collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรัชญาเมิ่งจื่อ : ปราชญ์เมิ่งจื่อ : เริ่มเรื่อง  (อ่าน 67693 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                             ๓. บทเถิงเหวินกง ตอนต้น

        มีผู้สวมรอยทฤษฏีของอริยเจ้าเสินหนง บรมครูเภสัช สมุนไพร เขาผู้นั้นชื่อสวี่สิง จากเมืองฉู่เดินทางมาเมืองเถิง เมื่อย่างเข้าประตูราชฐาน ก็ทูลแก่พระเจ้าเถิงเหวินกงทันทีว่า "ข้าฯ มาจากแดนไกล ได้ยินว่าพระองค์จะใช้แผนปกครองกรุณาธรรม หวังจะได้บ้านสักหลังอยู่อาศัยเป็นข้าแผ่นดินในพระองค์" เถิงเหวินกงโปรดประทานบ้านให้ ลูกศิษย์ผู้ติดตามเขาหลายสิบคน ล้วนสวมผ้าเนื้อหยาบ ดำรงชีวิตจากการทำรองเท้าหญ้า และทอเสื่อขาย  เฉินเหลียงปราชญ์เมืองฉู่ มีศิษย์ชื่อเฉินเซียง กับน้องชายของเขาชื่อเฉินซิน แบกคราด คันไถจากเมืองซ่งมาเมืองเถิง กล่าวว่า "ได้ยินว่าองค์ประมุขจะปกครองแผ่นดินเช่นอริยชน นั่นก็คืออริยกษัตริย์ ข้า ฯ ขอเป็นชาวเมืองอริยะ" เฉินเซียงได้พบกับสวี่ซิงที่มาถึงก่อน ได้ยินทฤษฏีที่เขาพูดดีใจมากถึงกับละทิ้งวิชาชีพที่เรียนรู้มา ขอศึกษาทฤษฏีของอริยเจ้าเสินหนง จาก สวี่สิง  ภายหลัง เฉินเซียง ไปพบท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ บอกกล่าวคำพูดของสวี่สิงแก่ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "พระเจ้าเถิงเหวินกงถือเป็นประมุขเมธีโดยแท้ แต่ถึงกระนั้น พระองค์ยังไม่เคยฟังหลักธรรมของอริยะ ประมุขเมธีมีคุณธรรม น่าจะต้องใช้ชีวิตทำงานคราดไถร่วมไปกับชาวบ้าน หุงหาอาหารพร้อมกับปกครองบ้านเมือง แต่บัดนี้เล่าเมืองเถิงมียุ้งฉางใหญ่ ท้องพระคลังมีทรัพย์สินมากมาย นี่ก็คือ เอาความเหนื่อยยากของประชาชนมาปรนเปรอหลวง จะเรียกว่า ประมุขเมธีมีคุณธรรมได้อย่างไร"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "สวี่สิงผู้นั้นคงทำนาปลูกข้าวเอามากินใช่หรือไม่" ตอบ   :    ใช่
ถาม   :    เขาได้ทอผ้ามาตัดเย็บสวมใส่เองหรือ   
ตอบ   :   มิได้  แต่เขาสวมผ้าหยาบ ( ผ้ากระสอบ )
ถาม   :    เขาสวมหมวกหรือไม่
ตอบ  :   สวม
ถาม   :  หมวกอะไร
ตอบ   :   หมวกเรียบๆ ทอด้วยไหมดิบ
ถาม   :   ทอเองหรือ
ตอบ   :  มิได้ เอาข้าวเปลือกแลกมา
ถาม   :  ทำไมจึงไม่ทอเอง
ตอบ   :  จะเสียเวลาที่ต้องทำนา
ถาม   :  สวี่สิงผู้นั้นหุงข้าวด้วยหม้อโลหะ คราดไถด้วยเครื่องมือโลหะหรือไม่
ตอบ   :  ใช่
ถาม   :  เครื่องมือเครื่องใช้ทั้งหมด เขาทำเองหรือ
ตอบ   :  หามิได้  เอาข้าวเปลือกแลกมา

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "เอาข้าวเปลือกไปแลกเครื่องมือทำนา แลกหม้อโลหะดินเผา จะไม่เหนื่อยยากแก่ช่างตีเหล็กคนทำงานเตาเผาหรอกหรือ ส่วนคนทำงานเตาเผา  ช่างตีเหล็กก็เอาสินค้าของตน ไปแลกข้าวเปลือกกับชาวนา จะไม่เหนื่อยยากแก่ชาวนาหรอกหรือ ไฉนสวี่สิงผู้นั้นจึงไม่เป็นช่างเผา ช่างเหล็กเสียเอง ทำได้เองจะมิดีกว่าหรือ ต้องการสิ่งใดก็ทำได้เองในบ้านตน ทำไมจะต้องวุ่นวายไปแลกเปลี่ยนกับใคร ๆ เขา ไม่เกรงว่าจะยุ่งยากลำบากแก่ใคร ๆ หรือ" เฉินเซียงตอบว่า "คงเป็นไปไม่ได้ ขณะทำนากับทำอย่างอื่น ๆ ไปพร้อมกัน ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ถ้าเช่นนั้น ก็มีแต่ผู้บริหารบ้านเมืองเท่านั้นสิ ที่ต้องทำนาไปด้วย อย่างที่ท่านว่า พึงรู้ว่า งานนั้นมีงานของผู้ใหญ่ มีงานของผู้น้อย หากทุกงานรวมอยู่บนตัวคน ๆ เดียว จะต้องทำของใช้ทุกอย่างด้วยตัวเองแล้วจึงได้ใช้ ถ้าเช่นนั้น ผู้นำบ้านเมืองก็จะต้องตระเวณไปรอบบ้านเมืองไม่หยุดหย่อน" โบราณกล่าวว่า บางคนจะต้องเหนื่อยยากใจ บางคนจะต้องเหนื่อยยากแรงกาย    หเนื่อยยากใจ  ทำหน้าที่ปกครองดูแลคน  เหนื่อยยากแรงกาย  ได้รับการปกครองดูแล   คนที่ได้รับการปกครองดูแล ทำหน้าที่เลี้ยงดูผู้ปกครองดูแล  ผู้ปกครองดูแล ได้รับการเลี้ยงดูจากคนภายใต้ปกครอง   นี่เป็นหลักการที่เป็นไปในโลก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                             ๓. บทเถิงเหวินกง ตอนต้น

        ในสมัยอริยกษัตริย์เหยา โลกยังไม่สงบ เป็นสภาพเพิ่งสร้างโลก กระแสน้ำเชี่ยวกรากยังแทรกซอนไปทั่วแผ่นดิน น้ำท่วมขังไปทั่ว ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโต สัตว์ต่าง ๆ เจริญพันธุ์  แต่ที่นาเพาะปลูกเสียหาย  ธัญญาหารเก็บเกี่ยวไม่ได้ สัตว์มากมายยังเพ่นพ่าน ทำร้ายคน เส้นทางผ่านของสัตว์บกสัตว์อากาศพาดไขว้ไปมาเต็มแผ่นดิน เหนือท้องฟ้า (สัตว์ครองแผ่นดิน)  อริยกษัตริย์เหยา ในครั้งนั้นทรงเป็นห่วงอยู่เงียบ ๆ ภายหลังจึงได้แต่งตั้งซุ่นขึ้นจัดการบริหาร (คืออริยกษัตริย์ซุ่น)  อริยกษัตริย์ซุ่น มอบหมายให้ขุนนางซื่อป๋ออี้ ทำหน้าที่เผาป่า  ขับต้อนสัตว์ย้อนเส้นทางออกไปไกลจากชาวบ้าน มอบหมายให้อวี่ ขุดลอกแม่น้ำลำคลองเก้าสาย รวมทั้งแม่น้ำจี้ และ แม่น้ำท่า ให้ไหลลงทะเล  อีกทั้งขุดขยายแม่น้ำหยู่ แม่น้ำฮั่น ระบายแม่น้ำโฮว๋  แม่น้ำซื่อ ไหลลงแม่น้ำใหญ่ จากนั้นบ้านเมืองจึงพ้นอุทกภัยทั้งปี  จึงมีการทำไร่ไถนา ทำกินได้เต็มที่ ในเวลานั้น อวี่ได้รับมอบหมายเรื่องชลประทาน ทุ่มเทกายใจทำงานเต็มที่อย่างหนักมิพักเลยตลอดแปดปี แม้มีโอกาสเดินผ่านหน้าบ้านตนถึงสามครั้ง แต่ด้วยหน้าที่ไม่มีเวลาแวะเข้าบ้านเลยแม้สักครั้งชั่วขณะ คนที่รับผิดชอบต่องานเฉพาะด้านเช่นนี้ คิดที่จะร่วมคราดไถกับชาวนา จะเป็นไปได้หรือ  ยุคต่อมา โฮ่วจี้ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โจว สอนราษฏรให้รู้จักเพาะปลูก ศิลปะ วิธี
การ จนธัญพืชงอกงามเก็บเกี่ยวได้ผลเต็มที่ ทุกคนอุดมสมบูรณ์ อริยกษัตริย์เหยา ทรงคำนึงอีกว่า "คนจะต้องมีหลักธรรมประจำใจ หากแต่ได้กินอิ่มสวมอุ่นอยู่สบายเที่ยวเล่นไป ไม่มีจริยธรรมกำหนดไว้ คน จะไม่ต่างไปจากเดรัจฉาน"  เมื่อมีความห่วงใยดังนี้ จึงโปรดบัญชาให้ เซี่ย รับตำแหน่งซือถู ทำหน้าที่ขุนนางฝ่ายวัฒนธรรมกับการศึกษา อบรมความเป็นคน คุณสัมพันธ์อันพึงมีต่อกัน  สอนคนให้รู้ความสนิทชิดเชื้อระหว่างพ่อ ( แม่ ) ลูก  รู้มโนธรรมความเคารพระหว่างประมุขกับข้าราช ฯ  สามีภรรยามีหน้าที่ต่างกัน  ในบ้านกับนอกบ้าน  รู้ลำดับพี่กับน้อง  รักษาความสัตย์จริงต่อกันระหว่างเพื่อนพ้อง นี่คือคุณสัมพันธ์ห้า อันพึงมีต่อกัน  บทกวีที่ชื่นชมอริยกษัตริย์เหยา มีอยู่ว่า....
ปลอบขวัญคนขยันงานคลายเหนื่อยหนัก
ยากจนลำบาก  ปลอบใจให้สังคม
เดินทางผิดมิจฉาชีพ โน้มน้าวให้เขาตรง
พฤติกรรมผิดจริยธรรม ก้อบรมสั่งสอนประคองอุ้มชู ดูแล ช่วยเหลือเกื้อกูลหนุนนำ ทำให้เขาเข้าใจหลักของความเป็นคน มุ่งมั่นต่อคุณธรรมคุณงามความดี" อริยประมุขเหนื่อยหนักลำบากใจ ต่อไพร่ฟ้าถึงปานนี้  ยังจะมีเวลาไปร่วมทำไร่ไถนากับใครได้  อริยกษัตริย์เหยาเศร้าพระทัย หากไม่ได้ซุ่นมาร่วมงาน อริยกษัตริย์ซุ่น ทรงห่วงใย หากไม่มีอวี่ กับ เกาเอี้ยว มาช่วยบริหาร คนที่ห่วงใยต่อผืนดินที่นาหนึ่งร้อยหมู่ของตนเอง จะเป็นได้แค่ชาวนา
การช่วยเหลือเงินทองแก่เขา  เรียกว่า  เอื้ออารี
อบรมกล่อมเกลาเขา            เรียกว่า  สัตย์ซื่อจริงใจ
ช่วยหาผู้ทรงธรรมนำหนุนชาวโลก    เรียกว่า   กรุณา
        กล่าวได้ว่า ยกบัญลังก์ทรงศักดิ์ให้ใครรับไป ยังจะง่ายกว่า ที่จะหาผู้ทรงธรรมสักคนมาปกครองบ้านเมือง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                             ๓. บทเถิงเหวินกง ตอนต้น

        บรมครูขงจื่อว่า " ความเป็นอริยกษัตริย์ของเหยา ฟ้ามหาจักรวาลกว้างใหญ่ไม่อาจประมาณ มีแต่กษัตริย์เหยาเท่านั้น ที่แผ่อริยบารมีคุณดุจมหาจักรวาลอันกว้างใหญ่สุดได้ ความไพศาลมิอาจประมาณ เช่นเดียวกับความเป็นธรรมอันล้ำลึก ไพร่ฟ้ามิอาจพรรณาได้เลย" อริยกษัตริย์ซุ่น ทรงพระบารมีคุณแห่งความเป็นประมุขยิ่งแล้ว ยิ่งใหญ่เกริกไกรแท้ แต่มิแสดงอำนาจบาตรใหญ่แห่งกษัตริย์  อันอริยกษัตริย์เหยากับอริยกษัตริย์ซุ่นปกครองใต้หล้า หรือว่ามิต้องเหนื่อยหนักกายใจ แต่คงไม่ต้องใช้กายใจเพื่อร่วมงานเพาะปลูกด้วยกระมัง เคยข้าพเจ้าเคยแต่ได้ยินแต่ว่า "เอาวัฒนธรรมการศึกษาของราชวงศ์เซี่ย ไปปรับเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ที่ด้อยพัฒนาของชาวป่าเขา แต่มิเคยได้ยินว่า ละทิ้งวัฒนธรรมการศึกษาอารยธรรมไปหาความป่าเถื่อน"  เฉินเหลียง ครูของท่านเป็นชาวใต้เมืองฉู่ ด้วยยินดีต่อหลักธรรมของปู่เจ้าโจวกงกับบรมครูขงจื่อ จึงขึ้นเหนือมาศึกษาวัฒนธรรมและความเจริญ  นักศึกษาชาวเหนือจึงมิอาจเทียบได้ นับว่าท่านเฉินเหลียงนี้มีอิจฉริยภาพทีเดียว  ท่านเฉินเซียง - เฉินซิน  สองพี่น้องดูแลรับใช้ท่านเฉินเหลียง มานานหลายสิบปี แต่พอท่านสิ้นลงก็ผิดจากคำสอนทันที มายินดีในสวี่สิงเช่นนี้ อย่างไรได้  ครั้งกระนั้น เมื่อบรมครูขงจื่อละจากโลก เวลาผ่านไปสามปี ศิษย์ทั้งหลายไว้ทุกข์ทางใจสงบสำรวม  กราบไหว้อาลัยรักดังบิดาวายชนม์  ทุกคนพร้อมใจกันร่วมเฝ้าสุสานสามปีเต็ม วันครบกำหนด เก็บสัมภาระด้วยอาลัย ก่อนจะจากไปได้เข้าไปคารวะจื่อก้งศิษย์ผู้พี่ ในชั่วขณะอึดใจนั้นเอง เสียงสะท้อนจากทรวงในทุกคน ประดังออกมาพร้อมกันโฮใหญ่ ไม่อาจหยุดยั้งได้ นานมาก จนพอจะคลายอาลัยอาดูรแล้ว จึงต่างค่อยแยกย้ายกลับภูมิลำเนาตน จื่อก้งศิษย์พี่ มิอาจตัดใจ ปลูกเพิงไว้ทุกข์  เฝ้าสุสานบรมครูตามลำพังต่อไปอีกสามปี ครบกำหนดแล้วจึงจากไปด้วยอาลัยรัก  วันเวลาผ่านไป  วันหนึ่ง จื่อเซี่ย  จื่อจาง  จื่ออิ๋ว  (ศิษย์บรมครู)  เห็นว่าโหย่วยั่วหรือจื่อโหย่ว  ศิษย์บรมครูด้วยกัน เป็นเอกทางจริยพิธี มีลักษณะละม้ายท่านบรมครู จึงคิดจะใช้จริยระเบียบที่เทิดทูนบรมครูมาใช้กับโหย่วยั่ว  ขอความเห็นชอบจากปราชญ์เจิงจื่อ ศิษย์พี่ ปราชญ์เจิงจื่อว่า "ทำเช่นนี้ไม่ได้ คุณธรรมความสูงส่งคงแก่เรียนของท่านบรมครู สะอาดหมดจดจนเหมือนผ่านการชำระด้วยน้ำทั้งหมดจากฉางเจียง แม่น้ำมหานทีกับฮั่นสุ่ยทั้งสองสาย อีกดั่งได้ผ่านแสงแดดแผดร้อน ยามเที่ยงจนปราศจากเศษอับชื้อมลทินมาถึง ที่สุดแล้ว ความบริสุทธิ์ผุดผ่องสูงส่งของบรมครู น่าจะยังไม่มีผู้ใดเทียบได้เลย"  บัดนี้ สวี่สิง คนใต้ชาวป่า เสกสรรวาจาอันมิใช่หลักธรรมคำสอนของครูอาจารย์ ไปเอาอย่างคำพูดเขา ซึ่งตรงกันข้ามกับหลักธรรม ความเคารพครูอาจารย์ของท่านปราชญ์เจิงจื่อพอดี เราเคยได้ยินมาว่า นกน้อยจะทะยานบินจากหุบเขามืดครึ้ม ขึ้นจับเกาะอาศัยบนต้นไม้ใหญ่ แต่มิเคยได้ยินว่า นกน้อยโผบินลงจากต้นไม้ใหญ่ลงไปอาศัยในหุบเขามืดครึ้ม ในคัมภีร์ซือจิงจารึกว่า "ชาวซีหยง เป่ยตี้ ชนเผ่าจิงฉู่ ซูกั้ว ที่ยังป่าเถื่อน จะต้องสบยเพื่ออบรมวัฒนธรรมการศึกษาให้เป็นอริยชน ปู้เจ้าโจวกงปราบปรามความป่าเถื่อนก็เพื่อกล่อมเกลา แต่นี่ท่านกลับไปเรียนรู้จากเขา ซึ่งเป็นความพลิกผันอันไม่ดีงาม"  เฉินเซียงแจ้งว่า  "หากใช้หลักปกครองของสวี่สิง ราคาสินค้าในตลาดจะไม่สูงต่ำ ประชาชนจะไม่มีพฤติกรรมหลอกลวง แม้จะใช้ให้เด็กน้อยไปซื้อขาย ก็จะไม่ถูกโกง ผืนผ้ามีความยาวเท่ากัน ราคาก็จะเสมอกัน  ผ้าป่านปอทอถัก น้ำหนักเท่ากัน เนื้อหยาบละเอียดพอกัน ราคาก็จะพอกัน ธัญพืชจำนวนเท่ากัน ราคาก็จะเสมอกัน รองเท้าคู่เล็กคู่ใหญ่ ก้ให้ราคาเท่ากัน"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                             ๓. บทเถิงเหวินกง ตอนต้น

        ปราชย์เมิ่งจื่อว่า ไสินค้ามีเนื้อหยาบละเอียด วัสดุมีดีเลวต่างกัน เป็นเกณฑ์ของราคา ราคาจึงต่างกันไปตามคุณค่าของสิ่งของ บ้างราคาสูงกว่าห้าเท่าบ้างต่างกันสิบเท่าร้อยเท่าถึงพันเท่าหมื่นเท่าก็มี ท่านกำหนดมาตรฐานเพียงแค่สั้นยาวเบาหนัก ทฤษฏีนี้มันก่อความวุ่นวายกันชัด ๆ"  รองเท้าใหญ่เล็กราคาคู่ละเท่ากัน นายช่างจะยินดีทำรองเท้าคู่ใหญ่หรือ หากทำตามหลักการของสวี่สิง จะเท่ากับชี้ช่องให้หลอกลวงกัน จะปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร อี๋จือ ศึกษาปรัชญาปราชญ์ม่อจื่อ วันหนึ่ง สวีผี้ แนะนำมาพบครูปราชญ์ของตน ครูปราชญ์กล่าวแก่ศิษย์สวีผี้ว่า "อันที่จริงครูยินดีจะพบกับเขา แต่ขณะนี้ไม่ค่อยสบายอยู่รอให้หายป่วย ครูจะไปพบกับเขาเอง ขอให้ท่านอี๋จือไม่ต้องมา" วันรุ่งขึ้น อี๋จือของให้สวีผี้ศิษย์ครูปราชญ์ ช่วยให้ได้พบอีก ครูปราชญ์ว่า "วันนี้ ครูจะพบเขาได้แล้ว" หากไม่ดัดเขาให้ตรงเสียก่อน หลักธรรมที่จะสอนแก่เขาจะไม่ชัดเจน ยิ่งกว่านั้นยังจะชี้จุดบกพร่องให้ เขาจึงจะเข้าใจ ครูได้ยินว่า อี๋จือผู้นี้ศรัทธาปรัชญาท่านม่อจื่อ เห็นว่างานศพของพ่อแม่ ทำอย่างประหยัด จัดง่าย ๆ พอเป็นพิธีจะถูกต้อง  อี๋จือผู้เป็นศิษย์ของม่อจื่อ คิดจะใช้หลักการนี้ไปเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมชาวโลก เท่ากับเห็นว่า ถ้าไม่ประหยัด ไม่จัดแค่พอเป็นพิธี แล้วจะไม่สูงส่งกระนั้นหรือ แต่สำหรับงานศพของพ่อแม่อี๋จือเอง กลับจัดเสียอลังการ ก็เท่ากับเขาได้เอาพิธีการที่ตนเองจะขจัดเสีย ไปใช้แก่พ่อแม่ของตนเองน่ะสิ  ศิษย์สวีผี้ นำความนี้ไปบอกล่าวแก่อี๋จือ
อี๋จือแย้งว่า "ธรรมะแห่งปราชญ์ คนโบราณกล่าวว่า ดั่งรักษาทารก (ยั่วเป่าซื่อจื่อ)  หมายความว่าอย่างไร"  ข้าพเจ้าอี๋จือเห็นว่า รักษาผู้อื่นก็มิให้แตกต่างกัน การปฏิบัติจะต้องเริ่มจากบิดามารดาตน  ศิษย์สวีผี้กราบเรียนแก่ครูปราชญ์ ครูปราชญ์ว่า "อี๋จือคงเข้าใจว่า ใคร ๆ จะรักใคร่พี่น้องลุกหญิงชายของเขาไม่ต่างจากที่เขารักใคร่เด็กน้อยเพื่อนบ้าน เขาไม่รู้หรอกว่า คำว่าดั่งรักษาทารก ของอริยเมธาโบราณที่ขานไข หมายถึง ให้ผู้ปกครองบ้านเมืองรักลูกบ้านลูกเมืองตนเหมือนดั่งรักษาทารกไว้ มิให้มีภัยอันตรายต่างหาก" อุปมาทารกคลานอยู่กับพื้น จวนเจียนจะตกบ่อน้ำ นั่นมิใช่ความผิดของทารก ด้วยเด็กทารกไร้เดียงสา ต้องอาศัยบิดามารดาดูแลคุ้มภัย ในคัมภีร์ซือจิง จารึกไว้ว่า "เอาจิตใจดั่งรักษาทารก ไปรักษาลุกบ้านลุกเมืองที่มิรู้ความ" ฟ้าเบื้องบนก่อกำเนิดฟูมฟักสรรพพสิ่ง ให้ทุกอย่างต่างมีหนึ่งรากฐานต้นสาย บิดามารดาของบุคคลนี้ ย่อมเป็นหนึ่งรากฐานต้นสายกายเนื้อนี้ บัดนี้ อี๋จือ ให้กตัญญูเคารพรักบิดามารดาทั่วไปให้เสมอหนึ่งเดียวกัน เท่ากับอี๋จือมีมากกว่าหนึ่งรากฐานต้นสายที่ให้กำเนิดมา  ในสมัยโบราณ มีผู้ไม่ฝังศพพ่อแม่ หามไปโยนไว้ในหุบเหว เวลาล่วงไปหลายวัน ถ้าลูกเดินผ่านแถบนั้น ก็จะเห็นฝูงหมาจิ้งจอกกำลังแทะดึง ทึ้งกินเนื้อตัวหน้าตับไตไส้พุงของพ่อแม่ แมลงวันมากมายตอมกินเลือดเนื้อน้ำเหลือง หนอนตัวใหญ่ ๆ ชอนไชเต็มไปหมด ได้เห็นสภาพนี้แล้ว ลูกจะรู้สึกเหงื่อเย็นท่วมหัวไม่อาจทนดู แต่ยังแอบชำเลืองอยู่ ที่เหงื่อเย็นท่วมหัวนั้น มิใช่เกรงผู้อื่นมาพบเห็น แต่เป็นจิตสำนึกที่ร้าวรานใจ  ใครก็ตามที่เห็นสภาพศพของพ่อแม่เช่นนี้ จะต้องรีบกลับบ้าน เอาจอบบุ้งกี๋มาโกยซากศพของพ่อแม่ฝังเสีย ฝังศพพ่อแม่จึงเป็นเรื่องพึงกระทำอย่างยิ่ง ฉะนั้น การเอาอย่างลูกกตัญญูผู้มีกรุณาธรรมจัดการฝังศพจึงมีเหตุผลถูกต้อง  ศิษย์สวีผี้ นำคำสอนของครูปราชญ์ไปบอกแก่อี๋จืออีก คราวนี้อี๋จือนิ่งงันเหมือนขาดสติไปชั่วครู่ จากนั้นตื่นใจได้สติกล่าวว่า "ได้รับความกรุณาอบรมจากท่านปราชญ์ ข้าพเจ้าเข้าใจชัดเจนแล้ว"
                       
                                                    ~ จบบทเถิงเหวินกง  ตอนต้น ~

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                           ๓. บทเถิงเหวินกง ตอนท้าย

        ศิษย์เฉินไต้ เรียนถามครูปราชญ์ว่า "ครูท่านไม่ยอมไปพบเหล่าเจ้าเมือง ดูจะเป็นการเคร่งครัดกับเรื่องเล็กน้อยไปหน่อย ตอนนี้หากไปพบพวกเขา ได้โอกาสกล่อมเกลาแพร่ธรรม ภายหน้าผลใหญ่คือ อาจได้อ๋องครองหล้าผู้ทรงธรรม ผลน้อยก็จะได้ผู้นำเป็นเจ้าเหล่าหัวเมือง อีกทั้งในหนังสือจื้อซู ก็กล่าวไว้ว่า " ยอมรับคับข้องสองคืบคต สิบหกคืบยึดขยายได้ภายหลัง "  ดูแล้วงานนี้น่าจะทำได้  ครูปราชญ์ตอบว่า " ครั้งนั้น พระเจ้าฉีจิ่งกงจะออกล่าสัตว์ แต่ใช้ธงขนนกห้าสีไปเชิญ ผู้ดูแลสวนสัตว์ไม่มา ฉีจิ่งกงจึงลงอาญาประหารเสีย  บรมครูขงจื่อทราบเรื่องนี้ อุทานชื่นชมคนเฝ้าสวนสัตว์ว่า "ผู้แกร่งตรงคงมั่น แม้ต้องอดตายในร่องคู ยังหยัดอยู่ไม่เปลี่ยนไป นักรบหาญกล้ามุ่งมั่น คอถูกบั่นแต่ไม่ลืมปณิธาน"  ท่านบรมครูอุทานชื่นชมคนเฝ้าสวนสัตว์จุดไหน ก็คือ ชื่นชมการรักษาระเบียบแบบแผน ผิดระเบียบจึงไม่ไป วันนี้ หากเหล่าเจ้าเมืองมาอย่างไม่ตรงระเบียบแบบแผน ผู้ถูกเชิญยังจะเหลือคุณค่าอะไร อีกทั้งศิษย์พี่ยกตัวอย่างว่า "ยอมรับคับข้องสองคืบคต สิบหกคืบยึดขยายได้ภายหลัง" นั่นมันเป็นทฤษฏีของการค้าหาผลประโยชน์ ในแง่ของการค้าหาผลประโยชน์ "แม้จะต้องยอมรับคับข้องสิบหกคืบ ( แปดบรรทัด ) สองคืบได้ในภายหลัง" ก็ถือว่ายังมีกำไร อย่างนี้ทำได้"  (สองคืบประมาณหนึ่งฟุตครึ่งสากล หนึ่งบรรทัดจีนโบราณยาวกว่า จึงใช้ว่าสองคืบ)  แต่ก่อนขุนนางเมืองจิ้น นามว่า เจ้าเจี่ยนจื่อ เรียก หวังเหลียง ขับรถม้าแทนปี้ซี่ ซึ่งเป็นบ่าวคนโปรดประจำตระกูล เพื่อออกไปล่าสัตว์ วันนั้น เช้าจรดเย็น ล่าสัตว์ไม่ได้แม้แต่นกสักตัว ปี้ซี่ บ่าวคนโปรดรายงานเจ้านายว่า "หวังเหลียงคนนี้ขับรถม้าแย่ที่สุด" มีคนนำคำพูดนี้ไปบอกแก่หวังเหลียง หวังเหลียงกล่าวแก่บ่าวปี้ซี่ว่า "ลองดูอีกสักครั้งปะไร" ยึกยักเป็นนาน ปี้ซี่จึงยอมพิสูจน์ใหม่ ผลคือ ยิงนกได้สิบตัวตั้งแต่ช่วงเช้า ปี้ซี่กลับมารายงานเจ้านายอีกว่า "หวังเหลียงขับรถม้าฝีมือเยี่ยมที่สุด"  ขุนนางเจี่ยน กล่าวแก่ปี้ซี่ว่า "ถ้าเช่นนั้น ก็ให้เขาเป็นคนขับรถม้าให้แก่เจ้าแล้วกัน" เมื่อบอกเรื่องนี้แก่หวังเหลียง หวังเหลียงไม่ยินดี ปฏิเสธว่า "ข้าพเจ้าขับรถม้าให้ตามแบบอย่างที่ปี้ซี่ต้องการ แต่เช้าจรดเย็นไม่ได้นกสักตัว ครั้งที่สองข้าพเจ้าไม่ขับตามนั้น แต่ใช้วิธีขับอย่างล่อหลอก ปี้ซี่กลับได้นกมาสิบตัวแต่เช้า ในคัมภีร์ซือจิง จารึกไว้ว่า "ผู้ขับรถไม่ผิดต่อหลักการขับรถ ยิงธนูเข้าเป้าจึงจะนับว่ายิงแม่น"  ข้าพเจ้าไม่คุ้นกับการขับรถให้แก่คนที่ไม่รู้จักระเบียบแบบแผน ช่วยตอบปฏิเสธแทนขัาพเจ้าด้วย" คนขับรถหยั่งรู้ว่า การร่วมงานกับคนยิงธนูที่ไม่มีระเบียบเป็นความน่าละอาย ไม่มีระเบียบ แม้ยิงสะเปะสะปะ จะได้สัตว์กองเท่าภูเขา คนขับนั้นก็ไม่ยอมทำ ครูเอง ( เมิ่งจื่อ )  หากจะต้องขัดต่อหลักธรรมความถูกต้องเออออไปกับเหล่าเจ้าเมือง นั่นเพื่ออะไรกัน คำที่ศิษยฺเฉินไต้กล่าวมานั้นก็ผิดอยู่แล้ว เท่ากับหักล้างความเที่ยงธรรมในตน ซึ่งก็อาจจะไม่แก้ไขการกระทำไม่เที่ยงธรรมของผู้อื่นได้ด้วย"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 3/11/2011, 12:41 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                             ๓

                                  บทเถิงเหวินกง ตอนท้าย

        ชายคนหนึ่งนาม จิ่งชุน กล่าวแก่ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "กงซุนเอี่ยน ขุนนางเมืองเอว้ย กับจางอี๋ มุขมนตรี จะไม่นับเป็นยอดบุรุษอย่างแท้จริงได้หรือดูเถิด  เพียงแค่เขาโกรธ ก้สามารถเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองต่าง ๆ ให้ห้ำหั่นกันได้ อีกทั้งยังทำให้ต่างหวาดผวา ยิ่งกว่านั้นทั้ง ๆ ที่พักผ่อนสบายในบ้านตน ก็ยังสามารถหยุดการสงครามระหว่างเมืองได้"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "เช่นนี้จะเรียกว่ายอดบุรุษได้อย่างไร ท่าน (ผู้ถาม) ไม่ได้เรียนคัมภีร์หลี่จี้มาหรือ ในคัมภีร์บันทึกว่า ชายหนุ่มถึงวัยยี่สิบ เมื่อได้สวมหมวกผู้ใหญ่ พ่อก็จะสอนหลักการเป็นคนให้ หญิงสาวเมื่อจะออกเรือน แม่ก็จะอบรมหลักของกัลยาณี เมื่อส่งมาถึงหน้าประตู ก็จะย้ำเตือนว่า "จะต้องกตัญญูเคารพพ่อแม่สามี เตือนตนอยู่เสมอ อย่าผิดต่อความตั้งใจของสามี"  คล้อยตามจึงเป็นหลัก ก็คือระเบียบที่ผู้หญิงพึงรักษา"  ยอดบุรุษที่แท้จริง พึงกอปรด้วยใจกรุณาเพื่อมหาชน มุ่งมั่น  ก่อเกิดฐานเที่ยงธรรมให้ใต้หล้า ปฏิบัติมโนธรรมหนทางใหญ่ เมื่อใดที่อุดมการณ์บรรลุผล ก็ขยายผลไปสู่ปวงชน แต่หากไม่บรรลุปณิธาน ก็ประคองรักษาไว้เองบนหนทางเที่ยงตรงนี้ ร่ำรวยสูงศักดิ์อย่างไร จะไม่เริงกาม ยากจน ต่ำต้อยอย่างไร ไม่แปรไปจากปณิธาน อิทธิพลคุกคามอย่างไรไม่อ่อนข้อให้ เช่นนี้จึงเรียกว่า ยอดบุรุษ   โจวเซียว ชาวเมืองเอว้ย เรียนถามท่าน 
ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "กัลยาณชนคนแต่ก่อน ชอบที่จะออกไปรับราชการกันหรือไม่"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "รับ"  ในหนังสือจ้วนซู จารึกว่า "บรมครูขาดราชการงานเมืองสามเดือน จะพะวักพะวนออกจากเขตบ้านเมือง จะต้องมีเครื่องบรรณาการแสดงสถานภาพตำแหน่งเตรียมไปด้วย" กงหมิงอี๋ ก็กล่าวว่า "สามเดือน
ไม่ได้ร่วมประชุมเบื้องบัลลังก์ เพื่อนพ้องจะพากันมาเยี่ยมเยียน"  โจวเซียนเรียนถามต่อไปว่า "สามเดือนไม่ได้ร่วมประชุมเบื้องบัลลังก์ เพื่อนพ้องจะพากันมาเยี่ยมเยียน มิเป็นการร้อนใจไปหน่อยหรือ" ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ขุนนางละจากตำแหน่งหน้าที่ ประหนึ่งเจ้าเมืองสูญเสียบ้านเมือง"  ในคัมภีร์หลี่จี้ จารึกว่า "เจ้าเมืองลงแรงแปลงนาที่จะเก็บผลไว้เซ่นไหว้ ชาวบ้านจะร่วมช่วยกัน"  ภรรยาเจ้าเมืองจะเลี้ยงไหม สาวใยทอผ้าเองเพื่อใช้ในพิธีเซ่นไหว้ แต่หาก         
เจ้าเมืองสูญเสียบ้านเมือง เครื่องเซ่นไหว้จะไม่พร้อม ข้าวที่เซ่นไหว้ไม่ขาวสะอาด ขาดความพิถีพิถันคัดสรร ผ้าผ่อนแพรพรรณไม่งามเหมาะพร้อมเพรียง ดังนี้ ก็จะไม่กล้าจัดพิธีเซ่นไหว้ เมื่อละจากราชการงานเมือง ขาดสถานภาพขาดความพร้อม ย่อมต้องระงับพิธีเซ่นไหว้อันสำคัญประจำปีไป  เมื่อเครื่องเซ่นไหว้ ภาชนะ อาภรณ์ทุกอย่างไม่ครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม ย่อมไม่กล้าจัดพิธีเซ่นไหว้ ดังนี้ ก็จะเกิดความไม่สบายใจ แล้วไฉนจะไม่ได้รับการเยี่ยมเยียนถามทุกข์สุขจากเพื่อนพ้องเล่า  โจวเซียว เรียนถามอีกว่า "จะออกจากบ้านเมือง เหตุใดจึงต้องเตรียมเครื่องบรรณาการประจำตัวไป"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "บุรุษสมสง่าจะออกไปรับราชการต่างเมือง ก็เหมือนชาวนาจะออกนอกคูหาไปคราดไถ จะต่างออกนอกเมืองหรือ จึงต้องแบกถือเครื่องมือไปด้วย" เรียนถามอีกว่า "แต่ก่อนเมืองจิ้นของเรา ก็เป็นที่ชุมนุมของข้าราชการมากมาย แต่ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินว่า จะเป็นข้าราชการพึงเคร่งครัดถึงเพียงนี้ ที่ท่านว่า บุรุษสมสง่าจะเข้ารับราชการ จะต้องผ่านระเบียบเคร่งครัดดังนี้ ถ้าเช่นนั้น ตามที่อาวุโสกล่าวว่า "กัลยาณชนรับราชการยาก" นั้นหมายถึงอย่างไร"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "เมื่อกำเนิดบุตรชาย พ่อแม่ก็หวังจะให้เขาได้ศรีภรรยามาเป็นคู่ครอง เมื่อกำเนิดบุตรี พ่อแม่ก็หวังจะให้ได้เขยศรีได้ฝากฝังแก่ครอบครัวดี จิตใจของพ่อแม่ล้วนเป็นเช่นนี้ แต่หากไม่รอให้พ่อแม่เห็นชอบสู่ขอจัดการ ไม่ผ่านสื่อกลางผู้แนะนำ ไม่รู้ชาติตระกูลกัน ชอบพอกันเองโดยเจาะกำแพงข้างฝาแอบดูกัน ปีนกำแพงลักพากันเช่นนี้ คนทั้งบ้านเมืองจะปรามาสพ่อแม่สองฝ่ายทั้งชายหญิง  คนแต่ก่อน มิใช่จะไม่อยากรับราชการ แต่รังเกียจวิธีการลักลอบที่ชอบจะติดสินบนขอเข้ารับราชการ ซึ่งไม่ต่างกับปืนกำแพง"     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                             ๓

                                 บทเถิงเหวินกง ตอนท้าย

        เผิงเกิง  ศิษย์ท่านครูปราชญ์เรียนถามว่า "รถตามขบวนหลายสิบคัน คนเดินตามขบวนหลายร้อยคน เดินทางถึงไหน ผู้ปกครองท้องถิ่นที่นั่นก็จะต้องจัดอาหารให้กินกัน มันไม่เกินไปหน่อยหรือ"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "หากไม่ถูกต้องสมควร แม้ข้าวกระบอกเดียวก็ไม่ควรรับการเลี้ยงดูจากใคร แต่หากถูกต้องสมควรแม้ซุ่นรับบัลลังก์จากเหยา ก้ไม่นับว่าเกินไป ท่านเห็นว่าเกินไปหรือไม่เล่า"  ศิษย์เผิงเกิงว่า "ความหมายของศิษย์มิใช่เช่นนี้ ศิษย์หมายถึง ผู้คนเหล่านั้นไม่ช่วยทำการใดแก่ใคร อยู่ ๆ มารับการเลี้ยงดู รู้สึกว่าไม่สมควร"   ครูปราชญ์ว่า  "หากไม่ร่วมงาน ไม่ประสานงานกับใคร ไม่เอาผลผลิตส่วนเกินแลกเปลี่ยนผลผลิตจำเป็นสำหรับตนต่อกัน ชาวนาก็จะกินข้าวที่ปลูกได้ไม่หมด หญิงทอผ้าก็จะมีผ้าผ่อนเหลือเฟือ ถ้าประสานงานแลกเปลี่ยนกัน คนทำล้อรถล้อเกวียนก็แลกเปลี่ยนกันไป  สมมุติว่า บัดนี้ มีคน ๆ หนึ่ง อยู่บ้านกตัญญูดูแลพ่อแม่ ออกนอกบ้านเคารพให้เกียจเพื่อนพ้อง ทุกอาการทำตามหลักธรรมที่อริยประมุขปฏิบัติมา เพื่อเตรียมการถ่ายทอดแก่อนุชนรุ่นหลัง คนเช่นนี้ไม่สมควรได้รับความเอื้อเฟื้อจากท่านอย่างนั้นหรือ  ศิษย์จะเห็นความสำคัญเหนื่อยยากเฉพาะของช่างไม้ ช่างทำรถ แล้วยังจะดูแคลนความสำคัญของคนดำเนินกรุณามโนธรรมอย่างนั้นหรือ"  ศิษย์เผิงเกิง กล่าวอีกว่า  "ช่างไม้ ช่างรถทำงานก็เพื่อปากท้อง แต่กัลยาณชนผู้สูงด้วยคุณธรรม พร่ำสอนอบรมคุณธรรม ก็ทำเพื่อปากท้องของตนเหมือนกันหรือ"   ครูปราชญ์ว่า "ไฉนศิษย์จึงเจาะจงแต่เป้าหมายที่เห็นผลตอบแทนเป็นรูปธรรมเล่า  ถ้าเช่นนั้นผู้มีบุญคุณต่อศิษย์ สมควรได้รับเอื้อเฟื้อความเป็นอยู่จากศิษย์ก็เอื้อเฟื้อเถิด ก็เท่านั้นเอง  ครูจพถามเธอว่า  ที่ศิษย์เอื้อเฟื้ออาหารการกินแก่ใครนั้น เอื้อเฟื้อโดยเขาร้องขอหรือโดยตอบแทนบุญคุณแก่เขา"  ตอบ  "โดยนเขาร้องขอ"  ครูปราชญ์ว่า "สมมุติใครคนหนึ่งอยู่ตรงนี้ ทำกระเบื้องหลังคาของศิษย์แตก ทำสีบนผนังของศิษย์เลอะเทอะ ความมุ่งหมายของเขา คือ  เรียกร้องให้เอื้อเฟื้ออาหารการกิน เช่นนี้ศิษย์จะให้เขาหรือไม่"  ศิษย์เผิงเกิงตอบว่า  "ไม่ให้"  ครูปราชญ์ว่า  "เช่นนี้ก็เท่ากับไม่เอื้อเฟื้อเรียกร้อง แต่จะเอื้อเฟื้อโดยคุณความดี"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                             ๓

                                 บทเถิงเหวินกง ตอนท้าย

        ศิษย์วั่นจัง เรียนถามครูปราชญ์ว่า "ซ่งเป็นเมืองเล็ก บีดนี้จะดำเนินการปกครองเป็นเอกเทศ แต่หากเมืองฉี เมืองฉู่  เกิดอิจฉามาโจมตี จะทำอย่างไรดี"  ครูปราชญ์ว่า " ครั้งนั้นกษัตริย์ทังตั้งเมืองอยู่ที่ป้อ  เป็นเพื่อนเมืองกับเก่อ ประมุขเมืองเก่อหยามหยาบไม่ทำการเซ่นไหว้ กษัตริย์ทังส่งคนไปถามหาสาเหตุที่เว้นจากเซ่นไหว้"  ประมุขเมืองเก่อว่า "ไม่มีสัตว์สามประเภทเป็นเครื่องเซ่นไหว้" กษัตริย์ทังจึงส่งวัว แพะไปให้ ประมุขเก่อไม่จัดทำพิธี แต่กลับกินวัว แพะ ที่รับมาเสียสิ้น กษัตริย์ทังส่งคนไปถามเหตุที่ไม่เซ่นไหว้อีก  ประมุขเก่อ ตอบว่า "ไม่มีข้าวอย่างดีที่ปลูกเฉพาะกาลนี้" กษัตริย์ทังเรียกให้ชาวเมืองป้อของพระองค์ไปช่วยทำนาแปลงเฉพาะให้คนแก่คนด้อยกำลังเป็นผู้บริการทำอาหารไปให้คนคราดไถ แต่ประมุขเมืองเก่อกลับพาประชาชนของตนมาขวางทาง แย่งชิงเหล้ายาอาหารพันธุ์ข้าวไปเสียหมด  คนที่ยึกยักไว้ไม่ปล่อยมือให้ก็ถูกฆ่าตาย เด็กชายคนหนึ่งกำลังยื่นอาหารให้คนทำนาประมุขเมืองเก่อก็แย่งชิงแล้วฆ่าเด็กตาย  ในคัมภีร์ซูจิง จารึกว่า " ประมุขเมืองเก่อเป็นเห็นคนที่ส่งอาหารไปให้เป็นศัตรู เช่นนี้"  เนื่องด้วยประมุขเมืองเก่อ ฆ่าฟันแม้กระทั่งเด็กชาย กษัตริย์ทังจึงยกทัพไปปราบปราม ไพร่ฟ้าทั่วหล้าทุกแผ่นดินจึงแซ่ซ้องว่า "กษัตริย์ทัง มิใช่ชิงแผ่นดินเก่อ เพื่อเพิ่มพูนฐานะแต่เพื่อแก้แค้นแทนประชาชนตาดำ ๆ ทั้งหญิงชาย"  ยกทัพปราบปรามครั้งแรก เริ่มจากเมืองเก่อ จากนั้นปราบปรามความไม่เป็นธรรมบ้านเมืองอื่น รวมสิบเอ็ดครั้ง ทั่วหล้าจึงสงบราบคาบ เมื่อไปปราบปรามทางทิศตะวันออก ชนเผ่าอี๋ ทางิศตะวันตกก็จะตัดพ้อ เมื่อไปปราบอธรรมทางทิศใต้ ชนเผ่าตี๋ ทางทิศเหนือก็จะตัดพ้อเช่นเดียวกันว่า "ไยจึงทิ้งเราไว้เบื้องหลัง ไม่มาช่วยขจัดเสี้ยนหนามให้เราก่อน"  ไพร่ฟ้าใต้หล้าทุกแห่ง ต่างรอคอยให้กษัตริย์ทังมาช่วยเปลี้ยงทุกข์ ต่างแหงนหน้าเหมือนคอยฟ้า คอยฝนมาชุบชีวิตเช่นนั้น  ในขณะยกทัพประชิดเมือง ย่านค้าขายยังคงค้าขายไปตามปกติ  คนตัดหญ้าทำนายังคงก้มหน้าทำนาต่อไป เพราะนั่นคือสงครามปราบทรราช กำจัดอธรรมเพื่อปรอบขวัญประชาชนผู้ทุกข์ยาก เหมือนฝนที่ตกต้องตามฤดูกาล ประชาชนจึงต่างยินดีปรีดา  ในคัมภีร์ซูจิง จารึกว่า "รอคอยกษัตริย์ผู้ทรงธรรมของเรา เมื่อพระองค์มาถึง พวกเราก็จะพ้นจากทารุณกรรมของเหล่าทรราชได้"  ในคัมภีร์ซูจิง บทอู่เฉิง บันทึกเรื่องราวสมัยราชวงศ์โจว ไว้ตอนหนึ่งว่า "ขุนนางที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ โจวอู่อ๋วงยกทัพไปปราบปราม ด้านตะวันออก จัดวางความเป็นอยู่ของประชาชนผู้ตกทุกข์ยาก ให้สงบสุข ประชาชนต่างเอาตระกร้าไม้ไผ่ใส่เหรียญเงิน ใส่ผืนผ้ามาต้อนรับกองทัพของโจวอู่อ๋วง  พร้อมกับบอกเล่ากันอย่างเซ็งแซ่ว่า "ถูกทรราชโจ้วอ๋วงกดขี่ทารุณมานาน บัดนี้จะได้ถวายความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้แล้ว เป็นบุญวาสนาโดยแท้  พวกเราจะเป็นข้าบาท ฯ รับใช้ในราชวงศ์โจว"  ตอนนั้น ขุนนางราชวงศ์ซัง ก็จัดผืนผ้าเหรียญเงินใส่ตระกร้าไม้ไผ่ มาต้อนรับขุนนางโจวอู่อ๋วง ชาวบ้านใช้กระบอกไม่ใผ่บรรจุข้าว น้ำแกงใส้ไว้ในเหยือก มาต้อนรับพลทหารของโจวอู่อ๋วง ไฉนจึงยินดีปรีดิ์เปรมกันปานนี้ ก็ด้วยอริยกษัตริย์ ดั่งผู้ชุบชีวิตเขาทั้งหลายให้พ้นน้ำท่วมเพลิงไพรช่วยกำจัดทรราชที่ทำร้ายพวกเขา ก้เท่านั้นเอง"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                             ๓

                                 บทเถิงเหวินกง ตอนท้าย

        ในหนังสือโจวซู  บทไท่ซื่อ  บันทึกไว้ว่า "ข้าพเจ้าโจวอู่อ๋วง มีแต่ได้รับการสรรเสริญ ต่อการรุกรบกับแผ่นดินโจ้วอ๋วง เพราะได้กำจัดทรราชที่ก่อกรรมทำเข็ญประชาราษฏร์ ดังนั้น บุญคุณจากการพิชิต จึงสะท้านสะเทือนเจิดจ้ายิ่งกว่าที่ราชวงศ์ทัง ปราบปรามกบฏเซี่ยเจี๋ยเสียอีก  เห็นเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ดังนี้แล้ว หากเมืองซ่งจะไม่ดำเนินการปกครองเป็นเอกเทศก็แล้วไป  แต่หากจะเป็นเอกเทศประชาราษฏร์ก็ต่างจะแหงนหน้าขึ้นมอง ใคร่จะรับใช้ประมุขของเขาด้วยความมั่นใจ ฉี  ฉู่  สองเมืองแม้จะใหญ่ แต่ก็ไม่น่ากลัว"  ปราชญ์เมิ่งจื่อ กล่าวแก่ไต้ปู๋เซิ่ง ขุนนางเมืองฉีว่า "ท่านอยากให้ประมุขของท่านปกครองแผ่นดินโดยธรรมหรือไม่ เราจะกล่าวแก่ท่านโดยละเอียด  สมมุติ ขณะนี้ มีขุนนางเมืองฉู่อยู่ที่นี่ หวังให้บุตรชายศึกษาภาษาเมืองฉีของท่าน แต่จะให้คนเมืองฉู่หรือคนเมืองฉีเป็นผู้สอนดีเล่า"  ไต้ปู๋เซิ่งตอบว่า "ก็ต้องเป็นคนเมืองฉีสอนให้น่ะสิ"  ครูปราชญ์ว่า  "คนเมืองฉีคนเดียวพร่ำสอนแต่คนเมืองฉู่มากมายพูดคุยให้ไขว้เขว แม้จะเคี่ยวเข็ญทำโทษทุกวันให้พูดภาษาเมืองฉีให้ดี แต่ก็เป็นไปไม่ได้"   แต่หากพาเด็กชายไปอยู่ที่ตลาดจวงเอวี้ย เมืองฉี เพียงไม่กี่ปี แม้จะบังคับลงโทษให้กลับมาพูดภาษาเมืองฉู่อย่างเดิมให้ดีก็เป็นไม่ได้เช่นกัน"  กล่าวว่า เซวียจวีโจวผู้นี้ เป็นปรีชาชนคนดี จึงได้เสนอให้ใกล้ชิดเจ้าเมืองซ่ง เพื่อจะได้หมั่นเตือนอ๋องให้ปกครองโดยธรรม หากผู้ใกล้ชิดอ๋องไม่ว่าอายุมากอายุน้อย ตำแหน่งใหญ่ตำแหน่งเล็ก ก็ให้เหมือน
เซวียจวีโจวที่เป็นปรีชาชนคนดี  อย่างนี้แล้วยังจะมีใครไปทำความไม่ดีกับอ๋องได้  หากผู้อยู่ใกล้ชิดเจ้าเมืองซ่ง สูงวัยอ่อนวัย ศักดิ์ใหญ่ศักดิ์เล็ก  ล้วนมิใช่ปรีชาชนคนดีเยี่ยงเซวียจวีโจว อย่างนี้แล้ว ยังจะมีใครไปโน้มนำให้อ๋องทำความดีได้ ฉะนั้น หากอาศัยเซวียจวีโจวคนเดียวจะสามารถโน้มนำอ๋องให้ครองแผ่นดินโดยธรรมได้หรือ ผู้อยู่ใกล้ชิดจึงมีอิทธิพลมากต่อบ้านเมือง  ศิษย์กงซุนโฉ่ว  เรียนถามครูปราชญ์ว่า  "กัลยาณชนมักจะไม่ยอมไปพบเจ้าเมืองด้วยตนเอง นั่นหมายความว่าอย่างไร"  ครูปราชญ์ตอบว่า  "คนแต่ก่อนเก่า หากไม่เคยเป็นขุนนางข้าราชฯ ของเจ้าเมืองนี้ ก็จะไม่ยอมไปพบเจ้าเมืองคนนี้ เช่นเดียวกับที่ต้วนกันมู่  ผู้บำเพ็ญธรรมชาวเมืองจิ้น ไม่เคยเป็นข้าราชฯ ในเจ้าเมืองเอว้ยเหวินโหว เมื่อเจ้าเมืองไปขอพบ เขาปืนกำแพงหลบหายไป  เซี่ยหลิ่วเมธีเมืองหลู่ก็เช่นกัน ด้วยไม่เคยเป็นข้าราชฯ ของเจ้าเมืองหลู่โหมวกง ฉะนั้น  เมื่อพระเจ้าหลู่โหมวกงไปขอพบ จึงปิดประตูไว้ไม่ออกมา แต่ทว่า ทั้งสองท่านดังกล่าวก็เกินไป ประมุขของบ้านเมืองมาขอพบ มีความจริงจังเพียงนี้ ก็น่าจะออกมาพบ"    ครั้งนั้น  หยางฮว่อ ขุนนางเมืองหลุ่ ใคร่เชิญบรมครูไปพบเขา แต่ก้เกรงใคร ๆ จะว่าเขาไม่มีจริยะ  จึงใช้ประโยชน์จากจริยระเบียบข้อที่ว่า  เมื่อขุนนางมอบขอกำนัลแก่ผู้ใด หากผู้นั้นมิได้อยู่บ้าน มิได้รับกับมือ มิได้ฝากขอบคุณแก่ผู้นำส่งมา ภายหลังก็จะไปขอบคุณด้วยตนเองถึงจวนขุนนางผู้มอบของกำนัล  ดังนั้น ขุนนางหยางฮว่อ จึงคอยส่องหาโอกาสที่บรมครูท่านออกจากบ้านไป จึงได้ส่งเนื้อหมูนึ่งสุกก้อนหนึ่งไปที่บ้านบรมครู บรมครูรู้เจตนาของเขา ก้หาโอกาสตอนที่ขุนนางหยางฮว่อไม่อยู่บ้าน ไปขอบคุณ  เรื่องราวนี้ หากหยางฮว่อ มีเจตนาบริสุทธิ์ตั้งแต่แรก ไหนเลยท่านบรมครูจะจงใจไม่พบกับเขา  ปราชญ์เจิงจื่อว่า  "แสร้งยิ้มเอาใจให้ความเคารพ ยกยอปอปั้น วุนวายอารมณ์ ทุกข์ใจยิ่งกว่าขุดดินทำคันนากลางแดดแผดจ้าหน้าร้อนเสียอีก"  ปราชญ์จื่อลู่ว่า  "พูดคุยกับคนต่างจิตต่างใจ ดูสีหน้าเขาเหมือนแดงก่ำ หูร้อนไม่เป็นธรรมชาติ ความรู้สึกอย่างนี้มิใช่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้เลย จากนี้จะเห็นได้ว่า จิตปราณีตของกัลยาณชนเป็นเช่นไร จึงมิใคร่ชิดใกล้คนมีอำนาจบาตรใหญ่"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                             ๓

                                 บทเถิงเหวินกง ตอนท้าย

        ไต้อิ๋งจือ ขุนนางเมืองซ่ง กล่าวแก่ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "ข้าพเจ้าใคร่ขอให้อ๋องใช้ระบบเก็บกาษีหนึ่งส่วนสิบของครั้งโบราณ อีกทั้งยกเลิกภาษีผ่านด่าน กับภาษีเรียกผู้ค้าในตลาด แต่ทว่าในปีนี้ยังทำถึงขั้นนี้ไม่ได้  ได้แต่ขอร้องให้อ๋องลดหย่อนภาษีลงบ้าง จนถึงปีหน้า จะยกเลิกระบบเดิมทั้งหมด ปราชญ์ท่านเห็นเช่นไร"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า  "สมมุติว่าขณะนี้ มีใครคนหนึ่งขโมยไก่ชาวบ้านทุกวัน มีคนเตือนเขาว่า "นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของกัลยาณชน" คนขโมยไก่ว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ลดน้อยลง โดยขโมยเดือนละหนึ่งตัว ปีหน้าจะวางมือทั้งหมด" ท่านคิดว่าคำพูดนี้ถูกต้องหรือไม่  เมื่อรู้ว่าภาษีน้นไม่ถูกต้อง ก็ควรจะระงับเสียโดยเร็ว  ไฉนจะต้องรอให้ถึงปีหน้า"   กงตูจื่อ  ศิษย์ครูปราชญ์ กล่าวแก่ครูปราชญ์ว่า "คนข้างนอกต่างกล่าวว่า ครูปราชญ์ท่านชอบโต้แย้งวิจารณ์ " บังอาจเรียนถามว่า "เพราะเหตุใด"  ครูปราชญ์ว่า  "ครูชอบโต้แย้งที่ไหนกัน คำวิจารณ์ของครูก็เป็นเรื่องจำใจนัก"  มนุษยชาติเกิดมาในโลกนี้นานนักหนาแล้ว บางครั้งอยู่อย่างสงบ บางครั้งอยู่อยางวุ่นวาย เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา ในครั้งอริยกษัตริย์เหยา กระแสน้ำใหญ่จะไหลหลาก
ท่ามท้นแผ่นดินจีนทั้งหมด พวกงู มังกร สัตว์น้ำต่าง ๆ ไหลตามกระแสน้ำเชี่ยวกรากมา เข้ายึดครองที่อยู่ของผู้คน สร้างรัง  สร้างโพลง  สร้างถ้ำบาดาล           
จนผู้คนไม่มีที่อยู่แน่นอนได้ คนที่อยู่ในที่ต่ำ จึงต้องขึ้นไปสร้างแคร่อาศัยบนต้นไม้ คนที่อยู่ในที่สูง จะต้องขุดโพลงอาศัยถ้ำ  ในหนังสือซั่งซู  บทต้าอวี่หมอจารึกว่า "ฟ้าเบื้องบให้อุทกภัยกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต  เป็นสัญญาณเตือนภัยให้แก่เรา"  อริยกษัตริย์ซุ่น  ต่อจากอริยกษัตริย์เหยา  มอบหมายให้อวี่ไปแก้ไขมหาอุทกภัย อวี่จึงนำผู้คนช่วยกันขุดลอกสิ่งกีดขวางทางน้ำ ให้น้ำบนแผ่นดินโกรกลงทะเล ช่วยกันขับต้อนพวกงู พวกมังกรออกไปจากผืนแผ่นดินที่ระบายน้ำได้แล้ว ให้ลงชายเลนไป  จากนั้น น้ำจึงรวมไหลไปเป็นสายเป็นกระแสในที่ต่ำกว่าผืนแผ่นดิน นั่นก็คือแม่น้ำใหญ่ฉางเจียง (แยงซีเกียง) แม่น้ำไฮว๋เหอ  หวงเหอ  ฮั่นสุ่ย  ผืนน้ำเวิ้งว้างเหือดหาย แผ่นดินใหญ่ปรากฏชัด นกใหญ่นกยักษ์ดุร้ายที่จิกตีกัดกินผู้คน ก็กระจายหมดไป จากนั้น มนุษย์จึงตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ได้บนผืนแผ่นดิน หลังจากสิ้นอริยกษัตริย์เหยากับซุ่นแล้ว หลักธรรมที่อริยปฏิบัติมาค่อย ๆ เสื่อมถอยอีกทั้งทรราชเกิดตามกันมาใช้อำนาจทำตามอำเภอใจ ทำลายที่อยู่อาศัยของประชาชนเพื่อสร้างสระน้ำใหญ่ สร้างทัศนียภาพอลังการ ชาวบ้านไม่มีที่อยู่พักพิง ทรราชช่วงชิงที่นา สร้างอุทยานสวนสัตว์ เพื่อความสนุกสนานบานใจ ทำให้ชาวบ้านไม่มีที่ทำกิน ทรราชพูดจาข่มขวัญมอมเมาชาวบ้าน ให้อยู่อย่างหวดผวา สระน้ำใหญ่ อุทยานสวนสัตว์ขนาดกว้างใหญ่มาก สุดท้ายกลายเป็นที่ชุมนุมของสัตว์ต่าง ๆ อีกจนไม่อาจควบคุมได้ มาถึงรัชสมัยทรราชโจ้วอ๋วง  บ้านเมืองเกิดจราจลใหญ่จนพระเจ้าปู่โจวกง ต้องหนุนให้อริยกษัตริย์โจวอู่อ๋วง ทำการเด็ดขาดพิชิตทรราชโจ้วอ๋วง ปราบทรราชเมืองน้อยใหญ่อีกห้าสิบกว่าเมืองอันเป็นขบวนการเดียวกัน โดยเฉพาะเมืองเอียน ใช้เวลาสามปี กว่าจะพิชิตได้ ขับต้อนกองทัพของเฟยเหลียน ขุนนางคนโปรดของทรราชโจ้วอ๋วง  ไปจนมุมที่ชายทะเลแล้วจบชีวิตลงที่นั่น

Tags: