ปรัชญาเมิ่งจื่อ : ปราชญ์เมิ่งจื่อ
๓
บทเถิงเหวินกง ตอนท้าย
ในหนังสือโจวซู บทไท่ซื่อ บันทึกไว้ว่า "ข้าพเจ้าโจวอู่อ๋วง มีแต่ได้รับการสรรเสริญ ต่อการรุกรบกับแผ่นดินโจ้วอ๋วง เพราะได้กำจัดทรราชที่ก่อกรรมทำเข็ญประชาราษฏร์ ดังนั้น บุญคุณจากการพิชิต จึงสะท้านสะเทือนเจิดจ้ายิ่งกว่าที่ราชวงศ์ทัง ปราบปรามกบฏเซี่ยเจี๋ยเสียอีก เห็นเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ดังนี้แล้ว หากเมืองซ่งจะไม่ดำเนินการปกครองเป็นเอกเทศก็แล้วไป แต่หากจะเป็นเอกเทศประชาราษฏร์ก็ต่างจะแหงนหน้าขึ้นมอง ใคร่จะรับใช้ประมุขของเขาด้วยความมั่นใจ ฉี ฉู่ สองเมืองแม้จะใหญ่ แต่ก็ไม่น่ากลัว" ปราชญ์เมิ่งจื่อ กล่าวแก่ไต้ปู๋เซิ่ง ขุนนางเมืองฉีว่า "ท่านอยากให้ประมุขของท่านปกครองแผ่นดินโดยธรรมหรือไม่ เราจะกล่าวแก่ท่านโดยละเอียด สมมุติ ขณะนี้ มีขุนนางเมืองฉู่อยู่ที่นี่ หวังให้บุตรชายศึกษาภาษาเมืองฉีของท่าน แต่จะให้คนเมืองฉู่หรือคนเมืองฉีเป็นผู้สอนดีเล่า" ไต้ปู๋เซิ่งตอบว่า "ก็ต้องเป็นคนเมืองฉีสอนให้น่ะสิ" ครูปราชญ์ว่า "คนเมืองฉีคนเดียวพร่ำสอนแต่คนเมืองฉู่มากมายพูดคุยให้ไขว้เขว แม้จะเคี่ยวเข็ญทำโทษทุกวันให้พูดภาษาเมืองฉีให้ดี แต่ก็เป็นไปไม่ได้" แต่หากพาเด็กชายไปอยู่ที่ตลาดจวงเอวี้ย เมืองฉี เพียงไม่กี่ปี แม้จะบังคับลงโทษให้กลับมาพูดภาษาเมืองฉู่อย่างเดิมให้ดีก็เป็นไม่ได้เช่นกัน" กล่าวว่า เซวียจวีโจวผู้นี้ เป็นปรีชาชนคนดี จึงได้เสนอให้ใกล้ชิดเจ้าเมืองซ่ง เพื่อจะได้หมั่นเตือนอ๋องให้ปกครองโดยธรรม หากผู้ใกล้ชิดอ๋องไม่ว่าอายุมากอายุน้อย ตำแหน่งใหญ่ตำแหน่งเล็ก ก็ให้เหมือน
เซวียจวีโจวที่เป็นปรีชาชนคนดี อย่างนี้แล้วยังจะมีใครไปทำความไม่ดีกับอ๋องได้ หากผู้อยู่ใกล้ชิดเจ้าเมืองซ่ง สูงวัยอ่อนวัย ศักดิ์ใหญ่ศักดิ์เล็ก ล้วนมิใช่ปรีชาชนคนดีเยี่ยงเซวียจวีโจว อย่างนี้แล้ว ยังจะมีใครไปโน้มนำให้อ๋องทำความดีได้ ฉะนั้น หากอาศัยเซวียจวีโจวคนเดียวจะสามารถโน้มนำอ๋องให้ครองแผ่นดินโดยธรรมได้หรือ ผู้อยู่ใกล้ชิดจึงมีอิทธิพลมากต่อบ้านเมือง ศิษย์กงซุนโฉ่ว เรียนถามครูปราชญ์ว่า "กัลยาณชนมักจะไม่ยอมไปพบเจ้าเมืองด้วยตนเอง นั่นหมายความว่าอย่างไร" ครูปราชญ์ตอบว่า "คนแต่ก่อนเก่า หากไม่เคยเป็นขุนนางข้าราชฯ ของเจ้าเมืองนี้ ก็จะไม่ยอมไปพบเจ้าเมืองคนนี้ เช่นเดียวกับที่ต้วนกันมู่ ผู้บำเพ็ญธรรมชาวเมืองจิ้น ไม่เคยเป็นข้าราชฯ ในเจ้าเมืองเอว้ยเหวินโหว เมื่อเจ้าเมืองไปขอพบ เขาปืนกำแพงหลบหายไป เซี่ยหลิ่วเมธีเมืองหลู่ก็เช่นกัน ด้วยไม่เคยเป็นข้าราชฯ ของเจ้าเมืองหลู่โหมวกง ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าหลู่โหมวกงไปขอพบ จึงปิดประตูไว้ไม่ออกมา แต่ทว่า ทั้งสองท่านดังกล่าวก็เกินไป ประมุขของบ้านเมืองมาขอพบ มีความจริงจังเพียงนี้ ก็น่าจะออกมาพบ" ครั้งนั้น หยางฮว่อ ขุนนางเมืองหลุ่ ใคร่เชิญบรมครูไปพบเขา แต่ก้เกรงใคร ๆ จะว่าเขาไม่มีจริยะ จึงใช้ประโยชน์จากจริยระเบียบข้อที่ว่า เมื่อขุนนางมอบขอกำนัลแก่ผู้ใด หากผู้นั้นมิได้อยู่บ้าน มิได้รับกับมือ มิได้ฝากขอบคุณแก่ผู้นำส่งมา ภายหลังก็จะไปขอบคุณด้วยตนเองถึงจวนขุนนางผู้มอบของกำนัล ดังนั้น ขุนนางหยางฮว่อ จึงคอยส่องหาโอกาสที่บรมครูท่านออกจากบ้านไป จึงได้ส่งเนื้อหมูนึ่งสุกก้อนหนึ่งไปที่บ้านบรมครู บรมครูรู้เจตนาของเขา ก้หาโอกาสตอนที่ขุนนางหยางฮว่อไม่อยู่บ้าน ไปขอบคุณ เรื่องราวนี้ หากหยางฮว่อ มีเจตนาบริสุทธิ์ตั้งแต่แรก ไหนเลยท่านบรมครูจะจงใจไม่พบกับเขา ปราชญ์เจิงจื่อว่า "แสร้งยิ้มเอาใจให้ความเคารพ ยกยอปอปั้น วุนวายอารมณ์ ทุกข์ใจยิ่งกว่าขุดดินทำคันนากลางแดดแผดจ้าหน้าร้อนเสียอีก" ปราชญ์จื่อลู่ว่า "พูดคุยกับคนต่างจิตต่างใจ ดูสีหน้าเขาเหมือนแดงก่ำ หูร้อนไม่เป็นธรรมชาติ ความรู้สึกอย่างนี้มิใช่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้เลย จากนี้จะเห็นได้ว่า จิตปราณีตของกัลยาณชนเป็นเช่นไร จึงมิใคร่ชิดใกล้คนมีอำนาจบาตรใหญ่"