collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: แรงปณิธานกับแรงบาปเวร : บทบรรณาธิการ  (อ่าน 26445 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                          ตอนที่ 3

                   ติดตามพระองค์จอมชันษาเจ้าทักษิณาลัยท่องสวรรค์

        ขณะหลับอยู่นั้น ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร  มีใครมาตบข้างเตียงนอน ร้องว่า "ลุกขึ้น ลุกขึ้น"  จึงลืมตาขึ้นเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ปลายเตียง เรียกให้เข้าไปหา ผู้น้อยมองดู ต้องไม่ใช่คนแน่ ๆ เพราะใบหน้ามีแสงเรื่อเรือง ผู้น้อยรู้ว่าไม่ใช่คน แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ท่านพูดว่า "จะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง จะไปไหม" ผู้น้อยตอบว่า "ดีครับ ๆ "  ความรู้สึกบอกตัวเองว่าท่านคืือ พระองค์จอมชันษาเจ้า หนันจี๋เหล่าเซียน - อง  พระองค์โปรดว่า "จะไปก็กอดไม้เท้าข้าไว้ให้ดี จะไปละ"  แม้ผู้น้อยจะลอยออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้ว แต่ก็ยังเห็นสภาพในห้องได้ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก เนื่องจากการเหินฟ้าของผู้น้อยเป็นไปอย่างไม่ค่อยสบายตัว ในใจจึงคิดว่า  "พระองค์ได้โปรด กระผมไม่ไปแล้ว"  ปรากฏว่าท่านรู้ จึงกรอกพลังอุ่นเข้ามาให้  เนื้อตัวจึงเกิดความสมดุลคงที่ ระหว่างทางเหินฟ้า มาหยุด ณ ที่กว้างแห่งหนึ่ง พระองค์จอมชันษาเจ้า ฯ  จูงมือผู้น้อยเดินไป ผ่านขั้นบันได ผ่านเข้าประตูบานหนึ่ง  ปรากฏหนังสือสามตัวข้างหน้า คือ "ทักษิณาทวาร          หนันเทียนเหมิน"  สองข้างประตูมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ฉลองพระองค์ชุดขาว สวมเกราะ ดูออกว่าน่าจะเป็นแม่ทัพ ไกลออกไปหน่อย เห็นผู้คนมากมายเข้าแถวรอลงทะเบียน  ตอบไตรรั้ตน์  ตอบคำถามอื่น ๆ  พอผ่านเลยทักษิณาทวาร พระองค์จอมชันษาเจ้า ฯ ก้พาผู้น้อยเหินฟ้าต่อไป แต่ผู้น้อยมีข้อข้องใจ พระองค์จึงถามผู้น้อยว่า "เจ้ารู้ว่าที่ผ่านมาเดี๋ยวนี้นั้นคือที่ไหนไหม"  ผู้น้อยตอบว่า "ทักษิณาทวาร"  ผู้น้อยตอบแล้วก้ดีใจ เพราะอะไร เพราะผู้น้อยคิดว่า "การบำเพ็ญของเรา ถ้าไม่ต้องตอบไตรรัตน์จะผ่านทักษิณาทวารได้" ผู้น้อยจึงจงใจทูลถามพระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "เราจะผ่านทักษิณาทวาร จะต้องตอบไตรรัตน์มิใช่หรือขอรับ ถ้าเช่นนั้นทำไมกระผมจึงไม่ต้อง" พระองค์ยิ้ม ไม่ตอบ แต่ชี้ที่พระองค์เอง ความเป็นจริงก็คือ เป็นเพราะพระองค์นำพาเข้ามาแน่นอน ทหารฟ้า แม่ทัพฟ้าจึงไม่เอาตัวผู้น้อยไปตอบไตรรัตน์ ก็เหมือนทางโลก เมื่อเราจะเข้าทำเนียบประธานาธิบดี พอดีมีประธานาธิบดีมาจูงมือเราเข้าไปในทำเนียบ คงไม่มีตำรวจรักษาการนายไหนรั้งตัวเราไปตรวจสอบบัตรประชาชนหรอก ถูกไหม?  อย่างเดียวกัน เรากลับไปเบื้องบน คือเซียนพุทธะพาเรากลับขึ้นไป แน่นอนก็จะไม่ต้องตอบคำถามตรวจสอบความถูกต้องเหล่านั้น ผู้น้อยเป็นผู้อาศัยพระบารมีคุณอย่างเดียว  ภายหน้า เรากลับคืนเบื้องบน ล้วนจะต้องตอบไตรรัตน์ ถ้าเราเป็นผู้บำเพ็ญจริง ก็จะไม่เพียงตอบไตรรัตน์ที่เป็นนามรูป ญาณทวาร รหัสคาถา ลัญจกรเท่านั้น  ควรจะตอบความชัดจริงของไตรรัตน์ที่เป็น "กุศลบุญ  คณธรรม  ปัญญาธรรม  เมตตากรุณาธรรม"  ที่ยิ่งกว่า ขอเพียงเราบำเพ็ญจริง เคี่ยวกรำจริง ภายหน้าจะไม่ต้องเป็นห่วงอย่างเด็ดขาดว่า จะถูกกั้นอยู่ภายนอกทักษิณาทวาร  บางคน ที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาชั่วชีวิต พอสูงวัย ความจำไม่ดี ถ้าอย่างนั้นจำไตรรัตน์ไม่ได้ ก้ไม่ได้ผ่านทักษิณาทวารนะซิ ใช่ไหม แท้ริงไม่เป็นเช่นนั้น เบื้องบนจะพิจารณาตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแน่นอน  ระหว่างที่เหินฟ้าต่อไป พระองค์จอมชันษา ฯ  ทรงเมตตากรุณามาก โปรดว่า  พรหมโลก เบื้องฟ้ารวมมีห้าทวาร มีชื่อเป็น "ออก  ตก  ใต้  เหนือ  กลาง" บูรพาทวาร  ผู้บำเพ็ญสำเร็จล้วนเป็นตรีเทพพิทักษ์มหาราช ยังมีผู้ที่งดงามด้วยอักษรศิลป์ เช่น สามคุณ (ซันไฉ)  ส่วนใหญ่โดยประมาณมาจาก "พระปราสาททักษิณารัศมี  หนันฮว๋ากง"  ทางบูรพาทวาร   สำหรับยุคแดง  ทั้งพระสงฆ์ นักพรต  บาทหลวง  (ศาสนาคริสต์)  ล้วนกลับสู่ประจิมทวาร ภายหลังเมื่อยุคนี้ผ่านไปแล้ว ประจิมทวารก็จะไม่มี  ผู้บำเพ็ญในยุคนี้ มีประตูเดียวที่เปิดกว้างให้คือ ทักษิณาทวาร  ไม่ว่าจะบำเพ็ญในศาสนาใด จะเป็นศาสนาปราชญ์  พุทธศาสนา  เต๋า  คริสต์  อิสลาม  จะกลับคืนพรหมโลกเบื้องสูง ยังจะต้องผ่านประตูทักษิณาทวารนี้ก่อน  ถ้าเราบำเพ็ญในพุทธศาสนาจริง ๆ ผ่านทักษิณาทวารแล้ว ก้กลับไปยังพุทธเกษตรประจิมทิศ พุทธเกษตรไม่ใช่หมายถึง พระอมิตาภะ เท่านั้นที่ประทับอยู่ ที่นั่นคือวิสุทธิเกษตร เป็นแดนบริสุทธิ์หมดจด แท้จริงก็คือ พรหมโลกเบื้องสูงทั้งนั้น เป็นส่วนหนึ่งของพรหมโลกเบื้องสูง  เบื้องบนอุดรเป็นสังกัดใดเล่า นั่นก็ึคือ ฝ่ายอัสนีบาต  ฝ่ายวายุ  ฝ่ายพยัคฆ์  ฝ่ายมังกร  จอมเทพพิทักษ์ธรรมทั้งหลาย  ทหารฟ้า  แม่ทัพฟ้า  ล้วนอยู่ ณ เบื้องฟ้าอุดร   รวมทั้งจอมราชบุตรนาจา ผู้พี่ชาวธรรม  ก็อยู่ที่เบื้องฟ้าอุดร  ขุนพล  แม่ทัพฝ่ายยุทธ ล้วนอยู่ที่เบื้องฟ้าอุดร  ยังมีเบื้องฟ้ากลาง ก็คือเหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลายทั่วไปที่บำเพ็ญสำเร็จ  ผู้สำเร็จระดับนี้ก็ต้องผ่านทักษิณาทวารด้วยเช่นกัน  ฉะนั้นจึงกล่าวว่า "บัดนี้ มีประตูอยู่หนึ่งเดียว คือ  ทักษิณาทวาร  หนันเทียนเหมิน"  หมื่นศาสน์พากันก่อเกิดเฟื่องฟู ก็ยังคงจะต้องกลับคืนความเป็นหนึ่งเดียว     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                          ตอนที่ 3

                            มังกรทอง  มังกรมรกตต่างทำหน้าที่

        เหินฟ้าต่อไปอีก ทันใด พระองค์จอมชันษา ฯ ก็หยุดลง บอกว่า "ถึงแล้ว" ผู้น้อยก็มองเห็นว่าเป็น "ศาลจารึกบารมีคุณ  กงเต๋อฉือ"  ที่นั่นมีมังกรองค์หนึ่ง พระองค์จอมชันษา ฯ บอกว่า "ท่านเป็นมังกรพิทักษ์ธรรม ศาลบูชาบารมึคุณที่พรหมโลกเบื้องสูงนี้ ท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์ธรรมหนอ"   มังกรอีกองค์หนึ่งสีมรกต  ทำหน้าที่สำรวจตรวจสอบมิจฉาดำริ ความคิดมิชอบของพวกเราชาวธรรม  ใจชั่ว  คิดชั่ว  ใจบาปทำบาป  นั่นก็คือโทษผิดบาป  ผู้น้อยต้องสะท้านงันต่อสายตาของมังกรมรกต องค์นี้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง แววตานั้นเหมือนจะบอกกับผู้น้อยว่า "ไม่ต้องมาทำเสแสร้งอีก โทษผิดบาปของเจ้าเรารู้หมด" เห็นแล้วทำให้คร้ามขยาดยิ่งนัก  พระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "ตามเข้ามา"  ตามเข้าไปแล้ว พระองค์โปรดอธิบายว่า "เราทุกคนได้รับธรรมะ ล้วนต้องถวายใบคำขอ "สาส์นมังกรฟ้า   หลงเทียนเปี่ยว"  คำว่า "หลง  คือมังกร หมายถึงอะไร แสดงถึงอิน - หยาง  ทำหน้าที่สำรวจตรวจสอบบาปบุญคุณโทษของเรา  คำว่า "เทียน"  แปลว่า "ฟ้า" แสดงถึงอะไร  ผ่านประตูศาลจารึกบารมีคุณ ภายในจะเป็นผังฟ้า "เทียนปั่ง"  คำว่า "เปี่ยว" คืออักษรสานส์ที่ทูลถวาย  "หลงเทียนเปี่ยว" จึงหมายถึง "สานส์มังกรฟ้า"  (ไทยเราใช้คำให้เข้าใจง่าย ๆ "สานส์เทวนาคราช หรือ ใบคำขอ)  นั่นก็คือ กระดาษที่จารึกชื่อผู้ขอรับธรรมะในโลก  ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ณ  พรหมโลกเบื้องบนมีประจักษ์หลักฐานแท้จริงของหลงเทียนเปี่ยว "สานส์มังกรฟ้า หรือ สานส์เทวนาคราช ใบคำขอ ที่ถวายชื่อขึ้นไป

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                     ตอนที่  3

                            สามชีวิตเมื่อสามร้อยปีก่อน

        หลังจากเกิดอุบัติเหตุเรื่องรถแล้ว ที่แคลงใจมากคือ "ฉันตั้งใจร่วมงานธรรมถึงเพียงนี้ ทำไมยังเกิดเรื่องอย่างนี้ได้ ถูกทดสอบใหญ่ถึงเพียงนี้ การทดสอบขนาดนี้ ทำให้ฉันทรมานอยู่กับภาวะอยากมีชีวิตอยู่ แต่ขอไม่ได้ อยากตายไม่อาจตาย"  ผู้น้อยกังขาที่สุดก็คือข้อนี้ พระองค์จอมชันษาทักษิณาลัยโปรดว่า "เจ้าไม่ต้องแคลงใจ สิ่งที่เกิดล้วนเป็นเหตุต้นผลตาม  รถเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ เจ้าสร้างเหตุไว้ที่จีนแผ่นดินใหญ่เมื่อสามร้อยปีก่อน เจ้าเป็นลูกชายชาวประมงผู้ยากจน เติบใหญ่แล้วก็ชักชวนเพื่อนร่วมหมู่บ้านสามคนออกไปผจญภัยหาเงิน เนื่องจากไม่มีความรู้ความสามารถ ทำเป็นอย่างเดียวคือ ขโมย  แย่งชิง  ล่อลวง  ทำแต่เรื่องเลวร้าย พอได้เงินมาก็ลืมตัว ใคร่จะได้ล้างมือในอ่างทองคำ อาวุโส (ผู้ฟัง)  โปรดพิจารณา คนที่ทำความชั่วร้ายมาทุกอย่างแล้วนั้น เมื่อคิดจะเลิก แต่ติดอยู่ที่พรรคพวกจะร่วมแบ่งปันผลงานที่ทำมาด้วยกัน อีกทั้งกลัวเขาจะหักหลัง  เพราะเกิดความคิดนี้ ผู้น้อยจึงเกิดจิตคิดชั่วร้ายว่าจะต้องฆ่าปิดปาก  เที่ยงคืน  ระหว่างกลับหมู่บ้าน จึงฆ่าเพื่อนไปสองคน หุบเงินทองทั้งหมดไว้คนเดียว กลับมาอยู่หมู่บ้านตน เนื่องด้วยได้เงินทองอำมหิตมามากมาย เกิดความหวั่นไหว จึงได้สละทรัพย์สร้างสะพาน ทำถนน ช่วยสร้างที่อยู่อาศัย และให้เงินแก่ครอบครัวของสามคนที่ถูกผู้น้อยฆ่าตาย ดังนั้น  คนโฉดชั่วร้ายจึงกลายเป็นนักบุญด้วยปากของชาวบ้านไป   อยู่มาจนอายุได้ห้าสิบกว่าปี  สุดท้ายไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด กินไม่ได้ นอนไม่หลับทุกวัน พอหลับตาก็เห็นคนมาตามล่า เห็นตัวเองตกลงไปในเหว น่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด ผู้ใหญ่บ้านห่วงใยมาถามไถ่ให้กำลังใจ เมื่อรู้อาการแล้ว ผู้ใหญ่จึงแนะนำว่า "มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง ฌานบารมีแก่กล้าจะช่วยแก้ไขได้"  ผู้น้อยในชาตินั้นจึงเดินทางไป เมื่อไปถึง หลวงพ่อถามเป็นคำแรกว่า "ในชาตินี้ไปทำผิดคิดร้ายอะไรมา"  ผู้น้อยจำใจสารภาพว่า ชิงทรัพย์ ฆ่าคน  หลวงพ่อว่า "นี่คือกรรมตามสนองทันตาเห็นในชาตินี้หนอ"   "กระผมจะแก้กรรมได้อย่างไร"  "จะต้องรีบฉุดช่วยวิญญาณ สร้างบุญกุศลแก่เขา"  "สร้างได้อย่างไร"  "จัดประชุมธรรม ทำพิธีปรกแผ่ อุทิศกุศลทั้งหมดสามครั้ง"  พระสวด แจกทาน ปล่อยปลา เต่า ตะพาบ จำนวนมากลงแม่น้ำ ฯลฯ  (สมัยนั้นใช้วัวควายไถนา จึงน้อยนักที่จะฆ่ากิน ซึ่งต่างกับปัจจุบันที่ต้องขอซื้อจากปศุสัตว์ โรงฆ่ามาปล่อยให้ชาวนาเลี้ยงไว้จนตายเอง)  ตอนนั้น ผู้น้อยยังไม่วางใจ จึงเรียนถามต่อไปอีกว่า "จัดพิธีอย่างนี้สามครั้งแล้ว ใช่หรือไม่ว่าหมดหนี้หมดกรรมกับพวกเขาแล้ว"  หลวงพ่อตอบว่า "ไม่ ที่ตอบสนองคือชาตินี้ สวดมนต์ประชุมธรรม ทำิพิธีฉุดช่วยได้ผลเพียงให้กรรมตามสนองช้าลงสักหน่อยเท่านั้น ต้นตอไม่อาจตัดขาดได้  เจ้าต้องบำเพ็ญหนอ เมื่อภายหน้าได้มรรคผล จึงจะตัดเหตุและผลกรรมได้"  สุดท้าย  หลวงพ่อให้ผู้น้อย ถือศีลกินเจ สวดมนต์ไหว้พระ ผู้น้อยจึงเริ่มบริจาคทรัพย์สร้างวัด จากนั้นคือเดินสู่หนทางผู้บำเพ็ญ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                   ตอนที่  3 

                     ผู้นำพารับรองจากสามร้อยปีก่อน

        ย้อนกลับไปดูเพื่อนร่วมทำชั่วสองคนที่ถูกผู้น้อยฆ่าตายนั้น เขาตกนรกไปรับทุกข์ทรมาน ถูกตัดสินสามร้อยปี ส่วนคนที่ถูแขวนคอตาย วิญญาณอาฆาตไม่คลาย กลายเป็นผีร้ายสิงสู่อยู่ข้างบ่อขุด วิถีของผีร้ายนั้นการตัดสินโทษคือ ไม่มีกำหนด เหมือนนรกอเวจีที่จะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีก จะต้องรอจนกระทั่งบุญปัจจัยมาถึง มีผู้ชี้ทางสว่าง กล่อมเกลาใจให้เปลี่ยนแปลง จึงจะมีโอกาส สองคนแรกถูกลงโทษทรมานในนรกครบกำหนดสามร้อยปีแล้ว ปลดปล่อยออกมา สิ่งแรกที่วิญญาณทั้งสองจะทำคือ แก้แค้น  แต่จะหาตัวผู้น้อยได้อย่างไร  ทั้งสองไปตามหาที่หมู่บ้าน เมื่อสามร้อยปีดูก่อน เฝ้ารอคอยค้นหาไปทุกชาติวาจะมาเกิดใหม่หรือยัง สุดท้ายตามมาพบผู้น้อยในชาตินี้ เมื่อผู้น้อยอายุได้สิบแปดปี อันที่จริงผู้น้อยจะต้องใช้หนี้เขาด้วยชีวิต แต่พอดีเมื่ออายุได้สิบแปดปีก็ได้พบกับหลวงพ่อผู้มีพระคุณเมื่อสามร้อยปีก่อน  ท่านบำเพ็ญจนบรรลุอรหัตผล  แต่เนื่องจากอาณาจักรธรรมยุคนี้มี "เทียนมิ่ง" เพื่อที่จะช่วยเสริมสร้างมหาบุญวาระปรกโปรดสามโลก จึงมาถือกำเนิดใหม่ใกล้ชิดอาณาจักรธรรม ร่วมงานสร้างสรรคปรกโปรดเต็มกำลังเป็นเจี่ยงซือ  ท่านก็คือผู้ที่มาเคาะประตูห้องอย่างจริงจัง คือนักศึกษารุ่นพี่คนนั้น ท่านเป็นอิ่นซือ  อิ่นซือของผู้น้อยในชีวิตนี้ก็คือ พระสงฆ์ผู้มีบุญสัมพันธ์ต่อกันมาเมื่อสามร้อยปีก่อน  เป่าซือ  ผู้รับรองของผู้น้อยเป็นใครหรือ ท่านก็คือผู้ใหญ่บ้านเมื่อสามร้อยปีก่อน  ชาตินี้ก็คือนักศึกษารุ่นพี่ที่ตบโต๊ะคนนั้น  ดังนั้น  จึงกล่าวว่า ผู้น้อยมีบุญสัมพันธ์กับอิ่นเป่าซือมาเจ็ดชั่วอายุคน มันไม่ใช่ง่ายเลย เราจะต้องศึกษาอิ่นเป่าซือให้ดี หากอิ่นเป่าซือถดถอยออกจากทางธรรมจะต้องช่วยกระตุ้นส่งเสริมให้ดี  สวดมนต์ ท่องบ่นพระคัมภีร์ มีบุญบารมีแน่นอน แต่ที่สำคัญคือ จะต้อง "อุทิศ"  เอาแต่สวดท่องแต่ไม่อุทิศส่วนกุศล เท่ากับใจปิด ไม่กล้าเปิดกว้าง ไม่เผื่อแผ่ให้ คนที่ค่อนข้างหมกมุ่นขุ่นใจ เราส่งเสริมให้เขาสวดมนต์ ท่องบ่นพระคัมภีร์ แต่เราลืมบอกให้เขาสร้างบุญอุทิศส่วนกุศลด้วย หากไม่อุทิศส่วนกุศล ไม่แผ่เมตตา ปมใจไม่คลาย ผูกมัดไว้ จะไม่ค่อยเห็นผล หากอุทิศส่วนกุศล กิเลสวิสัย ความหมกมุ่นขุ่นใจก็จะลดลง  ดังกล่าวข้างต้นคือ เหตุต้นผลตามที่ผู้น้อยต้องประสบอุบัติเหตุ เพราะเคยฆ่าเขา ชาตินี้จึงต้องรับกรรมตามสนอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                   ตอนที่ 3

                    เหตุต้นผลตามสามชาติชดใช้ในสามวัน

        พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดแก่ผู้น้อยว่า "เจ้ามานี่ มานี่"  จากนั้นดำเนินไปพลางโปรดไปพลางว่า  "เจ้าเอ๋ย  ที่ต้องได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากมายอย่างนี้นั้น แท้จริงแล้วก้เพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาตามทวง อันที่จริงเขาจะเอาชีวิตเจ้าตั้งแต่ตามเจอแล้ว"  พระองค์โปรดอีกว่า "แต่ว่าเห็นแก่ที่เจ้าปฏิบัติบำเพ็ญในอาณาจักรธรรม ยังนับว่าพอมีศรัทธาจริงใจบ้าง"  แน่นอน  ผู้น้อยเองไม่กล้ากล่าวว่า ได้ศรัทธาจริงใจนัก แต่ผู้น้อยเคยพยายามที่จะไปทำอะไรบางอย่าง ก็คือ  ที่เล่าให้ท่านทั้งหลายฟังแล้วในตอนต้น ที่พระองค์ว่าศรัทธาจริงใจ  คงเป็นส่วนที่กล่าวมาแล้วกระมัง พระองค์โปรดว่า "ฉะนั้น จึงให้เหตุต้นผลตามสามชาติของเจ้าชดใช้ให้หมดไปในสามวัน"  ซึ่งแท้จริงไม่ใช่จะชดใช้หมดภายในสามวันหรอก  แต่หมายถึง ให้สามวันอันสุดจะทนได้นั้น แสดงให้รู้แรงเวรกรรม ที่ทำไว้ในสามชาติต่างหาก  แต่ก่อน ผู้น้อยนำพาคนได้คล่องมาก จึงมีความคิดอย่างหนึ่งว่า "อย่างเรานี้ ภายหน้าควรจะได้รับความสำเร็จไม่เลวแน่"  แท้จริงแล้วเป็นความเพ้อพก พอเห็นเจ้าหนี้นายเวรมาประชิด แม้แต่สมาธิก็ยังไม่มี จึงไม่ต้องพูดถึงบุญบารมีอะไรเลย แม้แต่ปัญญาก็ยังไม่เปิด  ยังจะพูดถึงบุญบารมีที่ไหนได้  ทุกอย่างล้วนเกิดจากความเมตตากรุณาของพระองค์เซียนพุทธะ ผู้น้อยประสบอุบัติเหตุ ก้ได้มีเซียนพุทธะมากมายที่ต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวรให้ ประมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยพระองค์  ทำไมจึงเกินกว่าหนึ่งร้อยพระองค์ เพราะผู้น้อยชอบนำพาคนมารับธรรมะมาก  ทุกครั้งที่มีพิธรถ่ายทอดธรรมะ ก็จะนำพาคนมารับธรรมะและศึกษา  ขณะนั้น เซียนพุทธะจะโปรดประทับลงพิทักษ์ตำหนักธรรม ซึ่งพระองค์จะมีเวรผลัดเปลี่ยนกันทุกครั้ง จึงอาจจะไม่ใช่พระองค์เดิมชุดเดิม เพียงแต่ขณะทำพิธี เราได้อยู่ในพิธีนั้น ก็คือได้ผูกบุญสัมพันธ์กับพระองค์ โดยเฉพาะผู้น้อยชอบนำพาคนมา ผู้น้อยได้เป็นอิ๋นเป่าซือ บนเปี่ยวเหวินก็จะมีชื่อจารึกไว้ถวายขึ้นไป เท่ากับได้ผูกบุญสัมพันธ์กับพระองค์ไว้มากมาย  ฉะนั้น  เมื่อเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ จึงน่าจะมีเซียน
พุทธะเกินกว่าหนึ่งร้อยพระองค์ ช่วยผู้น้อยคลี่คลายแก้ไขเรื่องนี้   ท่านทั้งหลายลองคิดดู วันนี้หากไม่ใช่ได้รับธรรมะ ปฏิบัติธรรมอยู่ในอาณาจักรธรรมอี๋ก้วนเต้า  ได้แต่กราบไหว้ไปตามศาลเจ้า วัดวาอารามต่าง ๆ เราจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปี จึงจะผูกบุญสัมพันธ์กราบไหว้เซียนพุทธะได้มากมายถึงร้อยกว่าพระองค์ฉะนั้น  แม้ว่าตำหนักพระเล็ก ๆ เรียบง่ายธรรมดา แม้แต่ตำหนักพระเฉพาะกาล เพียงขอให้ทำพิธีถ่ายทอดธรรมะได้เท่านั้น ขอให้สาธุชนได้อาศัยรับวิถีธรรมจากพระวิสุทธิอาจารย์ได้เท่านั้น ให้ได้เป็นที่อธิบายให้สาธุชนเข้าใจในจิตญาณตนว่า มาจากเบื้องบนเท่านั้น แม้จะเป็นเพียงเฉพาะกาลก้ได้ผูกบุญสัมพันธ์กับเซียนพุทธะมากมายแล้ว  แต่ในทางตรงกันข้าม หากมีแต่ตำหนักพระเฉย ๆ ไม่มีพิธีการอาราธนาเซียนพุทธะประทับมา ไม่ดำเนินงานธรรมแต่อย่างใดก็จะกล่าวไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าตำหนักพระนี้มีเทียนมิ่ง มีอนุตตรพระโองการฟ้า     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                     ตอนที่ 3

                      วิถีนรก วิถีเปรต สามวันในโรงพยาบาล

        พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า  "เดิมทีเจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ยอมปล่อยเจ้า เพราะเหตุว่า เจ้าเคยเป็นเพื่อนสนิทที่สุด วางใจได้จึงไปกับเจ้า แต่กลับถูกเพื่อนสนิทที่วางใจได้ฆ่าเสียอย่างนี้ ความอาฆาตแค้นจึงแรง ไม่ใช่จะไกล่เกลี่ยได้ง่าย แต่เพราะเซียนพุทธะมากมายร่วมช่วย..."  "...สุดท้าย เจ้าหนี้ชีวิตทั้งสามจึงยอมตกลงว่า..." "ไม่เอาให้มันตายก็ได้ แต่ว่า...เรารับทุกข์ทรมานในนรกมานานปี มันไม่ได้รับทุกข์ เราไม่ยอม"  สุดท้าย  ผู้น้อยได้พ้นจากความตาย... แต่นรกเป็น ๆ ไม่อาจพ้น ให้ผู้น้อยรับรู้รสชาติในโรงพยาบาลสามวันว่าอะไรเรียกว่า "วิถีนรก  วิถีเปรต"  ทุกขณะในโรงพยาบาล ผู้น้อยต้องรับโทษทัณฑ์ทรมานจาก "ขุมนรกมีดเชือดคอ"  แพทย์พยาบาลมาเปลี่ยนยาทุกครั้ง คือเหมือนถูดเชือดคอสด ๆ ทุกครั้ง ทรมานสุดทนจนสลบไป  นี่คือโทษทัณฑ์ในนรกที่ตายฟื้น ฟื้นตาย  รับทุกข์ทรมานเรื่อยไปไม่จบสิ้น พอทำแผลเปลี่ยนยา ผู้น้อยจะเย็นจากศรีษะไปถึงปลายเท้า เพราะอุณหภูมิจากเครื่องให้เลือดต่ำกว่าอุณหภูมิของเลือดในร่างกาย เพราะฉะนั้น เลือดจากเครื่องให้เลือด ไหลเวียนไปถึงส่วนไหนของร่างกาย ร่างกายส่วนนั้นก็จะเย็นเฉียบเมื่อเจ็บมากเกร็งตัว ออกแรงต้าน ชักกระตุกกล้ามเนื้อก็จะแข็งทื่อเหมือนตาย ตัวเย็น ตัวแข็งทื่อ ก็คือซากศพคนตาย อย่างนี้ ไม่ใช่ตายฟื้น ฟื้นตาย หลายครั้งหรือ  พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดต่อไปว่า  "ขณะที่เจ้าอยู่โรงพยาบาล ไม่ว่าหายใจ ดื่มน้ำ เจ็บร้อนจากลำคอลงไปถึงในท้อง เหมือนเปรตที่ต้องกลืนไฟ อีกทั้งยังดื่มกินไม่ได้ ยิ่งทุกข์ทรมานหนักขึ้น สภาพนี้ทำให้เจ้าเข้าสู่วิถีเปรต  ให้รู้ว่ามันน่าสงสาร น่าเวทนาเพียงไร"  หลอดคอของผู้น้อยในขณะนั้น อย่าว่าแต่กลืนน้ำลาย แม้แต่หายใจเข้าและหายใจออกก็ยังขยาดมากเพราะเจ็บเหลือเกิน เวลาหายใจออก ความเจ็บตามติดทิ่มแทงมากับลมหายใจที่ผ่านออก หากผ่านทางคออกทางปากยิ่งเจ็บมาก จึงได้แต่หายในเข้า อึดไว้ไม่กล้าหายใจออก จนกว่ามันจะค่อย ๆ ผ่อนเอง ทรมานจริง ๆ พอกลั้นลมหายใจออกอยู่นาน เหงื่อก็ท่วมตัว ในทรวงอกเหมือนสุมไฟไว้  ภาวะที่ได้รับนี้คือวิถีเปรตแน่แท้ ดังนั้น ผู้น้อยจึงไม่เพียงรับรสชาติความทุกข์ที่กลืนน้ำไม่ได้ ยังถูกยาปฏิชีวนะซึมซาบจนปากเหลือง ปากบวมเบ่ง เนื้อหนังปากเปื่อย อย่างนี้ไม่ใช่วิถีเปรตที่ได้รับหรือ  พระองค์จอมชันษาเจ้าฯโปรดอีกว่า "เจ้าจะได้พักเพียงสั้นเวลา 23.00 น." ผู้น้อยแย้งว่า "ไม่มี กระผมนอนพักอยู่บนเตียงทั้งวัน"   พระองค์จอมชันษาเจ้าฯโปรดย้ำว่า "มีเวลา 23.00 น. พยาบาลจะฉีดยา ( ระงับปวด ) ระงับการอักเสบให้ จากนั้นประมาณสิบกว่านาที เจ้าก้หายเจ็บปวด" ผู้น้อยนึกขึ้นได้จึงยอมรับว่า "ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ  พยาบาลจะฉีดลงในสายน้ำเกลือโดยตรง"  พระองค์โปรดว่า " ยี่สิบสานนาฬิกาเป็นเวลากินของเปรต  ระหว่างนั้น จึงให้เจ้าพักสิบนาที"  ให้พักสิบนาที ไม่ใช่สวัสดิการแน่นอน แต่เป็นเพิ่มการเรียกร้อง เพราะยาระงับอักเสบหมดฤทธิ์ ผู้น้อยก็จะกดกริ่งเรียกพยาบาลมาฉีดเพิ่มให้อีก มันจะได้ไม่เจ็บปวด มิฉะนั้น มันจะตึงมากปวดมาก  พยาบาลว่า "ไม่ได้ ฉีดมากไปแผลจะติดไม่สนิท" พระองค์จอมชันษาฯโปรดว่า "อยู่ในโรงพยาบาลสามวันนี้ ไม่เพียงนอนไม่หลับ อีกทั้งมโนวิญญาณการรับรู้จะตื่นตัวเป็นพิเศษ ความชั่วผิดบาป เรื่องไม่ดีทั้งหมดจะรุมล้อมกันเข้ามา จะคิดออกมาได้ทั้งหมด เพราะแรงของกรรมเวรมันปรากฏตรงหน้าหนอ"  "เจ้าจะต้องรู้ว่า มโนวิญญาณชัดเจน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ (เหมือนขณะถูกผีอำ) นี่ก็คือ แรงของกรรมเวร (การกระทำที่เกี่ยวบาปเกี่ยวเวร) อย่างนี้เข้าใจไหม"  อาจจะเปรียบได้ว่า ขณะทำความเลวร้าย มโนวิญญาณ ชัดเจนว่ามันเลวร้าย แต่เราก็ยังคงทำ อย่างนี้เรียกว่า "ไม่อาจต้านแรงของกรรมเวร"  ฉะนั้น หลายคนที่บอกว่า ตนเองเหลวไหลไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่รู้ผิดชอบชั่วดีอยู่ แต่กลับคิดว่า "คงไม่เป็นไร คงไม่มีใครรู้เห็น"   นี่เป็นไปในขณะมโนวิญญาณชัดเจน เรียกว่า แรงของกรรมเวรดึงไป  จะต้องเปลี่ยนความคิดจาก "คงไม่เป็นไร คงไม่มีใครรู้เห็น" ที่คล้อยตาม ให้เป็นแรงต้าน แรงยับยั้ง แรงหยุดนิ่ง เท่ากับพยายามตัดทอนแรงกรรมเวรให้อ่อนกำลังลง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           แรงปณิธาน กับ แรงบาปเวร 

                                    ตอนที่  4

                          บัวดอกน้อยของฟั่นเซิ่งเจี๋ย

        พระองค์จอมชันษาฯ กล่าวความนี้จบลง ผู้น้อยรีบคุกเข่าลงกราบขอบพระคุณ พระองค์โปรดว่า "มา ตามมา"  ผู้น้อยจึงเดินตามพระองค์ไปถึง "ศาลจารึกบารมีคุณ"  พระองค์โปรดว่า "ผู้ใดรับธรรมะแล้ว จะได้รับการปลูดดอกบัวไว้เบื้องบน ณ "ศาลจารึกบารมีคุณ" นี้  ผู้น้อยอยากรู้อยากเห็นแน่นอน จึงกราบทูลถามพระองค์ว่า "ดอกบัวอยู่ที่ไหนขอรับ"  พระองค์โปรดว่า "ทางนี้ก็คือดอกบัว" ผู้น้อยเดินไปดู ไม่เห็นมีสักดอก เป็นก้าน ๆ เหมือนก้านธูป แต่ละก้านมีป้ายเขียนวัน  เดือน ปี เวลา อิ่นซือ เป่าซือ  เตี่ยนฉวนซือ  สถานธรรม  ผู้รับธรรม  ล่างสุดหมายเหตุลงว่า  เซียนพุทธะพระองค์ใด  และพระองค์ใดมารับเปี่ยวเหวินใบคำขอนั้น   ดูก็รู้ทันทีว่าเป็นข้อมูลรับธรรมะ ผู้น้อยดูอยู่นาน ทั้งหมดมีแต่ข้อมูลการรับธรรมะ ไม่เห็นมีดอกบัวสักดอกเลย จึงกราบทูลถามพระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "พระองค์บอกว่ามีดอกบัวมิใช่หรือ นี่อย่างไรกัน" พระองค์โปรดว่า "คนเหล่านั้น (ตามป้าย) ก็คือ ได้รับธรรมะแล้ว แต่ไม่เชื่อมั่นศรัทธาต่อธรรมะ ไม่ได้ดำเนินทางธรรม ไม่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญ ฉะนั้น ทะเบียนขึ้นป้ายเทียนปั่งผังฟ้า ก็คือได้แค่ผูกบุญสัมพันธ์ไว้เท่านั้น"  ฉะนั้น ทุกคนจะต้องเข้าใจ รับธรรมะ แน่นอน รับรองว่า พ้นเกิดตายได้ แต่ไม่รับรองว่าท่านจะมีบุญกุศลพร้อมพูน ภายหน้าเมื่อได้ขึ้นมายังพรหมโลกเบื้องบน แล้ว จะอยู่ได้หรือไม่ได้ ทั้งนี้จะต้องดูที่ตัวเองแล้วละ  ถ้าท่านไม่ได้บำเพ็ญ แม้กลับคืนเบื้องบนได้ แต่จะอยู่ได้ไหม ทันทีจิตกระวัดถึงโลกมนุษย์ ก็จะลงสู่โลกมนุษย์ทันที หรือยังมีจิตผูกพันมากมายอีกในโลก มีระโยงระยางมากขึ้น แม้กลับคืนขึ้นไป ทันทีที่ใจภาวะทางโลกขยับ ก็จะต้องกลับลงมาอีก เบื้องบนจึงดำรงความยุติธรรม  ถ้าหากเหตุต้นผลตามยังไม่จบสิ้น ชาตินี้จะต้องชดใช้ ถ้าท่านได้บำเพ็ญ ได้บุญบารมี บรรลุปณิธาน เหตุปัจจัยแห่งบาปเวรต่าง ๆ ที่แล้วมาก็ค่อย ๆ คลี่คลายไป ค่อย ๆ ชดใช้ไป  แต่ถ้าหากเป็นหนี้เวรกรรมขนาดหนัก ท่านก็จะต้องรับไปเอง ผู้น้อยมองจากทางโน้นไป ก้านบัวล้วนติดป้ายสีดำดูดำมืดไปหมด อย่างน้อยเป็นจำนวนแสน เท่ากับว่าสอบตกไปมากมายถึงเพียงนี้แล้ว คนเหล่านี้ล้วนแต่เพียงรับธรรมะ มีแต่ชื่อ ไม่มีการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม ผู้น้อยเห็นว่ามากมายขนาดนี้ รู้สึกตื่นกลัว คิดถึงว่าตนเองก็คงจะมีแต่ชื่อเท่านั้นเหมือนกัน จึงวอนถามพระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "กระผมอยากดูดอกบัว" พระองค์รู้ทัน เอาไม้เท้าหัวมังกรจรดลงไป พร้อมกับโปรดว่า "มีนี่ไง ทางนี้ก็คือดอกบัว" ผู้น้อยมองดู เมื่อกี้เห็นชัด ๆ ว่ามีแต่ก้าน แต่บัดนี้เป็นดอกบัวทั้งหมด อีกทั้งกว้างไกลไพศาลจรดขอบฟ้าหาที่สิ้นสุดมิได้  ท่านทั้งหลายอย่าต้องสงสัย เมื่อกี้ผู้น้อยเดินผ่านประตูบานหนึ่งใช่ไหม ไฉนภายในจึงยังมีขอบฟ้า นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ พรหมโลกเบื้องบนก็คือเป็นเช่นนี้ มองดูเหมือนประตูบานหนึ่งเท่านั้น แต่พอเข้าประตูไป มองดูข้างในยังจะกว้างใหญ่กว่าโลกภายนอกประตูเสียอีก  เปรียบอย่างกับว่าเราเห็นอาคารหลังหนึ่ง แต่พอเข้าไปในอาคารกลับพบว่า ภายในยังมีอาคารอีกหลายร้อยชั้น อันนี้ มันเป็นไปไม่ได้หรอกทางโลก แต่ ณ พรหมโลกเบื้องบนก็คือเป็นเช่นนี้  พระองค์จอมชันษา ฯ เอื้อมมือไปคว้าอย่างไม่เจาะจง ได้บัวมาดอกหนึ่ง  พระองค์กรุณามาก ท่องพระอาคมให้แล้วโปรดว่า "ดอกนี้เป็นฐานบัวของเจ้า"  พระองค์กรุณาชำระบาปเวรให้ดอกบัวส่วนหนึ่งเอาน้ำบุญกุศลล้างดอกบัวนั้น แล้วบริกรรมว่า "ชำระจิตที่คิดแบ่งแยกของเจ้าไป คืนปัญญาหามีแบ่งแยกไม่ ให้แก่เจ้า" เมื่อใดที่เรามีใจแบ่งแยกเขา - เรา นี่ก็คือมโนวิญญาณก่อการ เมื่อใดที่เราไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็คือจิตญาณจากฟ้า จิตญาณจากฟ้าจะมีแต่ความรักแผ่ไพศาล จะมีแต่ใส่ใจ มีแต่เมตตากรุณา มีแต่จิตใจอย่างนี้ ดีงามบริสุทธิ์นี่ก็คือ "สัจธรรมฟ้า"  พูดง่ายฟังก็เข้าใจง่าย แต่... จะให้ใจกับการกระทำเป็นหนึ่งเดียวกันมันไม่ง่ายเลย พระองค์จอมชันษา ฯ ชำระจิตญาณให้เสร็จแล้ว ก็ยื่นบัวดอกนั้นให้แก่ผู้น้อย ผู้น้อยยกขึ้นดม ไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่หอมอย่างนี้มาก่อนสูดดมด้วยจมูก เข้าไปได้ถึงสมองและทั่วตัว เบาสบายผ่อนคลายไปหมด จากนั้นมองดูรูขุมขนทั่วตัวก็เรืองแสง  ไม่เพียงแค่เรียงแสง แต่ฉับพลันได้รับแรงบันดาลใจให้ระลึกได้ว่า อันที่จริง ฉันอยู่ที่นี่แต่เดิมที อันที่จริงฉันไปจากที่นี่แต่เดิมที ฉันเป็นของที่นี่ นี่นา แท้จริงไม่ใช่พระองค์จอมชันษาฯ พาฉันกลับมา แต่ฉันอยู่ที่นี่เป็นเดิมทีต่างหาก นี่ เป็นความรู้สึกนึกคิดที่ไม่เหมือนกับเมื่อแรกที่มาถึงโดยสิ้นเชิง  ครั้งแรกคิดว่า พระองค์จอมชันษาฯ พากลับมาเที่ยวพรหมโลกเบื้องบนเพียงชั่วขณะ แต่บัดนี้กลับรู้สึกว่า เราไปเที่ยวในโลกมนุษย์ชั่วขณะวันข้างหน้ายังจะกลับมาที่นี่อีก จึงกล่าวว่า เราทุกคนร้อยทั้งร้อย มาจากฟ้าเบื้องบน  เราคือทูตสวรรค์มาจากฟ้าเบื้องบนจริง ๆ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                      ตอนที่ 4

                           บัวดอกใหญ่ของพระอาจารย์

        ผู้น้อยได้พบว่า  ณ  เบื้องหน้าไกลลิบนั้น มีบัวดอกใหญ่สีทองประมาณเท่าตึกสามชั้นอยู่หนึ่งดอก  ประมาณอย่างกับเราเห็นอาคาร 101 ของไทเป นี่คงจะเป็นดอกบัวใหญ่ของมหาโพธิสัตว์พระองค์ใดเป็นแน่ ผู้น้อยตื่นเต้นระทึกใจมาก เป็นความรู้สึกชื่นชมบูชาแท้ ๆ ความระทึกใจที่ใคร่จะใกล้ชิด ซึ่งแน่นอนก็มีความยึดมั่นอย่างหนึ่งอยู่ด้วย อยากจะเข้าไปดูว่า เป็นของพระโพธิสัตว์พระองค์ใดหนอ ไม่แน่อาจจะเป็นเตี่ยนฉวนซือ ว้าว !  กลับไปในโลกจะต้องไปคารวะรับบารมีคุณจากท่าน คิดดังนี้แล้ว จึงวิ่งสุดฝีเท้าไปยังสระบัวนั้น แปลกแท้ ก้าวแรกที่ย่ำลงในสระ ตัวจมน้ำ แต่พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า  "เจ้าเพียงแต่คิดให้ลอย ก็จะลอย"  ผู้น้อยคิดตามนั้น จึงวิ่งไปบนผิวน้ำ วิ่งไป  วิ่งไป... ดอกบัวที่เห็นอยู่แต่ไกลว่าใหญ่มหึมานั้น แต่พอวิ่งเข้าใกล้กลับกลายเป็นดอกบัวมากมายเหมือนกระจายทั่วทั้งผืนมหาสมุทร กลายเป็นดอกบัวนับล้าน ๆ ดอก  ผู้น้อยหาดอกบัวใหญ่มหึมาไม่พบ  จึงดั้นด้นหาต่อไป จนไปถึงส่วนสูงที่สุดของสระบัว ทำให้ผู้น้อยต้องทูลถามว่า "พระองค์ช่วยกระผมดูด้วย ดอกใหญ่มากดอกนั้นหายไปไหน"  พระองค์จอมชันษาไม่ได้ดำเนินมาแต่พระสุรเสียงที่ตอบเหมือนดังอยู่ใกล้ ๆ หูว่า "อยู่ใต้ฝ่าเท้าที่เจ้่าเหยียบงัยล่ะ" (อุปมาศิษย์ทั้งหลายเหยียบย่ำบารมีคุณของพระอาจารย์)  ผู้น้อยก้มลงดู ใหญ่ประมาณเท่ากะละมังเท่านั้น พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า "เจ้าลงมา เจ้าลงมา"  ผู้น้อยแปลกใจจึงรำพึงถามว่า " ยังไงกันนะ"  พระองค์โปรดว่า "เจ้าไม่ต้องสงสัย ดอกใหญ่นั้นคือของอมตะพุทธะจี้กง พระอาจารย์ของพวกเจ้า"   "ของพระอาจารย์"  ผู้น้อยทวนคำ... รำพึง...  ทั้งตื่นเต้น ดีใจ ไม่เข้าใจ... ดูแต่ไกลดอกใหญ่มหึมา โดดเด่น  แต่ทำไม... จึงกลายเป็นหลายล้านดอกขนาดนี้  พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า  "พระอาจารย์ของพวกเจ้าคุณธรรมบารมีปรกแผ่ ปรกแผ่โดยมิได้ยึดหมายเจาะจง มิได้ให้เฉพาะศิษย์ของพระองค์ มิได้ยึดหมายให้เชื่อฟังแต่พระองค์ อย่างนี้ จึงมีคุณธรรมบารมี"  เพียงเพราะเขาเป็นเวไนยฯ พระอาจารย์ก็จะไปช่วย พระองค์แบกรับพระอนุตตรพระโองการฯ โปรดธรรมสามโลก  มีพระอาจารย์จึงมีเราทั้งหลายในวันนี้... ฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรธรรม หรือผู้บำเพ็ญอื่น ๆ ภายนอก ได้รับความสำเร็จทางธรรมเนื่องมาจากพระอาจารย์ของเราก็ดี  หรือเนื่องมาจากบุญสัมพันธ์ ทำให้ได้ใกล้ชิดเข้ามาบำเพ็ญธรรม คำพูดประโยคแรกของผู้ได้รับความสำเร็จ (ผลงานระดับหนึ่ง) จะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "กั่นเซี่ยเทียนเอินซือเต๋อ  ขอบพระคุณพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน บารมีคุณพระอาจารย์ "  เป็นเสียงเดียวกับที่เรากล่าวนำก่อนบรรยายธรรม อมตะพุทธะจี้กง พระอาจารย์ของเรา พระองค์ทรงปรกแผ่มหาบารมีคุณที่ได้วิริยะปฏิบัติบำเพ็ญมาทั้งหมดปกป้องผองเรา...   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”