collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย  (อ่าน 57803 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
คำนำแห่งพระจี้กงพุทธเจ้า

        ด้วยอนุตตรปัญญาแยบยลแห่งพระพุทธะที่ส่องพินิจเวไนยสัตว์ทั้งหลายในใต้โลกหล้า ก็จะสามารถทราบถึงความตื้นลึกและความแตกต่างแห่งพื้นฐานของแต่ละปัจจเจกเวไนย์ได้ ฉะนั้น พระพุทธะจึงทรงใช้อุปายโกศลมาตรัสสอนอุปายวิธี อันเป็น 84,000 พระธรรมขันธ์ที่จะมาเยียวยารักษา  84,000 กิเลส  จึงทราบได้ว่า พระธรรมเทศนาที่พระตถาคตตรัสจะเป็นการตรัสที่สนองต่อเหตุปัจจัยนั้น ๆ ซึ่งถึงว่าเป็นการเจียดยารักษาที่ตรงต่ออาการของโลก โดยไม่มีการตรัสสอนพระธรรมที่ตัวตายแต่อย่างใดเลย แต่โดยแท้จริงแล้ว ธรรมะแต่เดิมมิอาจกล่าวก็ไม่อาจแสดงธรรมะให้ปรากฏได้ และหากการกล่าวนี้ไม่แจ่มชัดธรรมะก็มิอาจแแจ่มแจ้งได้ด้วยเช่นกัน

       การที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาวัชรสูตรฉบับนี้นั้น จะเป็นการเทศนาในวิถีแห่งจิตแห่งพระตถาคต โดยมีเจตนาที่จะขจัดความสงสัยให้เกิดความมั่นใจเป็นหลัก ห่างลักษณะเป็นแก่น  ไร้ดำรงเป็นฐาน  แต่ความแยบยลแห่งความว่างแท้นี้จะมิใช่แฝงอยู่ในวาจารูปลักษณ์แต่อย่างใดเลย นั่นก็ด้วยเหตุอันจำเป็นจึงได้นำกล่าวเป็นวาจาให้รู้จักเกิดขึ้น ฉะนั้น ความหมายแห่งพระสูตรจึงมีความลึกซึ้งแยบยลจนเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจได้แล้ว แต่หากยังมีบุคคลที่ได้แต่บริกรรมพระสูตรโดยไม่เข้าในถึงความหมาย ได้แต่อ่านในพระสูตรโดยไม่ถ่องแท้ในพุทธคำสอน ซึ่งแม้พระสูตรจะถูกอ่านท่องจนขาดวิ่นไปแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังคงมิได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นกับเขาอยู่ดี และเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งมิต้องกล่าวไปถึงเรื่อง "ใจประทับใจ แจ้งในธรรมญาณสำเร็จเป็นพระพุทธะ" ได้เลย

        นับแต่บรรพกาลมา หนังสือที่ได้อธิบายความหมายของวัชรสูตรก็มีจำนวนไม่ต่ำกว่าพันเล่ม แต่ก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่า หนังสือเหล่านั้นล้วนแต่ใช้คำศัพท์แสงที่ยากจะเข้าใจมาเขียน จนได้ส่งผลให้สาธุชนชายหญิงโดยทั่วไปที่ไม่มีความรู้มากมายต่อศัพท์แสงเหล่านั้นไม่อาจเข้าใจในความหมายของพระสูตรเช่นเดิม ฉะนั้น หลายคนจึงไม่รู้ว่าจะจับต้นชนปลายอย่างไรดี และเมื่อได้เป็นเช่นนี้แล้ว จะมิใช่เป็นการทำให้วิถีแห่งจิตอันแยบยลแห่งพระตถาคตมิอาจเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่เวไนยนิกรหรอกหรือ ? ด้วยเหตุผลประการเหล่านี้ ข้าพเจ้าจึงมีประสงค์จะใช้คำอธิบายที่อ่านเข้าใจได้ง่ายที่สุดมาถ่ายทอดวัชรสูตรฉบับนี้เพื่อที่จะให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งแก่ผู้ที่อ่อนความรู้ในด้านคำศัพท์อักษรได้อ่านเข้าใจและเกิดความแจ่มแจ้งได้  แต่ก็ยังไม่ทันที่จะได้ลงมือเขียน ศิษย์ทั้งสองที่มีสกุลว่า กัว และ จาง  ก็ได้นำวัชรสูตรฉบับอธิบายมาให้ดูสามเล่ม (ฉบับสือซื่อ  ฉบับทงสูจี๋อี้  ฉบับซุนซื่อ) เพื่อให้ข้าพเจ้าดูว่าเล่มไหนจะมีความเหมาะสมมากกว่า ซึ่งหากเห็นว่าเล่มไหนมีความเหมาะสมและสมควรแก่การแล้ว ก็จะขออนุญาตทำการจัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะต่อไป และเมื่อข้าพเจ้าได้เปิดอ่านดูแล้ว ก็รู้สึกว่าทั้งสามเล่มนี้จะใช้คำศัพท์ที่อ่านเข้าใจง่าย ซึ่งแม้จะมีอยู่บางจุดที่ยังไม่สมบูรณ์อยู่บ้างก็ตาม แต่คำอธิบายที่ได้นำใช้ในหนังสือทั้ง 3 เล่มนี้จะไม่มีปัญหาของการอ่านเข้าใจยากแต่อย่างใดเลย โดยเฉพาะฉบับทงสูจี๋อี้จะมีความกระชับและเรียบง่าย ซึ่งก็มีความต้องใจของข้าพเจ้ามากที่สุด ฉะนั้น  ข้าพเจ้าจึงได้ยึดเอาเล่มนี้เป็นหลัก และนำฉบับของสือซื่อและซุนซื่อเป็นส่วนประกอบ โดยได้นำจุดเด่นของแต่ละเล่มมารวบรวม อีกทั้งยังได้บวกทั้งความคิดเห็นของข้าพเจ้าเอง ซึ่งก็ถือได้ว่าสำเร็จปณิธานของข้าพเจ้าที่ได้ตั้งไว้แต่เริ่มต้น และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ที่ได้รับหนังสือเล่มนี้ในอนาคตกาลจะสามารถรู้ลึกได้คำตื้น แจ้งไกลด้วยจากใกล้ เนื่องด้วยคำกล่าวฉบับนี้และส่งผลให้รู้ซึ้งซึ่งความหมายของบทอรรถา เนื่องด้วยความหมายในบทอรรถาและส่งผลให้รู้แจ้งซึ่งพุทธะคำสอน และเมื่อยามที่ได้รู้แจ้งซึ่งพุทธะคำสอนแล้ว ก็จะบังเกิดศรัทธาเชื่อมั่นเป็นจริง กระทั่งบังเกิดปณิธานอันแรงกล้า พร้อมทั้งเจริญปฏิบัติอย่างพากเพียร  ด้วยอำนาจแห่งพระสูตรนี้ ก็จะทำให้ละหลงคลายเขลา แจ้งธรรมมุ่งบำเพ็ญ แจ่มแจ้งในธรรมญาณ พิศเห็นนิจจังแท้ สำรวมใจบำเพ็ญกาย กลมใสดั่งตถตา พ้นจากทะเลทุกข์และก้าวสู่ทิพยสถาน  ละมายาสู่สัจจา ให้พ้วงร่วมบรรลุสู่ความแยบยลแห่งอนุตตร แลทั้งร่วมเสวยเกียรติภูมิแห่งอนันตแดนกันสืบไป สิ่งเหล่านี้ ก็คือความหวังที่ข้าพเจ้าได้คาดหวังแล

                                                    จารึก
                                  วันที่ 9 เดือน 3 (จันทรปฏิทิน) ปีหมินกั๋วที่ 72 (1938)
                                  สงฆ์วิปราศแห่งหนันผิน   ณ พุทธสถานของจางซื่อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/05/2554, 23:24 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
คำนิยมของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแห่งเฉาซี

        อันวัชรสูตรนั้น ได้ถือเอาไร้ลักษณะเป็นแก่น  ไร้ดำรงเป็นฐาน   แยบยลมีเป็นศักยะ  ฉะนั้น  ในสมัยที่พระโพธิธรรมตั๊กม๊อได้เดินทางจารึกจากชมพูทวีปมาเผยแผ่เจตนาแห่งพระสูตรฉบับนี้ ก็เพื่อต้องการให้ชาวโลกได้แจ้งในแก่นและเห็นจริงในธรรมญาณ เพียงแต่ชาวโลกไม่อาจเห็นในธรรมญาณตน ดังนั้นจึงได้บัญญัติธรรมให้เป็นแนวทางในการเห็นแจ้งในธรรมญาณนี้ขึ้น ครั้นชาวโลกได้เห็นแจ้งในองค์เดิมแห่งตถตาแท้แล้ว ยามนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยธรรมบัญญัตินี้อีกต่อไป

        พระสูตรเล่มนี้ได้มีผู้สวดบริกรรมอย่างมากมาย อีกทั้งผู้ที่ประกาศสรรเสริญก็มีจำนวนมากอย่างนับไม่ถ้วน ส่วนผู้ที่ได้ทำการอรรถานั้นก็มีมากจนถึง 800 สำนักเศษ แต่เหตุผลที่แต่ละสำนักได้นำแสดงก็จะมีความแตกต่างกันไปตามความเข้าใจของแต่ละฝ่าย และถึงแม้จะมีความเข้าใจที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม ธรรมนี้ก็มิอาจผิดแผกจนเป็นสองได้ สำหรับจุดนี้ หากผู้ใดได้มีพื้นฐานที่แน่นหนามาแต่อดีต ยามเมื่อได้ฟังก็จะสามารถรู้แจ้งในบัดดล แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีรากปัญญามาแต่ก่อน แม้จะสวดบริกรรมอย่างมากสักเพียงใด ก็ยังคงไม่สามารถเข้าใจในพุทธเจตนาได้อยู่ดี ฉะนั้น จึงได้ทำการอธิบายในอริยความเพื่อที่จะเป็นแนวทางในการขจัดความสงสัยของผู้ศึกษา และหากได้เข้าใจในแก่นแท้ของพระสูตรนี้จนสิ้นความสงสัยแล้ว เวลานั้น ก็มิจำเป็นต้องพึ่งคำกล่าวอธิบายอีกต่อไป

        สำหรับกุศลธรรมทั้งปวงที่พระตถาคตทรงแสดงมาแต่ต้น ก็เป็นเพราะต้องการขจัดอกุศลจิตของเวไนยสัตว์เท่านั้น ซึ่งพระสูตรก็คือวจนะแห่งพระอริยเจ้า อันเป็นวจนะที่จะนำพาผู้สดับให้ดับจิตลุ่มหลงและพาให้พ้นจากสามัญบถไปสู่อริบถ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระสูตรฉบับนี้ได้มีพร้อมอยู่แล้วในธรรมของเวไนยสัตว์ เพียงแต่เวไนยสัตว์ไม่ได้เห็นถึงความคงอยู่เท่านั้นเอง อนึ่ง แม้ว่าจะเป็นการสวดบริกรรมพระสูตร แต่หากรู้แจ้งในจิตเดิมหละก็ ในยามนั้นก็จะได้รู้ว่า แก่นของพระสูตรฉบับนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวบทอักษรแต่อย่างใดเลย ซึ่งหากยิ่งสามารถแจ่มแจ้งในธรรมญาณของตนด้วยแล้ว ในยามนั้นก็จะมีความเชื่อมั่นได้ว่า  โดยแท้แล้วพระพุทธทั้งปวงล้วนได้ถือกำเนิดขึ้นจากพระสูตรนี้ทั้งสิ้น เกรงแต่เพียงผู้คนจะไปค้นหากันแต่พระพุทธะและพระสูตรจากภายนอก โดยที่ไม่รู้จักเปิดใจศรัทธาและถือพระสูตรแห่งภายใน ด้วยเหตุผลประการนี้จึงได้ทำงานบัญญัติวิชานี้ขึ้นมาเพื่อให้เป็นแนวทางในการให้ผู้ศึกษาได้ถือพระสูตรแห่งใจภายในและได้เห็นแจ้งด้วยตนเอง จนในที่สุดได้ค้นพบพระพุทธะอันบริสุทธิ์แห่งตน กระทั่งเป็นสิ่งที่มิอาจคิดจินตนาการได้ด้วยปริมาณใด ๆ อีกต่อไปนั่นเอง

        หากผู้ศึกษาในรุ่นหลังที่ได้ถือพระสูตรนี้แล้วยังเกิดความสงสัย ก็ขอให้อ่านบทอรรถาเล่มนี้ ยามนั้นก็จะสามารถคลายความสงสัยโดยมิต้องใช้เคล็ดใช้วิชาใด ๆ อีก ซึ่งจะขอตั้งความหวังกับผู้ศึกษาเช่นนี้ว่า เปรียบดั่งทองที่ฝังอยู่ในแร่ ที่สามารถใช้ไฟแห่งปัญญามาหล่อหลอมจนเกิดความสุขสกาวแห่งเนื้อทองคำบริสุทธิ์ขึ้นนั่นเอง

        อาจารย์แห่งเรา พระศากยมุณีพุทธเจ้าได้ตรัสพระสูตรฉบับนี้ ณ มณฑลอารามแห่งเมืองสาวัตถี ด้วยเหตุจากการที่สุภูติได้ทูลถามในการครั้งนั้น ซึ่งพระองค์ก็ตรัสแสดงด้วยพระเมตตาจนเป็นที่กระจ่าง และเมื่อสุภูติได้สดับจนบังเกิดความรู้แจ้งแล้ว ก็ได้กราบขอให้พระพุทธองค์ทรงประทานนามให้แก่พระสูตรนี้ขึ้น เพื่อใช้สำหรับเป็นบรรทัดฐานของการปฏิบัติแก่ชนรุ่นหลังต่อไป ฉะนั้น ในพระสูตรจึงกล่าวไว้ว่า "พระพุทธองค์ทรงตรัสต่อสุภูติว่า พระสูตรนี้มีนามว่า วัชรปรัชญาปารมิตาสูตราศัยชื่อนามนี้ เธอพึงรับไปปฏิบัติ"

        เหตุที่พระตถาคตได้นำเอาวัชรมาเป็นนามแห่งพระสูตรนี้นั้น ก็เป็นเพราะญาณแห่งมนุษย์เราไร้ความแข็งแกร่ง กล่าวคือ แม้ปากได้ท่องพระสูตรแต่ก็ไม่มีอันได้บังเกิดความสกาวแห่งใจขึ้นมาเลย แต่หากได้ท่องสาธยายพระสูตรจากภายนอก อีกทั้งยังได้ปฏิบัติที่ภายในด้วยแล้ว ยามนั้นความสว่างแห่งจิตใจก็จะปรากฏ อนึ่ง ถ้าหากภายในไร้ความแข็งแกร่ง สมาธิปัญญาก็จะสูญมลาย แต่เมื่อยามใดที่ปากได้ท่องใจได้ปฏิบัติแล้ว ยามนั้นสมาธิปัญญาก็จะพรั่งพร้อม และเช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นที่สุดได้จริงแล

        แร่วัชรอยู่บนหุบเขาโดยที่หุบเขาไม่รู้ว่าเป็นสมบัติฉันใด สมบัติก็ไม่รู้จักหุบเขานี้ด้วยฉันนั้น เพราะคนเรามีญาณจิตที่จะสามารถขุดสมบัตินี้ขึ้นมาใช้โดยไม่มีนายช่างคอยสกัดทำลายหุบเขา และนำแร่นี้ไปหล่อหลอมจนได้วัชรสมบัติอันบริสุทธิ์ ตลอดจนสามารถนำวัชรนี้ไปใช้เพื่อป้องกันความยากได้ตามใจประสงค์ เราจึงทราบได้ว่า วัชรและหุบเขาเป็นฉันใด พุทธญาณที่เป็นสมบัติภายในร่างกายที่ประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้ง 4 ก็เป็นฉันนั้น โดยร่างกายให้อุปมาเป็นโลกธาตุ อาตมะบุคคละให้อุปมาเป็นหุบเขา กิเลสคือแร่ วัชรคือพุทธญาณ ปัญญาคือนายช่าง  ความวิริยะอันเฉียบขาดคือการสกัด โดยในกายที่เป็นโลกธาตุนี้ได้มีเขาอาตมะบุคคละ และในเขาอาตมะบุคคละเช่นนี้ก็ได้มีแร่แห่งกิเลส ภายในแร่ชนิดนี้ได้มีพุทธญาณสมบัติ ในสมบัติแห่งพุทธญาณนี้ก็ได้มีนายช่างปัญญาโดยได้ใช้นายช่างปัญญานี้มาสกัดทำลายเขาอาตมะบุคคละ และเมื่อได้เห็นแร่กิเลสแล้วก็ใช้ไฟแห่งรู้แจ้งมาเผาหลอม จนกระทั่งได้เห็นพุทธวัชรญาณที่ยังคงจรัสอำไพปรากฏอยู่ ด้วยเหตุฉะนี้ พระพุทธองค์จึงทรงนำเอาวัชรนี้มาเป็นนามและอุปมานั่นเองแล สำหรับผู้ที่ได้แต่เข้าใจโดยไม่นำไปปฏิบัติ ก็เปรียบดั่งการมีแต่นามโดยไร้แก่นสาร แต่สำหรับผู้ที่ได้มีทั้งความเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้นั้น จึงจะถือได้ว่ามีพร้อมทั้งนามและแก่นสารเคียงคู่กัน ซึ่งหากไม่บำเพ็ญก็คือปุถุชน และเมื่อยามที่ได้บำเพ็ญก็จะเทียบเท่าพระอริยะผู้ทรงปัญญา ฉะนั้น จึงได้นามว่าวัชรนั่นเองแล.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/05/2554, 23:18 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
เพื่อให้สะดวกแก่การอธิบาย จึงขอนำวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรคำนี้มาแยกอธิบายเป็น 4 ตอนด้วยกันคือ

   1. วัชร  :  คำว่าวัชรนี้ ในหนังสือหลายเล่มได้อธิบายว่าเป็นเหล็กเหนือเหล็กที่มีความแกร่งคมและสามารถตัดทุกสิ่งได้ แต่โดยความจริงแล้ว ที่ประเทศอินเดียและดินอดนเขตชายน้ำหลายแห่งก็ได้มีหินวัชรนี้อยู่จริง ซึ่งถือว่าเป็นอัญมณีอันมีค่าที่หาได้ยากชนิดหนึ่ง  โดยวัชรจะเป็นแร่ชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะโปร่งแสงและมีโครงสร้างรูปปิรามิดทรงแปดเหลี่ยม เมื่อยามที่แร่ชนิดนี้ได้ต้องกับแสงแดดหรือแสงไฟ ก็จะสามารถเปร่งประกายสีทองอันสดใส คุณสมบัติของแร่ชนิดนี้จะมีความคมแกร่งมาก ซึ่งสามารถนำมาตัดกระจกแกะสลักหิน หรือใช้สำหรับทะลวงชั้นหินได้ดิน อีกทั้งยังใช้เป็นเครื่องขัดอัญมณีทุกชนิดได้ ฉะนั้นจึงถือได้ว่า แร่วัชรมีความคมแกร่งที่สุดในบรรดาแร่หินทั้งปวง ด้วยเหตุผลดังนี้จึงได้ตั้งชื่อให้แก่แร่ชนิดนี้ว่าวัชรนั่นเอง อันว่าความแกร่งของวัชรก็คือ แม้จะหมุนเวียนอยู่ใน 6 วิถีอันเป็นเวลานานถึงร้อยกัปพันกัลป์ก็ตาม แต่ธรรมชาตติแห่งความรู้แจ้งนี้ก็ไม่มีวันบุบสลาย อันว่าความคมของวัชรนี้ก็คือ มีความสามารถที่จะส่องเห็นซึ่งความว่างแห่งสรรพธรรมและทลายสิ้นซึ่งเครื่องกั้นแห่งอวิชชา โดยไม่อาจมีแห่งใดที่จะรอดพ้นจากการฉายส่องนี้ได้ หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อันความแกร่งแห่งวัชรนี้ อุปมาได้ดั่งองค์แห่งปรัชญา อันความคมแห่งวัชรนี้ อุปมาได้ดั่งศักยะแห่งปรัชญานั่นเอง

     2 . ปรัชญา
 :  คำ ๆ นี้ได้ถอดมาจากบาษาสันสกฤต ซึ่งหนังสือหลายเล่มจะแปลเป็นคำว่าปัญญา แต่หากลำพังจะใช้แค่คำว่าปัญญาอย่างเดียวแล้ว ก็จะทำให้เกิดความสับสนกับความหมายของปัญญาที่หลายคนได้ใช้กันอย่างสามัญทั่วไป ฉะนั้น จึงได้เติมคำว่าแยบยลลงไปด้วย ซึ่งเช่นนี้ก็จะสามารถป้องกันการเข้าใจผิดด้วยเหตุนี้ไปได้ จุดนี้จะขอยกตัวอย่างสมมุติให้เห็นด้วยคำว่าหลักกล่าวคือ หากเราจะทำการแจกแจงคำว่า หลัก ออกดูแล้วก็จะสามารถแบ่งออกเป็นหลักระดับหยาบ  ระดับละเอียด  ระดับจุล ระดับลึกซึ้งและระดับแยบยลได้ อันหลักอย่างหยาบนั้นเป็นเรื่องทีุ่คุยกันได้ง่าย ส่วนหลักละเอียดนั้นต้องใช้เวลาในการอธิบาย ด้านหลักจุลนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่พูดกันให้เข้าใจได้ยาก ด้านหลักลึกซึ้งแม้จะยากแต่ก็ยังพอคุยกันได้ แต่หากต้องถึงระดับแยบยลแล้วจุดนี้ก็มิอาจกล่าวอะไรได้อีก ด้วยเหตุฉะนี้ จึงขอนำคำว่าแยบยลผนวกเข้ากับคำว่าปัญญาด้วย เช่นนี้ก็จะทำให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นแล

    3 . ปารมิต  :  คำ ๆ นี้เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากภาษาสันสกฤต เมื่อแปลจากภาษาจีนแล้วจะมีความหมายว่าไปสู่ฝั่งโน้น และสำหรับสาเหตุที่ต้องกล่าวว่าไปสู่ฝั่งโน้นนั้น ก็เป็นเพราะเวไนยสัตว์มักจะถูกคำว่า "อัตตา" มามอมเมาจนทำให้ต้องจมปลักอยู่ในทะเลทุกข์กังวลแห่งการเกิดตายและไปสู่ดินแดนอันสงบสุขสันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับแล้ว เช่นนี้ก็คือการข้ามสู่ฝั่งโน้นก็จะมีความแตกต่างระหว่างความฉับพลันและคงามเชื่อช้าเกิดขึ้น กล่าวคือ เมื่อยามที่ได้สดับมหาธรรมแล้วสามารถรู้แจ้งว่าขันธ์ 5 เดิมนั้นว่างเปล่า อายตนะมิได้มีจริง ซึ่งเป็นการรู้แจ้งโดยพลันทั้งกายและใจต่อมหาธรม สิ่งนี้คือความฉับพลัน ส่วนความเชื่อช้านั้นจะเนื่องด้วยความศรัทธาและนำไปสู่ความเข้าใจ จากความเข้าใจนำไปสู่การปฏิบัติ จากการนำปฏิบัตินำไปสู่การบรรลุ ซึ่งเป็นการบำเพ็ญก้าวหน้าอย่างเป็นลำดับขั้นตอน และสุดท้ายก็ลุสู่การรู้แจ้ง ได้เช่นเดียวกัน โดยจุดนี้ แม้ความฉับพลันและเชื่องช้าจะมีความแตกต่าง แต่ฝั่งโน้นที่ได้ไปสู่จะมิได้มีความผิดเพี้ยนกันเลยแล

     4 . สูตร
 :  คำว่าสูตรนี้สามารถอธิบายว่าหนทาง ซึ่งก็คือหนทางสายหนึ่งของการบำเพ็ญธรรมนั่นเองแล

สรุปความแล้วก็คือ สำหรับจุดประสงค์ของการบำเพ็ญธรรมนั้นก็เพื่อฉุดช่วยตนและฉุดช่วยคน และสำหรับญาณแท้แห่งเรานั้น แต่เดิมก็เป็นความว่างเปล่าที่ปราศจากมลทิน เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างนิรันดร์ด้วยแม้นกาลนทีจะล่วงเลยไปเป็นกัปเป็นกัลป์ แต่ก็น่าเสียดายที่ได้ถูกความทะยานอยากกลบบัง จนกระทั่งได้จมปลักอยู่ในทะเลทุกข์แห่งการเกิดตายจนมิอาจหลุดพ้นออกมาได้ แต่พระพุทธองค์แห่งเราผู้เมตตาก็ได้ตรัสสอนพระสูตรฉบับนี้ขึ้นด้วยมีเจตนาที่จะตัดความกลัดกลุ้มแห่งเวไนยสัตว์ให้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์จนได้ก้าวสู่ฝั่งโน้น (ฝั่งนิรวัณ) อันเป็นดินแดนของที่สุดแห่งการหลุดพ้น แต่การที่จะให้ถึงระดับนี้ได้นั้น หากมิใช่ได้บำเพ็ญจนมีปัญญาแยบยลแล้ว การหลุดพ้นก็มิอาจที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้เลย และการที่จะให้ได้มาซึ่งปัญญาแยบยลนั้น หากมิใช่มีความคมแกร่งและรัศมีอันประกายดุจวัชรแล้ว ปัญญาแยบยลก็มิอาจที่จะเป็นจริงได้ด้วยดุจกัน และหากได้ปราศจากมลทินแห่งโลกีย์และไปตัดสิ้นซึ่งความเพ้อฝันทั้งหลายแล้ว เช่นนี้ก็จะสามารถตัดมิจฉามารให้สิ้นพันธ์ไปจากตน สังหารภูติผีให้มวดม้วยไปไกลสุดตา ทั้งมีความวิริยะที่กล้าแกร่ง แจ่มแจ้งในธรรมญาณตน จนกระทั่งได้ก้าวสู่ฝั่งโน้น (ฝั่งนิรวัณ) และร่วมเสวยสุขกับปวงพระพุทธะโพธิสัตว์เป็นที่สุดแล
    
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/05/2554, 23:19 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
        วัชรสูตรฉบับนี้ แต่เดิมได้รวมอยู่ในผูกที่ 577 ของมหาปรัญาสูตร  ซึ่งนักปราชน์ในอดีตต่างวิจารณ์พระสูตรเล่มนี้ว่ามีค่าดั่งคัมภีร์หลุนหยวี่ของสำนักขงจื่อ ซึ่งแม้ตัวอักษรจะมีจำกัด แต่ก็มีนัยอันมหัศจรรย์ที่มิอาจกล่าวให้สิ้นได้ด้วยอักษรเหล่านั้นเลย   พระตถาคตทรงเทศนามหาปรัชญาสูตรเป็นจำนวนทั้งสิ้น 600 ผูก โดยได้แบ่งวาระการเทศนาเป็นจำนวน 16 ครั้งใน 4 สถานที่  และวัชรสูตรฉบับนี้พระพุทธองค์ได้ทรงเทศนาไว้เมื่อครั้งประชุมธรรมครั้งที่ 9 ที่ได้จัดขึ้น ณ เชตวันมหาวิหาร  อันเป็นวิหารธรรมที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองสาวัตถีที่อยู่ทางภาคกลางในประเทศอินเดียนั่นเอง
                 ประชุมธรรม 16 วาระใน 4 สถานที่  มีรายละเอียดดังนี้
ประชุมธรรม  ณ คิชกูฏบรรพตแห่งเมืองราชคฤห์                        6 ครั้ง
ประชุมธรรม  ณ พระเชตวันมหาวิหารแห่งเมืองสาวัตถี                 3  ครั้ง
ประชุมธรรม  ณ ปรนิมตวสวัสดีแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6                       1 ครั้ง
ประชุมธรรม  ณ พระเชตวันมหาวิหารแห่งเมืองสาวัตถี                 4 ครั้ง
ประชุมธรรม  ณ คิชกูฏบรรพตแห่งเมืองราชคฤห์                        1 ครั้ง
ประชุมธรรม  ณ เวฬุวันแห่งเมืองราชคฤห์                                1 ครั้ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/05/2554, 23:19 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ประวัติของท่านพระกุมารชีพ  (ผู้ถ่ายทอดพระสูตรเป็นภาษาจีน)

       พระกุมารชีพเป็นชาวอินเดีย บิดาของท่านมีนามว่า กุมารยณะ  มารดาของท่านเป็นพระขนิษฐาแห่งกษัตริย์แคว้นกุฉา  มีพระนามว่า ชีพะ (แคว้นกุฉาก็คือ คู่เชอของมณฑลซินเกียงในปัจจุบัน)  พระกุมารชีพได้กำเนิดที่แคว้นกุฉา  นามของท่านได้รวมเอาชื่อของบิดาและมารดารวมเข้าด้วยกัน  คือคำว่ากุมารและชีพ  ในสมัยที่ท่านกุมารชีพอายุได้ 7 ขวบ  กุมารชีพก็ออกติดตามมารดาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว  โดยท่านได้ไปศึกษาพระธรรมหิมยานกับท่านผันโถวต๋าตัว ที่แคว้นโกเผนแห่งดินแดนทางตอนเหนือของอินเดีย  จากนั้นได้ไปศึกษาพระธรรมมหายานที่แคว้นกาษคารกับท่านซีลี่เหยียสั่วหมอ  ครั้นได้สำเร็จในวิชาก็ได้เดินทางกลับมายังแคว้นกุฉาและศึกษาพระธรรมวินัยต่อที่นั่นกับท่านเปยหมอหลัวอี้อีก และนับจากนั้นก็ออกประกาศมหายานธรรมที่แคว้นกุฉาเรื่อยมา

        ครั้นถึงสมัยราชฉินสมัยที่หนึ่ง  พระมหากษัตริย์ที่มีพระนามว่าฝูเจียน (ค.ศ. 338 - 385) ได้มีพระราชโองการให้นายพลทหารม้าที่มีนามว่าหลวี่กวงออกไปปราบแคว้นกุฉา  ซึ่งในเวลานั้น นายพลหลวี่กวงได้รับชัยชนะทั้งยังได้นิมนต์เชิญท่านพระกุมารชีพมาด้วย  จากนั้นจึงได้ลี้พลกลับไปที่เมืองเหลียงโจว แต่ก็ได้ทราบข่าวมาว่ากษัตริย์ฝูเจียนทรงพ่ายแพ้แก่ข้าศึก  แม่ทัพหลวี่กวงจึงได้ครองกำลังพลและตั้งตัวเป็นเอกราชที่เหลียงโจวเสียเอง  ในกาลครั้งนั้น พระมหากษัตริย์เหยาซิง  ผู้ซึ่งเป็นราชโอรสของเหยาฉางแห่งราชวงศ์ฉินสมัยที่สองก็ทรงกรีฑาทัพออกปราบแม่ทัพหลวี่กวงจนแพ้พ่าย  ทั้งยังได้นิมนต์เชิญพระกุมารชีพกลับสู่ฉางอัน  พร้อมทั้งทรงประทานการต้อนรับราชพิธีระดับสูง และนิมนต์ให้ท่านอยู่แปลพระคัมภีร์ที่สวนปัจฉิมไสว (ซีหมิงเอวี๋ยน) และสวนหรรษา (เซียวเหยาเอวี๋ยน) ซึ่งพระกุมารชีพก็ได้แปลพระไตรปิฏกจนสำเร็จลุล่วง รวมทั้งสิ้น 74 หมวด 380 ผูกเศษ

        พระกุมารชีพได้มรณะที่มหาวิหารฉางอัน เมื่อสมัยปีศักราชหงสื่อที่ 15 เดือน 8 แห่งราชวงศ์ฉินสมัยที่สอง รวมสิริอายุได้ 74 ปี  พระกุมารชีพมีฉายานามว่า  ซันจั้ง (ซำจั๋ง)  คำว่าซันจั้งนี้มีความหมายว่าพระไตรปิฏกที่ประกอบด้วย  พระสุตตันตปิฏก  พระวินัยปิฏกและพระอภิธรรมปิฏกนั่นเอง  เนื่องด้วยท่านเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญรอบรู้ในพระไตรปิฏก  ดังนั้นท่านจึงมีฉายานามว่า  พระธรรมาจารย์ซันจั้ง (ซำจั๋ง) ในกาลครั้งนั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/05/2554, 23:20 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ความเป็นมาของการแบ่งหมวดหมู่พระสูตร

        สำหรับวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรฉบับนี้จะมีด้วยกันทั้งสิ้น 32 บรรพ ซึ่งได้ถูกแบ่งเป็นหมวดหมู่โดยราชบุตรเจาหมิง แห่งราชวงศ์เหลียง แต่สำหรับต้นฉบับดั้งเดิมของวัชรสูตรนี้จะไม่มีการแบ่งเป็นหมวดหมู่เหมือนอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน  32 บรรพแห่งวัชรสูตรฉบับนี้จะสามารถแบ่งทำการแบ่งให้เป็นหมวดหมู่ใหญ่ ๆ ได้ 3 ส่วน คือ ส่วนของบทนำ  ส่วนของบทสาระ   และส่วนของบทเผยแพร่

        ในส่วนของบทนำนี้ จะครอบคลุมเฉพาะบรรพที่ 1  ซึ่งเป็นบรรพที่ได้บรรยายถึงเหตุการณ์ความเป็นมาของการประชุมธรรมนั่นเอง แต่ทั้งนี้ยังสามารถแบ่งย่อยออกเป็นบทนำสามัญและบทนำริเริ่มสองประเภท โดยในส่วนของบทนำสามัญนี้จะเริ่มตั้งแต่ดั่งที่เราได้สดับกระทั่งถึง 1250 รูป  ซึ่งในส่วนนี้จะยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ที่เหมือน ๆ กับพระสูตรเล่มอื่น ๆ อยู่ แต่ในส่วนของบทนำริเริ่มนี้จะเริ่มตั้งแต่ ในเวลานั้นเป็นเวลาฉันภัตตาหารของพระผู้มีพระภาคเจ้ากระทั่งถึงจัดแต่งอาสนะแล้วประทับนั่ง สำหรับจุดนี้ จะเป็นเอกลักษณ์ของพระสูตรที่ไม่มีเหมือนกับพระสูตรเล่มอื่น ๆ เลย

        ส่วนของบทสาระนั้น จะครอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่บรรพที่ 2 จนถึงบรรพที่ 31 ซึ่งในส่วนนี้ทั้งหมดจะเป็นส่วนที่ทำการอรรถาถึงแก่นสาระของพระสูตรทั้งเล่ม
        ในส่วนของบทเผยแพร่นี้ จะมีเฉพาะแต่บรรพที่ 32 ซึ่งมีนัยแห่งการประกาศเผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางในอนาคตกาลนั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/05/2554, 23:20 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ความเป็นมาของการประชุมธรรม

        สำหรับความเป็นมาของการประชุมธรรมนั้น จะเริ่มตั้งแต่เวลาที่พระอานนท์ได้ทำการจดจำพระสูตรเล่มนี้นั่นเอง  พระอานนท์ก็คือหนึ่งในสิบอัครสาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งคำว่า อานนท์ นี้ จะมีความหมายว่า  ไร้มลทิน  ความเพลิดเพลิน  ความยินดี  พระอานนท์จะเป็นศิษย์สาวกที่คอยถวายอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิดเป็นประจำ  และในช่วงปัจฉิมวัยแห่งพระพุทธเจ้า อันเป็นสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ เมืองกุสุนารา  ในเวลานั้นเป็นกาลที่พระพุทธองค์ใกล้สู่ปรินิพพาน  ซึ่งเมื่อพระอานนท์ได้ทราบดังนี้ ก็เกิดอาการเศร้าโศกสะอื้นไห้อย่างมิอาจระงับ ในขณะนั้นได้มีพระสงฆ์รูปหนึ่งนามว่า สุภัททะ มาถึงเมื่อได้เห็นพระอานนท์มีความทุกข์ระทมจนถึงเพียงนี้ จึงได้ให้คำเตือนแก่พระอานนท์ว่า "เมื่อสมัยที่พระอาจารย์ยังทรงอยุ่ พวกเรายังสามารถถามปัญหาให้เป็นที่คลายความข้องใจได้ แต่หากพระอาจารย์ได้จากพวกเราไปแล้ว เวลานั้นเราจะไปถามใครที่ไหนได้อีก การร้องไห้ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นหรอก มิสู้อาศัยตอนนี้ที่พระอาจารย์ยังทรงอยู่ มีคำถามอยู่ 4 ข้อที่เธอสามารถกราบทูลพระอาจารย์ได้

ข้อที่หนึ่ง  เมื่อพระอาจารย์ได้เสด็จปรินิพพานแล้ว  เราควรถือใครเป็นครู
ข้อที่สอง  เมื่อพระอาจารย์ได้เสด็จปรินิพพานแล้ว  เราควรถือสิ่งใดเป็นสรณะ
ข้อที่สาม  เมื่อพระอาจารย์ได้เสด็จปรินิพพานแล้ว  เราควรถือสิ่งใดเป็นธรรม
ข้อที่สี่     สำหรับคำเริ่มต้นของพระสูตรนี้  ควรใช้คำพูดใดดี

        สำหรับคำถามข้อที่หนึ่ง  พระตถาคตทรงตอบว่า  พวกเธอพึงถือศีลวินัยเป็นครู
        สำหรับคำถามข้อที่สอง  พระตถาคตทรงตอบว่า  ควรถือสติปัฏฐาน 4 เป็นสรณะ  

(สติปัฏฐาน 4 มีรายละเอียดดังนี้ คือ
1. กายานุปัสสนา  ประกอบด้วย ชาติพันธุ์คืออศุภา ถิ่นอาศัยคืออศุภา ยามอยู่คืออศุภา  ยามตายคืออศุภา  ที่สุดคืออศุภา  
2. เวทนานุปัสสา หมายถึงการเสพทั้งปวงในโลกนี้ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น  
3. จิตตานุปัสสนา จิตที่อนิจจังแห่งมนุษย์เราจะมิใช่จิตเดิมแท้แห่งเรานั่นก็เพราะมีความฟุ้งซ่านสับสนนั่นเอง  ฉะนั้น  จิตมโนธรรมแท้จึงมิอาจปรากฏได้  
4. ธัมมานุปัสสนา ความทุกข์ยากทั้งปวงแห่งมนุษย์ล้วนได้เกิดขึ้นเพราะถูกคำว่าอัตตานี้มามอมรัดทั้งสิ้น ซึ่งโดยความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนไม่มีตัวตนแล)

        สำหรับข้อที่สาม  พระตถาคตทรงตอบว่า  จงเมินเฉย ที่แท้แล้วเมื่อสมัยที่พระอานนท์ได้ถามว่าควรถือสิ่งใดเป็นธรรมนั้นก็เป็นเพราะศิษยานุศิษย์ที่อยู่ในมณฑลพิธีแห่งการประชุมธรรมนั้นต่างก็มีระดับพื้นฐานและความมั่นใจที่ไม่สม่ำเสมอ และหากได้เกิดมีศิษย์ที่เจริญออกนอกลู่นอกทางไปแล้ว ควรจะทำการอบรมสั่งสอนเขาอย่างไร  ด้วยเหตุนี้ พระตถาคตจึงตรัสว่า จงเมินเฉย  ซึ่งคำว่า จงเมินเฉย นี้ จะมีความหมายว่า ไม่สนใจ  ไม่ร่วมมือ นั่นเอง

        สำหรับข้อที่สี่ พระตถาคตทรงตอบว่า ดั่งที่เราได้สดับ สำหรับคำ ๆ นี้ ที่แท้ก็คือคำรับรองที่ใช้พิสูจน์ว่า พระสูตรนี้ไม่มีความผิดพลาดอย่างแน่นอน ซึ่งคำ ๆ นี้จะปราฏกในทุก ๆ พระสูตร เพื่อเป็นสิ่งประกันให้เกิดความมั่นใจแก่เวไนยสัตว์ในอนาคตกาลนั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/05/2554, 23:22 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 9/03/2554, 17:09 »
 1.ความเป็นมาของการประชุมธรรม

        ดั่งที่เราได้สดับ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เมืองสาวัตถีที่เชตวนารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ 1.250 รูป  เวลานั้นเป็นเวลาฉันภัตตาหารพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงครองจีวร ทรงบาตร  และเสด็จสู่มหานครสาวัตถีบิณฑบาต อยู่ในเมืองนี้ บิณฑบาตโดยบำดับจนครบจำนวน ครั้นแล้วเสด็จกลับมายังเชตวนาราม ฉันภัตกิจเสร็จ เก็บบาตรจีวรชำระพระบาท จัดแต่งอาสนะแล้วประทับนั่ง

 2. สุภะ  ประกาศอัญเชิญ

        ขณะนั้น  อาวุโสสุภูติที่อยู่ท่ามกลางประชุมสงฆ์ ได้ลุกจากอาสนะเฉวียงจีวรเปลือยแขนไหล่ขวา คุกเข่าขวาลงพื้น ประคองอัญขลีพลางกราบทูลถามพระองค์ว่า "หาได้ยากนักหนา ข้าแต่ผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตทรงคุ้มครองห่วงใยอันดีต่อเหล่าพระโพธิสัตว์ ทรงอบรมสั่งสอนอันดีต่อเหล่าพระโพธิสัตว์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อกุลบุตร กุลธิดาบังเกิดอนุตรสัมมาสัมโพธิจิตแล้ว ควรดำรงให้คงอยู่อย่างไร ? และควรสงบจิตนี้อย่างไร ? " พระพุทธองค์ตรัสว่า "เจริญพร เจริญพร สุภูติ ! ดังที่เธอกล่าว ตถาคตทรงคุ้มครองห่วงใยอันดีต่อเหล่าพระโพธิสัตว์ และอบรมสั่งสอนอันดีต่อเหล่าพระโพธิสัตว์ เธอจงตั้งใจฟัง เราจักแสดงแก่เธอ"  "กุลบุตร กุลธิดา เมื่อบังเกิดสัมมาสัมโพธิจิตแล้ว ควรดำรงจิตของตนให้คงอยู่เช่นนั้น ควรสงบจิตของตนเช่นนั้น " สาธุ  พระสุคต ! ขัาพระองค์มีความปลาบปลื้มยินดีเฝ้าคอยสดับอยู่"

 3. มหายาน  ศาสตร์แท้

        พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "เหล่าเวไนยสัตว์ มหาสัตว์ ควรสยบใจเช่นนี้ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกิดจากอัณฑชะก็ดี  เกิดจากชลาพุชะก็ดี  เกิดจากสังเสทชะก็ดี  เกิดจากอุปปติกะก็ดี  หรือจักมีรูปก็ดี  ไม่มีรูปก็ดี  มีสัญญาหรือไ้ร้ (สิ้น) สัญญาก็ดี  หรือจักมิมีสัญญาหรือมิไร้ (สิ้น) สัญญาก็ดี  เราล้วนชักนำเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานและขจัดฉุดฃ่วย ด้วยการขจัดฉุดช่วยสรรพสัตว์ที่จำนวนมิอาจประมาณนับได้นี้ ความจริงแล้วหาได้มีสรรพสัตว์ใด ๆ ได้รับการขจัดฉุดช่วยเลย เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! หากพระโพธิสัตว์มีอาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะแล้ว  ก็จะมิใช่พระโพธิสัตว์ ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/05/2554, 23:23 โดย ติ๊กน้อย »

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”