ้าฉีเซวี๋ยนอ๋วงถามว่า "การคบหากับกับบ้านเมืองชิดใกล้ จะถือว่ามีธรรมะไหม" ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "มี" อ๋องผุ้มีการุณยธรรมเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ครั้งนั้น ที่พระเจ้าซังทังผู้เกรียงไกร ใส่พระทัยชิดเชื้อเกื้อกูลบ้านเมืองเก่ออาณาจักรเล็ก ๆ  อริยกษัตริย์โจวเหวินอ๋วงผู้ยิ่งใหญ่ อุ้มชูดูแลชนเผ่าคุนอี๋บ้านเมืองชาวป่า กษัตริย์โกวเจี้ยน เอื้อเฟื้อเกื้อหนุนบ้านเมืองของกษัตริย์อู๋ผู้อ่อนกำลังกว่า  "การที่เป็นผุ้ใหญ่ โอบอ้อมอารีต่อผู้น้อยผู้ด้อยกำลัง" แสดงถึงความเป็นผุ้ใหญ่ เป็นผุ้สมานสุขประดุจฟ้ากว้าง ในส่วนผู้น้อยผู้ด้อยกำลัง พึงรู้จักสวามิภักดิ์ยำเกรง ผู้สมานสุขดุจฟ้ากว้าง จะคุ้มครองรักษาไพร่ฟ้าในโลกหล้าได้ ผู้สวามิภักดิ์ยำเกรง จะรักษาเขตคามบ้านเมืองได้ ดังคำที่ว่า "เคารพยำเกรงฟ้าอันน่าคร้ามนัก จึงอาจรักษาพระโองการฟ้า (ของบ้านเมือง) (เอว้ยเทียนจือเอวย อวี๋สือเป่าจือ) หมายเหตุ  จากคัมภีร์ซือจิง บทโจวซ่ง ผู้ทำหน้าที่ปกครองดูแลมหาชน  เบื้องหลังของสถานภาพนั้น ล้วนเป็นพระโองการบัญชามาจากฟ้าเบื้องบน ให้ทำการคุ้มครองรักษา บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่มหาชน ให้อุ้มชูรับใช้ มืใช่ให้วางอำนาจบาตรใหญ่ มิฉะนั้น จะมิอาจรักษาพระโองการฟ้าให้รุ่งเรือง เฟื่องฟูอยู่ได้ยาวนาน  พระเจ้าฉีเซวียนอ๋วง ทรงอุทานด้วยความปลื้อมปิติว่า "โอ คำพูดเหล่านี้ช่างยิ่งใหญ่แท้ แต่เรานั้นมีข้อเสียที่ชอบฮิกหาญ" ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "ขออ๋องท่านจงอย่าได้ยินดีต่อความหึกหาญอันด้อยน้ำหนักขาดปัญญา ไม่ต่างจากผู้ที่มือกุมดาบ ถลึงนันย์ตาท้าทายว่า "เจ้ากล้าพอที่จะสู้เขาข้าหรือ" เช่นนี้คือ ความฮึกหาญของคนระดับล่างที่ประจันกันตัวต่อตัว ขอให้อ๋องท่านจงฮิกหาญการใหญ่เถิด เช่นในคัมภีร์ซือจิง บทต้าอย่าหวงอี่ สรรเสริญอริยกษัตริย์โจวเหวินอ๋วงว่า "เนื่องจากเมืองมี่ ชอบที่จะรบกวนรุกรานแผ่นดินโจวอยู่บ่อย ๆ (เหมือนแมลงหวี่ที่ตอดตอมพญาช้างสาร) เป็นที่น่ารำคาญยิ่งนัก  พระเจ้าโจวเหวินอ๋วงเหลืออด จึงสำแดงความฮึกหาญจัดการยกทัพระงับข้าศึก มิให้เข้าถึงเขตพรหมแดนจวี่ของพระองค์ได้แม้แต่น้อย (จวี่ ปัจจุบันคือมณฑลซันตง) เพื่อรักษาเสถียรภาพเพิ่มพาสันติภาพ นำความสุขสงบมาสู่ราชวงศ์โจวทั้งหมด นี่คือความฮึกหาญของพระเจ้าโจวเหวินอ๋วง เป็นความฮึกหาญที่เมื่อเกิดขึ้น ก็โอบอุ้มให้คุณแก่ประชาราษฏร์ได้ทันที

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        ในหนังสือพงศาวดารของราชวงศ์โจว บทไท่ซื่อ ได้จารึกความฮึกหาญมั่งมั่นของพระเจ้าโจวอู่อ๋วงไว้ว่า "ในเมื่อฟ้าเบื้องบนดปรดประทานชีวิตประชาราษฏร์ โปรดยกย่องให้ข้า ฯ (อู่อ๋วง) ขึ้นเป็นเจ้าผู้ปกครอง เป้นครูอาจารย์ ผู้ปรกนำ ก็เพื่อการช่วยงานฟ้าเบื้องบนเท่านั้น (พระมหาเมตตากรุณาคุณแห่งฟ้าเบื้องบน ล้วนประสงค์ให้ทุกข์ชีวิตอยู่ดีมีสุข เจริญธรรมเพื่อความสูงส่งของชีวิต)  ข้าฯ จึงพึงโอบอุ้มให้คุณต่อทุกชีวิตสี่ทิศโดยรอบ ประชาราษฏร์มีโทษหรือไม่ ล้วนอยู่ที่ตัวข้าฯ ใครหรือจะกล้าละเมิดความมุ่งมั่น (อุดมการณ์) นี้" ทรราชอินโจ้วอ๋วง คนเดียวนั้น ทำการเข่นฆ่าระรานพระเจ้าโจวอู่อ๋วงผู้ทรงธรรม ทนเห็นความชั่วร้ายไม่ได้จึงฮึกหาญจัดการปราบปราม นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ความฮึกหาญของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีผลต่อการคุ้มครองรักษา บำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ประชาราษฏร์ วันนี้ หากฉีเซวียนอ๋วงท่านฮึกหาญบันดาลโทสะแล้วสามารถคุ้มครองรักษา บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาราษฏร์ได้เช่นเดียวกับอริยกษัตริย์โจวอู่อ๋วง ประชาราษฏร์ยังจะเกรงแต่ว่า อ๋องท่านไม่บันดาลโทสะฮึกหาญเสียอีก" พระเจ้าฉีเซวียนอ๋วงได้พบปราชญ์เมิ่งจือที่เสวี่ยกง (พระราชวังสำหรับแปรพระบาทพักผ่อน) อ๋องโปรดถามว่า "ท่านก็มีรสนิยม (ชอบ) กับความสุขนี้ด้วยหรือ" ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "มี..."  แต่หากประชาราษฏร์มิได้ร่วมรับความสุขนี้ เขาก็จะกล่าวร้ายต่อเบื้องสูง ผู้ที่กล่าวร้ายเบื้องสูงมิใช่อื่นไกล ก็ด้วยเบื้องสูง (รวมทั้งเหล่าขุนนาง) ไม่ให้ ไม่ร่วมสุขกับประชาราษฏร์  มิใช่เพียงเท่านั้น หากเบื้องสูงเห็นความสุขของประชาราษฏร์เป้นเช่นความสุขของตน ประชาราษฏร์จะสุขใจ เบื้องสูงเห็นความทุกข์ของประชาราษฏร์เป็นเช่นความทุกข์ของตน ประชาราษฏร์ก็จะเห็นความทุกข์ของเบื้องสูงเป็นความทุกข์ของตนด้วยเช่นกัน "สุขด้วยทวยราษฏร์สุข ทุกข์ด้วยทวยราษฏร์ทุกข์" (เล่อหมินจือเล่อ อิวหมินจืออิว) แต่ทว่าผู้ขาดความเป็นอ๋อง (ผู้ทรงธรรม) หาเป็นเช่นนี้ไม่" ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อยกตัวอย่างอีกว่า " ครั้งนั้น พระเจ้าฉีจิ่งกง ถามขุนนางเอี้ยนผิงจ้งว่า "เราใคร่จะประพาสชมจ่วนฟู่ กับ เฉาอู่ สองบรรพต แล้วเรียบชายทะเลไปทางใต้จนถึงเมืองหลังเสีย  เราจะต้องบำเพ็ญวาสนาเช่นใดหรือ จึงจะเสมอด้วยอดีตอ๋องที่ประพาสท่องเที่ยวไปได้อย่างกว้างไกล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        ขุนนางเอี้ยนจื่อ (เอี้ยนผิงจ้ง) ทูลตอบว่า "ขอจงทรงพระเจริญที่ถามเช่นนี้ กษัตริย์คือบุตรแห่งฟ้า จะประพาสเยี่ยมเยียนตรวจตราหัวเมืองต่าง ๆ (ประพาสใหญ่สิบสองปีต่อหนึ่งครั้ง) เรียกว่า ประพาสตรวจตราความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเจ้าเมืองหัวเมือง เจ้าเมืองทุกหัวเมืองจะถวายรายงานราชการของหัวเมืองนั้น มิใช่ประพาสโดยปราชจากงานเมือง ยังมีที่ประพาสตรวจตราการเกษตรเพื่อเสิมสิ่งขาดพร่องสงเคราะห์แก่เกษตรกรในฤดูเพาะปลูก (ฤดูใบไม้ผลิ) จากนั้นก็ประพาสสอดส่องการเก็บเกี่ยวของเกษตรกร เพื่อสงเคราะห์เพิ่มเติมความขาดแคลนในฤดูใบไม้ร่วงอีกครั้งหนึ่ง  มีคำพังเพยในราชวงศ์เซี่ย ว่า "หากกษัตริย์ผู้เป็นประมุขแห่งเราไม่เสด็จประพาส เราจะรับความปิติยินดีได้อย่างไร" หากกษัตริย์ผู้เป็นประมุขแห่งเราไม่ทรงปลาบปลื้มชื่นสุข เราจะรับการสงเคราะห์ช่วยเหลือได้อย่างไร" การเสด็จประพาสก็ดี  ความปลาบปลื้มชื่นสุขก็ดี แต่ละครั้งที่เสด็จ ก็เพื่อเป็นแบบอย่างแก่เจ้าเมือง ซึ่งสนองพระบัญชาปกครองดูแลหัวเมืองต่าง ๆ อยู่  แต่บัดนี้ หาเป็นเช่นนั้นไม่ ทุกครั้งที่เจ้าเมืองยกขบวนผ่านมา ชาวบ้านกลับจะต้องกระเสือกกระสน ค้นหาข้าวปลาอาหารต้อนรับเตรียมเสบียงให้ขนไป ดังนั้น ชาวบ้านผู้อดอยากยากไร้ยังคงไม่มีจะกิน ชาวบ้านผู้เหนื่อยหนักยังคงมิได้พักผ่อน ทุกคนก็จะส่งสายตาเคืองแค้นสาปแช่งด่าทอ จากนั้นก็จะประพฤติผิดคิดร้าย แต่เหล่าเจ้าเมืองก้ยังฝ่าฝืนพระบัญชา รีดนาทาเร้น กินเล่น ทิ้งขว้าง ทำตามอำเภอใจไม่สำนึก  ยังคงไหล  เนื่อง  เถื่อน  ต่ำ  ไม่รู้ตัว เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าเมืองทั้งหลายน่าจะทุกข์เศร้าห่วงใย มีคำกล่าวว่า "นั่งเรือตามน้ำไปไม่หันหลังเรียกว่า ไหล (หลิว) รั้งเรือทวนน้ำดันทุรังไปไม่เหลียวหลังเรียกว่า เนื่อง (เหลียน) ล่าสัตว์กวดจับไม่ยับยั้งเรียกว่า "เถื่อน" (ฮวง) ดื่มหัวราน้ำเมามายไม่หน่ายพอเรียกว่า "ตาย" (อวั่ง) เจ้าเมืองก่อนเก่า ไม่มีที่จะหาความสุขอย่าง ไหล เนื่อง  ตามใจไม่ขาดสติยั้งคิด ไม่มีการกระทำเถื่อน  ตาย  หายนะ  เป็นภัยมุทะลุขาดสติ  ตัวอย่างนี้  ล้วนแต่อ๋องท่านจะพิจารณาดำเนินองค์เองเถิด"  พระเจ้าฉีจิ่งกงได้ฟังปรัชญาจากท่านปราชญ์เมิ่งจื่อแล้ว ทรงโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ถึงกับบัญชาให้มีการประกาศเผยแพร่ไปทั่วเมือง  อีกทั้งจัดสร้างยุ้งฉางไว้นอกเมือง เพื่อแจกข้าวให้แก่ประชาชนที่อดอยากขาดแคลนแถบนั้น ๆ จากนั้น ก็เรียกอาจารย์ฝ่านดนตรี (ไท่ซือ) เข้าเฝ้า มีรับสั่งว่า ท่านจงแต่งเพลงที่สมานความสุขร่วมกันระหว่างองค์ประมุขกับข้าราชบริพารโดยทั่ว" เพลงที่ไท่ซือแต่งถวายในครานั้น สืบเนื่องเรื่อยมาจนบัดนี้ นั่นก็คือเพลง "เจิงเจา" กับ เพลง "เจี่ยวเจา" ความหมายหลักของเพลงคือ " จงยับยั้งองค์ประมุขไว้มิให้มีผิด  จะให้มีผิดได้อย่างไรกัน "  ผุ้ที่ยับยั้งองค์ประมุขไว้มิให้มีผิด คือผู้เคารพรักองค์ประมุขอย่างแท้จริง" (บทนี้ ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อยกตัวอย่างให้เห็นพระการุณย์ คุณธรรม การร่วมทุกข์ร่วมสุขระหว่างองค์ประมุขกับประชาราษฏร์ จากกษัตริย์ก่อนเก่าให้ฉีเซวียนอ๋วงฟัง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        พระเจ้าฉีเซวียนอ๋วงถามว่า "ทุกคนขอให้เรารื้อถอนพระราชวังหมิงถัง ที่อดีตกษัตริย์ราชวงศ์โจว ใช้ประชุมเจ้าเมืองหัวเมืองน้อยใหญ่ ในโอกาสเสด็จประพาสตรวจงาน จะรื้อถอนหรือไม่ อย่างไรจึงจะถูกต้อง" ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "พระราชฐานหมิงถัง เป็นพระราชฐานที่อดีตกษัตรย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อคุณประโยชน์ หากอ่องท่านจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม ก็อย่าได้รื้อถอนเลย" อ๋องว่า "การปกครองแผ่นดินโดยธรรม จะต่องดำเนินการอย่างไร จะว่าให้เราฟังได้หรือไม่" ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า " ครั้งนั้นที่กษัตริย์โจวเหวินอ๋วง บริหารเมืองฉีซันนั้น เก็บภาษีจากชาวนาที่นั่น เป็นข้าวเพียงหนึ่งส่วนในสิบส่วน สำหรับข้าราชฯนั้น มีบำนาญ ด่านค้าขาย ตรวจสอบแต่โจรภัย ไม่ตรวจเก็บภาษี หนองน้ำตามเขื่อนดินธรรมชาติ ไม่หวงห้ามชาวบ้านจับสัตว์น้ำ นักโทษให้รับโทษตามความผิดเฉพาะตน ไม่โยงใยไปถึงลูกเมีย (เช่นการฆ่าล้างโคตร) ชายสูงวัยไม่มีภรรยา เรียกว่า กวนฟู  หญิงสูงวัยไม่มีสามี เรียกว่า กว่าฟู่   ชราวัยไม่มีลูก เรียกว่า ตู๋เซิน  เยาว์วัยกำพร้าพ่อแม่ เรียกว่า กูเอ๋อ  ทั้งสี่สถานนี้ ทุกข์ระทมนัก ยากจะบอกกล่าวแก่ใคร อริยกษัตริย์โจวเหวินอ๋วงโปรดประกาศ "บุญทานบัญญัติ" "ดำเนินการปกครองด้วยการุณย์คุณธรรม" จะต้องคุ้มครองคนสี่สถานนี้ก่อนอื่นใด ในคัมภีร์ได้จารึกไว้ว่า "มีชีวิตอยู่ได้ (ไม่ขัดสน) คือ คนมั่งมี" (เข่ออี่ฟู่เหยิน)  "น่าสงสารที่สุด คือ โดดเดี่ยวกำพร้าไม่มีที่พึ่งพิง" (ไอฉื่อฉยงตู๋)  พระเจ้าฉีเซวียนอ๋วงชื่นชอบตอบรับว่า "คำพูดเหล่านี้ช่างดีแท้" ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ถ้าอ๋องท่านเห็นด้วยต่อการนี้ ไฉนไม่ปฏิบัติเล่า"  อ๋องว่า "เรามีข้อบกพร่องด้วยใฝ่ใจอยากใคร่ในสินทรัพย์" (โลภ ตระหนี่) ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "กาลก่อนฮ่องเต้กงหลิว ต้นราชวงศ์โจวก็อยากใคร่ในสินทรัพย์ ประวัติจารึกไว้ในคัมภีร์ซือจิง บทต้าอย่ากงหลิว ว่า"ด้านโน้นก็สะสม ทับถมกองพะเนิน  ด้านนี้ก็แน่น โกดังโรงเก็บ ยังมีเสบียงกรังที่บรรจุพร้อมในหีบห่อต่าง ๆ อีกนับไม่ถ้วน ล้วนเตรียมการไว้เพื่อรวบรวมบำรุงประชาราษฏร์ เพื่อศักดิ์ศรี  สถานภาพของบ้านเมือง ยังมีเครื่องเกราะ เกาทัณฑ์ หอกดาบ มีดขวาน ก็เตรียมการเรียงรายไว้เป็นระเบียบ พร้อมสรรพแล้วจึงออกเดินทางอพยพไปตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองใหม่ที่ปิน  ฉะนั้น ผู้ปกครองหากยินดีสะสมเสบียงอาหารเต็มที่ จากนั้นจึงออกเดินทางอพยบเช่นเดียวกับกงหลิว  บรรพกษัตริย์ต้นราชวงศ์โจว ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาราษฏร์ ความยินดีต่อทรัพย์สินร่วมกับประชาราษฏร์  มีอะไรที่ผิดต่อความเป็นอ๋องหรือ"  อ๋องว่า "เรายังมีข้อบกพร่องอีกที่ใฝ่ใจในหญิงงาม" ปราชญ์ว่า "กาลก่อน กษัตริย์โจวไท่อ๋วง(บรรพชนของอริยกษัตริย์เหวินอ๋วง) ฝักใฝ่ในหญิงงาม โปรดปรานนางสนม ซึ่งมีเรื่องจารึกไว้ ใน "คัมภีร์กวีธรรมซือจิง" ว่า "บรรพกษัตริย์โจว กู่กงตั้นฟู่ (โจวไท่อ๋วง) ถูกชนเผ่าเหนือรังแกบีบเค้น  เพื่อการหลีกเลี่ยงลี้ภัย เช้าวันรุ่งขึ้น จึงขี่ม้าออกเดินทางนำทหารติดตามเลียบแม่น้ำซีเหอ จากนั้นได้มาดูบ้านพักแรมพร้อมกับสนมเจียง"  สมัยนั้น ในบ้านไม่มี "หญิงสาวตกค้าง" นอกบ้านไม่มี "ชายโสดโดดเดี่ยว" หากอ๋องใฝ่ใจในหญิงงาม ให้เหมือยสมัยไท่อ๋วง ที่ชาวบ้านต่างมีคู่ครองทั่วหน้า เช่นนี้ การครองแผ่นดินโดยธรรม ยังจะมีอะไรยากหรือ" (บทนี้ ท่านปราชญ์เมิ่งจื่ออนุโลมฉีเซวียนอ๋วงในเรื่องใฝ่ใจในหญิงงาม เพื่อจะเดินเรื่องปกครองโดยธรรมให้สำเร็จ) 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวต่อไปว่า "หากสมมุติว่า ขุนนางของอ๋องท่านได้ฝากภรรยาไว้ในความดูแลของเพื่องสนิท ตนเองต้องเดินทางไปเมืองฉู่ พอกลับมาได้พบว่า ภรรยาของตนถูกทอดทิ้งอยู่กับความหิวหนาว เพื่อนอย่างนี้ควรจะทำอย่างไรกับเขา"  อ๋องว่า "ตัดขาดกัน" ปราชญ์เมิ่งจื่อสมมุติอีกว่า "หากผู้บังคับการในลหุฯ ไม่อาจควบคุมจำกัดลูกน้องของตนได้เล่า ควรทำอย่างไร" อ๋องตอบว่า "ไล่ออกจากงาน"  ปราชญ์เมิ่งจื่อสมมุติอีกว่า "หากประมุขของบ้านเมือง ไม่อาจควบคุมความสงบภายในเขตบ้านเมืองรอบด้านได้เล่า ควรจัดการอย่างไร" อ๋องเหลียวดูขุนนางซ้ายขวา หาคำตอบไม่ได้ แล้วเฉไฉพูดเรื่องอื่นไป (บทนี้ ปราชญ์เมิ่งจื่อยกตัวอย่างเพื่อให้อ๋องตื่นใจ ได้ข้อคิดพิจารณาตน)  อีกครั้งหนึ่ง ที่ปราชญ์เมิ่งจื่อได้พบกับฉีเซวียนอ๋วง กล่าวว่า "อันบ้านเมืองเก่าแก่นั้น มิใช่เห็นได้ด้วยต้นไม่เก่าแก่ยืนต้นเต็มบ้านเมือง แต่เห็นได้จากขุนนางเก่าแก่จงรักภักดีมาหลายชั่วคน  ขณะนี้ อ๋องท่านไม่มีแม้แต่ขุนนางที่สนิท ที่เพิ่งแต่งตั้งเมือ่วันก่อน วันนี้ก็ยังมิรู้ว่า จะยั่งยืนหรือไม่เพียงไร" อ๋องว่า "ถ้าเช่นนั้น ทำอย่างไรเราจึงจะดูออกว่านั่นไม่ใช่คนที่มีคุณสมบัติ จะได้เพิกถอนเสีย" ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "กษัตริย์จะคัดขุนนางเข้าวังถ้าจำเป็นจะต้องยกย่องผู้อยู่ตำแหน่งล่างให้สูงขึ้นกว่าคนที่อยู่เหนือกว่า ยกย่องขุนนางที่อยู่ห่าง ให้ขึ้นมาใกล้ชิดกว่าคนสนิทที่มีอยู่ก่อน การนี้ จะไม่รอบคอบระมัดระวังไม่ได้ หากบุคคลผู้รับการยกย่องนั้น ขุนนางซ้ายขวาต่างชื่นชมว่าดีเช่นนี้ ก็ยังรับไม่ได้ หากขุนนางทั้งหมดล้วนว่าดี ก็ยังเชื่อไม่ได้ แต่ถ้าชาวเมืองทั้งหมดชมว่าดี อย่างนี้สมควรที่จะพิจารณา เมื่อเห็นเป็นเมธีแท้ จากนั้นจึงแต่งตั้ง  คนซ้ายขวาล้วนว่าใช้ไม่ได้ อย่าได้เชื่อความ แต่คนทั้งบ้านเมืองล้วน
ว่าใช้ไม่ได้ จึงพิจารณา เมื่อเห็นว่าใช้ไม่ได้จริง จากนั้นจึงปลดไป หากคนซ้ายขวาว่าประหารได้ อย่าฟัง ขุนนางทั้งหมดล้วนว่าประหารได้ อย่าฟัง คนทั้งบ้านเมืองว่าประหารได้ จึงพิจารณา เมื่อเห็นว่าประหารได้จึงประหาร  จึงกล่าวได้ว่า "เป็นโทษประหารจากมติของคนทั้งบ้านเมือง" ทำดังนี้ได้ จึงเป็นพระบิดาแห่งประชาราษฏร์" พระเจ้าฉีเซวียนอ๋วง ถามอีกว่า "กษัตริย์ซังถัง เนรเทศกษัตริย์เซี่ยเจี๋ย (ทรราช) กษัตริย์อู่อ๋วงยกทัพปราบกษัตริย์โจ้วอ๋วง (ทรราช) เรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่" ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "มีประวัติจารึกไว้" ถามอีกว่า "ถ้าเช่นนั้น ขุนนางล้มล้างปลงพระชนม์กษัตริย์ได้หรือ" ตอบว่า "คนที่ทำลายกรุณาธรรม เรียกว่า "ปล้น" (เจ๋ย) คนที่ทำลายหลักมโนธรรม เรียกว่า "โหด" (ฉัน) คนที่ปล้นฆ่ากรุณามโนธรรม เรียกว่า "ทรชน คนโฉด" (ตู๋ฟู) ข้าพเจ้าได้ยินแต่ว่า กษัตริย์โจวอู่อ๋วงนั้น ได้ล้มล้างทรชนคนหนึ่งนามว่าโจ้ว ไม่ได้ยินว่า กษัตริย์โจวอู่อ๋วงปลงพระชนม์กษัตริย์เลย"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        ท่านปราชญืเมิ่งจื่อพบกับฉีเซวียนอ๋วง กล่าวว่า "เมื่อจะสร้างพระราชฐานใหม่ จะต้องให้ช่างหาต้นไม้ขนาดใหญ่ เมื่อช่างได้ต้นไม้ขนาดใหญ่มา อ๋องก็จะดีใจมาก คิดว่าช่างคนนี้รับผิดชอบต่อหน้าที่ดีนัก เมื่อช่างไม้จัดการถากไม้ ตัดแต่งให้ได้ตามสัดส่วนที่ต้องการ อ๋องกลับพิโรธ เมื่อเห็นไม้ใหญ่กลายเป็นไม้เล็ก คิดว่าช่างนี้ทำหน้าที่ไม่ได้เสียแล้ว คนทั่วไปเรียนรู้การช่างตั้งแต่เด็ก ล้วนหวังว่าเมื่อวัยฉกรรจ์จะได้แสดงฝีมือเต็มที่ แต่หากอ๋องบอกแก่เขาว่า "หยุดความคิดของเจ้าได้แล้ว จงทำตามที่เราจะบอกให้สร้าง" ถ้าเป็นเช่นนี้ อ๋องท่านลองประมาณการสิว่า พระราชฐานหลังนั้นจะงดงามหรือไม่ สมมุติอีกว่า ขณะนี้ มีหินหยกที่ยังไม่ได้เจียระไนก้อนหนึ่ง แม้ค่าของหยกจะมหาศาล แต่จะต้องผ่านการ แกะ สกัด เจียระไน จากช่างหยก จึงจะเป็นเครื่องหยกล้ำค่าได้ สำหรับการปกครองบ้านเมืองก้เช่นกัน หากพูดว่า "ท่านจงหยุดพูดถึงหลักธรรมที่เรียนมาจากอริยปราชญ์เสียก่อนเถิด แต่จงทำตามความคิดของเรา ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน" หากเป็นเช่นนี้ ก็จะต่างอะไรกับการสอนให้ช่างหยกตกแต่งหินหยกตามใจตนซึ่งเป็นผู้ไม่รู้เล่า" เมืองฉียกทัพไปตีเมืองเอียน ได้ชัยชนะ ฉีเซวียนอ๋วงถามปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "มีคนเสนอความเห็นว่า เราอย่าได้ยึดครองแผ่นดินเอียน แต่บ้างก็เสนอให้ยึดครอง  เมืองฉีที่มีหมื่นคันรถม้าศึก ยกทัพไปรบรากับเมืองเอียนที่มีหมื่นคันรถม้าศึก ใช้เวลาเพียงห้าสิบวัน ก็ได้ชัยชนะ ถ้าเพียงใช้กำลังคน (ทหาร) คงไม่เร็วได้เพียงนี้ ชนะศึกแล้วไม่ยึดครองแผ่นดิน เกรงฟ้าจะบันดาลโทษภัย... เราว่า ยึดครองเสียจะดีหรือไม่" ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "หากยึดครองแล้วชาวเมืองเอียนยินดีปรีดา ก็จงยึดครองเถิด กษัตรย์ก่อนเก่าก็เคยปฏิบัติมา เช่นกษัตริย์อู่อ๋วง ที่ปราบปรามทรราชโจ้วนั่นเอง หากยึดครองแผ่นดินแล้ว ชาวเมืองเอียนไม่พอใจ ก็อย่าได่ยึดครอง ซึ่งกษัตริย์ก่อนเก่าก็เคยปฏิบัติมา คือ กษัตริย์เหวินอ๋วง การใช้รถม้าศึกหนึ่งหมื่นคัน ปราบปรามบ้านเมืองที่มีรถม้าศึกหนึ่งหมื่นคันเสมอกัน เมื่อได้รับชัยชนะ ประชาชนฝ่ายผู้แพ้จะนำข้าวใส่กระบอกไม้ใผ่ นำจอกใส่เหล้ามาต้อนรับกองทัพผู้ชนะจะด้วยสาเหตุใดอีกเล่า ทั้งนี้ก็คือ อยากพ้นจากปกครองที่ " น้ำลึก ไฟร้อน " แต่ก่อนมา (สุ่ยเซินหั่วเย่อ) อยากจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมที่ต้องทนรับสภาพเท่านั้นเอง" (บทนี้ ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อให้ข้อคิดว่า ยกทัพปราบปรามยึดครองแผ่นดิน จะต้องไม่ฝืนใจชาวประชา จึงจะสอดคล้องต่อพระประสงค์ฟ้าเบื้องบน)  เมืองฉียกทัพปราบศึกเมืองเอียน ยึดครองแผ่นดิน เจ้าเมืองหัวเมืองน้อยใหญ่รวมใจกัน จะกอบกู้เมืองเอียนกลับคืนมา ฉีเซวียนอ๋วงถามปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "เจ้าเมืองน้อยใหญ่รวมใจ จะยกทัพจับศึกต่อเรา จะทำอย่างไรดี" ตอบว่า "ข้าฯ ได้ยินมาว่า มีพื้นที่โดยรอบเพียงเจ็ดสิบลี้ ก็เป็นอ๋องปกครองบ้านเมืองได้แล้ว นั่นคือ กษัตริยฺซังทังผู้ทรงธรรม ข้าฯ ไม่เคยได้ยินว่า บ้านเมืองที่มีพื้นที่กว้างใหญ่โดยรอบถึงหนึ่งพันลี้ ต้องตกอยู่ในภาวะระแวงภัย" ในหนังสือซั่งซู จารึกไว้ว่า "ครั้งแรกที่กษัตริย์ซังทังยาตราทัพ เริ่มจากเมืองเก่อ ผู้คนทั่วหล้าฟ้ากว้างต่างเชื่อว่า กษัตริย์ซังทังยกทัพจับศึก ก็เพื่อจะปลดปล่อยชาวบ้านชาวเมืองที่ถูกกดขี่ข่มเหง ดังนั้น หากกษัตริยฺซังทังยาตราทัพไปทางตะวันออก ชาวเมืองอี๋ทางทิศตะวันตกก็จะน้อยใจ หากยาตราทัพไปทางใต้ ชาวเหนือก็น้อยใจ ต่างกล่าวกันว่า  "ไฉนให้เราลำดับหลัง"  ประชาราษฏร์ทุกบ้านเมือง รอคอยการปกครองโดยธรรมจากกษัตริย์ซังทัง ไม่ต่างคอยเมฆฝนจากหน้าแล้ง ไม่ต่างจากทุกเช้าคอยรุ้งกินน้ำให้ฝนฉะนั้น ทุกหนแห่งที่กองทัพของกษัตริย์ซังทังไปถึง คนซื้อขายในตลาดยังคงซื้อขายไปตามปกติ ไม่วิตกกังวล หยุดชะงัก ชาวไร่ชาวนายังคงก้มหน้าคราดไถต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กองทัพจับทรราชสำเร็จโทษ ให้ประโยชน์ปลอบขวัญชาวบ้านชาวเมือง เหมือนฝนอมฤตชโลมลง ประชาชนต่างยินดีปรีดา ดังได้จารึกไว้ในหนังสือซั่งซูว่า  "รอคอยกษัตริย์ผู้ทรงธรรมของเรามาถึง จากนั้น พวกเราก็จะได้ฟื้นคืนชีพ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        วันนี้  อ๋องแห่งเมืองเอียน ขูดรีดประชาชน อ๋องท่าน (ฉี) ยาตราทัพเข้าไป ชาวประชาเข้าใจว่า ทั้งนี้ เพื่อการกอบกู้พวกเขาให้พ้นจากสภาพน้ำลึกไฟร้อน (สุ่ยเซินหั่วเย่อ) จึงต่างนำกระบอกข้าว จอกเหล้า มาต้อนรับกองทัพของอ๋องท่าน แต่หากทำการฆ่าพ่อฆ่าพี่ของเขา มัดตัวลูกหลานของเขา ทำลายศาลบรรพชน ขนข้าวของมีค่าของเขาไป ทำให้พวกเขาผิดหวัง ดังนี้จะได้หรือ ทั่วหล้าจะขยาดเมืองฉี อีกทั้งบัดนี้ เมืองฉีได้แผ่นดินจากการยึดครองไปอีกหนึ่งเท่าตัว แต่ไม่ครองแผ่นดินโดยธรรม ไม่บริหารบ้านเมืองโดยการุณย์ เห็นได้ชัดเจนว่า หาศึกทั่วหล้ามาประชิดตน  อ๋องท่านรีบมีพระบัญชาเถิด รีบปล่อยเฉลยศึก ทั้งผู้เยาว์ เฒ่าชรา หยุดการโยกย้ายกอบโกยของมีค่า รีบปรึกษาหารือขอความเห็นจากชาวเมืองเอียน แต่งตั้งประมุขคนใหม่ให้เรืองรุ่ง จากนั้นถอนทัพกลับออกมา ยังจะแก้ไขเหตุร้ายที่เกิดขึ้นแก่เมืองฉีของอ๋องท่านได้  เมืองโจว กับ เมืองหลู่ พิพาทบาดหมางกัน  พระเจ้าโจวมู่กง ถามท่านปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ขุนนางปกครองท้องถิ่นของเรา สู้รบตายไปสามสิบสามคน ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีที่จะทะยานตนเข้าช่วยเหลือสักคน การนี้ หากเอาโทษชาวบ้าน จัดการประหารเสียก็มากมาย ประหารได้ไม่หมด แต่หากไม่ประหารก้เท่ากับยอมรับการเฉยเมยมองดูผู้ปกครองท้องถิ่นถูกฆ่าตายของพวกเขา เราจะจัดการอย่างไรดี"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ปีฝนแล้งไร่นาล่ม ประชาชนของอ๋องท่านทั้งผู้เยาว์ เฒ่าชรา  อ่อนกำลังต่างอดตาย ศพมากมายเหล่านี้ถูกนำไปทิ้งลงหลุมในหุบเขา คนที่ยังแข็งแรงก็กระจัดกระจายไปตายเอาดาบหน้า คนเหล่านี้มีจำนวนหลายพัน... ...แต่ในยุ้งฉางของอ๋องท่านนั้น กักตุนข้าวเปลือกไว้เต็มเพียบ ท้องพระคลังก็มั่งคั่งมากล้น ขุนนางผู้ปกครองท้องถิ่นต่างเพิกเฉย ไม่กราบทูลความทุกข์ยากของประชาชน ให้ทรงทราบ เช่นนี้คือ ลบหลู่เบื้องสูง ดูดายเบื้องต่ำ  ลบหลู่กับดูดายเช่นนี้ ท่านปราชญ์เจิงจื่อเคยกล่าวไว้ว่า "ทำการใด ๆ ให้รอบคอบระวังตั้งใจหนอ ระวังตั้งใจหนอเรื่องร้ายที่ออกไป (เกิด) จากตัวท่าน จะต้องสนองตอบแก่ตัวท่านหนอ"  นั่นก็คือ ชาวบ้านจะต้องเสียหายจากการดูดายของขุนนางผู้ปกครองอยู่ทุกวัน สุดท้าย ขุนนางเหล่านั้น ย่อมต้องได้รับผลนั้นตอบสนอง  ฉะนั้น อ๋องท่านมิพึงกล่าวโทษชาวบ้าน ขอเพียงดำเนินการปกครองด้วยการุณย์ธรรม ชาวบ้านทุกคนก็จะชิดใกล้ ยอมตายเพื่อขุนนางปกครอง"  พระเจ้าเถิงเหวินกง เรียนถามท่านปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "เถิงของเราเป็นเมืองเล็ก อีกทั้งถูกขนาบสองข้างด้วยฉีกับฉู่เมืองใหญ่ เราควรจะสวามิภักดิ์กับเมืองใด"  ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า " แผนรับมือนี้ มิใช่ข้า ฯจะคิดให้รอบคอบได้ (ใจคนหยั่งยาก) หากจำเป็น มีทางเดียวคือ ขุดคูล้อมเมือง สร้างกำแพงป้องกันโดยรอบ ประชาชนอยู่ภายใน ให้ร่วมใจรักษาเมือง ไม่ทิ้งไปทำเช่นนี้จะดีกว่า (บทนี้ ปราชญ์เมิ่งจื่อสอนให้ยืนหยัดด้วยตน "พึง" อาจล้ม) 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ

                         ๑. บทเหลียงฮุ่ยอ๋วง ตอนท้าย

        ถามอีกว่า "เมืองฉีกำลังจะสร้างปร้อมปราการเขตเมืองเซวีย ที่ฉียึดครองมาได้ เมืองเซวียอยู่ติดชายแดนเมืองเถิงของเรา ทำให้ประวั่นนัก จะทำอย่างไรดี" ตอบว่า "ครั้งกระโน้น กษัตริย์โจวไท่อ๋วง (ต้นตระกูลราชวงศ์โจว) ตั้งเมืองอยู่ที่ปิน ถูกชนเผ่าชาวเหนือ รุกรานทำร้ายอยู่เนือง ๆ สุดท้ายต้องทิ้งเมืองปินไปอยู่เชิงเขาฉีซัน  โจวไท่อ๋วง มิใช่จงใจจะเลือกใช้สถานที่ใหม่แห่งนี้ แต่เป็นเพราะจำใจ แต่หากสร้างคุณความดีมีกรุณาธรรม ลูกหลานภายหน้าก็จะได้ปกครองแผ่นดินสืบสานงานใหญ่ต่อไป นั่นคือ ฟ้าลิขิตให้ตรงต่อจิตดีงาม ขณะนี้ อ๋องท่านจะทำอะไรได้กับเมืองฉี มีแต่ปกครองแผ่นดินโดยธรรมเท่านั้น ให้ลูกหลานได้สืบสานต่อไป" เถิงเหวินกงถามอีกว่า "เถิงของเราเป็นเมืองเล็กนัก พยายามเอาใจพวกเมืองใหญ่ แต่ยังไม่วายถูกรุกราน จะรับมืออย่างไรดี" ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "แต่ก่อน โจวไท่อ๋วงตั้งเมืองอยู่ที่ปิน ถูกชนเผ่าเหนือรุกรานเป็นประจำ โจวไท่อ๋วงส่งเครื่องบรรณาการเป็นประจำ เช่น หนังสัตว์  แพรพรรณ ไปแสดงความสวามิภักดิ์  การรุกรานยังคงมีมาไม่ขาด จึงส่งสุนัขพันธุ์ดีและม้าไปให้ การรุกรานของชนเผ่าเหนือยังคงไม่หยุดยั้ง แม้แต่บรรณาการด้วยหยก ด้วยอัญมณีล้ำค่า ก็ไม่อาจยับยั้งได้ สุดท้าย โจวไท่อ๋วงจึงเรียกประชุมผู้ใหญ่ทั้งหลาย ประกาศให้เห็นจริงว่า "สิ่งที่ชนเผ่าเหนือต้องการนั้น มันคือแผ่นดินโจวของเรา"  กษัตริย์โจวไท่อ๋วง กล่าวต่อผู้ใหย๋ที่ทรงคุณวุฒิทั้งหลายต่อไปว่า "เราได้ยินมาว่า กัลยาณชนประมุขผู้ทรงธรรม จะไม่ทำให้ชีวิตคนต้องเสียหาย เพื่อที่จะเลี้ยงดูผู้คน (แย่งชิงดินแดนจนต้องเข่นฆ่ากัน)  ท่านทั้งหลายไม่ต้องห่วงใยว่าจะไม่มีประมุข เราจะย้ายถิ่นฐาน" ในที่สุด โจวไท่อ๋วงไปจากเมืองปิน เดินทางข้ามเขาเหลียงซัน ไปสร้างเมืองใหญ่ที่เชิงเขาฉีซัน ชาวเมืองปินที่อยู่ร่วมกันมา ต่างกล่าวว่า "โจวไท่อ๋วงทรงมีกรุณาธรรมยิ่งนัก  เราจะผิดไปจากการปกครองของพระองค์ไม่ได้" ฝูงชนที่ติดตามโจวไท่อ๋วง อพยบเดินเบียดเสียดเป็นขบวนยาวเหมือนคนซื้อขายกันในตลาด แต่มีคนกล่าวว่า "แผ่นดินผืนนี้ที่อยู่มา น่าจะรักษาไว้ให้เป็นสมบัติของลูกหลานสืบต่อไป ไม่ใช่ว่าปู่ย่ารักษามาแล้ว เราก็จะทิ้งไป เราจะยอมสู้ตายกับผู้รุกราน จะไม่ยอมไปจากที่นี่  วิธีการทั้งสองแล้วแต่อ๋องท่านจะเลือกสรร" (บทนี้ปราชญ์เมิ่งจื่อชี้ให้เห็นหลักเหตุผล ของการรุกและรับ)  พระเจ้าหลู่ผิงกง กำลังจะออกจากพระราชฐาน ขณะนั้น ขุนนางคนสนิทชื่อว่า จังชัง ทูลถามว่า "ทุกครั้งที่จะออกจากวัง ฝ่าบาทจะบอกกล่าวเจ้าหน้าที่รักษาการ ให้รู้รายละเอียดของการเสด็จไป แต่วันนี้ รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว เจ้าหน้าที่กลับไม่มีใครทราบเลย ได้โปรด..." หลู่ผิงกงตอบว่า "จะไปพบปราชญ์เมิ่งจื่อ" คนสนิทว่า "เหตุใดฝ่าบาทจึงลดองค์ลงยกย่องสามัญชนเช่นนั้น หรือสำคัญผิดว่า เขาคือเมธีผู้มีคุณธรรม  เมธีจะต้องแสดงจริยมโนธรรมจากการกระทำของตน แต่ในภายหลัง เมิ่งจื่อจัดงานศพให้มารดาสูงส่งกว่างานศพของบิดาก่อนหน้านั้น เท่ากับดูเบาบิดาตน ฝ่าบาทไม่น่าลดองค์ลงไปหา" หลู่ผิงกงตอบว่า "ใช่"  เอวี้ยเจิ้งจื่อ (ศิษย์เมิ่งจื่อ เป็นขุนนางเมืองหลู่)  เห็นหลู่ผิงกงเปลี่ยนใจจึงว่า "ไฉนฝ่าบาทจึงไม่ไปพบท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ" หลู่ผิงกงตอบว่า "มีคนบอกเราว่า เมิ่งจื่อจัดงานศพมารดาในภายหลังสูงส่งกว่าบิดาในครั้งก่อน ดูอย่างกับเมธีที่ไม่รู้จริยมโนธรรม จึงไม่ไปพบ" เอวี้ยเจิ้งจื่อว่า "ที่ว่าสูงกว่านั้น หรือเป็นเพราะในครั้งก่อน ครูปราชญ์ยังเป็นนักศึกษา แต่ครั้งหลังเป็นขุนนาง เป็นเพราะครั้งก่อน ใช้เครื่องเซ่นไหว้ระดับสาม ครั้งหลังใช้ระดับห้าตามสถานภาพ" หลู่ผิงกงว่า "มิใช่เหตุนี้ แต่เป็นเพราะครั้งหลังนี้ การตกแต่ง เสื้อผ้า โลงศพหรูหรากว่าครั้งก่อนมาก" เอวี้ยเจิ้งจื่อว่า "ดังนี้มิใช่เจตนาจัดงานเหลี่ยมล้ำ แต่เป็นเพราะฐานะก่อนหลังต่างกัน" เอวี้ยเจิ้งจื่อ มาพบครูปราชญ์เมิ่งจื่อ กล่าวว่า "ศิษย์ได้กล่าวขวัญคุณธรรมแห่งปราชญ์ของครูท่าน จนหลู่ผิงกงจะมาพบครูท่านอยู่แล้ว แต่มีขุนนางคนสนิทชื่อจังซัง ยับยั้งไว้ ทำให้หลู่ผิงกงไม่อาจมาได้ตามพระประสงค์เดิม" ครูปราชญ์ว่า "คน ดำเนินการย่อมมีผู้ยับยั้ง ธรรมะ จะดำเนินการหรือไม่ มิใช่ใครจะบงการได้ ที่ครูกับหลู่ผิงกงไม่ได้พบกัน นั่นเป็นเจตนาของฟ้าเบื้องบน จังซังคนนี้ จะยับยั้งให้เราไม่ได้พบกันได้หรือ" (บทนี้ ปราชญ์เมิ่งจื่อแสดงความแห่งบุญวาระอันเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของบ้านเมืองที่เป็นไปตามพระโองการฟ้า)

                                     จบบทเหลียงฮุ่ยอ๋วงตอนท้าย

Tags: