collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: แรงปณิธานกับแรงบาปเวร : บทบรรณาธิการ  (อ่าน 26918 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                   ตอนที่ 3

                    เหตุต้นผลตามสามชาติชดใช้ในสามวัน

        พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดแก่ผู้น้อยว่า "เจ้ามานี่ มานี่"  จากนั้นดำเนินไปพลางโปรดไปพลางว่า  "เจ้าเอ๋ย  ที่ต้องได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากมายอย่างนี้นั้น แท้จริงแล้วก้เพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาตามทวง อันที่จริงเขาจะเอาชีวิตเจ้าตั้งแต่ตามเจอแล้ว"  พระองค์โปรดอีกว่า "แต่ว่าเห็นแก่ที่เจ้าปฏิบัติบำเพ็ญในอาณาจักรธรรม ยังนับว่าพอมีศรัทธาจริงใจบ้าง"  แน่นอน  ผู้น้อยเองไม่กล้ากล่าวว่า ได้ศรัทธาจริงใจนัก แต่ผู้น้อยเคยพยายามที่จะไปทำอะไรบางอย่าง ก็คือ  ที่เล่าให้ท่านทั้งหลายฟังแล้วในตอนต้น ที่พระองค์ว่าศรัทธาจริงใจ  คงเป็นส่วนที่กล่าวมาแล้วกระมัง พระองค์โปรดว่า "ฉะนั้น จึงให้เหตุต้นผลตามสามชาติของเจ้าชดใช้ให้หมดไปในสามวัน"  ซึ่งแท้จริงไม่ใช่จะชดใช้หมดภายในสามวันหรอก  แต่หมายถึง ให้สามวันอันสุดจะทนได้นั้น แสดงให้รู้แรงเวรกรรม ที่ทำไว้ในสามชาติต่างหาก  แต่ก่อน ผู้น้อยนำพาคนได้คล่องมาก จึงมีความคิดอย่างหนึ่งว่า "อย่างเรานี้ ภายหน้าควรจะได้รับความสำเร็จไม่เลวแน่"  แท้จริงแล้วเป็นความเพ้อพก พอเห็นเจ้าหนี้นายเวรมาประชิด แม้แต่สมาธิก็ยังไม่มี จึงไม่ต้องพูดถึงบุญบารมีอะไรเลย แม้แต่ปัญญาก็ยังไม่เปิด  ยังจะพูดถึงบุญบารมีที่ไหนได้  ทุกอย่างล้วนเกิดจากความเมตตากรุณาของพระองค์เซียนพุทธะ ผู้น้อยประสบอุบัติเหตุ ก้ได้มีเซียนพุทธะมากมายที่ต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวรให้ ประมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยพระองค์  ทำไมจึงเกินกว่าหนึ่งร้อยพระองค์ เพราะผู้น้อยชอบนำพาคนมารับธรรมะมาก  ทุกครั้งที่มีพิธรถ่ายทอดธรรมะ ก็จะนำพาคนมารับธรรมะและศึกษา  ขณะนั้น เซียนพุทธะจะโปรดประทับลงพิทักษ์ตำหนักธรรม ซึ่งพระองค์จะมีเวรผลัดเปลี่ยนกันทุกครั้ง จึงอาจจะไม่ใช่พระองค์เดิมชุดเดิม เพียงแต่ขณะทำพิธี เราได้อยู่ในพิธีนั้น ก็คือได้ผูกบุญสัมพันธ์กับพระองค์ โดยเฉพาะผู้น้อยชอบนำพาคนมา ผู้น้อยได้เป็นอิ๋นเป่าซือ บนเปี่ยวเหวินก็จะมีชื่อจารึกไว้ถวายขึ้นไป เท่ากับได้ผูกบุญสัมพันธ์กับพระองค์ไว้มากมาย  ฉะนั้น  เมื่อเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ จึงน่าจะมีเซียน
พุทธะเกินกว่าหนึ่งร้อยพระองค์ ช่วยผู้น้อยคลี่คลายแก้ไขเรื่องนี้   ท่านทั้งหลายลองคิดดู วันนี้หากไม่ใช่ได้รับธรรมะ ปฏิบัติธรรมอยู่ในอาณาจักรธรรมอี๋ก้วนเต้า  ได้แต่กราบไหว้ไปตามศาลเจ้า วัดวาอารามต่าง ๆ เราจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปี จึงจะผูกบุญสัมพันธ์กราบไหว้เซียนพุทธะได้มากมายถึงร้อยกว่าพระองค์ฉะนั้น  แม้ว่าตำหนักพระเล็ก ๆ เรียบง่ายธรรมดา แม้แต่ตำหนักพระเฉพาะกาล เพียงขอให้ทำพิธีถ่ายทอดธรรมะได้เท่านั้น ขอให้สาธุชนได้อาศัยรับวิถีธรรมจากพระวิสุทธิอาจารย์ได้เท่านั้น ให้ได้เป็นที่อธิบายให้สาธุชนเข้าใจในจิตญาณตนว่า มาจากเบื้องบนเท่านั้น แม้จะเป็นเพียงเฉพาะกาลก้ได้ผูกบุญสัมพันธ์กับเซียนพุทธะมากมายแล้ว  แต่ในทางตรงกันข้าม หากมีแต่ตำหนักพระเฉย ๆ ไม่มีพิธีการอาราธนาเซียนพุทธะประทับมา ไม่ดำเนินงานธรรมแต่อย่างใดก็จะกล่าวไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าตำหนักพระนี้มีเทียนมิ่ง มีอนุตตรพระโองการฟ้า     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                     ตอนที่ 3

                      วิถีนรก วิถีเปรต สามวันในโรงพยาบาล

        พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า  "เดิมทีเจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ยอมปล่อยเจ้า เพราะเหตุว่า เจ้าเคยเป็นเพื่อนสนิทที่สุด วางใจได้จึงไปกับเจ้า แต่กลับถูกเพื่อนสนิทที่วางใจได้ฆ่าเสียอย่างนี้ ความอาฆาตแค้นจึงแรง ไม่ใช่จะไกล่เกลี่ยได้ง่าย แต่เพราะเซียนพุทธะมากมายร่วมช่วย..."  "...สุดท้าย เจ้าหนี้ชีวิตทั้งสามจึงยอมตกลงว่า..." "ไม่เอาให้มันตายก็ได้ แต่ว่า...เรารับทุกข์ทรมานในนรกมานานปี มันไม่ได้รับทุกข์ เราไม่ยอม"  สุดท้าย  ผู้น้อยได้พ้นจากความตาย... แต่นรกเป็น ๆ ไม่อาจพ้น ให้ผู้น้อยรับรู้รสชาติในโรงพยาบาลสามวันว่าอะไรเรียกว่า "วิถีนรก  วิถีเปรต"  ทุกขณะในโรงพยาบาล ผู้น้อยต้องรับโทษทัณฑ์ทรมานจาก "ขุมนรกมีดเชือดคอ"  แพทย์พยาบาลมาเปลี่ยนยาทุกครั้ง คือเหมือนถูดเชือดคอสด ๆ ทุกครั้ง ทรมานสุดทนจนสลบไป  นี่คือโทษทัณฑ์ในนรกที่ตายฟื้น ฟื้นตาย  รับทุกข์ทรมานเรื่อยไปไม่จบสิ้น พอทำแผลเปลี่ยนยา ผู้น้อยจะเย็นจากศรีษะไปถึงปลายเท้า เพราะอุณหภูมิจากเครื่องให้เลือดต่ำกว่าอุณหภูมิของเลือดในร่างกาย เพราะฉะนั้น เลือดจากเครื่องให้เลือด ไหลเวียนไปถึงส่วนไหนของร่างกาย ร่างกายส่วนนั้นก็จะเย็นเฉียบเมื่อเจ็บมากเกร็งตัว ออกแรงต้าน ชักกระตุกกล้ามเนื้อก็จะแข็งทื่อเหมือนตาย ตัวเย็น ตัวแข็งทื่อ ก็คือซากศพคนตาย อย่างนี้ ไม่ใช่ตายฟื้น ฟื้นตาย หลายครั้งหรือ  พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดต่อไปว่า  "ขณะที่เจ้าอยู่โรงพยาบาล ไม่ว่าหายใจ ดื่มน้ำ เจ็บร้อนจากลำคอลงไปถึงในท้อง เหมือนเปรตที่ต้องกลืนไฟ อีกทั้งยังดื่มกินไม่ได้ ยิ่งทุกข์ทรมานหนักขึ้น สภาพนี้ทำให้เจ้าเข้าสู่วิถีเปรต  ให้รู้ว่ามันน่าสงสาร น่าเวทนาเพียงไร"  หลอดคอของผู้น้อยในขณะนั้น อย่าว่าแต่กลืนน้ำลาย แม้แต่หายใจเข้าและหายใจออกก็ยังขยาดมากเพราะเจ็บเหลือเกิน เวลาหายใจออก ความเจ็บตามติดทิ่มแทงมากับลมหายใจที่ผ่านออก หากผ่านทางคออกทางปากยิ่งเจ็บมาก จึงได้แต่หายในเข้า อึดไว้ไม่กล้าหายใจออก จนกว่ามันจะค่อย ๆ ผ่อนเอง ทรมานจริง ๆ พอกลั้นลมหายใจออกอยู่นาน เหงื่อก็ท่วมตัว ในทรวงอกเหมือนสุมไฟไว้  ภาวะที่ได้รับนี้คือวิถีเปรตแน่แท้ ดังนั้น ผู้น้อยจึงไม่เพียงรับรสชาติความทุกข์ที่กลืนน้ำไม่ได้ ยังถูกยาปฏิชีวนะซึมซาบจนปากเหลือง ปากบวมเบ่ง เนื้อหนังปากเปื่อย อย่างนี้ไม่ใช่วิถีเปรตที่ได้รับหรือ  พระองค์จอมชันษาเจ้าฯโปรดอีกว่า "เจ้าจะได้พักเพียงสั้นเวลา 23.00 น." ผู้น้อยแย้งว่า "ไม่มี กระผมนอนพักอยู่บนเตียงทั้งวัน"   พระองค์จอมชันษาเจ้าฯโปรดย้ำว่า "มีเวลา 23.00 น. พยาบาลจะฉีดยา ( ระงับปวด ) ระงับการอักเสบให้ จากนั้นประมาณสิบกว่านาที เจ้าก้หายเจ็บปวด" ผู้น้อยนึกขึ้นได้จึงยอมรับว่า "ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ  พยาบาลจะฉีดลงในสายน้ำเกลือโดยตรง"  พระองค์โปรดว่า " ยี่สิบสานนาฬิกาเป็นเวลากินของเปรต  ระหว่างนั้น จึงให้เจ้าพักสิบนาที"  ให้พักสิบนาที ไม่ใช่สวัสดิการแน่นอน แต่เป็นเพิ่มการเรียกร้อง เพราะยาระงับอักเสบหมดฤทธิ์ ผู้น้อยก็จะกดกริ่งเรียกพยาบาลมาฉีดเพิ่มให้อีก มันจะได้ไม่เจ็บปวด มิฉะนั้น มันจะตึงมากปวดมาก  พยาบาลว่า "ไม่ได้ ฉีดมากไปแผลจะติดไม่สนิท" พระองค์จอมชันษาฯโปรดว่า "อยู่ในโรงพยาบาลสามวันนี้ ไม่เพียงนอนไม่หลับ อีกทั้งมโนวิญญาณการรับรู้จะตื่นตัวเป็นพิเศษ ความชั่วผิดบาป เรื่องไม่ดีทั้งหมดจะรุมล้อมกันเข้ามา จะคิดออกมาได้ทั้งหมด เพราะแรงของกรรมเวรมันปรากฏตรงหน้าหนอ"  "เจ้าจะต้องรู้ว่า มโนวิญญาณชัดเจน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ (เหมือนขณะถูกผีอำ) นี่ก็คือ แรงของกรรมเวร (การกระทำที่เกี่ยวบาปเกี่ยวเวร) อย่างนี้เข้าใจไหม"  อาจจะเปรียบได้ว่า ขณะทำความเลวร้าย มโนวิญญาณ ชัดเจนว่ามันเลวร้าย แต่เราก็ยังคงทำ อย่างนี้เรียกว่า "ไม่อาจต้านแรงของกรรมเวร"  ฉะนั้น หลายคนที่บอกว่า ตนเองเหลวไหลไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่รู้ผิดชอบชั่วดีอยู่ แต่กลับคิดว่า "คงไม่เป็นไร คงไม่มีใครรู้เห็น"   นี่เป็นไปในขณะมโนวิญญาณชัดเจน เรียกว่า แรงของกรรมเวรดึงไป  จะต้องเปลี่ยนความคิดจาก "คงไม่เป็นไร คงไม่มีใครรู้เห็น" ที่คล้อยตาม ให้เป็นแรงต้าน แรงยับยั้ง แรงหยุดนิ่ง เท่ากับพยายามตัดทอนแรงกรรมเวรให้อ่อนกำลังลง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           แรงปณิธาน กับ แรงบาปเวร 

                                    ตอนที่  4

                          บัวดอกน้อยของฟั่นเซิ่งเจี๋ย

        พระองค์จอมชันษาฯ กล่าวความนี้จบลง ผู้น้อยรีบคุกเข่าลงกราบขอบพระคุณ พระองค์โปรดว่า "มา ตามมา"  ผู้น้อยจึงเดินตามพระองค์ไปถึง "ศาลจารึกบารมีคุณ"  พระองค์โปรดว่า "ผู้ใดรับธรรมะแล้ว จะได้รับการปลูดดอกบัวไว้เบื้องบน ณ "ศาลจารึกบารมีคุณ" นี้  ผู้น้อยอยากรู้อยากเห็นแน่นอน จึงกราบทูลถามพระองค์ว่า "ดอกบัวอยู่ที่ไหนขอรับ"  พระองค์โปรดว่า "ทางนี้ก็คือดอกบัว" ผู้น้อยเดินไปดู ไม่เห็นมีสักดอก เป็นก้าน ๆ เหมือนก้านธูป แต่ละก้านมีป้ายเขียนวัน  เดือน ปี เวลา อิ่นซือ เป่าซือ  เตี่ยนฉวนซือ  สถานธรรม  ผู้รับธรรม  ล่างสุดหมายเหตุลงว่า  เซียนพุทธะพระองค์ใด  และพระองค์ใดมารับเปี่ยวเหวินใบคำขอนั้น   ดูก็รู้ทันทีว่าเป็นข้อมูลรับธรรมะ ผู้น้อยดูอยู่นาน ทั้งหมดมีแต่ข้อมูลการรับธรรมะ ไม่เห็นมีดอกบัวสักดอกเลย จึงกราบทูลถามพระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "พระองค์บอกว่ามีดอกบัวมิใช่หรือ นี่อย่างไรกัน" พระองค์โปรดว่า "คนเหล่านั้น (ตามป้าย) ก็คือ ได้รับธรรมะแล้ว แต่ไม่เชื่อมั่นศรัทธาต่อธรรมะ ไม่ได้ดำเนินทางธรรม ไม่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญ ฉะนั้น ทะเบียนขึ้นป้ายเทียนปั่งผังฟ้า ก็คือได้แค่ผูกบุญสัมพันธ์ไว้เท่านั้น"  ฉะนั้น ทุกคนจะต้องเข้าใจ รับธรรมะ แน่นอน รับรองว่า พ้นเกิดตายได้ แต่ไม่รับรองว่าท่านจะมีบุญกุศลพร้อมพูน ภายหน้าเมื่อได้ขึ้นมายังพรหมโลกเบื้องบน แล้ว จะอยู่ได้หรือไม่ได้ ทั้งนี้จะต้องดูที่ตัวเองแล้วละ  ถ้าท่านไม่ได้บำเพ็ญ แม้กลับคืนเบื้องบนได้ แต่จะอยู่ได้ไหม ทันทีจิตกระวัดถึงโลกมนุษย์ ก็จะลงสู่โลกมนุษย์ทันที หรือยังมีจิตผูกพันมากมายอีกในโลก มีระโยงระยางมากขึ้น แม้กลับคืนขึ้นไป ทันทีที่ใจภาวะทางโลกขยับ ก็จะต้องกลับลงมาอีก เบื้องบนจึงดำรงความยุติธรรม  ถ้าหากเหตุต้นผลตามยังไม่จบสิ้น ชาตินี้จะต้องชดใช้ ถ้าท่านได้บำเพ็ญ ได้บุญบารมี บรรลุปณิธาน เหตุปัจจัยแห่งบาปเวรต่าง ๆ ที่แล้วมาก็ค่อย ๆ คลี่คลายไป ค่อย ๆ ชดใช้ไป  แต่ถ้าหากเป็นหนี้เวรกรรมขนาดหนัก ท่านก็จะต้องรับไปเอง ผู้น้อยมองจากทางโน้นไป ก้านบัวล้วนติดป้ายสีดำดูดำมืดไปหมด อย่างน้อยเป็นจำนวนแสน เท่ากับว่าสอบตกไปมากมายถึงเพียงนี้แล้ว คนเหล่านี้ล้วนแต่เพียงรับธรรมะ มีแต่ชื่อ ไม่มีการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม ผู้น้อยเห็นว่ามากมายขนาดนี้ รู้สึกตื่นกลัว คิดถึงว่าตนเองก็คงจะมีแต่ชื่อเท่านั้นเหมือนกัน จึงวอนถามพระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "กระผมอยากดูดอกบัว" พระองค์รู้ทัน เอาไม้เท้าหัวมังกรจรดลงไป พร้อมกับโปรดว่า "มีนี่ไง ทางนี้ก็คือดอกบัว" ผู้น้อยมองดู เมื่อกี้เห็นชัด ๆ ว่ามีแต่ก้าน แต่บัดนี้เป็นดอกบัวทั้งหมด อีกทั้งกว้างไกลไพศาลจรดขอบฟ้าหาที่สิ้นสุดมิได้  ท่านทั้งหลายอย่าต้องสงสัย เมื่อกี้ผู้น้อยเดินผ่านประตูบานหนึ่งใช่ไหม ไฉนภายในจึงยังมีขอบฟ้า นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ พรหมโลกเบื้องบนก็คือเป็นเช่นนี้ มองดูเหมือนประตูบานหนึ่งเท่านั้น แต่พอเข้าประตูไป มองดูข้างในยังจะกว้างใหญ่กว่าโลกภายนอกประตูเสียอีก  เปรียบอย่างกับว่าเราเห็นอาคารหลังหนึ่ง แต่พอเข้าไปในอาคารกลับพบว่า ภายในยังมีอาคารอีกหลายร้อยชั้น อันนี้ มันเป็นไปไม่ได้หรอกทางโลก แต่ ณ พรหมโลกเบื้องบนก็คือเป็นเช่นนี้  พระองค์จอมชันษา ฯ เอื้อมมือไปคว้าอย่างไม่เจาะจง ได้บัวมาดอกหนึ่ง  พระองค์กรุณามาก ท่องพระอาคมให้แล้วโปรดว่า "ดอกนี้เป็นฐานบัวของเจ้า"  พระองค์กรุณาชำระบาปเวรให้ดอกบัวส่วนหนึ่งเอาน้ำบุญกุศลล้างดอกบัวนั้น แล้วบริกรรมว่า "ชำระจิตที่คิดแบ่งแยกของเจ้าไป คืนปัญญาหามีแบ่งแยกไม่ ให้แก่เจ้า" เมื่อใดที่เรามีใจแบ่งแยกเขา - เรา นี่ก็คือมโนวิญญาณก่อการ เมื่อใดที่เราไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็คือจิตญาณจากฟ้า จิตญาณจากฟ้าจะมีแต่ความรักแผ่ไพศาล จะมีแต่ใส่ใจ มีแต่เมตตากรุณา มีแต่จิตใจอย่างนี้ ดีงามบริสุทธิ์นี่ก็คือ "สัจธรรมฟ้า"  พูดง่ายฟังก็เข้าใจง่าย แต่... จะให้ใจกับการกระทำเป็นหนึ่งเดียวกันมันไม่ง่ายเลย พระองค์จอมชันษา ฯ ชำระจิตญาณให้เสร็จแล้ว ก็ยื่นบัวดอกนั้นให้แก่ผู้น้อย ผู้น้อยยกขึ้นดม ไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่หอมอย่างนี้มาก่อนสูดดมด้วยจมูก เข้าไปได้ถึงสมองและทั่วตัว เบาสบายผ่อนคลายไปหมด จากนั้นมองดูรูขุมขนทั่วตัวก็เรืองแสง  ไม่เพียงแค่เรียงแสง แต่ฉับพลันได้รับแรงบันดาลใจให้ระลึกได้ว่า อันที่จริง ฉันอยู่ที่นี่แต่เดิมที อันที่จริงฉันไปจากที่นี่แต่เดิมที ฉันเป็นของที่นี่ นี่นา แท้จริงไม่ใช่พระองค์จอมชันษาฯ พาฉันกลับมา แต่ฉันอยู่ที่นี่เป็นเดิมทีต่างหาก นี่ เป็นความรู้สึกนึกคิดที่ไม่เหมือนกับเมื่อแรกที่มาถึงโดยสิ้นเชิง  ครั้งแรกคิดว่า พระองค์จอมชันษาฯ พากลับมาเที่ยวพรหมโลกเบื้องบนเพียงชั่วขณะ แต่บัดนี้กลับรู้สึกว่า เราไปเที่ยวในโลกมนุษย์ชั่วขณะวันข้างหน้ายังจะกลับมาที่นี่อีก จึงกล่าวว่า เราทุกคนร้อยทั้งร้อย มาจากฟ้าเบื้องบน  เราคือทูตสวรรค์มาจากฟ้าเบื้องบนจริง ๆ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                      ตอนที่ 4

                           บัวดอกใหญ่ของพระอาจารย์

        ผู้น้อยได้พบว่า  ณ  เบื้องหน้าไกลลิบนั้น มีบัวดอกใหญ่สีทองประมาณเท่าตึกสามชั้นอยู่หนึ่งดอก  ประมาณอย่างกับเราเห็นอาคาร 101 ของไทเป นี่คงจะเป็นดอกบัวใหญ่ของมหาโพธิสัตว์พระองค์ใดเป็นแน่ ผู้น้อยตื่นเต้นระทึกใจมาก เป็นความรู้สึกชื่นชมบูชาแท้ ๆ ความระทึกใจที่ใคร่จะใกล้ชิด ซึ่งแน่นอนก็มีความยึดมั่นอย่างหนึ่งอยู่ด้วย อยากจะเข้าไปดูว่า เป็นของพระโพธิสัตว์พระองค์ใดหนอ ไม่แน่อาจจะเป็นเตี่ยนฉวนซือ ว้าว !  กลับไปในโลกจะต้องไปคารวะรับบารมีคุณจากท่าน คิดดังนี้แล้ว จึงวิ่งสุดฝีเท้าไปยังสระบัวนั้น แปลกแท้ ก้าวแรกที่ย่ำลงในสระ ตัวจมน้ำ แต่พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า  "เจ้าเพียงแต่คิดให้ลอย ก็จะลอย"  ผู้น้อยคิดตามนั้น จึงวิ่งไปบนผิวน้ำ วิ่งไป  วิ่งไป... ดอกบัวที่เห็นอยู่แต่ไกลว่าใหญ่มหึมานั้น แต่พอวิ่งเข้าใกล้กลับกลายเป็นดอกบัวมากมายเหมือนกระจายทั่วทั้งผืนมหาสมุทร กลายเป็นดอกบัวนับล้าน ๆ ดอก  ผู้น้อยหาดอกบัวใหญ่มหึมาไม่พบ  จึงดั้นด้นหาต่อไป จนไปถึงส่วนสูงที่สุดของสระบัว ทำให้ผู้น้อยต้องทูลถามว่า "พระองค์ช่วยกระผมดูด้วย ดอกใหญ่มากดอกนั้นหายไปไหน"  พระองค์จอมชันษาไม่ได้ดำเนินมาแต่พระสุรเสียงที่ตอบเหมือนดังอยู่ใกล้ ๆ หูว่า "อยู่ใต้ฝ่าเท้าที่เจ้่าเหยียบงัยล่ะ" (อุปมาศิษย์ทั้งหลายเหยียบย่ำบารมีคุณของพระอาจารย์)  ผู้น้อยก้มลงดู ใหญ่ประมาณเท่ากะละมังเท่านั้น พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า "เจ้าลงมา เจ้าลงมา"  ผู้น้อยแปลกใจจึงรำพึงถามว่า " ยังไงกันนะ"  พระองค์โปรดว่า "เจ้าไม่ต้องสงสัย ดอกใหญ่นั้นคือของอมตะพุทธะจี้กง พระอาจารย์ของพวกเจ้า"   "ของพระอาจารย์"  ผู้น้อยทวนคำ... รำพึง...  ทั้งตื่นเต้น ดีใจ ไม่เข้าใจ... ดูแต่ไกลดอกใหญ่มหึมา โดดเด่น  แต่ทำไม... จึงกลายเป็นหลายล้านดอกขนาดนี้  พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า  "พระอาจารย์ของพวกเจ้าคุณธรรมบารมีปรกแผ่ ปรกแผ่โดยมิได้ยึดหมายเจาะจง มิได้ให้เฉพาะศิษย์ของพระองค์ มิได้ยึดหมายให้เชื่อฟังแต่พระองค์ อย่างนี้ จึงมีคุณธรรมบารมี"  เพียงเพราะเขาเป็นเวไนยฯ พระอาจารย์ก็จะไปช่วย พระองค์แบกรับพระอนุตตรพระโองการฯ โปรดธรรมสามโลก  มีพระอาจารย์จึงมีเราทั้งหลายในวันนี้... ฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรธรรม หรือผู้บำเพ็ญอื่น ๆ ภายนอก ได้รับความสำเร็จทางธรรมเนื่องมาจากพระอาจารย์ของเราก็ดี  หรือเนื่องมาจากบุญสัมพันธ์ ทำให้ได้ใกล้ชิดเข้ามาบำเพ็ญธรรม คำพูดประโยคแรกของผู้ได้รับความสำเร็จ (ผลงานระดับหนึ่ง) จะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "กั่นเซี่ยเทียนเอินซือเต๋อ  ขอบพระคุณพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน บารมีคุณพระอาจารย์ "  เป็นเสียงเดียวกับที่เรากล่าวนำก่อนบรรยายธรรม อมตะพุทธะจี้กง พระอาจารย์ของเรา พระองค์ทรงปรกแผ่มหาบารมีคุณที่ได้วิริยะปฏิบัติบำเพ็ญมาทั้งหมดปกป้องผองเรา...   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                      ตอนที่ 4

                              ฐานบัวใหญ่เล็กต่างกัน

        "ฐานบัวเก้าระดับ"  เป็นมาอย่างไร เป็นมาจากคุณธรรมบารมีที่เกิดจากจิตญาณ ไม่ได้หมายความว่า อี๋ก้วนเต้าจึงจะมี "ฐานบัวเก้าระดับ"  บำเพ็ญวิถีศาสตร์อื่น ๆ เขามีเพียงสองระดับ ไม่ใช่อย่างนี้ คุณธรรมบารมี ฯ เพียงพอก็จะมีฐานบัวเก้าระดับได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าบำเพ็ญอยู่ในลัทธิศาสนาใด เพียงแต่ว่าในอาณาจักรธรรมของเราดำเนินการปรกโปรดแพร่ธรรมนำมาส่งเสริมได้ ความแตกต่างอยู่ตรงนี้  ผู้น้อยทูลถามอีกว่า "นอกจากดอกใหญ่ของพระอาจารย์แล้วดอกอื่น ๆ ทำไมจึงเล็กบ้างใหญ่บ้างขอรับ" พระองค์โปรดว่า "อันที่จริง พุทธญาณของเราทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน เริ่มจากเมล็ดพันธ์เดียวกัน คือพันธุ์โพธิ"คุณธรรมบารมีของพุทธญาณต่างกันด้วยการบำเพ็ญของแต่ละคน ฉะนั้น เธอบำเพ็ญมาเท่าไร ก็ได้ดอกบัวใหญ่เพียงนั้น ในโลกมีคนประเภทหนึ่ง เมื่อกลับขึ้นเบื้องบนมาจะต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนประเภทไหนรู้ไหม คนประเภทพูดได้แต่ทำไม่ได้ ดีแต่พูด ชอบหลบเลี่ยงงาน ละทิ้งความรับผิดชอบ ภายหน้ากลับมาเบื้องบน ดอกบัวของเขาอาจมีปัณหา  บัวบางดอกติดป้าย ตอนนั้นผู้น้อยกินเจ แต่ยังไม่ได้ถวายปณิธานกินเจ จึงไม่มีป้ายอย่างนั้นติดอยู่ที่ดอกบัว คนที่ถวายแล้วจะมีป้าย "ชิงโข่วหยูซู่  ชำระปากกินเจ"  ยังมีอีกพวกหนึ่งที่ไม่ใช่แขวนป้าย "ชิงโข่วหยูซู่" แต่แขวนป้ายตู้เหยิน นำพาผู้คน"  แสดงว่าปณิธานของเขาคือ หนุนนำผู้คน จะนำพากี่คน ทำอะไร  บางคนได้แสดงปณิธาน ณ เบื้องพระแท่นเบื้องบนก็แขวนป้ายแสดงให้  เมื่อแขวนป้ายแล้ว ก็จะมีเทพพิทักษ์ประชิดติดตาม แม้ดอกบัวจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่เมื่อมีแรงปณิธาน จึงจะมีแรงช่วย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                     ตอนที่ 4

                      ความแตกต่างระหว่างดอกบัว กับ "เซียนเถา" 

        พระองค์จอมชันษาฯ โปรดว่า  "เจ้าจงตามมา" แล้วพระองค์ก็ทรงนำดำเนินต่อไป  ณ  บริเวณนี้ ขวามือของเราคือสระบัว  ซ้ายมือคือสวนต้นท้อเซียน (เซียนเถา) เซียนเถาของเบื้องบนลูกใหญ่มาก ในโลกมนุษย์เล็กเท่ากำปั้น  ตามหลัก (คิดเอง)  มีดอกบัวแสดงบารมีคุณก็พอแล้ว ไม่ต้องมีเซียนเถาอีก พระองค์จอมชันษาฯ โปรดว่า "ดอกบัวแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ ก่อเกิดปณิธาน ถวายปณิธานคือถวายความตั้งใจ แต่การดำเนินธรรมของเจ้า จะต้องบรรลุปณิธานที่ตั้งไว้ จึงจะได้เซียนเถา บรรลุปณิธานจึงจะได้กินเซียนเถานะ"  ฉะนั้น ไม่ใช่ตั้งปณิธานไว้มากมาย ภายหน้าจะบรรลุมรรคผลใหญ่ได้  ตั้งปณิธานแต่ไม่ได้ไปทำเลย ก็เหมือนบางคนที่รับ  "เทียนมิ่ง"   แล้ว  แรกเริ่มตั้งปณิธานไว้ใหญ่มากจะนำพาสาธุชน แต่มีเวลาดูทีวีอยู่กับบ้านทุกวัน หมดอายุกลับคืนไปก็จะได้พบว่าดอกบัวของตนใหญ่กว่าของคนทั่วไปได้จริง (เฉพาะรับเทียนมิ่ง)  แต่ไม่มีเซียนเถา นี่แสดงถึงอะไร แสดงถึงคนนี้ปากกับใจไม่ตรงกัน ปณิธานกับการกระทำไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน  ก่อนที่ผู้น้อยจะได้มาเห็น "เทียนปั่ง  ผังฟ้า"  เดินผ่านสระบัว สวนท้อเท่านั้น  ก็ประมาณได้ว่าตนเองจะยืนอยู่ ณ ตำแหน่งใดแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                     ตอนที่  5

                       แจกแจงเกี่ยวกับ "หอคุณธรรมบารมี"

        พระองค์จอมชันษาฯ ดำเนินนำผู้น้อยไปอีกจนถึง "เทียนปั่ง  ผังฟ้า"   "เทียนปั่ง ผังฟ้า"นี้ มีความกว้างใหญ่เท่าไร รู้ไหม  อย่างน้อยใหญ่กว่าเมืองไทเปโดยรอบ บนพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล "เทียนปั่ง ผังฟ้า" มีอะไร  มีทั้งถนนหนทาง  ตรอกซอย  ผู้บำเพ็ญทุกคนต่างมีผังฟ้าหนึ่งหลังเฉพาะตน ผังฟ้าไม่ใช่แผ่นป้าย ที่จารึกการลงทะเบียนถวายชื่อเท่านั้น แต่เป็นผังภูมิจากจิตใจของแต่ละคน ซึ่งเบื้องฟ้า  "เทียนปั่ง ผังฟ้า" จะเป็นแต่ละผังภูมิของแต่ละคน เมื่อเดินเข้าไปถึงตรงกลางปริมณฑลของ "เทียนปั่ง ผังฟ้า"   ที่ตรงนั้นมีบ้านสีทองหลังหนึ่ง รูปทรงคล้ายเสลี่ยงเจ้า ประมาณสูงกว่าพระพุทธประทีปองค์กลางของพระแม่องค์ธรรม (ที่ธรรมปราสาทใหญ่) เล็กน้อย  พระองค์จอมชันษา ฯโปรดว่า  "สิ่งที่เก็บไว้ในบ้านหลังนี้ คือกุศลบารมีที่เจ้าบำเพ็ญมา"  ผู้น้อยนัยน์ตาวาว เราไม่กล้าบอกว่า ตนมีกุศลบารมีจากการบำเพ็ญ แทบจะกล้าพูดแต่เพียงว่าเรามีโทษ ผิดบาป  ผู้น้อยจึงไม่รู้ว่าตนเอง ได้ทำอะไรไว้ที่นับได้ว่าเป็นกุศลบารมี  พระองค์โปรดว่า "เจ้าเข้าไปดูเอง"  ผู้น้อยจึงเข้าไป ภายในบ้านหลังนั้น มีกระดาษแผ่นใหญ่มาก จารึกข้อความว่า "เปี่ยวเหวินเฉิงโจ้ว ถวายในคำขอ ฯ"  หน้าแรกเขียนด้วยอักษรจีน ลักษณะศิลปตวัดหาง พูดถึงอักษรมีคนห่วงว่า ไม่ใช่คนจีนรับธรรมะ กลับขึ้นเบื้องบนแล้ว เขาจะเข้าใจไหมนี่  ผู้น้อยคิดว่าเขาต้องเข้าใจ เมื่ออยู่เบื้องโลก อักษรขยุกขยิกอ่านไม่ออกแต่แปลก พอถึงภาวะนั้น ก็อ่านออกได้เอง เบื้องบนจึงไม่มีอุปสรรคเรื่องอักษรภาษา สำหรับจิตญาณแล้ว จะไม่มีปัญหาเหล่านี้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 
 
                                     ตอนที่  5

                              นำพากล่อมเกลามีกุศล

        ในเปี่ยวเหวินจารึก  ปี  เดือน  วันเวลา  อิ๋นเป่าซือ  เตี่ยนฉวนซือ  สถานธรรม  ผู้รับธรรมะ   ล่างสุดบันทึกว่าเป็น จอมเซียนพระองค์ใดดูแล   อีกทั้งไปนำพาเขาจากที่ไหน  หมายเหตุบุญกุศล จากการนำพากล่อมเกลา  นำพาคนรับธรรมะ  นำพากล่อมเกลา มีกุศลผลบุญ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                        ตอนที่  5 

                               ตักเตือนกล่อมเกลามีกุศล

        จารึกว่า ปี  เดือนใด  ณ  ที่ใด  นำพาคนนั้น ๆ ข้างบน เขียนว่า  "ตักเตือนกล่อมเกลามีกุศล"   อักษรเป็นสีทองทั้งหมด  จึงเห็นได้ว่าการนำพากล่อมเกลาคนเป็นกุศลอันดับหนึ่ง  นำพากล่อมเกลา  กับ  ตักเตือนกล่อมเกลา  ต่างกันตรงไหน  นำพากล่อมเกลา คือ เราไปนำพาคนนี้ เขาได้มารับธรรมะ เรียกว่านำพากล่อมเกลา ไม่ว่าเราจะได้ลงชื่อ เป็นผู้แนะนำรับรองหรือไม่  ลงชื่อก็ได้บุญกุศล  ไม่ได้ลงชื่อแต่เราเป็นคนนำพามาก็ได้บุญกุศลเช่นกัน  ผู้น้อยเห็นข้อความจารึกของตนเอง นำพาคนมามาก  บุญกุศลจากการตักเตือนกล่อมเกลา ยิ่งมากกว่า  รวมแล้วเกือบห้าพันจารึก  อย่างไรเรียกว่า ตักเตือนกล่อมเกลาจารึกก็คือ เราไปนำพาคน สุดท้ายเขาบอกว่า เขาไม่มีบุญสัมพันธ์ทางพุทธะ  ไม่มีแก่ใจทางนี้  ไม่อยากรับธรรมะ  แม้เขาจะไม่ได้มา  แต่เราได้ไปชักชวนนำพา แค่นี้ก็เป็นบุญกุศลแล้ว  เบื้องบนรับเอาจิตใจส่วนนี้ของเรา เพียงแต่เราได้ไปชักชวนนำพาก็มีบุญกุศล เขามาได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับบุญปัจจัยของเขากับบุญบารมีของบรรพบุรุษของเขา มีเพียงพอหรือไม่  เราได้ชักนำเขาแล้ว ก็คือ  "ตักเตือน กล่อมเกลา มีบุญกุศล"  นำพาคนจึงมีกุศลสองอย่าง  ต่อไปเรามองดูบางคน แม้จะไม่ได้พาใครมาได้ แต่เขาก็ได้บุญกุศลไม่อาจประมาณ อย่าดูถูกเขา       
 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                       ตอนที่  5

                                 กุศลน้อยนิดไม่ผิดพลาด

        ยังมีกุศลผลบุญจากการให้ทานอีก  เราบริจาคเงินเท่าไร  ที่ไหน  เมื่อไร  เบื้องบนก็โปรดจารึกไว้ ทรัพย์เป็นทานบางกรณี  เรามองไม่เห็นได้ แต่เบื้องบนก็จารึกไว้  มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้น้อยกำลังงกเงิน  เบื้องบนจึงจดบุญกุศลที่ผู้น้อยบริจาคออกมาเป็นตัวเงิน เอานามรูปของเงินออกมาแสดง อันนั้นผู้น้อยดูออกในจำนวนนั้นมีอยู่ข้อหนึ่งคือ  ที่ธรรมปราสาทเมี่ยวซั่นกง จบชั้นประชุมอบรมธรรม เบาะหลังมอเตอร์ไซค์ของผู้น้อยว่างอยู่ เห็นนักธรรมท่านหนึ่งเดินเท้าอยู่ข้างหน้า จึงจอดรถถามว่า "จะซ้อนท้ายไปไหม ผมจะไปส่งที่ป้านรถ"  เขาขึ้นมานั่งซ้อนท้าย ผู้น้อยขี่รถลื่นไถลสบาย ๆ ลงจากภูเขา ไปถึงสถานีรถไฟ ผู้น้อยกลับบ้าน เรื่องนี้ผู้น้อยลืมหมดแล้ว จำไม่ได้ว่าผู้ซ้อนท้ายเป็นใคร ปราศจากความทรงจำ แต่ผลคือเบื้องบนจารึกว่า วันนั้น  คนที่ให้ทรัพย์เป็นทาน0.2 เหรียญ (สองเซ็นต์)  ธรรมปราสาทเมี่ยวซั่นกงอยู่บนภูเขา แค่ปล่อยรถให้ลื่นไถลลงมา เสียน้ำมันไปสองเซ็นต์  สองเซ็นต์ มันจะแค่ไหนกันเชียว แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบชัดเจน  ไม่ใช่แค่สองเซ็นต์จะไม่นับ ยังคงเป็นบุญกุศลไม่ประมาณ ไม่ประมาณคือเท่าไรก็ใช่ เบื้องบนจารึกบุญกุศลให้ดูง่าย ๆ จากความจริงใจของเรา  สิ่งนั้นเราไม่ช่วยก็ได้ แต่เรายังช่วย เราเลือกไม่ทำก็ได้ แต่เราก็เลือกที่จะทำ  อย่างนี้ก็คือกุศลผลบุญ ในทางตรงกันข้ามก็คือ โทษ  ผิดบาป  เราเลือกไม่ทำได้ แต่เรากลับเลือกที่จะทำ  ครั้งหนึ่ง ผู้น้อยออกไปซื้อข้าวกล่อง ซื้อเสร็จกลับมาเห็นหน้าบ้านมีสุนัขตัวหนึ่งหิวมา ข้าวกล่องเลยเลี้ยงสุนัขไป  นี่ก็ถูกจารึกว่า สร้างกุศลห้าสิบเหรียญ เลี้ยงสุนัขก็นับว่าให้ทาน ให้ทาน ไม่ว่าจะแก่ญาติธรรม สถานธรรม  ผู้คนหรือเวไนยสัตว์อื่น ๆ เมื่อทำก็คือ มีกุศลผลบุญ  บางคนยึดมั่นถือมั่นว่า จะต้องบริจาคให้สถานธรรมจึงจะนับว่าเป็นบุญ คิดอย่างนี้เพี้ยนห่างไปมาก เท่ากับยึดมั่นถือมั่นเกินไป  วัดและเทวสถานบางแห่ง ยังใช้อาหารเนื้อสัตว์ประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ การทำบุญแก่วัดหรือเทวสถานนั้น ๆ จะต้องระวังการเกี่ยวกรรมส่วนเงินทุกบาททุกสตางค์ จะบริจาคไปไหน จะต้องชัดเจน   เขาร่วมบุญซื้อธุป เราก็จะต้องเอาไปซื้อธูป จะเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นไม่ได้ จะเท่ากับยึดครองบุญกุศลของเขา ฉะนั้น เบื้องบนจึงจารึกบุญกุศลไว้มากมาย รวมถึงการจัดเรียงเก้าอี้  วันนี้เป็นเวรเธอจัดเรียงเก้าอี้นั่งประชุมธรรม เป็นบุญกุศลเล็ก ๆ คือบริการ  ไม่นับเป็นบุญกุศลอะไรได้ แต่วันนี้ไม่ใช่เวรของเธอเรียงเก้าอี้  แต่เธอกลับมาเองเรียงแต่เช้า มาส่งผ้าเช้ดมือ  เรียงเก้าอี้  บุญกุศลนี้ก็จะใหญ่เชียวล่ะ  เมื่อก่อน ตอนที่ผู้น้อยเข้ามาอยู่ในสถานธรรมค่อนข้างขลาดกลัว  ทุกครั้งทุกคืนเมื่อญาติธรรมเลิกเรียนกลับไปหมดแล้ว ก็จะถูพื้นทั้งหมดจนถึงบันได จากชั้นหกถูลงมาจนถึงชั้นที่หนึ่ง ภายหลัง  "ชมรมโภชนาธรรม"  ย้ายบ้านอีกครั้งหนึ่ง หลังเลิกเรียน ผู้น้อยก็ยังถูจนหมดถึงบันได  ฉะนั้น  นักศึกษารุ่นน้องเลิกเรียนกลับมาที่ชมรม ก็จะเห็นว่า บันได  เชิงพัก  ห้องพัก  ข้างบันไดสะอาดสะอ้านไปหมด  ทุกคนก็จะรู้ว่าผู้น้อยกลับมาถึงก่อนแล้วเพราะเมื่อผู้น้อยกลับมาถึงชมรมฯ สิ่งแรกก็คือ ถูห้องครัว  ต่อจากนั้นก็ห้องข้างบันไดตำหนักพระ  เสร็จแล้วขัดส้วม  ความตั้งใจ ศรัทธาของผู้น้อยตอนนั้นคือ ให้ทุกคนได้รับบริการดีเยี่ยม จากบริเวณที่สกปรกเลอะเทอะที่สุด ให้เป็นสะอาดที่สุด อย่างนี้ก็คือธรรมะของเรา บัดนี้ จึงเพิ่งจะรู้ว่าเบื้องบนล้วนจารึกไว้ผู้น้อยจึงซาบซึ้งยิ่งนัก ญาติธรรมบางคนชอบเช็ดถูตำหนักพระ เข้าใจว่าใกล้ชิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่า แต่ไม่ชอบมล้างส้วม แท้จริงนี่คือ ใจยึดมั่นแบ่งแยกเบื้องบนไม่ได้เห็นความแตกต่างต่อสถานที่ที่เราทำ 

Tags: