collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรัชญาเมิ่งจื่อ : ปราชญ์เมิ่งจื่อ : เริ่มเรื่อง  (อ่าน 68424 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 
 
                                              4

                                     บทหลีโหลว ตอนต้น

        ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวว่า "เมื่อครั้งราชบุตรป๋ออี๋ หลบทรราชโจวไปซ่อนตัวที่เป่ยไห่ พอได้ข่าวว่ากษัตริยฺเหวินอ๋วง ถูกยกย่องขึ้นเป็น "ซีป๋อ ผู้นำเหล่าเจ้าเมือง" และกปครองโดยธรรม ราชบุตรป๋ออี๋ปีติยิ่ง กล่าวว่า "ไฉนเราจะไปม่ไปพึ่งบารมีเล่า ได้ยินว่าซีป๋อท่านนี้เคารพผู้สูงวัย สงเคราะห์คนแก่แม่หม้ายผู้เยาว์ " พระเจ้าปู่เจียงไท่กง ราชครูในพระเจ้าโจวเหวินอ๋วง (พระประวัติ สายทองเล่มหนึ่ง หน้า70) ขณะหลบทรราช แฝงองค์อยู่ชายทะเลตงไห่ พอได้ข่าวซีป๋อ ผู้นำเหล่า้เจ้าเมือง "ก็ยินดีนักกล่าวว่า "ไฉนเราจึงไม่รีบไปพบ "ซีป๋อ" ผู้นำเจ้าเมือง ผู้ชอบเคารพเลี้ยงดูผู้สูงวัย" เมื่อผู้สูงวัยกับสูงคุณธรรม อันเป็นเสมือนบิดาที่เคารพยิ่งของมหาชน พร้อมกันมาน้อมรับพระบารมีอริยกษัตริย์โจวเหวินอ๋วง ชาวบ้านชาวเมืองทั่วหล้าฟ้าไกลต่างก็พากันสวาภิภักดิ์" 
 
        เมื่อราชบุตรป๋ออี๋ กับพระเจ้าปู่เจียงไท่กง ผู้สูงวัยด้วยคุณธรรมทั้งสอง อันเป็นเสมือนบิดาที่เคารพยิ่งของมหาชน น้อมรับพระบารมีอริยกษัตริย์แล้วลูกหลานของบ้านเมืองจะไปไหนเสีย ฉะนั้น เหล่าเจ้าเมืองที่ได้รับการปกครองโดยธรรมจากโจวเหวินอ๋วง ภายในเจ็ดปี บ้านเมืองจะสงบราบเรียบแน่นอน

        ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวว่า  "ครั้งกระนั้นท่านหยั่นฉิว (ศิษย์บรมครู) ไปเป็นผู้จัดการบ้านตระกูลจี้ขุนนางเมืองหลู่ ไม่อาจปรับเปลี่ยนการรีดนาทาเร้นของขุนนางจี้ได้ ยังกลับขูดรีดหนักขึ้น  บรมครูโกรธหนัก กล่าวแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า "หยั่นฉิวไม่ใช่ศิษย์ของครู ทุกคนช่วยกันเอาโทษโจมตีเขาให้หนัก"  จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า องค์ประมุขไม่ทรงธรรม ขุนนางกลับ (เหมือน) มีส่วนร่วมขูดรีดจนร่ำรวย เท่ากับละทิ้งขาดสิ้นการปกครองโดยธรรมตามที่บรมครูเรียกร้อง

        ยิ่งกว่านั้น พวกฮึกหาญลาญรบ แย่งชิงแผ่นดิน ฆ่าคนเกลื่อนกลาด สู้รบชิงเมืองฆ่าคนกองพะเนิง นี่เรียกว่า "รวบแผ่นดินกินเนื้อคน" โทษคนพวกนี้ถึงตายไม่สาสม ฉะนั้น แต่ก่อนกาลมา พวกชอบฆ่าชอบรบ ต้องได้รับโทษอุกฤษฏ์ โทษรองลงมาคือร่วมกับเจ้าเมืองยกทัพช่วงชิง โทษอีกขั้นหนึ่งคือ เรียกเก็บภาษีที่ดินชั้นดีที่ชาวบ้านแผ้วถางป่ารกมาจนเลือดตาแทบกระเด็นฯ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 
 
                                              4

                                     บทหลีโหลว ตอนต้น

        ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวว่า  "หยั่งดูใจคน  ไม่มีอะไรเห็นชัดเท่าสังเกตแววตา  แววตาไม่อาจปกปิดความชั่วร้ายในใจ  ถ้าจิตใจซื่อตรง  แววตาก็จะมีพลังเที่ยงตรง  จิตใจไม่ซื่อตรง  นันย์ตาไม่อาจซ่อนเร้นได้"

         ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวว่า 
"ประมุขผู้น้อมองค์ให้เกียรติยกย่องใคร ๆ จะไม่เหยียดหยามประชาราษฏร์
ประมุขผู้มัธยัสถ์จะไม่เรียกเก็บภาษีหนักขูดรีดประชาชน
ประมุขที่เหยียดหยามอีกทั้งขูดรีด ก็เพื่อแสดงเดชานุภาพ เพื่อสยบประชาชน ให้อยู่ภายใต้นโยบาย
เช่นนี้เขาจะให้เกียรติ  เขาจะมัธยัสถ์ทำไม  ให้เกียรติ มัธยัสถ์ จะต้องแสดงผลอันเป็นจริง มิใช่ใช้เสียงหรือรอยยิ้ม ก็จะเสแสร้งทำได้"

        ฉุนอวี่คุน นักคารมชาวเมืองฉี  เรียนถามท่านปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "หญิงชายไม่ควรชิดใกล้หยิบยื่นถึงมือกัน เป็นจริยธรรมหรือ" (หนันหนวี่โซ่วโซ่วปู้ชิน) ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "ถูกต้อง"  เรียนถามอีกว่า "ถ้าเช่นนั้น หากพี่สะใภ้ตกน้ำ จะยื่นมือไปฉุดได้หรือไม่"  ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "พี่สะใภ้หรือหญิงคนใดตกน้ำ ไม่ยื่นมือช่วยเท่ากับอำมหิต"  อันว่าหญิงชายไม่หยิบยื่นถึงมือกันเป็นจริยธรรม  แต่พี่สะใภ้ตกน้ำเป็นเหตุปัจจุบันทันด่วนอันพึงอนุโลม  ฉุนอวี่คุน เรียนถามอีกว่า "บัดนี้  ชาวโลกเหมือนจมน้ำตะเกียกตะกาย ควรทำอย่างไร"  ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "โลกจมลง  ฉุดช่วยด้วยธรรม" (โลกจมสู่หายนะด้วยความขาดกรุณามโนธรรม) (เทียนเซี่ยนี่ เอวี๋ยนจื่ออี่เต้า)  พี่สะใภ้จมน้ำช่วยได้ด้วยมือ หรือท่านคิดจะช่วยชาวโลกด้วยมือ"

        ศิษย์กงซุนโฉ่ว  เรียนถามครูปราชญ์ว่า  "ที่กัลยาณชนไม่อบรมลูกด้วยตนเองนั้นด้วยเหตุอันใด"  ครูปราชญ์ตอบว่า "ยากด้วยสภาพการ (กัลยาณชนสุภาพเกินกว่าจะดุว่าเข้มงวด) สอนลูกจะต้องใช้หลักธรรม หากลูกไม่ทำตาม ขั้นต่อไปก็จะต้องลงโทษดุว่าเข้มงวด ลงโทษดุว่าเข้มงวดก็ด้วยรักลูก อยากให้ได้ดี แต่หากทำดังนี้ต่อไป พ่อลูกก็จะหมางใจกัน  ในใจลูกจะย้อนตำหนิว่า "บิดาเป็นครูสอนลูกด้วยหลักธรรม แต่บิดาเองไม่เห็นดำเนินต่อหลักธรรมเลย ดังนี้ ระหว่างนี้พ่อลูกก็จะหมางใจกัน เมื่อหมางใจกัน คุณสัมพันธ์รักใคร่จะกลายเป็นเลวร้าย  ฉะนั้น  คนก่อนเก่าจึงแลกเปลี่ยนอบรมลูก ด้วยเหตุ
ที่ระหว่างพ่อลูกไม่อาจดุว่าฝืนใจให้ใฝ่ดีได้  ดุว่าฝืนใจให้ใฝ่ดี  ความรักใคร่ผูกพันก็จะห่างหาย  เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลไม่ดีจะเกิดตามมา" 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า 
"ปฏิการะใดยิ่งใหญ่สำคัญ ปฏิการะบิดามารดา ยิ่งใหญ่สำคัญ  (ซื่อสูเอว๋ยต้า  ซื่อชินเอว๋ยต้า)
รักษาใดยิ่งใหญ่สำคัญ  รักษาตนยิ่งใหญ่สำคัญ "  (โส่วสูเอว๋ยต้า  โส่วเซินเอว๋ยต้า)
        "รักษาตนสุจริต  ไม่ประพฤติผิดเสียหาย  จึงจะปฏิการะบิดามารดาได้"  ดังนี้ ข้าพเจ้าเคยได้ยินมา 
ผู้ไม่รักษาตนสุจริต  ประพฤติผิดเสียหาย  ปฏิการะบิดามารดาได้  ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินมา  ผู้ใดมิพึงทำการนี้  ปฏิการะบิดามารดา เป็นรากฐานของความเป็นคนหนอ  ผู้ใดมิพึงรักษาตน  รักษาตนเป็นการรักษาฐานของชีวิตทีเดียว       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 
 
                                              4

                                     บทหลีโหลว ตอนต้น

        ครั้งกระนั้น  ปราชญ์เจิงจื่อ (ศิษย์บรมครู) ปฏิการะเจิงซีผู้บิดา ทุกมื้อจะต้องเพียบพร้อมด้วยเหล้ายาอาหาร ครั้นจะเก็บสำรับ ก็จะถามว่า อาหารที่เหลือจะแจกจ่ายแก่ใคร  บิดาแจกจ่ายแก่ลูกหลานแล้วจะถามว่า "ยังมีเหลือหรือไม่" หากยังมีเหลือเจิงจื่อก็จะตอบว่า "มี"  เมื่อเจิงซี บิดาของเจิงจื่อสิ้นไป เจิงเอวี๋ยน หลายชาย ปฏิการะเจิงจื่อผู้บิดา ทุกมื้อก็เพียบพร้อมเช่นกัน  ครั้นจะเก็บสำรับกลับจะไม่ถามบิดาว่า ที่เหลือจะแจกจ่ายแก่ใคร  หากเจิงจื่อแจกจ่ายแก่ลูกหลาน แล้วถามว่า "ยังมีเหลือหรือไม่" แม้จะยังมีเหลือ เจิงเอวี๋ยน บุตรชายก็จะตอบว่า "ไม่มี"  ตอบเช่นนี้ ด้วยเกรงว่าบิดาจะแจกจ่ายเสียหมด ตอบว่าไม่มีจะเหลือไว้ให้บิดากินมื้อหน้าต่อไป เช่นนี้ เรียกว่า "เลี้ยงดูสังขาร"  แต่สำหรับเจิงจื่อนั้น เลี้ยงดูบิดาด้วยกตัญญู ปฏิการะบิดามารดาอย่างปราชญ์เจิงจื่อนั้นใช้ได้" 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า
 "คนที่ขาดคุณธรรมใช้ไม่ได้ ไม่ต้องมัวติเตียน
องค์ประมุขบริหารบ้านเมืองได้ไม่ดี  ไม่ต้องมัวตำหนิ ขอเพียงให้มีผู้ทรงคุณธรรมสะท้อนให้เห็นความผิดพลาด
เมื่อเบื้องสูงให้กรุณาธรรมสูง  เบื้องล่างจะสูงตาม
เบื้องสูงมีมโนธรรม  เบื้องล่างจะไม่กล้าละเมิด
เบื้องสูงเที่ยงตรง  เบื้องล่างไม่กล้าคด
ประมุขเที่ยงตรงองค์เดียว บ้านเมืองมั่นคงได้

        ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวว่า  "คนมักประสบสิ่งไม่คาดคิด เช่นคำชื่นชม หรือที่ตนคิดว่าทำดีที่สุด แต่ถูกใส่ร้ายป้ายสีทำลายชื่อเสียง"  กล่าวอีกว่า "คนที่ชอบพูดพล่อย คือคนที่ยังไม่ได้รับการว่ากล่าวติเตียนจากใคร ๆ "  กล่าวอีกว่า  "โรคประจำตัวของคน คือชอบเป็นครูเขา สู่รู้สู่สอน"

        เอวี้ยเจิ้งจื่อ  เป็นผู้ติดตามจื่อเอ๋า  ขุนนางอิทธิพลเมืองฉี  มาเมืองฉีขอเข้าพบท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ  ปราชญ์เมิ่งจื่อตำหนิว่า "ท่านก็รู้จักจะมาพบเราด้วยหรือ"  เอวี้ยเจิ้งจื่อถามว่า "เหตุใดท่านจึงกล่าวดังนี้"  "ก็ท่านมาถึงที่นี่กี่วันแล้วล่ะ"  "สองวันก่อน"  "ก็ถูกต้องแล้วที่ถาม"  "ที่มาช้าไปเพราะที่พักยังไม่เรียบร้อย"  "ท่านเคยได้ยินมาหรือว่า จนกว่าที่พักเรียบร้อยแล้ว จึงจะมาคารวะผู้ใหญ่"  เอวี้ยเจิ้งจื่อน้อมรับว่า "เป็นความผิดของข้าพเจ้าแล้ว"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อ ให้ข้อคิดอีกว่า  "ท่านติดตามขุนนางจื่อเอ๋าเข้าเมืองมา ก็เพื่อดื่มกิน คิดไม่ถึงว่าท่านผู้ศึกษาหลักธรรมของบรรพชน ได้แต่เอาการศึกษานั้นมาดื่มกิน"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ผิดต่อกตัญญูมีสามข้อ  ข้อที่หนึ่ง ตัดทางทายาทไม่ยอมมีบุตรสืบสกุลผิดที่สุด (ปู๋เซี่ยวโหย่วซัน อู๋โฮ่วเอว๋ยต้า) อริยกษัตริย์ซุ่น อภิเษกสมรสโดยมิได้บอกกล่าวบิดา ด้วยเกรงจะขาดทายาท ภายหลังจึงมีกัลยาณชนวิเคราะห์กรณีนี้ว่า ไม่ได้บอกกล่าว ก็เหมือนได้บอกกล่าว เนื่องจากบิดาของท่านเป็นคนโง่ หยาบ ไม่อาจรับรู้ มีแต่จะอาละวาดโวยวาย"
         ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า
 "ดำเนินกรุณาธรรมแท้จริง คือปฏิการะบิดามารดา" 
"รักษามโนธรรมแท้จริง คือโอนอ่อนผ่อนพี่ " 
มีสติปัญญาแท้จริงคือ เข้าใจหลักคุณสัมพันธ์ กตัญญู พี่น้องปรองดองอย่างมั่นคงไม่ลืม   
ความหมายที่แท้จริงของดนตรี  อยู่ที่แปรใจคนให้ได้รับความสุขโดยเหมาะกับจริยธรรม
ความยินดีต่อความสุข หากแม้ตั้งอยู่บนฐานกตัญญูน้อมใจ ความสุขอันเป็นธรรมชาติก็จะค่อย ๆ ก่อเกิด เมื่อก่อเกิดเช่นนี้ ก็จะลุ่มลึกยาวไกลไพศาล มิอาจประมาณ มิอาจยับยั้งได้  เมื่อไม่อาจยับยังความสุขอันเป็นธรรมชาตินั้น พลันมือเท้าก้อาจเคลื่อนไหว ไปตามลีลาของความสุขนั่นเอง โดยมิต้องกำหนดหมาย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวว่า

        เมื่อชาวโลกต่างปิติยินดีที่จะเข้ามา จงมองดูให้เขาปิติยินดีมา มากมายเหมือนผักหญ้า สถานภาพนี้ มีแต่อริยกษัตริย์ซุ่นเท่านั้นที่ได้รับ แต่ในใจของอริยกษัตริย์ซุ่น เห็นความกตัญญูสำคัญที่สุด จึงกล่าวว่า ผู้ไม่ได้รับความยินดีจากบิดามารดา ไม่นับว่าไม่เป็นคนโอนอ่อนตามใจ จะนับไม่ได้ว่าเป็นบุตรธิดาจากท่าน  ฉะนั้น อริยกษัตริย์ซุ่นจึงทำความกตัญญูเต็มที่ จนกระทั่งกู่โส่ว บิดาผู้โง่เขลาหยาบช้าชอบอาละวาด ยินดีปรีดิ์เปรม  ชาวโลกได้เห็นความเป็นไปจึงได้คิดว่า "พ่อแม่จะต้องให้ความรักเมตตา ลูกจะต้องกตัญญู รักษาคุณสัมพันธ์ต่อกัน  เช่นอริยกษัตริย์ซุ่นนี้ เรียกว่า "มหากตัญญู" ผู้คนจึงปิติยินดีที่จะเข้ามา

                               ~ จบบทหลีโหลว  ตอนต้น ~

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 
 
                                              4

                                     บทหลีโหลว ตอนท้าย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวว่า  "อริยกษัตริย์ซุ่น ถือกำเนิดที่จูเฝิง ภายหลังย้ายไปอยู่ที่ฟู่เซี่ย สุดท้ายทรงสิ้นที่หมิงเถียว เป็นถิ่นของชนป่าดอยด้อยความเจริญทางทิศตะวันออก ปัจจุบันคือมณฑลซันตง - ซันซี  อริยกษัตริย์เหวินอ๋วง  ถือกำเนิดที่ฉีโจว  ทรงสิ้นที่ปี้อิ่ง เป็นถิ่นของชนป่าดอยด้อยความเจริญทางทิศตะวันตก ปัจจุบันคือ มณฑลสั่นซี - ซีอัน   ทั้งสองอริยกษัตริย์  ณ  ที่ห่างกันพันกว่าลี้ ยุคสมัยกาลเวลาก็ห่างกันพันกว่าปี แต่ทั้งสองพระองค์ต่างมุ่งมั่นผลักดันสร้างสรรค์การปกครองโดยธรรมอย่างเดียว ดุจดั่งลัญจกรตราประทับที่ผ่ากลางเป็นสองฝามาประกบเข้าหากัน  พระองค์หนึ่งเป็นอริยบรรพกาล  พระองค์หนึ่งเป็นอริยปัจฉิมกาล  แต่หลักธรรมอริยนั้นหนึ่งเดียวกัน (เซียนเซิ่งโฮ่วเซิ่ง ฉีขุยอีเอี่ย)

        เมื่อครั้งจื่อฉั่น ขุนนางยุคชุนชิว บริหารงานเมืองเจิ้ง เคยใช้รถม้าของตนทอดขวางเป็นสะพานให้คนข้าำมลำน้ำเจินกับลำน้ำเอว่ย  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า
"แสดงน้ำใจโดยไม่รู้หลักใหญ่การบริหาร ถ้ารู้หลัก เดือนสิบว่างจากงานนา เดือนสิบเอ็ดงานสร้างสะพานคนข้ามก็แล้วเสร็จ  เดือนสิบสองรถม้าก็สัญจรไปมาได้ ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องลุยน้ำลำบาก คนเบื้องสูงพัฒนาให้ประชาชนสุขสบาย แม้จะต้อนผู้คนให้หลบรถม้าที่ตนขับขี่ผ่านไปก็ยังพอว่า แต่คนที่ยังเปลือยขาลุยน้ำมีมากนัก รถคันเดียวทอดเป็นสะพานให้คนเดินข้ามชั่วขณะจะพอเพียงหรือ ฉะนั้น ผู้บริหารบ้านเมือง จงอย่าได้แสดงน้ำใจเอาหน้าเอาบุญคุณส่วนตัวให้เขาชื่นชม แม้ทำเช่นนี้เรื่อยไปทุกวัน ก็ไม่ทันต่อความจำเป็น"   

        ปราชญ์เมิ่งจื่อ กล่าวแก่พระเจ้าฉีเซวียนอ๋วงว่า " หากอ๋องท่าน เห็นข้าราชฯ ประหนึ่งมือเท้าร่วมกายา ข้าราชฯ ก็จะเห็นพระองค์ประหนึ่งทรวงใจที่รักใคร่พึงปกป้อง แต่หากอ๋องท่านเห็นเขาไม่ต่างจากสุนัขหรือม้า เขาก็จะเห็นอ๋องท่านสามัญไร้ค่า  ยังมีอ๋องที่เห็นประชาชน ข้าราชฯ เหมือนผักหญ้าเศษขยะ พวกเขาก็จะเห็นอ๋องเป็นเช่นศัตรูผู้ร้ายที่น่าชัง

        ฉีเซวียนอ๋วงรู้สึกว่า ที่ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างประมุขกับขุนนาง ออกจะจริงจังเกินไป จึงตั้งคำถามว่า  "จริยประเพณีกำหนดว่า ขุนนางเก่าที่ไปจากบ้านเมือง เมื่อประมุขที่ขุนนางเคยรับใช้สิ้นไป ขุนนางยังจะต้องไว้ทุกข์ให้สามเดือน  ประมุขจะต้องปรกบารมีคุณแก่ขุนนางนั้นมาก่อนอย่างไรหรือ ขุนนางนั้นจึงไว้ทุกข์ถวายให้"  ปราชญ์เมิ่งจื่อตอบว่า "คำทัดทานที่ดีของขุนนางนั้นพึ่งพาได้ ข้อเสนอที่ดีของขุนนางนั้นทำตามได้  เนื่องด้วยคำทัดทานและข้อเสนอนั้น เอื้อคุณแก่ประชาราษฏร์ เช่นนี้ วันใดหากขุนนางผู้นั้นมีเหตุจำเป็นด้วยกรณีพิเศษจะต้องไปอยู่บ้านเมืองตน ประมุขจะต้องจัดคณะผู้นำส่งให้เขาปลอดภัย อีกทั้งจะต้องให้คนล่วงหน้าไปยังบ้านเมืองที่ขุนนางนั้นจะไปรับตำแหน่งใหม่ ยกย่องเชิดชูเกียรติคุณแก่เขา  ส่วนตำแหน่งเดิมยังคอยเขาอยู่ สามปีไม่กลับมาจึงจะถือว่าพ้นจากสถานภาพ ทรัพย์สินไร่นาที่ปูนบำเหน็จไว้ จึงค่อยถอนกลับเข้ากองคลัง " นำส่ง  ยกย่อง  รอคอย" เรียกว่าจริยะประเพณีสามประการ และนั่นก็คือ เห็นขุนนางดั่งแขนขาในตัวตนของประมุข ขุนนางจะไม่รำลึกพระคุณ ไม่ไว้ทุกข์ให้ประมุขสามเดือนได้หรือ  แต่บัดนี้ ขุนนางทัดทาน ประมุขไม่เชื่อคำเสนอแนะ ไม่ทำตาม อีกทั้งพระมหากรุณาฯ ก็ไม่ปรากฏแก่พสกนิกร เมื่อขุนนางมีเหตุจำเป็นจะต้องจากไป ประมุขกลับจะจับกุมขัดขวาง ตัดโอกาส ทำลายความเชื่อถือแก่ตำแหน่งแห่งใหม่ ทันที ที่จะจากไป ก็จะยึดทรัพย์ที่บำเหน็จไว้ ดังนี้คือ ปฏิบัติต่อกันดั่งศัตรู เมื่อความรู้สึกเป็นสัตรูต่อกัน จะยังมีแก่ใจไ้ว้ทุกข์ถวายให้อีกหรือ"         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                              ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 
 
                                              4

                                     บทหลีโหลว ตอนท้าย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

 "ข้าราช ฯ ขุนนางถูกประหารไม่ผิด จะรู้ความโฉดเขลาเมาอำนาจขององค์ประมุข ดังนั้น ข้าราช ฯ ขุนนางอื่นๆ พึงหาทางไปจากเสีย
ชาวบ้านถูกทารุณเข่นฆ่าโดยไม่ผิด จะรู้การปกครองที่ล้มเหลวเสียหาย ผู้คนทั้งหลายพึงหาทางโยกย้ายไปจากบ้านเมืองนี้"

         ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวว่า

"หากประมุขปกครองด้วยกรุณา ทุกคนในบ้านเมืองไม่มีที่จะไม่ปฏิบัติกรุณาธรรม  หากประมุขปกครองโดยมโนธรรม ทุกคนในบ้านเมืองไม่มีที่จะไม่ดำเนินมโนธรรม"(จวินเหยินม่อปู้เหยิน จวินอี้ม่อปู๋อี้)  กล่าวอีกว่า "ประเพณีที่มิใช่จริยธรรม ความถูกต้องที่มิใช่หลักมโนธรรม ผู้ใหญ่ คนใจงาม จะไม่ทำตาม" กล่าวอีกว่า "ทุกคนในโลกล้วนมีหน้าที่รับใช้ด้วยมโนธรรม คนที่รู้หลักทำนองคลองธรรม มีหน้าที่รับใช้ ชี้นำผู้ไม่รู้ทำนองคลองธรรม   คนที่มีปัญญาความสามารถ มีหน้าที่รับใช้ชี้นำคนโง่เขลาเบาปัญญา  ทุกคนต่างหวังได้พ่อ ได้พี่  มีปัญญาความสามารถ ไว้อบรมชี้นำทุกเวลา ในทางตรงกันข้าม ผู้รู้ทำนองคลองธรรมละทิ้งผู้ไม่รู้ คนที่ปราดเปรื่องเรืองปัญญา ละทิ้งคนโง่เขลาเบาปัญญา ดังนี้ คนดีมีปัญญา กับคนโง่เขลเบาปัญญา ย่อมไปได้ไม่ไกลกัน ประชากรขาดการสอนสั่ง บ้านเมืองนั้นย่อมด้อยควาเจริญ  ชาวบ้านขาดการสอนสั่ง จารีตขนบธรรมเนียมย่อมเสียหาย ลูกหลานของผู้รู้ ผู้เรืองปัญญา ก็ยากจะดีได้ จึงว่า "ไปได้ไม่ไกลกัน"  กล่าวอีกว่า "คนพึงมีใจต่อต้าน ภายหลังจึงอาจสร้างคุณความดีได้ (คล้อยตามความผิดไม่อาจสร้างความดี)" กล่าวอีกว่า "เอาแต่ตำหนิติเตียนว่าร้ายใครเขา วันใดเขาย้อนสนองให้ จะรู้ผลภัยที่ตามมา"  กล่าวอีกว่า "บรมครูจ้งหนี (ขงจื่อ)  ไม่ทำสิ่งสุดโต่ง สอนให้โดยไม่บังคับขับเคี่ยว"  กล่าวอีกว่า "ตำแหน่ง สถานภาพใหญ่ พูดอะไรมิใช่สัตย์จริงทุกสิ่งไป ทำการใดก็มิใช่แน่ชัดเด็ดขาดบรรลุผลทุกอย่างไป จงเดินตามทำนองคลองธรรม"  กล่าวอีกว่า " ผู้ใหญ่คือผู้สูงด้วยคุณธรรม คือผู้ดำรงจิตบริสุทธิ์อยู่ได้"  กล่าวอีกว่า " ปฏิการะบิดามารดา ยังมิใช่ทำการใหญ่ จัดงานศพแก่ท่านนั่นคือทำการใหญ่ เป็นความกตัญญูที่ผู้คนรับรู้ ไม่อาจเสแสร้งตบตาได้" 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 
 
                                              4

                                     บทหลีโหลว ตอนท้าย

         ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวอีกว่า

        "สิ่งที่กัลยาณชนศึกษาค้นคว้า ล้วนอาศัยหลักเหตุของธรรมชาติ เพื่อให้ตนรู้แจ้งต่อหลักธรรม เมื่อรู้แจ้งต่อหลักธรรมแล้ว จิตจะสงบมั่นคง เมื่อจิตสงบมั่นคง คุณสมบัติของความเป็นคนย่อมลุ่มลึก  คิด พูด ทำการใดในทุกขณะทุกสถาน ก็จะสอดคล้องต่อหลักธรรม ฉะนั้น จุดมั่งหมายในการศึกษาค้นคว้าของกัลยาณชน ก็เพื่อให้ตนรู้แจ้งต่อหลักเหตุและผลจนถึงที่สุดแห่งธรรมชาติ"  กล่าวอีกว่า  ""กัลยาณชนพึงเป็นผู้รอบรู้ อีกทั้งรู้จักซักถาม รู้จักตรึกคิด เมื่อรู้ชัดแล้วจึงอาจปฏิบัติจริง อาจถ่ายทอดให้ถูกต้องได้ ขยายความได้  ย่อความได้"  กล่าวอีกว่า  "เอาความดีไปสยบเขา ไม่มีที่จะสยบได้ เอาความดีไปบำรุงเลี้ยงใจเขา จึงจะกล่อมกลายให้เขาอ่อนน้อมลงได้  เมื่อใจอ่อนน้อม บ้านเมืองย่อมสงบ ปกครองได้ดี ประชาราษฏร์ไม่อาจน้อมใจ จะเป็นอ๋องเต็มภาคภูมิได้ไม่เคยมี"  กล่าวอีกว่า  "วาจาไม่สัตย์จริงเป็นสิ่งอัปมงคล ปิดบังปรัชญา ปิดบังสัจวาจาของปราชญ์เมธี มีผลของความอัปมงคลสู่ผู้นั้น 

           โบราณจึงกล่าวว่า  บ้านเมืองมีสามอัปมงคลคือ
1.  มีปราชญ์เมธีอยู่  แต่มิรู้ว่ามีอยู่
2.  มีปราชญ์เมธีอยู่  แต่มิรู้จักใช้ให้เกิดคุณ
3.  มีปราชญ์เมธีอยู่  แต่มิได้ยกย่องไว้วางใจ

(โหย่วเสียนเอ๋อปู้จือ      จือเสียนเอ๋อปู้ย่ง    ย่งเอ๋อปู๋เยิ่นฉีเฉวียน     ซันปู้เสียงเอี่ย)

        สวีจื่อ  ศิษย์ของปราชญ์เมิ่งจื่อ เรียนถามครูปราชญ์ว่า  "ครั้งกระนั้น  ท่านบรมครูมักจะอุทานชื่นชมน้ำบ่อย ๆ ว่า "น้ำหนอ น้ำหนอ" น้ำมีจุดเด่นให้ยึดหมายได้หรือ"   ครูปราชญ์ว่า

        "น้ำมีตาน้ำต้นกำเนิด  ล้นหลากไม่ขาดสาย ต่อเนื่องทั้งกลางวันกลางคืน เต็มแอ่งแล้วจึงเดินหน้าต่อไป เป็นกระแสลงสู่สี่คาบสมุทรใหญ่   ผู้รู้กำเนิดตนก็เป็นเช่นน้ำ มีพลังแรงส่งในตนด้วยตน  เป็นคน ไม่คำนึงถึงต้นกำเนิด (ธาตุธรรม) จะเหมือนฝนชุกเดือนเจ็ดเดือนแปด น้ำขังไปทั่วไร่นาแอ่งคู แต่พอ
เหือดแห้ง ก็ได้แต่รอฝนจากฟ้า
        ฉะนั้น  ชื่อเสียงจอมปลอมปรุงแต่ง ปราศจากตาน้ำต้น กำเนิดที่ล้นหลากคุณาประโยชน์ไม่ขาดสาย จึงเป็นเรื่องน่าละอายยิ่ง"   ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "กัลยาณกษัตริย์อวี่ รังเกียจสุราที่ว่าเลิศรส เพราะจะทำให้หลงจิตติดเผลอ แต่ชอบที่จะฟังสิ่งดีมีประโยชน์  กษัตริย์ทัง ทำการด้วยหลักธรรมทางสายกลาง ใช้คนดีโดยไม่จำกัดคุณสมบัติเฉพาะ  อริยกษัตริย์โจวเหวินอ๋วง  ห่วงใยดูแลประชาราษฏร์ไม่พลาดห่าง หวังให้ธรรมะทางสายกลางซึมซับประชาราษฏร์ แต่รู้สึกเหมือนยังไม่ถึงเป้าหมาย  อริยกษัตริย์โจวอู่ฮ่วง ไม่กล้าละเลยงานอีนพึงทำ ณ บัดนี้กับที่จะต้องทำต่อไป  ความคิดดำริของปู่เจ้าโจวกง ผู้สำเร็จราชการ กอปรด้วยคุณธรรมงดงามของกัลยาณกษัตริย์ กับอริยกษัตริย์เซี่ย  ซัง  โจว  ทั้งสามสมัยรวมกันดำเนินงานที่สี่มหากษัตริย์  อวี่  ทัง  เหวิน  อู่  ทรงให้ความสำคัญ สิ่งใดที่ไม่เหมาะกับสถาณการณ์ขณะนั้น ท่านจะแแหงนหน้ามองฟ้า ครุ่นคิดพิจารณาอยู่นาน ตรึกตรองทั้งกลางวันกลางคืน หากโชคดี หากคิดได้เหมาะสม ก็จะนั่งรอจนเวลาฟ้าสางแล้วรีบมีคำสั่งดำเนินการ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 
 
                                              4

                                     บทหลีโหลว ตอนท้าย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

       "ราชวงศ์โจว ภายหลังเมื่อกษัตริย์โจวผิงอ๋วง โยกย้ายเมืองไปทางทิศตะวันออกแล้ว การปกครองด้วยธรรมที่ดำเนินเรื่อยมามอดดับลง กลอนกวีที่แซ่ซ้องโลกสุขสงบก็เงีบยหาย จากนั้น  ท่านบรมครูขงจื่อจึงเรียบเรียงจารึกเรื่องราวบุคคลที่มีคุณ-โทษ  จงรัก-คดโกง  ดีงาม-เลวร้าย  แห่งประวัติกาลนั้นลงในหนังสือชุนชิว  กุก่อง-กวาดเก็บ  หนังสือพงศาวดารเมืองจิ้น  ชื่อว่าเซิ่ง   พงศาวดารเมืองฉู่  ชื่อว่าเถาอู้    พงศาวดารเมืองหลู่  ชื่อว่าชุนชิว   เป็นหนังสือพงศาวดารบ้านเมืองเช่นเดียวกัน  พงศาวดารเมือง จารึกที่เมืองฉีหวนกง  กับจิ้นเหวินกง ชิงแผ่นดิน  ข้อความในหนังสือชุนชิว  ได้จากบันทึกวิจารณ์คุณ-โทษ  ของขุนนางฝ่ายข้อมูลประวัติ

        บรมครูขงจื่อว่า

        "ความหมายหลักของข้อมูลประวัติ เราได้บันทึกส่วนที่สำคัญไว้ในชุนชิวแล้ว"   

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

        "กัลยาณชนผู้มีคุณธรรม สืบส่งบารมีศรีสง่าแก่อนุชน อย่างน้อยก็จะดำรงต่อไปห้าสมัยจึงจะขาดสิ้นเช่นกัน  ท่านบรมครูขงจื่อ สืบส่งปรัชญางามสง่า บารมีเลิศล้ำแห่งคุณธรรม จนมาถึงข้าพเจ้านี้เพิ่งสี่สมัย  (ขงจื่อ  เจิงจื่อ  จื่อซือ  เมิ่งจื่อ)   ฉะนั้น แม้ข้าพเจ้าจะเป็นศิษย์ ที่มิได้รับโปรดอบรมจากบรมครูโดยตรง แต่ข้าพเจ้าก็เป็นผู้ได้รับการสืบส่งบารมีศรีสง่าแห่งปรัชญษคุณธรรมจากท่านบรมครูแล้ว"

         ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

 " รับทรัพย์สิ่งของ ๆ เขา ตามหลักดูอย่างการรับไว้ได้ พิจารณาอีกด้านหนึ่ง น่าจะไม่รับก็ได้ รับไว้ จะเสียหายแก่ "สุจริตธรรม" 
 ให้ทรัพย์สิ่งของแก่เขา ตามหลักดูอย่างกับให้ได้ เมื่อพิจารณาอีกด้านหนึ่งจะไม่ให้ก็ได้ ให้ไป จะเสียหายแก่ "ทานจรรยา"   
ยอมตายเพื่อศักดิ์ศรี ตามหลักดูอย่างกับสมควรตาย แต่จะไม่ตายก็ได้ ตาย  กลับจะเสียหายต่อ "คุณธรรมแห่งความกล้า"   ฉะนั้น  ทุกอย่างจึงพึงพิจารณาทั้งสองด้านให้รอบคอบถี่ถ้วน"   รัชสมัยเซี่ย  นักฉมังธนูนามว่า เฝิงเหมิง มาศึกษาการยิงธนูจากประมุขอี้ เจ้าเมืองโหย่วฉยง ศึกษาจนประมุขหมดภูมิ ในใจ เฝิงเหมิง แอบคิดว่า นักฉมังธนูที่เหนือกว่าข้า ในโลกนี้มีแต่ประมุขอี้เท่านั้น  จึงลอบสังหารอี้เสีย เพื่อความเป็นหนึ่งเดียว  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "นี่เป็นความผิดของอี้ด้วย ที่รับศิษย์ไว้ไม่พิจารณา"   ท่านกงหมิงอี๋๋ ปราชญ์ก่อนเก่า ชาวเมืองหลู่ เคยพูดถึงเรื่องนี้ว่า "อี้ น่าจะผิด"   ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "จะไม่ผิดได้อย่างไร เพียงแต่มีส่วนความผิดตั้งแต่เริ่มแรก มิใช่ไม่ผิด"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 
 
                                              4

                                     บทหลีโหลว ตอนท้าย

        ครั้งหนึ่งเมือเจิ้ง  มอบหมายให้ จื่อจั๋วหยูจื่อ  นำทัพไปตีเมืองเอว้ย แต่กลับถูกตีพ่าย เมืองเอว้ยให้ขุนนางอวี่กงจือซือไล่กวดสังหาร   จื่อจั๋วหยูจื่อ ประหวั่นสะท้านว่า "โรคเก่าของเรากำเริบ ไม่อาจง้างศรยิงธนูสกัดศัตรู ครั้งนี้ เราคงไม่รอดแน่" จึงถามสารถีว่า "คนที่ไล่กวดเรามาคือผู้ใด" ตอบว่า "คืออวี่กงจือซือ" พอได้ยิน จื่อจั๋วหยูจื่อกลับอุทานว่า "โอ ถ้าอย่างนั้นเรารอดแล้ว"  สารถีถามว่า "ไฉนจึงว่ารอดได้ เขาฉมังธนูที่สุดในเมืองเอว้ยทีเดียว" ตอบว่า "ที่ว่ารอดได้นั้น มีเหตุผลอยู่"  อวี่กงจื่อซือ เรียนการยิงธนูจากอิ่นกงจือทา ส่วนอิ่นกงจื่อทานั้น เรียนวิชายิงธนูไปจากเรา  ศิษย์ของเราเป็นคนเที่ยงธรรม ความประพฤติดี  ฉะนั้น  คนที่เขาคบหาน่าจะเป็นผู้ประพฤติดีเช่นกัน  ไม่นาน อวี่กงจือซือ ก็ไล่กวดมาทัน พอเห็นฝ่ายตรงข้ามเฉยอยู่ไม่จับอาวุธ จึงถามว่า"ทำไมท่านไม่ยกคันธนู"   จื่อจั๋วหยูจื่อตอบว่า " วันนี้โลกเก่าของเรากำเริบ ไม่อาจจับคันธนูได้"   อวี่กงจือซือว่า "ข้าพเจ้าผู้น้อยเรียนการยิงธนูจากอิ่นกงจื่อทา เรียนมาจากท่าน ฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้น้อยมิอาจทำใจใช้วิชาจากท่านกลับมาทำร้ายท่านได้ แต่วันนี้ เป็นโองการบัญชาจากประมุข ข้าพเจ้าผู้น้อยมิกล้าผิดต่องานหลวงด้วยความสัมพันธ์สวนตัว  ว่าแล้ว  อวี่กงจือซือ ก็ชักลูกธนูจากกระบอก ฟาดลงกับล้อรถให้หัวธนูหักเสีย แล้วยิงมาสี่ดอก จากนั้น
หันกลับ  (เรื่องนี้  เป็นข้อเปรียบเทียบที่ศิษย์ทรยศสังหารอาจารย์ กับศิษย์กตัญญูรู้คุณที่ตอบแทนคุณอาจารย์) 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า

        "ไซซี หญิงงามเลื่องชื่อระบือไกล หากมีกลิ่นกายไม่สะอาด ผู้คนเข้าใกล้ก็จะต้องปิดจมูก ตรงกันข้าม แม้ผู้มีหน้าตาไม่งดงาม หากถือศีลกินเจ กายใจสะอาดบริสุทธิ์  ผู้นั้นยังจะทำหน้าที่ถวายบูชาสักการะพระผู้เป็นเจ้าเบื้องบนได้"   ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ชาวโลกค้นคว้าหลักจิตญาณของสรรพชีวิต ด้วยการประเมินเหตุผลตามที่รู้เห็นมา ปรากฏการณ์ที่ทำให้รู้เห็นได้ ล้วนมีรากฐานมาจากธรรมชาติ เหตุที่เราเบื่อหน่ายผู้อวดรู้อวดเก่ง เพราะพวกเขาไม่ใช้คุณประโยชน์จากธรรมชาติตามสภาพความเป็นจริง แต่จะใช้ทฟษฏีขุดเจาะ  ผู้มีปัญญาโดยแท้นั้น จะใช้ธรรมชาติเองปรับแปรธรรมชาติ เช่น กษัตริย์อวี่ จัดชลประทานใช้กำลังน้ำ ขุดลอกคลองระบายลงทะเล เช่นนี้จึงจะเป็นปัญญาที่ไม่น่าเบื่อหนาย" 

        กษัตริย์อวี่จัดชลประทาน ล้วนอาศัยพลังน้ำอันเป็นคุณสมบัติของน้ำเอง จึงประหยัดและเป็นธรรมชาติ  ผู้มีปัญญาโดยแท้ หากรู้จักอาศัยคุณสมบัติของธรรมชาติการทุกอย่างก็จะเป็นไปโดยง่ายและประหยัดเช่นกัน อีกทั้งปัญญาก็จะไร้ขอบเขต  ฟ้าอวกาศสูงกว้าง ดวงดาวต่าง ๆ ไกลโพ้น แต่หากรู้จักค้นหาเหตุผล ธรรมชาติที่มา แม้วันเวลานับพันปี ก็อาจนั่งอยู่กับที่คำนวนการได้ (จิตญาณปัญญาของมนุษย์ เป็นที่สุดของความลึกล้ำธรรมชาติ) 

        กงหังจื่อ  ขุนนางเมืองฉี จัดงานศพบุตรชายของหวังฮวน มหามนตรีฝ่ายขวา แทนองค์ประมุขไปร่วมงานไว้อาลัย พอหวังฮวนย่างเข้าประตูมา หลายคนเข้ารับหน้าทักทายสนทนา บ้างนั่งประกบข้างพูดคุย มีแต่ปราชญ์เมิ่งจื่อที่มิได้เสวนา มหามนตรีรู้สึกไม่ชอบใจ กล่าวแก่ใคร ๆ ว่า "ทุกคนต่างเข้ามาพูดจา มีแต่เมิ่งจื่อที่ไม่คุยด้วย เท่ากับดูแคลนเราหวังฮวน"  ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวให้ว่า "จริยระเบียบในพระราชฐาน (ของขุนนาง) ไม่อนุญาตให้ลุกจากที่นั่งไปคุยกัน ไม่ให้ข้ามลำดับขั้นไปคารวะกัน ข้าพเจ้ารักษาระเบียบแห่งราชฐาน ท่านเข้าใจว่าข้าพเจ้าดูแคลน ไม่แปกไปหน่อยหรือ"  (ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อต้องการตักเตือนมหามนตรีที่ชอบคนสอพลอประจ๋อประแจ๋ อีกทั้งตำหนิผู้มีนิสัยเช่นนี้ด้วย)

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”