ปรัชญาเมิ่งจื่อ : ปราชญ์เมิ่งจื่อ
๕
บทวั่นจัง ตอนท้าย
วั่นจังเรียนถามว่า "องค์ประมุขจะอุปถัมภ์ค้ำชูกัลยาณชน พึงทำเช่นไร" ครูปราชญ์ว่า "ครั้งแรกใช้พระบัญชา ให้นำของกำนัลไปให้ ผู้รับจะต้องโค้งคารวะสองครั้ง กราบรับไว้อย่างเป็นทางการ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่กองยุ้งฉางก็จัดส่งข้าว เจ้าหน้าที่โรงครัวก็จัดส่งอาหารต่อเนื่องอย่างไม่เป็นทางการ" แต่ปราชญ์จื่อซือรู้ว่าทุกครั้งที่ส่งอาหารมาให้นั้น เป็นพระบัญชาทุกครั้ง ทำให้ต้องโค้งคารวะก้มกราบรับไว้ ยุ่งยากลำบากใจนัก อีกทั้งมิใช่ท่าทีขององค์ประมุขอันพึงแสดงต่อกัลยาณชน เพื่อการอุปถัมภ์ค้ำชู ก่อนกาล อริยกษัตริย์เหยาแสดงต่อซู่นนั้นคือ ส่งราชบุตรทั้งเก้าของพระองค์ไปดูแลรับใช้ซุ่น ตกแต่งพระธิดาทั้งสองให้ซุ่น อีกทั้งจัดเตรียมขุนนางนับร้อยไว้ให้ซุ่นเรียกใช้ จัดวัว แพะเต็มคอก เลี้ยงสัตว์ จัดข้าวเปลือกเต็มยุ้งฉางไปมอบแก่ซุ่นถึงกลางนา ภายหลัง ยังได้เชิดชูมอบหมายให้งาน ให้ตำแหน่งมุขมนตรี เช่นนี้ จึงจะเรียกว่า จริยะที่องค์ประมุขเชิดชูเมธี
ศิษย์วั่นจังเรียนถามอีกว่า "ผู้คนไม่กล้าเข้าพบเจ้าเมืองด้วยตนเอง เพราะเหตุไร" ครูปราชญ์ตอบว่า "ผู้คนในเมืองหลวง เรียกว่าพสกนิกรชาวเมืองผู้คนชนบทเรียกว่่าพสกนิกรชาวบ้านป่า ทั้งสองประเภทนี้ ล้วนเป็นสามัญชน สามัญชนที่ยังไม่เคยเรียนรู้จริยพิธีในการแนะนำตนเองต่อผู้ใหญ่ ก็จะไม่กล้าเข้าพบเจ้าเมือง นี่เป็นจริยะโบราณ" ศิษย์วั่นจังว่า "เจ้าเมืองเรียกใช้แรงงานชาวบ้าน ชาวบ้านพากันไป แต่เรียกให้เข้าหากลับไม่ไป เพราะเหตุใด" ครูปราชญ์ว่า "เรียกใช้แรงงาน ชาวบ้านเห็นเป็นหน้าที่ แต่เรียกให้เข้าหา เห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ อีกทั้งไม่มีเหตุอันควร" ศิษย์วั่นจังว่า "คนที่ไม่ยอมเข้าหาเป็นเพราะว่า เขามีความรู้กว้างขวางอีกทั้งเป็นเมธี" ครูปราชญ์ว่า "ในเมื่อเป็นเพราะมีความรู้กว้างขวาง ถ้าเช่นนั้น แต่โบราณมา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินยังไม่กล้าเรียกครูบาอาจารย์ให้เข้าหา จึงนับประสาอะไรกับเจ้าเมือง จะเรียกให้เข้าหาได้ และถ้าหากเป็นเมธี ครูก็ไม่เคยได้ยินว่า เจ้านายจะเรียกให้เมธีเข้าหาได้"
แต่ก่อน พระเจ้าหลู่โหมวกง ไปขอพบท่านปราชญ์จื่อซือเสมอ เพื่อปรึกษาความว่า "องค์ประมุขบ้านเมืองที่มีรถม้าศึกถึงหนึ่งพันคัน คบหาเป็นเพื่อนกับสามัญชน ปราชญ์จื่อซือท่านเห็นเป็นการสมควรหรือไม่" ท่านปราชญ์ไม่พอใจคำถามนี้ตอบว่า "โบราณแบ่งแยกการปฏิการะ หาได้แบ่งแยกมิตรภาพไม่" ครูเองเข้าใจว่า ที่ท่านปราชญ์จือซือไม่พอใจนั้น น่าจะหมายถึงว่า "ถ้าพูดกันถึงสถานภาพ ท่านเป็นองค์ประมุข เราเป็นข้าแผ่นดิน มีหรือจะบังอาจเป็นเพื่อน แต่หากพูดกันถึงคุณธรรม ท่านประมุขจะต้องปฏิการะเรา จะเป็นเพื่อนกับเราได้หรือ"